ข้ามไปเนื้อหา

จักรพรรดิอิงเงียว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดิอิงเงียว
允恭天皇
จักรพรรดิญี่ปุ่น
ครองราชย์ค.ศ. 412–453 (ตามธรรมเนียม)[1]
ก่อนหน้าฮันเซ
ถัดไปอังโก
พระราชสมภพค.ศ. 373–375[a]
สวรรคตค.ศ. 453 (78–80 พรรษา)[a]
ฝังพระศพเองะ โนะ นางานุ โนะ คิตะ โนะ มิซาซางิ (ญี่ปุ่น: 恵我長野北陵โรมาจิEga no Naganu no kita no misasagi; โอซากะ)
คู่อภิเษกโอชิซากะ โนะ โอนากัตสึฮิเมะ[6]
พระราชบุตร
กับพระองค์อื่น ๆ...
พระสมัญญานาม
ชิโงแบบจีน:
จักรพรรดิอิงเงียว (允恭天皇)

ชิโงแบบญี่ปุ่น:
โออาซาซูมะ-วากูโงะ-โนะ-ซูกูเนะ โนะ ซูเมรามิโกโตะ (雄朝津間稚子宿禰天皇)
ราชสกุลราชวงศ์ญี่ปุ่น
พระราชบิดาจักรพรรดินินโตกุ
พระราชมารดาอิวาโนะ-ฮิเมะ[7]
ศาสนาชินโต

จักรพรรดิอิงเงียว (ญี่ปุ่น: 允恭天皇โรมาจิIngyō-tennō) เป็นจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ที่ 19 ตามลำดับการสืบราชบัลลังก์แบบดั้งเดิม[8][9] ทั้ง โคจิกิ และ นิฮงโชกิ (เรียกรวมกันเป็น คิกิ) บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อ้างว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ แม้ว่าไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนเกี่ยวกับชีวิตหรือรัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์นี้ได้ แต่โดยทั่วไปถือว่าจักรพรรดิครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 410 ถึง 453[6]

เรื่องราวยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์

[แก้]

ข้อมูลเกี่ยวกับพระองค์นำมาจากโคจิกิและนิฮงโชกิ ซึ่งเรียกรวมกันเป็น คิกิ (ญี่ปุ่น: 記紀โรมาจิKiki) หรือ พงศาวดารญี่ปุ่น โดยในคิกิบันทึกว่าอิงเงียวเสด็จพระราชสมภพจากเจ้าหญิงอิวะ (ญี่ปุ่น: 磐之媛命โรมาจิIwa no hime no Mikoto) ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 373 ถึง 375 และได้รับพระราชทานนามว่า โออาซาซูมะ วากูโงะ โนะ ซูกูเนะ (ญี่ปุ่น: 雄朝津間稚子宿禰โรมาจิOasazuma Wakugo no Sukune)[4][7] พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในจักรพรรดินินโตกุ ทำให้เป็นพระอนุชาของริจูและฮันเซ หลังฮันเซสวรรคตใน ค.ศ. 410 บรรดารัฐมนตรีเข้าพบโออาซาซูมาและลงมติเลือกพระองค์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปอย่างเป็นเอกฉันท์ โออาซาซูมาปฏิเสธข้อเสนอโดยระบุว่าพระเชษฐาของพระองค์ "ดูหมิ่นเขาดั่งคนโง่" แล้วยังเรียกตัวพระองค์เองเป็น "ผู้โชคร้าย" โดยอ้างว่าตนทรงพระประชวรด้วยอาการอัมพาตที่ไม่ได้กล่าวถึง[4][6]

เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี โอชิซากะ โนะ โอนากัตสึฮิเมะ พระสนมองค์โปรด โน้มน้าวให้โออาซาซูมะขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ[6] โออาซาซูมะได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิอิงเงียวอย่างเป็นทางการ ส่วนพระสนมกลายเป็นโคโงองค์ถัดไป จากนั้นในช่วงต้น ค.ศ. 414 มีการส่งทูตไปที่ชิลลาเพื่อจัดหาแพทย์มารักษาจักรพรรดิผู้ประชวร แพทย์ได้ระบุว่าปัญหาเกิดจากพระเพลาของพระองค์ และสามารถรักษาได้ในเดือนสิงหาคมของปีนั้น[4][6]

