เตือน พาทยกุล
บทความชีวประวัตินี้เขียนเหมือนประวัติสมัครงาน |

เตือน พาทยกุล (27 มกราคม 2448 - 6 กรกฎาคม 2546) เกิดในครอบครัวนักดนตรีชาวเพชรบุรี มีชีวิตระหว่างปลายสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 9 เตือน พาทยกุล ได้รับการปลูกฝังศิลปะการดนตรีจากปู่และบิดาตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาวิชาดนตรีอย่างจริงจังกับท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นเวลา 10 ปี ด้วยความมุ่งมั่น อุตสาหะ และใจรักในดนตรีไทย ท่านได้ฝึกปรือฝีมือและใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับดนตรีจนเชี่ยวชาญทั้งการบรรเลง การประพันธ์เพลง การประดิษฐ์เครื่องดนตรี และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดนตรีสู่ศิษย์จำนวนมากมายจนเป็นที่ประจักษ์ มีชีวิตผูกพันกับดนตรีตลอดช่วงชีวิตก่อนถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 98 ปี ในปี พ.ศ. 2546
การศึกษา
[แก้]การศึกษาวิชาสามัญ
[แก้]- สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์บังคับ ที่โรงเรียนวัดโพธาราม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์
[แก้]- รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดุริยางค์ไทย คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ประจำปีการศึกษา 2534 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
การศึกษาด้านดนตรี
[แก้]ที่บ้านเกิดเมืองเพชรบุรี ครูเตือนได้เติบโตท่ามกลางบรรยากาศดนตรีในสองบ้าน บ้านหลังแรกเป็นของบิดา ตั้งอยู่เลขที่ 12 ถนนพานิชเจริญ ตำบลท่าราบ เป็นเรือนไม้ฝาเพี้ยมใต้ถุนสูง มีเสาบ้านกลม บนชานบ้านประดับด้วยกระถางต้นไม้และกรงนกเขา ส่วนหน้าห้องภายในบ้านจัดวางเครื่องดนตรีสำหรับฝึกซ้อมและบรรเลง
บ้านที่สองคือบ้านปู่แดง ตั้งอยู่ในตรอกท่าช่อง ที่นี่เองที่ครูเตือนได้เริ่มเรียนดนตรีไทยอย่างจริงจัง ด้วยวัยเพียง 6-7 ขวบ ท่านได้ร่วมบรรเลงกับวงปี่พาทย์ของปู่แดง เริ่มจากการตีโหม่งและฉิ่ง วงประกอบด้วยนักดนตรีฝีมือดี ทั้งนายตั๋งและนายเข่งผู้ตีระนาด นางแงผู้ตีฆ้องวง ลุงไปล่ผู้ตีตะโพน แม่ถมผู้ตีกลอง และปู่แดงผู้สลับระหว่างเป่าปี่และตีระนาด
ที่บ้านบิดา พ่อพร้อมผู้เชี่ยวชาญการเป่าปี่ฝรั่ง (แตรวง) ศิษย์ครูแคล้วแห่งปากคลองตลาด ได้ถ่ายทอดวิชาการเป่าปี่บาริโทนให้ครูเตือน เริ่มจากการไล่เสียงจนถึงการใช้เพลงไทย 2 ชั้น เป็นบทฝึกหัด
ในยุคนั้น เมืองเพชรมีเพียงวงดนตรีของบ้านพาทยกุลเท่านั้นที่มีชื่อเสียง คือวงปี่พาทย์ของปู่ต้ม ปู่แดง และวงแตรวงของพ่อพร้อม ต่อมาเมื่อวัดพระทรงและโรงเรียนวัดหาดได้จัดตั้งวงแตรวง โดยมีพ่อพร้อมเป็นผู้ฝึกสอน จึงทำให้มีผู้สนใจฝึกหัดแตรวงเพิ่มมากขึ้น
เมื่ออายุ 10 ปี บิดาถามถึงความต้องการในการเรียน ครูเตือนตอบด้วยความมั่นใจว่า "อยากเรียนดนตรี" จุดนี้เองที่นำท่านสู่การเป็นศิษย์ครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ครูดนตรีผู้มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร
การศึกษาดนตรีไทยที่บ้านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เริ่มต้นขึ้นเมื่อครูเตือนในวัย 10 ปี ได้เดินทางจากจังหวัดเพชรบุรีมากรุงเทพฯ พร้อมกับบิดา โดยออกเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีเพชรบุรีในช่วงบ่าย และมาถึงสถานีบางกอกน้อยในยามเย็น จากนั้นได้นั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งพระนครและต่อรถรางไปพักที่บ้านนายกิม เพื่อนทนายความของบิดาที่ย่านสะพานหัน พาหุรัด หนึ่งคืน
