ข้ามไปเนื้อหา

จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิ
後桜町天皇
จักรพรรดินีนาถเเห่งญี่ปุ่น
ครองราชย์15 กันยายน ค.ศ. 1762 – 9 มกราคม ค.ศ. 1771
ราชาภิเษก31 ธันวาคม ค.ศ. 1763
ก่อนหน้าโมโมโซโนะ
ถัดไปโกะ-โมโมโซโนะ
โชกุนโทกูงาวะ อิเอฮารุ (1762–1771)
พระราชสมภพ23 กันยายน ค.ศ. 1740(1740-09-23)
รัฐโชกุนโทกูงาวะ
โทชิโกะ (ญี่ปุ่น: 智子โรมาจิToshiko)
สวรรคต24 ธันวาคม ค.ศ. 1813(1813-12-24) (73 ปี)
เกียวโต รัฐโชกุนโทกูงาวะ
ฝังพระศพสึกิ โนะ วะ โนะ มิซาซางิ เกียวโต
พระราชบุตรจักรพรรดิโคกากุ (พระราชโอรสบุญธรรม)
พระสมัญญานาม
สึอิโง:
จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิ (後桜町院 หรือ 後桜町天皇)
ราชสกุลราชวงศ์ญี่ปุ่น
พระราชบิดาจักรพรรดิซากูรามาจิ
พระราชมารดานิโจ อิเอโกะ
ลายพระอภิไธย

จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิ (ญี่ปุ่น: 後桜町天皇โรมาจิGo-Sakuramachi-tennōทับศัพท์: โกะ-ซากูรามาจิ-เท็นโน; 23 กันยายน ค.ศ. 1740 – 24 ธันวาคม ค.ศ. 1813) ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีญี่ปุ่นองค์ที่ 117 อันเนื่องมาจากการสืบราชสันตติวงศ์ตามโบราณราชประเพณี[1][2] พระนางได้รับการตั้งพระนามตามจักรพรรดิซากูรามาจิ พระราชบิดา กับคำว่า โกะ (後) ข้างหน้าพระนามที่มีความหมายว่า "หลังจาก" หรือ "ถัดมา" รัชสมัยของพระนางในยุคเอโดะกินระยะเวลาจาก ค.ศ. 1762 จนกระทั่งสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1771[3]

ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถพระองค์สุดท้ายจากพระจักรพรรดินีนาถทั้ง 8 พระองค์

เหตุการณ์ในพระชนม์ชีพ

[แก้]

พระชนม์ชีพช่วงต้น

[แก้]

ก่อนที่โกะ-ซากูรามาจิขึ้นครองราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ พระนามเดิมของพระนาง (อิมินะ) คือ โทชิโกะ (ญี่ปุ่น: 智子โรมาจิToshiko)[4] โทชิโกะเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1740 โดยเป็นพระราชธิดาองค์ที่ 2 ในจักรพรรดิซากูรามาจิกับพระราชมารดานาม นิโจ อิเอโกะ (二条 舎子)[5] โทชิโกะมีพระเชษฐภคินีที่สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ และพระอนุชานามโทฮิโตะ ผู้ภายหลังเป็นจักรพรรดิโมโมโซโนะหลังพระราชบิดาสวรรคตใน ค.ศ. 1747 องค์จักรพรรดินีนาถและพระจักรพรรดิพระอนุชาของพระนางทรงเป็นสายสุดท้ายในการสืบราชสันตติวงศ์สายตรงจากจักรพรรดินากามิกาโดะ[6] พระราชวงศ์ของโทชิโกะประทับกับพระนางที่ ไดริ แห่งพระราชวังหลวงเฮอัง พระอิศริยยศก่อนที่จะสืบราชบัลลังก์ของพระนางคือ อิซะ-โนะ-มิยะ (ญี่ปุ่น: 以茶宮โรมาจิIsa-no-miya) และภายหลังคืิอ อาเกะ-โนะ-มิยะ (ญี่ปุ่น: 緋宮โรมาจิAke-no-miya)

รัชสมัย

[แก้]

เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1762 เจ้าหญิงโทชิโกะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีเมื่อจักรพรรดิโมโมโซโนะ พระอนุชา สละราชสมบัติให้แก่พระนาง[4][7] เจ้าชายฮิเดฮิโตะ พระราชโอรสในโมโมโซโนะ (ภายหลังรู้จักในพระนามจักรพรรดิโกะ-โมโมโซโนะ) ในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 4 พรรษา องค์จักรพรรดินีนาถผู้เป็นพระปิตุจฉาของเจ้าชายฮิเดฮิโตะทรงเห็นว่าพระนางควรจะยึดราชบัลลังก์ไว้จนกว่าพระนัดดาพระองค์นี้จะมีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบเพียงพอจะบริหารราชการแผ่นดินได้ ในขณะที่พระนางถือครองพระอิสริยยศ จักรพรรดินี แต่นั่นเป็นเพียงในนามเท่านั้น เนื่องจากอำนาจจริงอยู่ที่โชกุนจากตระกูลโทกูงาวะผู้ปกครองญี่ปุ่น ในรัชสมัยของพระนางเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ครั้งเดียวใน ค.ศ. 1766 ที่เกี่ยวข้องกับแผนการแทนที่รัฐบาลโชกุนด้วยการฟื้นฟูพระราชอำนาจจักรพรรดิที่ไม่ประสบความสำเร็จ[8] ในขณะที่ความพยายามนั้นถูกขัดขวาง การท้าทายต่ออำนาจของโชกุนเพิ่มเติมจะเกิดขึ้นประมาณหนึ่งทศวรรษต่อมาในรัชสมัยจักรพรรดิโคกากุ เหตุการณ์อื่น ๆ ในรัชสมัยโกะ-ซากูรามาจิ ได้แก่ การสถาปนาสมาคมพ่อค้าผู้นำเข้าโสมเกาหลีในเขตคันดะของเอโดะ[9] ใน ค.ศ. 1770 พบดาวหางขนาดใหญ่ (ดาวหางเลกเซลล์) ที่มีหางยาวมากส่องขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนตลอดช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง[10] ในช่วงปีเดียวกันเกิดภัยพิบัติขนาดหญ่สองครั้ง ได้แก่ ไต้ฝุ่นที่ทำลายพระราชวังที่พึ่งสร้างเสร็จในเกียวโต และจุดเริ่มต้นภัยแล้งที่กินระยะเวลาต่อเนื่อง 15 ปี[10] โกะ-ซากูรามาจิสละราชสมบัติให้แก่ฮิเดฮิโตะ พระราชนัดดา เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1771[5]

ไดโจเท็นโน

[แก้]
คามิของโกะ-ซากูรามาจิได้รับการประดิษฐานอยู่ที่สึกิ โนะ วะ โนะ มิซาซางิ

หลังสละราชสมบัติ โกะ-ซากูรามาจิกลายเป็นไดโจเท็นโน (จักรพรรดินีผู้สละราชสมบัติ) แต่รัชสมัยของพระราชนัดดาในฐานะจักรพรรดิกลับอยู่ได้ไม่นาน จักรพรรดิโกะ-โมโมโซโนะทรงพระประชวรอย่างหนักจนสวรรคตใน ค.ศ. 1779 และปราศจากรัชทายาท ทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤติผู้สืบทอด โกะ-ซากูรามาจิทรงปรึกษากับข้าราชการผู้อาวุโสและราชองครักษ์ในราชสำนัก และทรงวางแผนที่จะรับเจ้าชายซาดาโยชิแห่งฟูชิมิ-โนะ-มิยะเป็นพระราชโอรสบุญธรรม แต่ในที่สุดมีการตัดสินใจเลือกเจ้าชายโมโรฮิโตะแทน พระองค์เป็นสมาชิกราชวงศ์ญี่ปุ่นสาขคันอิง โดยเป็นพระโอรสองค์ที่ 6 ในเจ้าชายคันอิง-โนะ-มิยะ ซูเกฮิโตะ (閑院宮典仁) และได้ร้ับการสนับสนุนจากหัวหน้าคณะที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิ (หรือ คัมปากุ) โกะ-โมโมโซโนะรีบรับเจ้าชายโมโรฮิโตะเป็นพระราชโอรสบุญธรรม (ภายหลังกลายเป็นจักรพรรดิโคกากุ) ก่อนสวรรคตในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1779 หลังจากพระราชบัลลังก์ได้ถูกเปลี่ยนสายสืบราชสันตติวงศ์ อดีตจักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นอดีตจักรพรรดินีนาถ ซึ่งทรงมีฐานะเป็นผู้คุ้มครองพระประมุขซึ่งยังทรงพระเยาว์ เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดก่อนที่พระนางสวรรคตเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1789 เมื่อพระนางทรงตำหนิโคกาคุเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งกิตติมศักดิ์ของพระราชบิดาของพระองค์ อดีตจักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิสวรรคตในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1813 สิริพระชนมายุ 73 พรรษา[5]

คามิของโกะ-ซากูรามาจิได้รับการประดิษฐานในสุสานหลวง (มิซาซางิ) สึกิ โนะ วะ โนะ มิซาซางิ ที่เซ็นนีว-จิ บริเวณเขตฮิงาชิยามะ เกียวโต ซึ่งเป็นที่ฝังพระบรมศพและพระวิญญาณขององค์จักรพรรดิหลายพระองค์ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิโกะ-มิซูโน ได้แก่ จักรพรรดินีเมโช, โกะ-โคเมียว, โกะ-ไซ, เรเง็ง, ฮิงาชิยามะ, นากามิกาโดะ, ซากูรามาจิ และโมโมโซโนะ และจักรพรรดิอีกสี่พระองค์หลังรัชสมัยของพระนางได้แก่ จักรพรรดิโกะ-โมโมโซโนะ, โคกากุ, นินโก และจักรพรรดิโคเม[11]

สิ่งตกทอด

[แก้]

ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โกะ-ซากูรามาจิเป็นสตรีคนสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถ พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นผู้พระราชนิพนธ์หนังสือชื่อ สถานการณ์รายปีในราชสำนัก (ญี่ปุ่น: 禁中年中の事โรมาจิKinchū-nenjū no koto) ซึ่งประกอบด้วยบทกวี จดหมายเหตุหลวง และพระราชพงศาวดาร ถึงแม้ว่าจะมีสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถถึง 7 พระองค์ รัชทายาทส่วนใหญ่มักได้รับเลือกจากทางบุรุษและสายวงศ์บุรุษ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้นักวิชาการบางส่วนเสนอแนะว่ารัชสมัยเหล่านี้ดำรงเพียงชั่วคราว และโต้แย้งว่าต้องใช้ธรรมเนียมการสืบราชสันตติวงศ์โดยบุรุษเพียงเท่านั้นในคริสต์ศตวรรษที่ 21[12] บุคคลเดียวที่ได้รับการยกเว้นในกรณีนี้คือจักรพรรดินีเก็มเม ทรงให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสมบัติต่อจากพระนางได้เป็นจักรพรรดินีเก็นโช สตรีอีก 5 พระองค์ที่ครองราชย์เป็นจักรพรรดินีโดยมีรัชทายาทเป็นบุรุษได้แก่: ซูอิโกะ, โคเงียวกุ (ไซเม), จิโต, โคเก็ง (โชโตกุ) และเมโช หลังการฟื้นฟูเมจิ (1868) ญี่ปุ่นนำเข้ารูปแบบการสืบราชบัลลังก์ของปรัสเซียที่เจ้าหญิงถูกยกเว้นจากการสืบราชสมบัติโดยชัดเจน

พระราชพงศาวลี

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Imperial Household Agency (Kunaichō): 後桜町天皇 (120)
  2. Ponsonby-Fane, Richard. (1959). The Imperial House of Japan, p. 120.
  3. Titsingh, Isaac. (1834). Annales des empereurs du Japon, pp. 419–420.
  4. 4.0 4.1 Titsingh, p. 419.
  5. 5.0 5.1 5.2 Meyer, Eva-Maria. (1999). Japans Kaiserhof in der Edo-Zeit, p. 186.
  6. Brinkley, Frank. (1907). A History of the Japanese People, p. 621.
  7. Meyer, p. 186; Titsingh, p. 419.
  8. Screech, T. Secret Memoirs of the Shoguns, pp. 139–145.
  9. Hall, John. (1988). The Cambridge History of Japan, p. xxiii.
  10. 10.0 10.1 Hall, John. (1955). Tanuma Okitsugu, 1719–1788, p. 120.
  11. Ponsonby-Fane, Richard. (1959). Imperial House, p. 423.
  12. "Life in the Cloudy Imperial Fishbowl," Japan Times. 27 March 2007.
  13. "Genealogy". Reichsarchiv (ภาษาญี่ปุ่น). 30 April 2010. สืบค้นเมื่อ 20 January 2018.

ข้อมูล

[แก้]
ก่อนหน้า จักรพรรดินีโกะ-ซากูรามาจิ ถัดไป
จักรพรรดิโมะโมะโซะโนะ
จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น
(15 กันยายน ค.ศ. 1762 - 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1771)
จักรพรรดิโกะ-โมะโมะโซะโนะ