ต่อมาในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 418 จักรพรรดินีโอชิซากะ โนะ โอนากัตสึฮิเมะได้แนะนำพระราชสวามีให้รู้จักกับพระกนิษฐภคินีของพระนางในงานเลี้ยงโดยไม่ได้ตั้งใจ จักรพรรดิอิงเงียวตกหลุมรักพระนางอย่างมากจึงส่งคนไปเรียกพระนางมาในภายหลัง[4][6] พระองค์เรียนรู้ว่าพระนามของสตรีคนนั้นคือ "โอโตฮิเมะ" ("เจ้าหญิงผู้ทรงพระเยาว์ที่สุด") แต่คนท้องถิ่นขนานนามพระนางจากความงามเป็น "โซโตโฮริ อิรัตสึเมะ" ("พรหมจาริณีผ่านเครื่องแต่งกาย; clothing pass maiden")[b][4] ในตอนแรกโอโตฮิเมะปฏิเสธที่จะทำตาม เพราะไม่ต้องการทำร้ายความรู้สึกของพระเชษฐ/กนิษฐภคินี ผู้ส่งสารที่ไม่อยากถูกลงโทษฐานไม่เชื่อฟังจึงอยู่กับโอโตฮิเมะจนกระทั่งพระนางตกลง[4] โอชิซากะไม่พอพระทัยต่อสิ่งนี้และไม่ให้โอโตฮิเมะเข้าไปยังพระราชวัง อิงเงียวจึงสร้างที่พำนักใกล้เคียงให้แก่โอโตฮิเมะ โดยซึ่งพระองค์มักแอบไปอยู่ที่นั่น[4][6]

จักรพรรดินีโอชิซากะ โนะ โอนากัตสึฮิเมะให้กำเนิดพระราชโอรสธิดารวม 9 พระองค์ (พระราชโอรส 5 พระองค์และพระราชธิดา 4 พระองค์) ใน ค.ศ. 434 อิงเงียวทรงเลือกคินาชิ โนะ คารุ พระราชโอรสองค์แรก เป็นมกุฎราชกุมาร[4] นี่ถือเป็นทางเลือกที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัวหลังคินาชิถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ร่วมสายพระโลหิตกับเจ้าหญิงคารุ โนะ โออิรัตสึเมะ[11] อิงเงียวไม่สามารถลงพระราชอาญาพระราชโอรสได้ เนื่องด้วยตำแหน่งที่พระองค์พระราชทานให้ ทำให้พระองค์เลือกใช้วิธีทางอ้อมด้วยการเนรเทศคารุ โนะ โออิรัตสึเมะไปที่อิโยะ[4] เมื่อจักรพรรดิอิงเงียวสวรรคตในช่วง ค.ศ. 453 พระมหากษัตริย์ชิลลาทรงโศกศัลย์เป็นอย่างยิ่งจึงได้นำนักดนตรี 80 คนไปที่ญี่ปุ่นเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของอิงเงียว[12] ขณะเดียวกัน คินาชิ โนะ คารุต้องเผชิญกับความท้าทายจากการที่อานาโฮะ พระอนุชา ได้รับการสนับสนุนให้เป็นรัชทายาท[4]

การประเมินทางประวัติศาสตร์

[แก้]

พระมเหสีและพระราชโอรสธิดา

[แก้]

พระมเหสี/นางสนม

[แก้]
บรรดาศักดิ์ พระนาม พระราชบิดา พระราชโอรสธิดา[13]
จักรพรรดินี
(โคโง)
โอชิซากะ โนะ โอนากัตสึฮิเมะ (ญี่ปุ่น: 忍坂大中姫โรมาจิOshisaka no Ōnakatsuhime)[14] เจ้าชายวากานูเกะ โนะ ฟูตามาตะ (ญี่ปุ่น: 稚野毛二派皇子)[13]  • เจ้าชายคินาชิ โนะ คารุ (ญี่ปุ่น: 木梨軽皇子)
 • เจ้าหญิงนางาตะ โนะ โออิรัตสึเมะ (ญี่ปุ่น: 名形大娘皇女)
 • เจ้าชายซาไก โนะ คูโรฮิโกะ (ญี่ปุ่น: 境黒彦皇子)
 • เจ้าชายอานาโฮะ (ญี่ปุ่น: 穴穂皇子)
 • เจ้าชายคารุ โนะ โออิรัตสึเมะ (ญี่ปุ่น: 軽大娘皇女)
 • เจ้าชายยัตสึริ โนะ ชิราฮิโกะ (ญี่ปุ่น: 八釣白彦皇子)
 • เจ้าชายโอฮัตสึเซะ โนะ วากาตาเกรุ (ญี่ปุ่น: 大泊瀬稚武皇子)
 • เจ้าหญิงทาจิมะ โนะ ทาจิบานะ โนะ โออิรัตสึเมะ (ญี่ปุ่น: 但馬橘大娘皇女)
 • เจ้าหญิงซากามิ (ญี่ปุ่น: 酒見皇女)
นางสนม
(ฮิ)
โอโตฮิเมะ (ญี่ปุ่น: 弟姫โรมาจิOtohime)[c] เจ้าชายวากานูเกะ โนะ ฟูตามาตะ (ญี่ปุ่น: 稚野毛二派皇子)[13] ไม่มี

พระราชโอรสธิดา

[แก้]
บรรดาศักดิ์ พระนาม[13][15] ความเห็น
เจ้าชาย เจ้าชายคินาชิ โนะ คารุ[13] ภายหลังพ่ายแพ้ต่อเจ้าชายอานาโฮะ (ดูข้างล่าง)
เจ้าหญิง เจ้าหญิงนางาตะ โนะ โออิรัตสึเมะ[13]
เจ้าชาย เจ้าชายซาไก โนะ คูโรฮิโกะ[13] อ้างว่าสวรรคตในช่วง ค.ศ. 456
เจ้าชาย เจ้าชายอานาโฮะ[13] พระราชโอรสองค์ที่ 3 ของจักรพรรดิอิงเงียว ภายหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิอังโก
เจ้าหญิง เจ้าหญิงคารุ โนะ โออิรัตสึเมะ ในโคจิกิ "เจ้าหญิงคารุ" และ "โอโตฮิเมะ" เป็นพระนามพ้องกัน[10]
เจ้าชาย เจ่าชายยัตสึริ โนะ ชิราฮิโกะ ข้อมูลอ้างว่าพระองค์มีชีวิตใน ค.ศ. 401 ถึง 456
เจ้าชาย เจ้าชายโอฮัตสึเซะ โนะ วากาตาเกรุ พระราชโอรสองค์ที่ 5 ของจักรพรรดิอิงเงียว ภายหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิยูเรียกุ
เจ้าหญิง เจ้าหญิงทาจิมะ โนะ ทาจิบานะ โนะ โออิรัตสึเมะ
เจ้าหญิง เจ้าหญิงซากามิ

หมายเหตุ

[แก้]
  1. 1.0 1.1 ปีพระราชสมภพและพระชนมพรรษาที่แน่ชัดของจักรพรรดิอิงเงียวขณะสวรรคตยังคงเป็นที่ถกเถียงกันตามแหล่งข้อมูล[2][3] วิลเลียม จอร์จ แอสตัน นักประวัติศาสตร์ ระบุว่า โคจิกิบันทึกว่าอิงเงียวทรงมีชีวิตถึง 78 พรรษา[4][5] ในขณะที่ Richard Ponsonby-Fane นักวิชาการ ให้ความเห็นว่า พระชนมพรรษาตอนสวรรคตที่ยอมรับโดยทั่วไปในขณะนั้น (ประมาณ ค.ศ. 1915) คือ "80"[6]
  2. พระนามนี้มาจากความ "งาม" ของพระนางเปล่งประกายผ่านฉลองพระองค์[10]
  3. โอโตฮิเมะยีงมีอีกพระนามว่า "โซโตโอริฮิเมะ", "โซโตริ โนะ อิรัตสึเมะ" และ "เจ้าหญิงคารุ โนะ โออิรัตสึเมะ"[10]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Genealogy of the Emperors of Japan" (PDF). Kunaicho.go.jp. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ March 22, 2011. สืบค้นเมื่อ August 1, 2023.
  2. Kenneth Henshall (2013). Historical Dictionary of Japan to 1945. Scarecrow Press. p. 488. ISBN 9780810878723.
  3. Joseph Henry Longford (1923). List of Emperors: II. The Dawn of History and The great Reformers. Japan. Houghton Mifflin. p. 304.
  4. 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 William George Aston (1896). "Boox XIII - The Emperor Wo-Asa-Tsuma Wakugo No Sukune: Ingio Tenno". Nihongi: Chronicles of Japan from the Earliest Times to A.D. 697. (Volume 1). London: Kegan Paul, Trench, Trubner. pp. 312–327.
  5. Basil Hall Chamberlain (1882). "Sect. CXI. — Emperor Ingyō (PART IV. — His age and place of burial)". A translation of the "Kojiki" or Records of ancient matters. R. Meiklejohn and Co.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 6.7 Ponsonby-Fane, Richard (1915). "Ingyō (412–453)". The Imperial Family of Japan. Ponsonby Memorial Society. p. 11.
  7. 7.0 7.1 Ponsonby-Fane, Richard (1915). "Table of Emperors Mothers". The Imperial Family of Japan. Ponsonby Memorial Society. p. xiii.
  8. "允恭天皇 (19)". Imperial Household Agency (Kunaichō) (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ August 1, 2023.
  9. Titsingh, Isaac. (1834). Annales des empereurs du japon (ภาษาฝรั่งเศส). Royal Asiatic Society, Oriental Translation Fund of Great Britain and Ireland. p. 26.
  10. 10.0 10.1 10.2 "衣通姫 そとおりひめ". Encyclopedia Nipponica. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
  11. Cranston, Edwin A. (1998). A waka anthology: The gem-glistening cup. Stanford University Press. p. 804. ISBN 9780804731577.
  12. นิฮงโชกิ, เล่มที่ 13, Story of Ingyō
  13. 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 13.7 "Genealogy". Reichsarchiv (ภาษาญี่ปุ่น). 30 April 2010. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
  14. William George Aston (1896). "Boox XIII - The Emperor Wo-Asa-Tsuma Wakugo No Sukune: Ingio Tenno". Nihongi: Chronicles of Japan from the Earliest Times to A.D. 697. (Volume 1). London: Kegan Paul, Trench, Trubner. p. 313.
  15. Basil Hall Chamberlain (1882). "Sect. CXXXVII - Emperor Ingyō (Part I - Genealogies)". A translation of the "Kojiki" or Records of ancient matters. R. Meiklejohn and Co.

อ่านเพิ่ม

[แก้]