วันรุ่งขึ้น บิดาพาครูเตือนเดินเท้าไปยังท่าเรือจ้างปากคลองตลาด ข้ามฟากไปท่าวัดกัลยาณมิตร ผ่านตรอกแคบจนถึงบ้านเครื่องของครูจางวางทั่ว และเดินต่อไปยังเรือนไม้สองชั้นที่พักของท่าน ในวันเดียวกันนั้น มีเด็กชายร่วมวัยอีกสองคนมาฝากตัวเป็นศิษย์พร้อมกัน ได้แก่ สาลี่ มาลัยมาลย์ บุตรชายนายจันทร์ ผู้มีฝีมือตีฆ้องจากสมุทรสงคราม และนายผ่อนจากบางประทุน บางขุนเทียน ซึ่งการที่ทั้งสามมาพร้อมกันในวันนั้น สันนิษฐานว่าบิดาของทั้งสามคงได้นัดหมายกับท่านครูไว้ล่วงหน้า
พิธีรับศิษย์เริ่มต้นด้วยการทำกระทงใบตองพร้อมเครื่องสักการะและเงินกำนล 6 บาท เพื่อประกอบพิธีไหว้พระและบูชาครูที่ห้องพระชั้นบน โดยมีท่านครูจางวางทั่วเป็นผู้นำประกอบพิธี หลังจากนั้นท่านได้พาศิษย์ทั้งสามไปยังบ้านเครื่องเพื่อจับมือ ครูเตือนซึ่งมีพื้นฐานการตีระนาดเอกและฆ้องวงมาบ้างแล้ว สามารถบรรเลงเพลงชุดโหมโรงเย็นและเพลงนางหงส์ 2 ชั้นได้ จึงได้รับมอบหมายให้หัดระนาด ขณะที่นายสาลี่ได้หัดปี่ และนายผ่อนได้หัดตะโพน โดยเพลงแรกที่ท่านครูสอนครูเตือนคือ เพลงทะแย สองชั้น 6 ท่อน ซึ่งใช้สำหรับไล่มือในยามเช้าตั้งแต่ตีห้าจนพระกลับวัด
สำนักดนตรีแห่งนี้มีระบบระเบียบการเรียนดนตรีชัดเจน โดยทุกวันจะมีการซ้อมเพลงโหมโรงเย็นจนถึงเวลา 20.00 น. ซึ่งจะมีสัญญาณไฟฟ้าในบ้านกระพริบหนึ่งครั้งเป็นเครื่องบอกเวลา หลังจากนั้นท่านครูจะมาสอนเพลงให้ศิษย์ทั้งหมดราว 30 คน โดยท่านจะตีระนาดนำทำนองเพลงอยู่หน้าวง และศิษย์แต่ละคนจะประจำเครื่องดนตรีของตนเพื่อบรรเลงตาม หากท่านติดธุระจะมอบหมายให้ศิษย์รุ่นพี่อย่างนายช่อ นายฉัตร เป็นผู้สอนเครื่องดำเนินทำนอง และนายแมวเป็นผู้สอนเครื่องหนังแทน
แบบแผนการสอนครอบคลุมเพลงหลากหลายประเภท ทั้งเพลงโหมโรงเสภา เพลงสามชั้น เพลงเถา เพลงเรื่อง เพลงตับ และเพลงเดี่ยว โดยเฉพาะการสอนเพลงเดี่ยวระนาดเอกนั้น ท่านครูจะเป็นผู้สอนด้วยตนเองในยามค่ำคืน เนื่องจากกลางวันท่านต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่วังบางขุนพรหม ท่านมักจะเรียกครูเตือนและนายทรัพย์เข้าไปเรียนพร้อมกัน แม้นายทรัพย์จะมีความสามารถในการตีระนาดเอกที่เหนือกว่า สามารถบรรเลงท่วงทำนองที่ซับซ้อนได้ดี ท่านครูก็ยังสอนให้ทั้งสองคนพยายามจดจำทุกท่วงทำนอง โดยเน้นย้ำว่าแม้ลูกไหนจะบรรเลงได้ไม่ดีนัก แต่ต้องพยายามจำเอาไว้ให้ได้ การจดจำไว้ก็จะเป็นประโยชน์ในการสอนและการแข่งขันในอนาคต รวมถึงการตั้งวงดนตรีของตนเอง
แม้ครูเตือนจะมีความเชี่ยวชาญด้านระนาดเอกมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ท่านก็มีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ซอสามสาย อันเนื่องมาจากความประทับใจในพระปรีชาสามารถด้านการบรรเลงซอสามสายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ได้มีโอกาสชมการบรรเลงในวังบางขุนพรหม ขณะที่ครูเตือนศึกษาอยู่กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล แต่ด้วยข้อจำกัดในการศึกษา ท่านจึงได้เรียนรู้เฉพาะเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ และได้รับการแนะนำเพียงซอด้วงและซออู้จากเพื่อนร่วมสำนักเท่านั้น
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อครูเตือนมีอายุ 60 ปีเศษ ท่านได้มีโอกาสพบกับพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) โดยบังเอิญบนรถราง จากการสนทนาและแสดงความปรารถนาที่จะเรียนรู้ซอสามสาย นำไปสู่การได้เป็นศิษย์ของพระยาภูมีเสวินอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นด้วยการประกอบพิธีไหว้ครูอย่างถูกต้องตามประเพณี
กระบวนการเรียนการสอนเริ่มจากพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ การนั่ง การจับซอ การจับคันชัก และการสีสายเปล่า ทั้งสายเดี่ยวและสายคู่ รวมถึงเทคนิคการใช้คันชักเข้าออก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการบรรเลงซอสามสาย หลังจากผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว จึงเริ่มฝึกการลงนิ้วเพื่อสร้างเสียงต่าง ๆ โดยใช้เวลาประมาณ 5 วัน
ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ครูเตือนใช้เวลาเรียนครั้งละประมาณ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9.00-12.00 น. เริ่มจากการเรียนเพลงต้นเพลงฉิ่ง 3 ชั้น ตามด้วยเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ และเพลง 2 ชั้นอีกหลายบทเพลง จนกระทั่งได้เรียนเพลงเดี่ยวที่มีความซับซ้อน เช่น เพลงหกบท เพลงเดี่ยวพญาโศก เพลงเดี่ยวพญาครวญ เพลงเดี่ยวปลาทอง เพลงเดี่ยวนกขมิ้น และเพลงทยอยเดี่ยว
นอกจากความรู้ด้านการบรรเลง พระยาภูมีเสวินยังได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการประดิษฐ์ซอสามสาย ตั้งแต่การคัดเลือกวัสดุ ไปจนถึงเทคนิคการสร้างเครื่องดนตรี ความรู้นี้ทำให้ครูเตือนสามารถประดิษฐ์ซอสามสายคันแรกได้สำเร็จ และได้มอบให้กับครูพระยาภูมีเสวิน ต่อมาท่านได้มอบคันทวนซอสามสายงาช้างพร้อมลูกบิดให้แก่ครูเตือน ซึ่งครูเตือนได้นำมาประกอบเป็นซอสามสายที่สมบูรณ์และเก็บรักษาไว้เป็นที่ระลึก
การศึกษาซอสามสายของครูเตือนยังได้รับการเพิ่มพูนความรู้จากนายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล บุตรชายของครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วงที่ครูเตือนศึกษาอยู่ที่สำนักครูจางวางทั่วนั้น ท่านไม่เคยได้เห็นนายเทวาประสิทธิ์บรรเลงซอสามสาย เห็นเพียงความสามารถในการเป่าปี่และการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเท่านั้น เป็นที่เข้าใจว่านายเทวาประสิทธิ์น่าจะได้ศึกษาการบรรเลงซอสามสายร่วมกับสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตร
โอกาสในการศึกษากับนายเทวาประสิทธิ์เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อครูเตือนได้กลับไปเยี่ยมบ้านครูจางวางทั่ว ท่านได้พบกับนายเทวาประสิทธิ์ ซึ่งทราบข่าวการศึกษาซอสามสายของครูเตือนกับพระยาภูมีเสวิน และได้เชื้อเชิญให้มาศึกษาเพิ่มเติม คำชักชวนนี้นำไปสู่การถ่ายทอดความรู้และทักษะการบรรเลงซอสามสายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็นับเป็นการต่อยอดความรู้ที่สำคัญ ได้รับการถ่ายทอดเพลงบุหลันลอยเลื่อน เพลงสรรเสริญเสือป่า เพลงสุรินทราหู สามชั้น
ต่อมาครูเตือนยังได้มีโอกาสศึกษากับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) ผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงซอทุกประเภท ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งครูสอนที่โรงเรียนนาฏศิลป ด้วยความที่หลวงไพเราะเสียงซอเล็งเห็นว่าครูเตือนมีพื้นฐานเพลงธรรมดามากพอแล้ว จึงได้ถ่ายทอดเพลงเดี่ยวลาวแพนให้โดยตรง การเรียนการสอนเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่โรงเรียนนาฏศิลป จนกระทั่งสามารถบรรเลงได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะได้เรียนเพียงบทเพลงเดียวเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและภาระงานสอนของหลวงไพเราะเสียงซอ แต่ก็นับเป็นมรดกทางดนตรีที่ทรงคุณค่าที่ครูเตือนได้สืบทอดไว้
การศึกษาซอสามสายของครูเตือนจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเริ่มต้นในวัยที่มีอายุแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่น จึงไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน ทั้งนี้ การได้รับการถ่ายทอดจากครูผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ทำให้ท่านสามารถพัฒนาทักษะจนเชี่ยวชาญ และยังสามารถต่อยอดความรู้ไปสู่การประดิษฐ์เครื่องดนตรีได้อีกด้วย
- ปีพ.ศ. 2465 เป็นครูและนักดนตรีประจำวงปี่พาทย์ของนายปุ่น คงศรีวิไล ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่วัดหญ้าไทร ตำบลคลองอ้อม อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
- ปีพ.ศ. 2470 ตั้งวงปี่พาทย์ของตนเองที่บ้าน จังหวัดเพชรบุรี ชื่อวง "นายเตือน พาทยกุล" โดยสอนลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีและที่ต่าง ๆ ให้สามารถเล่นดนตรีได้เกือบ 50 คน ทั้งวงปี่พาทย์และแตรวงจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคนั้น
- ปีพ.ศ. 2471 นำคณะลิเกตระเวนแสดงในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ ในฐานะหัวหน้าวงและผู้ตีระนาดเอก ทั้งยังนำคณะละครร้องและนักแสดงเต้นระบำตระเวนแสดงไปจนถึงเมืองปีนัง
- ปีพ.ศ. 2477 นำวงปี่พาทย์เข้าประกวดบรรเลงเพลงชาติจนได้รับรางวัลชนะเลิศ ถ้วยเงินขิงจังหวัดเพชรบุรี
- ปีพ.ศ. 2483 นำภรรยานางกิมไล้และบุตรทั้งครอบครัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาลู่ทางประกอบอาชีพ โดยประกอบอาชีพทางดนตรี รับงานบรรเลงและทำเครื่องดนตรีจำหน่าย ต่อมานางกิมไล้ตั้งท้องและป่วย จึงย้ายกลับไปเพชรบุรีแล้วตั้งวงดนตรีรับงานทั่วไป
- ปีพ.ศ. 2490 นำภรรยานางบุญเรืองบุตรธิดาและครอบครัวทั้งมหดเดินทางย้ายเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง โดยนำเครื่องดนตรีทั้งหมดมาด้วยเพื่อรับงานดนตรีทั่วไป ตลอดจนรับทำเครื่องดนตรีจำหน่ายแก่คนทั่วไป ณ บ้านพักริมทางรถไฟสายปากคลองสาน-มหาชัย ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี
- ปีพ.ศ. 2516 ได้รับเชิญเป็นครูพิเศษสอนวิชาดนตรีในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เริ่มจาก โรงเรียนวิสุทธิกษัตรี (พระประแดง) โรงเรียนราชประชาสมาศัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนนายเรือ (สมุทรปราการ) โรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนศรีอยุธยา และทำเครื่องดนตรีจำหน่ายทั้งในสถาบันการศึกษาและบุคคลทั่วไป, เริ่มประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดเล็กสามารถบรรเลงได้ครบวงมโหรีเครื่องใหญ่ นำออกแสดงในรายการคันธรรพศาลา ณ สถานีโทรทัศน์ทีวีสีช่อง 4 บางขุนพรหม ปลูกเพาะชำกล้วยไม้ขายเป็นอาชีพเสริม
- ปีพ.ศ. 2518 ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาการประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรีไทย ที่คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล), เปิดร้านจำหน่ายเครื่องดนตรีไทยที่ร้านเลขที่ 326/1 ถนนเจริญรัถ ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดกรุงเทพฯ
- ปีพ.ศ. 2530 ได้รับเชิญเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดดนตรีไทยเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
- ปีพ.ศ. 2533 นำหลานสาว เด็กหญิงพันธุวดี พันธุวงศ์ ที่ครูเตือนเป็นผู้สอนซอสามสาย เข้าประกวดดนตรีไทย ระดับมัธยมศึกษา โดยสำนักคณะกรรมการและประสานงานเยาวชนแห่งชาติร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศประเภทซอสามชาย
- ปีพ.ศ. 2534 ประดิษฐ์และทำเครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดจิ๋ว ร่วมจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
- ปีพ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดุริยางค์ไทย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สวนอัมพร
- ปีพ.ศ. 2536 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. 2535 จากสำนักคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- ปีพ.ศ. 2538 อำนวยการสอนคณะครูและนักเรียน โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ นางวราพร พาทยกุล บุตรสะใภ้เป็นผู้จัดตั้ง ที่อาคารเลขที่ 155 ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
- ปีพ.ศ. 2539 นำคณะครูและศิษย์พาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์แสดงผลงานในโอกาส นาฎดุริยางคศิลป์ถวายพระพร ณ ท้องสนามหลวง, โอกาสการแสดงถวายพระพร ในรายการทีวีสีช่อง 7 และ ช่อง 5, ได้รับเชิญเป็นครูพิเศษอนวิชาดนตรีไทยที่โรงเรียนมิตรพลพาณิชยการ
- ปีพ.ศ. 2540 นำคณะครูและศิษย์พาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์แสดงผลงานในโอกาส นาฏดุริยางคศิลป์การกุศล รายได้บริจาคช่วยเหลือผู้พิการซ้ำซ้อน, โอกาสการแสดงถวายพระพร ทีวีสีช่อง 5 และช่อง 7, โอกาสทอดกฐินสามัคคี ครูเตือน พาทยกุลเป็นเจ้าภาพ ณ วัดพลับพลาชัย จังหวัดเพชรบุรี, ได้รับเชิญจากศ.เกียรติคุณ นพ.พูนพิศ อมาตยกุล ร่วมบรรเลงในรายการครบ 100 ปี ขุนบรรจงทุ้มเลิศ (ปลั่ง ประสานศัพท์) ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- การบรรเลงเพลงชาติไทย (แบบไทย) ในงานการประกวดเพลงชาติไทย เมื่อปี พ.ศ.2477 ณ ศาลากลาง จังหวัดเพชรบุรี
- การบรรเลงวงมโหรีเครื่องดนตรีย่อส่วนขนาดเล็ก ถวายหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ณ โรงเรียนราชประชาสมาศัย และรายการคันธรรพศาลา ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2514
- การร่วมวงบรรเลงกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันไหว้ครูดนตรีไทยชมรมดนตรีไทยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก เพลงกราวใน เถา ในงานฉลองครบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2524 ณ หอสมุดแห่งชาติ
- การบรรเลงซอด้วงย่อส่วนขนาดเล็ก เนื่องในโอกาสที่ครูเตือน ทูลเกล้าฯ ถวายซอด้วงย่อส่วนขนาดเล็กแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน ดนตรีไทยมัธยมศึกษา ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2524 ณ โรงเรียนสตรีวิทยา
- การบรรเลงเพลงโหมโรงเทพอัศวินและเพลงแขกมอญบางช้าง ในงานการบรรเลงบทเพลงเชิดชูนักแต่งเพลงไทย ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2527 ณ โรงละครแห่งชาติ
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก เพลงพญาโศก ถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 30 พรรษา บรรเลงเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2528 ณ โรงละครแห่งชาติ
- การบรรเลงระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ บันทึกแถบบันทึกเสียงเพลงทะแย สามชั้น 6 ท่อน และเพลงเขมรปี่แก้ว ทางท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ณ ห้องบันทึกเสียง วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 15 และ 17 พฤษภาคม 2532 แล้วทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอกเพลงการะเวก ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล เป็นผู้นำเข้าเฝ้า
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดทุ้ม เพลงเชิดนอก ในรายการพบครูคนตรีไทยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน)
- รางวัล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) เมื่อ พ.ศ. 2535 โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- การบรรเลงวงปี่พาทย์ถวายหน้าพระที่นั่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ในงานสังคีตสายใจไทย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอกเพลงกราวใน ชั้นเดียว ถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในงานแสดงผลงานศิลปินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธุ์ 2536 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
- การบรรเลงเดี่ยวซอสามสาย เพลงสุรินทราหู เนื่องในงานเชิดชูเกียรติ 100 ปี พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) เมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ.2537 ซึ่งเป็นการบรรเลงในรายการ อภิปราย ประวัติและผลงานพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี)
- การบรรเลงซอสามสาย ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 ณ อาคารชัยพัฒนา พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน
- การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้นวม เพลงกระบี่ลีลา เถา ซึ่งทำการบันทึกแถบบันทึกเสียง ณ ห้องบันทึกเสียงวิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2538 ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 ณ อาคารชัยพัฒนา พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดทุ้ม เพลงเชิดนอก เนื่องในงานเชิดชูเกียรติ 100 ปี ขุนบรรจง หุ้มเลิศ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2540 ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน)
- บรรเลงซอสี่สายและซอสามสายที่ครูเดือนเป็นผู้ประดิษฐ์ ถวายสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2540 ณ อาคารชัยพัฒนา พระ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน (บำรุง พาทยกุล, 2540, น. 98-100)
คำประกาศเกียรติคุณศิลปินแห่งชาติ
[แก้]ภาพครูเตือน พาทยกุล อายุ 91 ปี นายเตือน พาทยกุล เกิดเมื่อวันเสาร์ ที่ ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๔๔๘ ณ จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินชั้นครูที่มีความสามารถทางศิลปะการแสดงด้านดนตรีไทยเป็นเลิศ โดยเฉพาะในทางปี่พาทย์ นับว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดคนหนึ่ง นายเตือน พาทยกุล มีความสามารถบรรเลงเพลงเดี่ยวเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทั้งระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก และซอสามสาย จนปรากฏลือเลื่องไปในหลายวงการ นอกจากมีความสามารถในการบรรเลงเพลงเดี่ยวเครื่องดนตรีไทยแล้ว นายเตือน พาทยกุล ยังมีความสามารถในการประพันธ์เพลงได้เคยประพันธ์เพลงไทยไว้จำนวนมาก เช่น เพลงโหมโรงเทพอัศวินสามฃั้น แขกมอญ บางขุนพรหมสองชั้น โหมโรงเพชรศรีอยุธยา นาคบริพัตรทางเปลี่ยน เป็นต้น ความสามารถพิเศษ เฉพาะของนายเตือน พาทยกุล อีกด้านหนึ่ง ได้แก่ การประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทย ได้ทุกชนิด และยังเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีไทยย่อส่วนขนาดเล็ก ที่สามารถใช้บรรเลงเป็นมาตรฐานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นศิลปินที่ไม่หวงแหนวิชาความรู้ ได้รับเชิญเผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีไทยจนปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชั้นครูด้านดนตรีไทย นายเตือน พาทยกุล จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕[3]
องค์ความรู้ 4 ด้านของครูเตือน พาทยกุล
[แก้]ครูเตือน พาทยกุล ถือเป็นนักดนตรีไทยผู้มีความสามารถอันโดดเด่นและได้สร้างคุณูปการหลายประการแก่วงการดนตรีไทย โดยผลงานของท่านปรากฏเด่นชัดใน 4 ด้านหลัก[1] ดังนี้
- ด้านความเป็นศิลปิน
- ด้านความเป็นครู
- ด้านความเป็นนักประพันธ์
- ด้านความเป็นช่างประดิษฐ์
ในด้านความเป็นศิลปินหรือการบรรเลง ครูเตือนแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบรรเลงเครื่องดนตรีไทยหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอกและซอสามสาย ความสามารถของท่านได้รับการขัดเกลาผ่านการศึกษาอย่างจริงจังกับท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นระยะเวลาถึง 10 ปี จนได้รับการถ่ายทอดทางเพลงอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาซอสามสายเพิ่มเติมกับครูผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน อาทิ พระยาภูมีเสวิน นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล และหลวงไพเราะเสียงซอ ผลงานอันโดดเด่นของท่านประกอบด้วยการบรรเลงปี่พาทย์จนได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเพลงชาติไทยที่จังหวัดเพชรบุรี การบรรเลงวงมโหรีย่อส่วนเพื่อถวายการแสดงต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่โรงเรียนราชประชาสมาศัย ตลอดจนการบรรเลงรวมวงและเดี่ยวถวายหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงผลงานการบันทึกเทปและออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์หลายครั้ง
ในด้านความเป็นครูหรือการถ่ายทอดวิชาความรู้ ครูเตือนได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นครูผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ โดยเริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากครูจางวางทั่วให้เป็นผู้สอนปี่พาทย์ที่บางขุนเทียน ก่อนจะขยายการสอนไปยังวงดนตรีของนายปุ่น คงศรีวิไล ที่คลองอ้อม นนทบุรี เมื่อท่านย้ายกลับไปประจำที่จังหวัดเพชรบุรี ได้มีศิษย์จำนวนมากเข้ามาศึกษาทั้งปี่พาทย์และแตรวงจนสามารถประกอบวิชาชีพได้ แม้ภายหลังท่านจะย้ายมาประจำในกรุงเทพมหานคร ท่านก็ยังคงรับศิษย์มาศึกษาที่บ้าน และได้รับเกียรติให้เป็นครูพิเศษสอนวิชาดนตรีในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง โดยสอนครอบคลุมทั้งปี่พาทย์ เครื่องสาย มโหรี อังกะลุง ตลอดจนวิชาการประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรีไทย
ในด้านความเป็นนักประพันธ์เพลง ครูเตือนได้สร้างสรรค์บทเพลงไทยจำนวน 17 เพลง อันเป็นผลมาจากประสบการณ์และความรู้ที่ท่านได้สั่งสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน ประกอบด้วยเพลงโหมโรง 8 เพลง เพลงเถา 3 เพลง เพลงทางเปลี่ยน 4 เพลง เพลงเกร็ด 1 เพลง และเพลงระบำ 1 เพลง โดยผลงานการประพันธ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการประพันธ์เพลงไทยประเภทต่างๆ อย่างลึกซึ้ง
ในด้านความเป็นช่างประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องดนตรี ครูเตือนได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์และบำรุงรักษาเครื่องดนตรีไทยหลากหลายประเภท ทั้งเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์และเครื่องสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระนาดเอก ระนาดทุ้ม และซอสามสาย นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถพิเศษในการย่อส่วนเครื่องดนตรีให้มีขนาดเล็กลงกว่าขนาดมาตรฐาน รวมถึงการสร้างเครื่องดนตรีขนาดจิ๋วที่ยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบครบถ้วนทุกส่วน ผลงานชิ้นสำคัญของท่านได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลายครั้ง นอกจากนี้ ท่านยังได้สร้างสรรค์เครื่องดนตรีตามแนวคิดที่แปลกใหม่อีกหลายชิ้น อาทิ ระนาดขวด ซอปิ๊บ ซอกระป๋อง ซอกระดองเต่า ซอสี่สาย และซอห้าสาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และการผสมผสานความรู้ทางดนตรีไทยอย่างลงตัว (บำรุง พาทยกุล, 2540, น. 161-162)
องค์กรสืบสานปณิธานครูเตือน พาทยกุล
[แก้]- โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ โดยครูเตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ แห่งใหม่ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ปัจจุบัน ดร.บำรุง พาทยกุล นางวราพร พาทยกุล และบุตรสาว คือ นางสาวขจิตธรรม พาทยกุล ได้สืบทอดปณิธานของครูเตือน พาทยกุล ในการอนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมดนตรีและนาฏศิลป์ไทย โดยดำเนินกิจการโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ สอนให้กับเด็กและเยาวชนพร้อมจัดการแสดงให้นักเรียนได้แสดงความสามารถและปลูกฝังให้รู้จักนำวิชาความรู้ทางศิลปะไปใช้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมต่อเนื่องมา
- มูลนิธิเตือน พาทยกุล หลังจากที่ครูเตือน พาทยกุล ถึงแก่กรรม ทายาทและลูกศิษย์จึงได้ดำริแล้วก่อตั้งมูลนิธิเตือน พาทยกุลขึ้น ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ครูเตือนในการอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทย ที่นับวันจะยิ่งสูญหายไปตามกาลเวลา โดยดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านการดำเนินงานของโรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์ (ก่อตั้งโดยครูเตือน พาทยกุล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘) หน่วยงาน เครือข่าย และภาคประชาสังคมที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกัน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 บำรุง พาทยกุล. (2544). เตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ: ชีวประวัติและผลงาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล. https://mulinet11.li.mahidol.ac.th/e-thesis/scan/3836405.pdf[ลิงก์เสีย]
- ↑ พัฒนี พร้อมสมบัติ และคณะ. (2546). ชีวิตและผลงาน ของ ครูเตือน พาทยกุล อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายเตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) พุทธศักราช 2535. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. https://db.sac.or.th/siamrarebooks/books/516/SRB-0516
- ↑ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. คำประกาศเกียรติคุณนายเตือน พาทยกุล. http://art.culture.go.th/art01.php?nid=113 เก็บถาวร 2020-10-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน