ข้ามไปเนื้อหา

เตือน พาทยกุล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาพครูเตือน พาทยกุล กับระนาดเอกย่อส่วนขนาดจิ๋ว

เตือน พาทยกุล (27 มกราคม 2448 - 6 กรกฎาคม 2546) เกิดในครอบครัวนักดนตรีชาวเพชรบุรี มีชีวิตระหว่างปลายสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 9 เตือน พาทยกุล ได้รับการปลูกฝังศิลปะการดนตรีจากปู่และบิดาตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาวิชาดนตรีอย่างจริงจังกับท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นเวลา 10 ปี ด้วยความมุ่งมั่น อุตสาหะ และใจรักในดนตรีไทย ท่านได้ฝึกปรือฝีมือและใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับดนตรีจนเชี่ยวชาญทั้งการบรรเลง การประพันธ์เพลง การประดิษฐ์เครื่องดนตรี และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดนตรีสู่ศิษย์จำนวนมากมายจนเป็นที่ประจักษ์ มีชีวิตผูกพันกับดนตรีตลอดช่วงชีวิตก่อนถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 98 ปี ในปี พ.ศ. 2546

การศึกษา

[แก้]

การศึกษาวิชาสามัญ

[แก้]
  • สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์บังคับ ที่โรงเรียนวัดโพธาราม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี

รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์

[แก้]
  • รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดุริยางค์ไทย คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ประจำปีการศึกษา 2534 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

การศึกษาด้านดนตรี

[แก้]

การเรียนกับบรรพบุรุษที่เมืองเพชรบุรี[1]

[แก้]

ที่บ้านเกิดเมืองเพชรบุรี ครูเตือนได้เติบโตท่ามกลางบรรยากาศดนตรีในสองบ้าน บ้านหลังแรกเป็นของบิดา ตั้งอยู่เลขที่ 12 ถนนพานิชเจริญ ตำบลท่าราบ เป็นเรือนไม้ฝาเพี้ยมใต้ถุนสูง มีเสาบ้านกลม บนชานบ้านประดับด้วยกระถางต้นไม้และกรงนกเขา ส่วนหน้าห้องภายในบ้านจัดวางเครื่องดนตรีสำหรับฝึกซ้อมและบรรเลง

บ้านที่สองคือบ้านปู่แดง ตั้งอยู่ในตรอกท่าช่อง ที่นี่เองที่ครูเตือนได้เริ่มเรียนดนตรีไทยอย่างจริงจัง ด้วยวัยเพียง 6-7 ขวบ ท่านได้ร่วมบรรเลงกับวงปี่พาทย์ของปู่แดง เริ่มจากการตีโหม่งและฉิ่ง วงประกอบด้วยนักดนตรีฝีมือดี ทั้งนายตั๋งและนายเข่งผู้ตีระนาด นางแงผู้ตีฆ้องวง ลุงไปล่ผู้ตีตะโพน แม่ถมผู้ตีกลอง และปู่แดงผู้สลับระหว่างเป่าปี่และตีระนาด

ที่บ้านบิดา พ่อพร้อมผู้เชี่ยวชาญการเป่าปี่ฝรั่ง (แตรวง) ศิษย์ครูแคล้วแห่งปากคลองตลาด ได้ถ่ายทอดวิชาการเป่าปี่บาริโทนให้ครูเตือน เริ่มจากการไล่เสียงจนถึงการใช้เพลงไทย 2 ชั้น เป็นบทฝึกหัด

ในยุคนั้น เมืองเพชรมีเพียงวงดนตรีของบ้านพาทยกุลเท่านั้นที่มีชื่อเสียง คือวงปี่พาทย์ของปู่ต้ม ปู่แดง และวงแตรวงของพ่อพร้อม ต่อมาเมื่อวัดพระทรงและโรงเรียนวัดหาดได้จัดตั้งวงแตรวง โดยมีพ่อพร้อมเป็นผู้ฝึกสอน จึงทำให้มีผู้สนใจฝึกหัดแตรวงเพิ่มมากขึ้น

เมื่ออายุ 10 ปี บิดาถามถึงความต้องการในการเรียน ครูเตือนตอบด้วยความมั่นใจว่า "อยากเรียนดนตรี" จุดนี้เองที่นำท่านสู่การเป็นศิษย์ครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ครูดนตรีผู้มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร

การเรียนดนตรีที่สำนักพาทยโกศล[1]

[แก้]

การศึกษาดนตรีไทยที่บ้านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เริ่มต้นขึ้นเมื่อครูเตือนในวัย 10 ปี ได้เดินทางจากจังหวัดเพชรบุรีมากรุงเทพฯ พร้อมกับบิดา โดยออกเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีเพชรบุรีในช่วงบ่าย และมาถึงสถานีบางกอกน้อยในยามเย็น จากนั้นได้นั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งพระนครและต่อรถรางไปพักที่บ้านนายกิม เพื่อนทนายความของบิดาที่ย่านสะพานหัน พาหุรัด หนึ่งคืน

วันรุ่งขึ้น บิดาพาครูเตือนเดินเท้าไปยังท่าเรือจ้างปากคลองตลาด ข้ามฟากไปท่าวัดกัลยาณมิตร ผ่านตรอกแคบจนถึงบ้านเครื่องของครูจางวางทั่ว และเดินต่อไปยังเรือนไม้สองชั้นที่พักของท่าน ในวันเดียวกันนั้น มีเด็กชายร่วมวัยอีกสองคนมาฝากตัวเป็นศิษย์พร้อมกัน ได้แก่ สาลี่ มาลัยมาลย์ บุตรชายนายจันทร์ ผู้มีฝีมือตีฆ้องจากสมุทรสงคราม และนายผ่อนจากบางประทุน บางขุนเทียน ซึ่งการที่ทั้งสามมาพร้อมกันในวันนั้น สันนิษฐานว่าบิดาของทั้งสามคงได้นัดหมายกับท่านครูไว้ล่วงหน้า

พิธีรับศิษย์เริ่มต้นด้วยการทำกระทงใบตองพร้อมเครื่องสักการะและเงินกำนล 6 บาท เพื่อประกอบพิธีไหว้พระและบูชาครูที่ห้องพระชั้นบน โดยมีท่านครูจางวางทั่วเป็นผู้นำประกอบพิธี หลังจากนั้นท่านได้พาศิษย์ทั้งสามไปยังบ้านเครื่องเพื่อจับมือ ครูเตือนซึ่งมีพื้นฐานการตีระนาดเอกและฆ้องวงมาบ้างแล้ว สามารถบรรเลงเพลงชุดโหมโรงเย็นและเพลงนางหงส์ 2 ชั้นได้ จึงได้รับมอบหมายให้หัดระนาด ขณะที่นายสาลี่ได้หัดปี่ และนายผ่อนได้หัดตะโพน โดยเพลงแรกที่ท่านครูสอนครูเตือนคือ เพลงทะแย สองชั้น 6 ท่อน ซึ่งใช้สำหรับไล่มือในยามเช้าตั้งแต่ตีห้าจนพระกลับวัด

สำนักดนตรีแห่งนี้มีระบบระเบียบการเรียนดนตรีชัดเจน โดยทุกวันจะมีการซ้อมเพลงโหมโรงเย็นจนถึงเวลา 20.00 น. ซึ่งจะมีสัญญาณไฟฟ้าในบ้านกระพริบหนึ่งครั้งเป็นเครื่องบอกเวลา หลังจากนั้นท่านครูจะมาสอนเพลงให้ศิษย์ทั้งหมดราว 30 คน โดยท่านจะตีระนาดนำทำนองเพลงอยู่หน้าวง และศิษย์แต่ละคนจะประจำเครื่องดนตรีของตนเพื่อบรรเลงตาม หากท่านติดธุระจะมอบหมายให้ศิษย์รุ่นพี่อย่างนายช่อ นายฉัตร เป็นผู้สอนเครื่องดำเนินทำนอง และนายแมวเป็นผู้สอนเครื่องหนังแทน

แบบแผนการสอนครอบคลุมเพลงหลากหลายประเภท ทั้งเพลงโหมโรงเสภา เพลงสามชั้น เพลงเถา เพลงเรื่อง เพลงตับ และเพลงเดี่ยว โดยเฉพาะการสอนเพลงเดี่ยวระนาดเอกนั้น ท่านครูจะเป็นผู้สอนด้วยตนเองในยามค่ำคืน เนื่องจากกลางวันท่านต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่วังบางขุนพรหม ท่านมักจะเรียกครูเตือนและนายทรัพย์เข้าไปเรียนพร้อมกัน แม้นายทรัพย์จะมีความสามารถในการตีระนาดเอกที่เหนือกว่า สามารถบรรเลงท่วงทำนองที่ซับซ้อนได้ดี ท่านครูก็ยังสอนให้ทั้งสองคนพยายามจดจำทุกท่วงทำนอง โดยเน้นย้ำว่าแม้ลูกไหนจะบรรเลงได้ไม่ดีนัก แต่ต้องพยายามจำเอาไว้ให้ได้ การจดจำไว้ก็จะเป็นประโยชน์ในการสอนและการแข่งขันในอนาคต รวมถึงการตั้งวงดนตรีของตนเอง

การศึกษาซอสามสาย[1]

[แก้]

แม้ครูเตือนจะมีความเชี่ยวชาญด้านระนาดเอกมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ท่านก็มีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ซอสามสาย อันเนื่องมาจากความประทับใจในพระปรีชาสามารถด้านการบรรเลงซอสามสายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ได้มีโอกาสชมการบรรเลงในวังบางขุนพรหม ขณะที่ครูเตือนศึกษาอยู่กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล แต่ด้วยข้อจำกัดในการศึกษา ท่านจึงได้เรียนรู้เฉพาะเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ และได้รับการแนะนำเพียงซอด้วงและซออู้จากเพื่อนร่วมสำนักเท่านั้น

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อครูเตือนมีอายุ 60 ปีเศษ ท่านได้มีโอกาสพบกับพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) โดยบังเอิญบนรถราง จากการสนทนาและแสดงความปรารถนาที่จะเรียนรู้ซอสามสาย นำไปสู่การได้เป็นศิษย์ของพระยาภูมีเสวินอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นด้วยการประกอบพิธีไหว้ครูอย่างถูกต้องตามประเพณี

กระบวนการเรียนการสอนเริ่มจากพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ การนั่ง การจับซอ การจับคันชัก และการสีสายเปล่า ทั้งสายเดี่ยวและสายคู่ รวมถึงเทคนิคการใช้คันชักเข้าออก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการบรรเลงซอสามสาย หลังจากผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว จึงเริ่มฝึกการลงนิ้วเพื่อสร้างเสียงต่าง ๆ โดยใช้เวลาประมาณ 5 วัน

ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ครูเตือนใช้เวลาเรียนครั้งละประมาณ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9.00-12.00 น. เริ่มจากการเรียนเพลงต้นเพลงฉิ่ง 3 ชั้น ตามด้วยเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ และเพลง 2 ชั้นอีกหลายบทเพลง จนกระทั่งได้เรียนเพลงเดี่ยวที่มีความซับซ้อน เช่น เพลงหกบท เพลงเดี่ยวพญาโศก เพลงเดี่ยวพญาครวญ เพลงเดี่ยวปลาทอง เพลงเดี่ยวนกขมิ้น และเพลงทยอยเดี่ยว

นอกจากความรู้ด้านการบรรเลง พระยาภูมีเสวินยังได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการประดิษฐ์ซอสามสาย ตั้งแต่การคัดเลือกวัสดุ ไปจนถึงเทคนิคการสร้างเครื่องดนตรี ความรู้นี้ทำให้ครูเตือนสามารถประดิษฐ์ซอสามสายคันแรกได้สำเร็จ และได้มอบให้กับครูพระยาภูมีเสวิน ต่อมาท่านได้มอบคันทวนซอสามสายงาช้างพร้อมลูกบิดให้แก่ครูเตือน ซึ่งครูเตือนได้นำมาประกอบเป็นซอสามสายที่สมบูรณ์และเก็บรักษาไว้เป็นที่ระลึก

การศึกษาซอสามสายของครูเตือนยังได้รับการเพิ่มพูนความรู้จากนายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล บุตรชายของครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วงที่ครูเตือนศึกษาอยู่ที่สำนักครูจางวางทั่วนั้น ท่านไม่เคยได้เห็นนายเทวาประสิทธิ์บรรเลงซอสามสาย เห็นเพียงความสามารถในการเป่าปี่และการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเท่านั้น เป็นที่เข้าใจว่านายเทวาประสิทธิ์น่าจะได้ศึกษาการบรรเลงซอสามสายร่วมกับสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตร

โอกาสในการศึกษากับนายเทวาประสิทธิ์เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อครูเตือนได้กลับไปเยี่ยมบ้านครูจางวางทั่ว ท่านได้พบกับนายเทวาประสิทธิ์ ซึ่งทราบข่าวการศึกษาซอสามสายของครูเตือนกับพระยาภูมีเสวิน และได้เชื้อเชิญให้มาศึกษาเพิ่มเติม คำชักชวนนี้นำไปสู่การถ่ายทอดความรู้และทักษะการบรรเลงซอสามสายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็นับเป็นการต่อยอดความรู้ที่สำคัญ ได้รับการถ่ายทอดเพลงบุหลันลอยเลื่อน เพลงสรรเสริญเสือป่า เพลงสุรินทราหู สามชั้น

ต่อมาครูเตือนยังได้มีโอกาสศึกษากับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) ผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงซอทุกประเภท ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งครูสอนที่โรงเรียนนาฏศิลป ด้วยความที่หลวงไพเราะเสียงซอเล็งเห็นว่าครูเตือนมีพื้นฐานเพลงธรรมดามากพอแล้ว จึงได้ถ่ายทอดเพลงเดี่ยวลาวแพนให้โดยตรง การเรียนการสอนเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่โรงเรียนนาฏศิลป จนกระทั่งสามารถบรรเลงได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะได้เรียนเพียงบทเพลงเดียวเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและภาระงานสอนของหลวงไพเราะเสียงซอ แต่ก็นับเป็นมรดกทางดนตรีที่ทรงคุณค่าที่ครูเตือนได้สืบทอดไว้

การศึกษาซอสามสายของครูเตือนจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเริ่มต้นในวัยที่มีอายุแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่น จึงไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน ทั้งนี้ การได้รับการถ่ายทอดจากครูผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ทำให้ท่านสามารถพัฒนาทักษะจนเชี่ยวชาญ และยังสามารถต่อยอดความรู้ไปสู่การประดิษฐ์เครื่องดนตรีได้อีกด้วย

การประกอบอาชีพ[2]

[แก้]
  • ปีพ.ศ. 2465 เป็นครูและนักดนตรีประจำวงปี่พาทย์ของนายปุ่น คงศรีวิไล ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่วัดหญ้าไทร ตำบลคลองอ้อม อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
  • ปีพ.ศ. 2470 ตั้งวงปี่พาทย์ของตนเองที่บ้าน จังหวัดเพชรบุรี ชื่อวง "นายเตือน พาทยกุล" โดยสอนลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีและที่ต่าง ๆ ให้สามารถเล่นดนตรีได้เกือบ 50 คน ทั้งวงปี่พาทย์และแตรวงจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคนั้น
  • ปีพ.ศ. 2471 นำคณะลิเกตระเวนแสดงในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ ในฐานะหัวหน้าวงและผู้ตีระนาดเอก ทั้งยังนำคณะละครร้องและนักแสดงเต้นระบำตระเวนแสดงไปจนถึงเมืองปีนัง
  • ปีพ.ศ. 2477 นำวงปี่พาทย์เข้าประกวดบรรเลงเพลงชาติจนได้รับรางวัลชนะเลิศ ถ้วยเงินขิงจังหวัดเพชรบุรี
  • ปีพ.ศ. 2483 นำภรรยานางกิมไล้และบุตรทั้งครอบครัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาลู่ทางประกอบอาชีพ โดยประกอบอาชีพทางดนตรี รับงานบรรเลงและทำเครื่องดนตรีจำหน่าย ต่อมานางกิมไล้ตั้งท้องและป่วย จึงย้ายกลับไปเพชรบุรีแล้วตั้งวงดนตรีรับงานทั่วไป
  • ปีพ.ศ. 2490 นำภรรยานางบุญเรืองบุตรธิดาและครอบครัวทั้งมหดเดินทางย้ายเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง โดยนำเครื่องดนตรีทั้งหมดมาด้วยเพื่อรับงานดนตรีทั่วไป ตลอดจนรับทำเครื่องดนตรีจำหน่ายแก่คนทั่วไป ณ บ้านพักริมทางรถไฟสายปากคลองสาน-มหาชัย ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี
  • ปีพ.ศ. 2516 ได้รับเชิญเป็นครูพิเศษสอนวิชาดนตรีในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เริ่มจาก โรงเรียนวิสุทธิกษัตรี (พระประแดง) โรงเรียนราชประชาสมาศัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนนายเรือ (สมุทรปราการ) โรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนศรีอยุธยา และทำเครื่องดนตรีจำหน่ายทั้งในสถาบันการศึกษาและบุคคลทั่วไป, เริ่มประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดเล็กสามารถบรรเลงได้ครบวงมโหรีเครื่องใหญ่ นำออกแสดงในรายการคันธรรพศาลา ณ สถานีโทรทัศน์ทีวีสีช่อง 4 บางขุนพรหม ปลูกเพาะชำกล้วยไม้ขายเป็นอาชีพเสริม
  • ปีพ.ศ. 2518 ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาการประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรีไทย ที่คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล), เปิดร้านจำหน่ายเครื่องดนตรีไทยที่ร้านเลขที่ 326/1 ถนนเจริญรัถ ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดกรุงเทพฯ
  • ปีพ.ศ. 2530 ได้รับเชิญเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดดนตรีไทยเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
  • ปีพ.ศ. 2533 นำหลานสาว เด็กหญิงพันธุวดี พันธุวงศ์ ที่ครูเตือนเป็นผู้สอนซอสามสาย เข้าประกวดดนตรีไทย ระดับมัธยมศึกษา โดยสำนักคณะกรรมการและประสานงานเยาวชนแห่งชาติร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศประเภทซอสามชาย
  • ปีพ.ศ. 2534 ประดิษฐ์และทำเครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดจิ๋ว ร่วมจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
  • ปีพ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดุริยางค์ไทย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สวนอัมพร
  • ปีพ.ศ. 2536 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. 2535 จากสำนักคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
  • ปีพ.ศ. 2538 อำนวยการสอนคณะครูและนักเรียน โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ นางวราพร พาทยกุล บุตรสะใภ้เป็นผู้จัดตั้ง ที่อาคารเลขที่ 155 ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • ปีพ.ศ. 2539 นำคณะครูและศิษย์พาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์แสดงผลงานในโอกาส นาฎดุริยางคศิลป์ถวายพระพร ณ ท้องสนามหลวง, โอกาสการแสดงถวายพระพร ในรายการทีวีสีช่อง 7 และ ช่อง 5, ได้รับเชิญเป็นครูพิเศษอนวิชาดนตรีไทยที่โรงเรียนมิตรพลพาณิชยการ
  • ปีพ.ศ. 2540 นำคณะครูและศิษย์พาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์แสดงผลงานในโอกาส นาฏดุริยางคศิลป์การกุศล รายได้บริจาคช่วยเหลือผู้พิการซ้ำซ้อน, โอกาสการแสดงถวายพระพร ทีวีสีช่อง 5 และช่อง 7, โอกาสทอดกฐินสามัคคี ครูเตือน พาทยกุลเป็นเจ้าภาพ ณ วัดพลับพลาชัย จังหวัดเพชรบุรี, ได้รับเชิญจากศ.เกียรติคุณ นพ.พูนพิศ อมาตยกุล ร่วมบรรเลงในรายการครบ 100 ปี ขุนบรรจงทุ้มเลิศ (ปลั่ง ประสานศัพท์) ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

เกียรติประวัติและผลงานการบรรเลง[1]

[แก้]
  1. การบรรเลงเพลงชาติไทย (แบบไทย) ในงานการประกวดเพลงชาติไทย เมื่อปี พ.ศ.2477 ณ ศาลากลาง จังหวัดเพชรบุรี
  2. การบรรเลงวงมโหรีเครื่องดนตรีย่อส่วนขนาดเล็ก ถวายหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ณ โรงเรียนราชประชาสมาศัย และรายการคันธรรพศาลา ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2514
  3. การร่วมวงบรรเลงกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันไหว้ครูดนตรีไทยชมรมดนตรีไทยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516
  4. การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก เพลงกราวใน เถา ในงานฉลองครบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2524 ณ หอสมุดแห่งชาติ
  5. การบรรเลงซอด้วงย่อส่วนขนาดเล็ก เนื่องในโอกาสที่ครูเตือน ทูลเกล้าฯ ถวายซอด้วงย่อส่วนขนาดเล็กแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน ดนตรีไทยมัธยมศึกษา ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2524 ณ โรงเรียนสตรีวิทยา
  6. การบรรเลงเพลงโหมโรงเทพอัศวินและเพลงแขกมอญบางช้าง ในงานการบรรเลงบทเพลงเชิดชูนักแต่งเพลงไทย ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2527 ณ โรงละครแห่งชาติ
  7. การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก เพลงพญาโศก ถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 30 พรรษา บรรเลงเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2528 ณ โรงละครแห่งชาติ
  8. การบรรเลงระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ บันทึกแถบบันทึกเสียงเพลงทะแย สามชั้น 6 ท่อน และเพลงเขมรปี่แก้ว ทางท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ณ ห้องบันทึกเสียง วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 15 และ 17 พฤษภาคม 2532 แล้วทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
  9. การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอกเพลงการะเวก ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล เป็นผู้นำเข้าเฝ้า
  10. การบรรเลงเดี่ยวระนาดทุ้ม เพลงเชิดนอก ในรายการพบครูคนตรีไทยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน)
  11. รางวัล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) เมื่อ พ.ศ. 2535 โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
  12. การบรรเลงวงปี่พาทย์ถวายหน้าพระที่นั่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ในงานสังคีตสายใจไทย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535
  13. การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอกเพลงกราวใน ชั้นเดียว ถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในงานแสดงผลงานศิลปินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธุ์ 2536 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
  14. การบรรเลงเดี่ยวซอสามสาย เพลงสุรินทราหู เนื่องในงานเชิดชูเกียรติ 100 ปี พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) เมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ.2537 ซึ่งเป็นการบรรเลงในรายการ อภิปราย ประวัติและผลงานพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี)
  15. การบรรเลงซอสามสาย ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 ณ อาคารชัยพัฒนา พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน
  16. การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้นวม เพลงกระบี่ลีลา เถา ซึ่งทำการบันทึกแถบบันทึกเสียง ณ ห้องบันทึกเสียงวิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2538 ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 ณ อาคารชัยพัฒนา พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
  17. การบรรเลงเดี่ยวระนาดทุ้ม เพลงเชิดนอก เนื่องในงานเชิดชูเกียรติ 100 ปี ขุนบรรจง หุ้มเลิศ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2540 ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน)
  18. บรรเลงซอสี่สายและซอสามสายที่ครูเดือนเป็นผู้ประดิษฐ์ ถวายสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2540 ณ อาคารชัยพัฒนา พระ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน (บำรุง พาทยกุล, 2540, น. 98-100)

คำประกาศเกียรติคุณศิลปินแห่งชาติ

[แก้]
ภาพครูเตือน พาทยกุล อายุ 91 ปี

นายเตือน พาทยกุล เกิดเมื่อวันเสาร์ ที่ ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๔๔๘ ณ จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินชั้นครูที่มีความสามารถทางศิลปะการแสดงด้านดนตรีไทยเป็นเลิศ โดยเฉพาะในทางปี่พาทย์ นับว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดคนหนึ่ง นายเตือน พาทยกุล มีความสามารถบรรเลงเพลงเดี่ยวเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทั้งระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก และซอสามสาย จนปรากฏลือเลื่องไปในหลายวงการ นอกจากมีความสามารถในการบรรเลงเพลงเดี่ยวเครื่องดนตรีไทยแล้ว นายเตือน พาทยกุล ยังมีความสามารถในการประพันธ์เพลงได้เคยประพันธ์เพลงไทยไว้จำนวนมาก เช่น เพลงโหมโรงเทพอัศวินสามฃั้น แขกมอญ บางขุนพรหมสองชั้น โหมโรงเพชรศรีอยุธยา นาคบริพัตรทางเปลี่ยน เป็นต้น ความสามารถพิเศษ เฉพาะของนายเตือน พาทยกุล อีกด้านหนึ่ง ได้แก่ การประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทย ได้ทุกชนิด และยังเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดเล็ก ที่สามารถใช้บรรเลงเป็นมาตรฐานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นศิลปินที่ไม่หวงแหนวิชาความรู้ ได้รับเชิญเผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีไทยจนปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชั้นครูด้านดนตรีไทย นายเตือน พาทยกุล จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕[3]

องค์ความรู้ 4 ด้านของครูเตือน พาทยกุล

[แก้]

ครูเตือน พาทยกุล ถือเป็นนักดนตรีไทยผู้มีความสามารถอันโดดเด่นและได้สร้างคุณูปการหลายประการแก่วงการดนตรีไทย โดยผลงานของท่านปรากฏเด่นชัดใน 4 ด้านหลัก[1] ดังนี้

  • ด้านความเป็นศิลปิน
  • ด้านความเป็นครู
  • ด้านความเป็นนักประพันธ์
  • ด้านความเป็นช่างประดิษฐ์

ในด้านความเป็นศิลปินหรือการบรรเลง ครูเตือนแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบรรเลงเครื่องดนตรีไทยหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอกและซอสามสาย ความสามารถของท่านได้รับการขัดเกลาผ่านการศึกษาอย่างจริงจังกับท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นระยะเวลาถึง 10 ปี จนได้รับการถ่ายทอดทางเพลงอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาซอสามสายเพิ่มเติมกับครูผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน อาทิ พระยาภูมีเสวิน นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล และหลวงไพเราะเสียงซอ ผลงานอันโดดเด่นของท่านประกอบด้วยการบรรเลงปี่พาทย์จนได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเพลงชาติไทยที่จังหวัดเพชรบุรี การบรรเลงวงมโหรีย่อส่วนเพื่อถวายการแสดงต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่โรงเรียนราชประชาสมาศัย ตลอดจนการบรรเลงรวมวงและเดี่ยวถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงผลงานการบันทึกเทปและออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์หลายครั้ง

ในด้านความเป็นครูหรือการถ่ายทอดวิชาความรู้ ครูเตือนได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นครูผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ โดยเริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากครูจางวางทั่วให้เป็นผู้สอนปี่พาทย์ที่บางขุนเทียน ก่อนจะขยายการสอนไปยังวงดนตรีของนายปุ่น คงศรีวิไล ที่คลองอ้อม นนทบุรี เมื่อท่านย้ายกลับไปประจำที่จังหวัดเพชรบุรี ได้มีศิษย์จำนวนมากเข้ามาศึกษาทั้งปี่พาทย์และแตรวงจนสามารถประกอบวิชาชีพได้ แม้ภายหลังท่านจะย้ายมาประจำในกรุงเทพมหานคร ท่านก็ยังคงรับศิษย์มาศึกษาที่บ้าน และได้รับเกียรติให้เป็นครูพิเศษสอนวิชาดนตรีในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง โดยสอนครอบคลุมทั้งปี่พาทย์ เครื่องสาย มโหรี อังกะลุง ตลอดจนวิชาการประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรีไทย

ในด้านความเป็นนักประพันธ์เพลง ครูเตือนได้สร้างสรรค์บทเพลงไทยจำนวน 17 เพลง อันเป็นผลมาจากประสบการณ์และความรู้ที่ท่านได้สั่งสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน ประกอบด้วยเพลงโหมโรง 8 เพลง เพลงเถา 3 เพลง เพลงทางเปลี่ยน 4 เพลง เพลงเกร็ด 1 เพลง และเพลงระบำ 1 เพลง โดยผลงานการประพันธ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการประพันธ์เพลงไทยประเภทต่างๆ อย่างลึกซึ้ง

ในด้านความเป็นช่างประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรี ครูเตือนได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์และบำรุงรักษาเครื่องดนตรีไทยหลากหลายประเภท ทั้งเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์และเครื่องสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอก ระนาดทุ้ม และซอสามสาย นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถพิเศษในการย่อส่วนเครื่องดนตรีให้มีขนาดเล็กลงกว่าขนาดมาตรฐาน รวมถึงการสร้างเครื่องดนตรีขนาดจิ๋วที่ยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบครบถ้วนทุกส่วน ผลงานชิ้นสำคัญของท่านได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลายครั้ง นอกจากนี้ ท่านยังได้สร้างสรรค์เครื่องดนตรีตามแนวคิดที่แปลกใหม่อีกหลายชิ้น อาทิ ระนาดขวด ซอปิ๊บ ซอกระป๋อง ซอกระดองเต่า ซอสี่สาย และซอห้าสาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และการผสมผสานความรู้ทางดนตรีไทยอย่างลงตัว (บำรุง พาทยกุล, 2540, น. 161-162)

องค์กรสืบสานปณิธานครูเตือน พาทยกุล

[แก้]
  • โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ โดยครูเตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ แห่งใหม่ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ปัจจุบัน ดร.บำรุง พาทยกุล นางวราพร พาทยกุล และบุตรสาว คือ นางสาวขจิตธรรม พาทยกุล ได้สืบทอดปณิธานของครูเตือน พาทยกุล ในการอนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมดนตรีและนาฏศิลป์ไทย โดยดำเนินกิจการโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ สอนให้กับเด็กและเยาวชนพร้อมจัดการแสดงให้นักเรียนได้แสดงความสามารถและปลูกฝังให้รู้จักนำวิชาความรู้ทางศิลปะไปใช้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมต่อเนื่องมา
  • มูลนิธิเตือน พาทยกุล หลังจากที่ครูเตือน พาทยกุล ถึงแก่กรรม ทายาทและลูกศิษย์จึงได้ดำริแล้วก่อตั้งมูลนิธิเตือน พาทยกุลขึ้น ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ครูเตือนในการอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทย ที่นับวันจะยิ่งสูญหายไปตามกาลเวลา โดยดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านการดำเนินงานของโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ (ก่อตั้งโดยครูเตือน พาทยกุล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘) หน่วยงาน เครือข่าย และภาคประชาสังคมที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกัน

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 บำรุง พาทยกุล. (2544). เตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ: ชีวประวัติและผลงาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล. https://mulinet11.li.mahidol.ac.th/e-thesis/scan/3836405.pdf[ลิงก์เสีย]
  2. พัฒนี พร้อมสมบัติ และคณะ. (2546). ชีวิตและผลงาน ของ ครูเตือน พาทยกุล อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายเตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) พุทธศักราช 2535. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. https://db.sac.or.th/siamrarebooks/books/516/SRB-0516
  3. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. คำประกาศเกียรติคุณนายเตือน พาทยกุล. http://art.culture.go.th/art01.php?nid=113 เก็บถาวร 2020-10-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน