ข้ามไปเนื้อหา

พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ธงตราสัญลักษณ์
วันที่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
ประเทศประเทศไทย
เหตุการณ์ก่อนหน้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
ผู้เข้าร่วม
จัดโดยรัฐบาลไทย

พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ (อังกฤษ: The Celebrations on the Auspicious Occasion of His Majesty the King's 6th Cycle Birthday Anniversary, July 28th, 2024) เป็นชื่องานฉลองที่ประกอบด้วยพระราชพิธี รัฐพิธี และราษฎรพิธี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ (72 พรรษา) ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยเป็นพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบปีนักษัตรครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน ร่วมกันจัดขึ้นโดยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และประชาชนชาวไทย

คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ

[แก้]

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐานัดแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ[1] ต่อมาเศรษฐาได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ในอีก 5 วันถัดมา และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566 โดยมีองค์ประกอบดังนี้[2]

พระราชพิธี

[แก้]

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 17.12 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานในการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพานทองสองชั้น บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารคู่พระบรมอัฐิ และพระอัฐิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา และทรงจุดธุปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยาราชาวดี จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะทองลงยารอง และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย กราบถวายบังคมพระบรมอัฐิ และพระอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ข้างต้น รวมถึง สมเด็จพระศรีสุลาลัย (พระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 3) ซึ่งประดิษฐานที่พระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากนั้น พระสงฆ์ 27 รูป สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานแก่เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปปักที่จงกลธรรมธรรมาสน์ ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร สำหรับพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ทรงธรรม ทรงศีล สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนา เรื่อง “ทุลลภธรรมกถา” จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร จำนวน 2 เที่ยว เที่ยวละ 14 ไตร พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนต์ และถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ และพระอัฐิเสร็จแล้ว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วเสด็จฯไปทรงกราบพระพุทธรูปประจำพระชนมวารคู่พระบรมอัฐิ และพระอัฐิ สมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา และทรงกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิ และพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ[3]

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 10.27 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคมทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง โอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลในในนามพระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้น เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในนามคณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชน, วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในนามรัฐสภา และ อโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา ในนามข้าราชการฝ่ายตุลาการ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเต้าปทุมนิมิตทอง นาก เงิน บรรจุน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ตามลำดับ[4]

จบแล้ว พระราชดำรัส มีความว่า

ท่านทั้งหลายผู้มีความรักในชาติบ้านเมือง ย่อมปรารถนาให้ชาติบ้านเมืองมีความผาสุกมั่นคง และประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ในการนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่าน ผู้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของชาติ จะต้องบำเพ็ญกรณียกิจทุกอย่าง โดยมีเป้าหมายสูงสุดเป็นอย่างเดียวกัน คือให้ประเทศชาติมีความรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างยั่งยืน อันจะทำให้ประชาชนทุกคนในชาติ มีความสุขความเจริญและความมั่นคงในชีวิตอย่างแท้จริง หากทุกท่านทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันในข้อนี้ แล้วตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ของตน ให้บรรลุผลเป็นประโยชน์สูงสุด งานของชาติก็จะดำเนินไปสู่เป้าหมายได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง.[5]
— พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

เวลา 17.20 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยเสด็จในการนี้ด้วย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นชานหน้าพระอุโบสถ ทรงประเคนสัญญาบัตร พัดยศ ผ้าไตร แด่บรรพชิตจีน จำนวน 10 รูป และบรรพชิตญวน จำนวน 9 รูป ที่ได้ทรงตั้งสมณศักดิ์ใหม่ และทรงประเคนพัดรองที่ระลึกพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 แด่บรรพชิตจีนและญวน ทรงรับการถวายพระพรของบรรพชิตจีนและญวณ แล้วเสด็จเข้าพระอุโบสถ ทรงประเคนพัดรองที่ระลึกพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 แด่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ จำนวน 5 รูป จากนั้น ทรงจุดเทียนพระมหามงคลที่ตั้งอยู่บนธรรมาสน์ศิลา เทียนเท่าพระองค์ในตู้ข้างธรรมาสน์ศิลาด้านพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ เทียนเท่าพระองค์ในตู้ข้างธรรมาสน์ศิลา ด้านพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ธูปเทียนท้ายที่นั่งบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย เสร็จแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองใหญ่ที่หน้าธรรมาสน์ศิลา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองทิศ แล้วประทับพระราชอาสน์ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) ประธานพระครูพราหมณ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใบสมิต ช่อที่ 1 ทรงรับแล้วทรงปัดพระกรซ้าย ทรงรับใบสมิต ช่อที่ 2 แล้วทรงปัดพระกรขวา ทรงรับใบสมิต ช่อที่ 3 แล้วทรงปัดพระอุระจนถึงพระบาท แล้วทรงรับน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์พิธีพราหมณ์และทรงแตะที่พระนลาฏ ทรงรับใบมะตูม ทรงทัดที่พระกรรณขวา จากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดเทียนที่โต๊ะหน้าอาสน์สงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ และทรงจุดเทียนที่บัตรเทวดานพเคราะห์บนแท่นซึ่งตั้งอยู่ตรงพระทวารกลาง เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมพระศิวลึงค์ทองคำ ประธานพระครูพราหมณ์ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระศิวลึงค์ทองคำ แด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จลงชานหน้าพระอุโบสถพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้สูงอายุฝ่ายหน้า ฝ่ายใน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานราชสังคหวัตถุ เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

เวลา 17.54 น. เสด็จเข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแล้ว พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วประทับพระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อาลักษณ์อ่านประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาอิสริยยศฐานันดรศักดิ์ หม่อมเจ้าเฉลิมศึก ยุคล เป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล จากนั้น ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ พระราชทานใบมะตูม และทรงเจิม พระราชทานพระสุพรรณบัฏ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า และเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้น 2 พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจ้าพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร และดุริยางค์ เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประเคนหิรัญบัฏ พัดยศและเครื่องประกอบสมณศักดิ์แด่พระราชาคณะเจ้าคณะรอง และทรงประเคนสัญญาบัตร พัดยศ แด่พระสงฆ์ที่ได้ทรงตั้งสมณศักดิ์ใหม่ ตามลำดับ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจ้าพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ เสร็จแล้ว พระราชทานสัญญาบัตรแก่พระครูพราหมณ์ประจำพระราชสำนัก ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก จากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประเคนพัดรองที่ระลึกงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) และสมเด็จพระราชาคณะ จากนั้น ทรงประเคนพัดรองที่ระลึกฯ แด่พระราชาคณะเจ้าคณะรอง และพระราชาคณะ จำนวน 73 รูป เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงจุดเทียนพระมหามงคลที่พระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เทียนเท่าพระองค์ในตู้ข้างพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป เทวรูปเทวดานพเคราะห์องค์อภิบาลพระชนมพรรษา จากนั้น ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพานทองสองชั้น บูชาพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์รัชกาลที่ 9 และพระพุทธรูปประจำพระชนมวารรัชกาลที่ 9 ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ ทรงศีล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) ถวายศีล จบแล้ว พระสงฆ์ 73 รูป เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถึงบททำน้ำพระพุทธมนต์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดเทียนที่ฝาครอบพระกริ่งปวเรศ จากนั้น ทรงประเคนพระครอบพระกริ่งปวเรศแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จบแล้ว ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการหน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับการถวายความเคารพของผู้ที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ[6]

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 10.15 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ไปในการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ในการพระราชกุศลเลี้ยงพระ เทศน์มงคลวิเศษ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฝ้าฯ รับเสด็จ ครั้นเสด็จฯ ถึงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป เทวรูปเทวดานพเคราะห์องค์อภิบาลพระชนมพรรษา ด้านพระราชอาสน์ และด้านพระบรมวงศ์เฝ้าฯ เสร็จแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพานทองสองชั้น บูชาพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 9 และพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 9 ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ จากนั้น ประทับพระราชอาสน์ พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 73 รูป และพระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ 5 รูป ถวายพรพระ จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนปิ่นโตภัตตาหารแด่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) ปิ่นโตภัตตาหารนอกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ฯ ให้ พระราชวงศ์ องคมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ประเคนจนครบ 78 รูป เสร็จแล้ว ทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานแก่เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปปักที่จงกลธรรมมาสน์ ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเศษ กัณฑ์ 1 เรื่อง “พระมงคลวิเสสกถา” จบแล้ว พระสงฆ์ถวายพระพรคาถาพิเศษ เสร็จแล้ว ทรงพระราชอุทิศปล่อยปลา ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล เสด็จไปทรงปล่อยปลา ณ ท่าราชวรดิฐ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์แด่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) แล้วทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง และพระราชาคณะ จนครบ 78 รูป ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วเสด็จฯ ไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เสด็จพระราชดำเนินกลับ[7]

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 17.22 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จออกพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะทูตานุทูตและผู้แทนฝ่ายกงสุล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยืนบนพระแท่นออกขุนนางหน้าพระที่นั่งพุดตานถม ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พันโทสมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการพระราชวัง ปฏิบัติหน้าที่สมุหพระราชมณเฑียร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลเบิก ดาตุกโจจี แซมูเอล เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย คณบดีคณะทูต เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบความว่า

ท่านเอกอัครราชทูต ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ท่านทั้งหลายมาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่ออำนวยพรด้วยความปรารถนาดี ในวันเกิดครบ 6 รอบของข้าพเจ้า ขอสนองพรและ ไมตรีจิตของทุกท่าน ด้วยความจริงใจเช่นเดียวกัน คำอำนวยพรที่ท่านคณบดีคณะทูตได้กล่าวในนามของคณะทูตานุทูต กงสุลต่างประเทศ และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งความตั้งใจจริงที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศของเรา ให้งอกงามแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นนั้น น่าประทับใจอย่างยิ่ง ประเทศไทยเรามีนโยบายอันแน่นอนเสมอมาที่จะจรรโลงรักษาสัมพันธไมตรีและให้ความร่วมมือกับประเทศผู้เป็นมิตรทั้งปวง เพราะหากนานาประเทศได้ประสานความร่วมมือกัน ด้วยความเมตตาจริงใจและความเคารพนับถือซึ่งกันและกันแล้วมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างชาติและความผาสุกสงบอันยั่งยืน ก็จะดำรงมั่นคงอยู่ในโลกได้อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจึงใคร่จะกล่าวยืนยันแก่ทุกท่าน ถึงศรัทธาความเชื่อมั่นอันไม่เสื่อมคลายนี้ ทั้งจะพยายามส่งเสริมสัมพันธไมตรีที่มีอยู่ ให้ยิ่งเจริญงอกงามและธำรงยั่งยืนสืบไป ขออำนวยพรให้ท่านและครอบครัวมีความสุขความเจริญ และความสำเร็จในภาระหน้าที่ทุกอย่าง ทั้งขอให้ประเทศและประชากรซึ่งท่านเป็นผู้แทนอยู่ในราชอาณาจักรนี้ มีความรุ่งเรืองไพบูลย์ตลอดไป

จบแล้วพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชปฏิสันถารกับคณะทูตานุทูตและผู้แทนฝ่ายกงสุล สมควรแก่เวลา เสด็จลงมุขหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ[8]

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 15.11 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังท่าวาสุกรี เพื่อประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยเสด็จในการนี้ด้วย

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี มีพระราชศรัทธา และทรงเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างเนืองนิจ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจะได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและถวายพระพรชัยมงคล ทั้งยังได้ร่วมชื่นชมความงดงามของขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตามโบราณราชประเพณีอันกอปรด้วยศาสตร์และศิลป์ ที่ทรงคุณค่าอันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ถึงความงดงามตระการตาของขบวนเรือในพระราชพิธีที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และจัดขึ้นอย่างสง่างามสมพระเกียรติ

ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ประกอบด้วยเรือพระราชพิธีจำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ จัดขบวนเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ความยาว 1,280 เมตร ความกว้าง 90 เมตร ใช้กำลังพลประจำเรือในขบวนเรือพระราชพิธีรวม 2,412 นาย มีเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งสำรอง นอกจากนี้ยังมีเรือพระราชพิธีอื่น เช่น เรือรูปสัตว์ เรือดั้ง เรือแซง เป็นต้น[9]

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2567

[แก้]

เวลา 16.32 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เพื่อประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ต่อจากนั้น เสด็จออกจากพระอุโบสถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระมกุฏพันธนเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระมกุฏพันธนเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ทรงกราบ เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระมณฑปรอยพระพุทธบาท เสด็จเข้าพระมณฑปรอยพระพุทธบาท ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการท้ายที่นั่งสักการะรอยพระพุทธบาท ทรงกราบ จากนั้น เสด็จออกจากพระมณฑปรอยพระพุทธบาท ไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว สนามกีฬาโรงเรียนอนุบาลวัดพระพุทธบาท เพื่อประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ[10]

วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ ณ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี 2167 สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้น เนื่องจากพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นรอยพระพุทธบาทประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ จึงสถาปนาเป็นพระมหาเจดียสถาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระมหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท กับสร้างพระอารามสำหรับพระภิกษุสามเณรจำพรรษา เพื่อดูแลรักษาพระมหาเจดียสถาน ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระพุทธบาทมาอย่างต่อเนื่อง โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาท และทรงประกอบพระราชพิธียกพระจุลมงกุฎขึ้นประดิษฐาน ณ ยอดพระมณฑปรอยพระพุทธบาท เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2495 รวมทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2503 จากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาท เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2519 และวันที่ 26 ตุลาคม 2519 กับเมื่อวันที่ 21  กรกฎาคม 2542 เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงประกอบพระราชพิธียกพระจุลมงกุฎขึ้นประดิษฐาน ณ ยอดพระมณฑปรอยพระพุทธบาท และสมโภชรอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เนื่องในโอกาสที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารและกรมศิลปากรร่วมกันปฏิสังขรณ์พระมณฑปรอยพระพุทธบาท เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพุทธมามกะ ทั้งยังทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ขึ้น เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชบุพการี สมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติสืบไป [10]

รัฐพิธี

[แก้]

รัฐบาลไทยได้เตรียมการจัดรัฐพิธี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

การซ้อมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ประจำปี พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2567

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ

[แก้]

สำหรับภาคประชาชน รัฐบาลไทยได้กำหนดขอบเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยมีการผลิตและเผยแพร่สารคดี ข้อมูล ภาพประกอบ และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ[12] เช่น การจัดพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย, การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล, การจัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน, พิธีถวายเครื่องราชสักการะและจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล, การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล, การจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา, การจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ และการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค เป็นต้น[13]

การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก

[แก้]

รัฐบาลไทยได้จัดพิธีสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก ได้แก่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "พระธาตุกบิลพัสดุ์" เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ - 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 โดยได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพิพิธภัณฑ์กรุงนิวเดลี และพระอรหันตธาตุจากพุทธวิหาร สถูปสาญจี รัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ประเทศไทย ตามโครงการ "ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุจากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง" ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2,567 ปี ที่มีการจัดพิธีสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกพร้อมกัน[14][15]

การประดิษฐานที่กรุงเทพมหานคร

[แก้]

รัฐบาลอินเดียได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุออกจากท่าอากาศยานกองทัพอากาศปาลาม ประเทศอินเดีย[16] มายังท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ใกล้กับท่าอากาศยานดอนเมือง และกระทรวงวัฒนธรรมได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์[17] จากนั้นในวันถัดมา (23 กุมภาพันธ์) เวลา 16:00 น. มีการจัดริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง และเมื่อเวลา 17:00 น. มีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุขึ้นประดิษฐานบนมณฑปที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) เสด็จเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส[18] โดยพิธีนี้มีการถ่ายทอดสดทางช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี และเอ็นบีที 2 เอชดี[19]

จากนั้นรัฐบาลไทยได้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา จนถึง 3 มีนาคม เวลา 09:00 - 20:00 น.[20] ก่อนขยายเวลาเพิ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นเวลา 08:00 - 21:00 น.[21] และวันที่ 2 และ 3 มีนาคม เป็นเวลา 07:00 - 21:00 น. ตามลำดับ[22] ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปถวายสักการะ พร้อมทั้งพระราชทานไฟประจำทั้งมณฑปหลักบริเวณท้องสนามหลวง และมณฑปส่วนภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 09:00 น.[23]

การประดิษฐานในส่วนภูมิภาค

[แก้]

หลังจากเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุในกรุงเทพมหานครเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลไทยจะอัญเชิญไปประดิษฐานใน 3 จังหวัดส่วนภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนในส่วนภูมิภาคได้เข้าสักการะบูชา ได้แก่[20]

โดยเปิดให้ประชาชนสักการะตั้งแต่เวลา 09:00 - 20:00 น. ของทุกวัน และตั้งแต่เวลา 17:00 น. ของแต่ละวัน มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชน[20] และหลังจากนั้นในวันที่ 19 มีนาคม ได้จัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุกลับมายังกรุงเทพมหานคร และส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาลอินเดีย[24]

พิธีจัดทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์

[แก้]

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 14:59 น. กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วราชอาณาจักร ประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ จำนวน 107 แหล่ง ซึ่งเป็นแหล่งเดียวกับที่เคยใช้ทำน้ำอภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เพื่อนำมาจัดทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ[25] จากนั้นได้นำน้ำศักดิ์สิทธิ์มาประกอบพิธีเสกทำน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระอารามสำคัญของจังหวัดต่าง ๆ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม[26] และจัดพิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำพระพุทธมนต์ในเวลาเที่ยงของวันที่ 8 กรกฎาคม[27] ก่อนทั้ง 76 จังหวัดจะส่งคนโทน้ำไปเก็บรักษาไว้ที่ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม[28] ส่วนกรุงเทพมหานครได้ประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากหอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง และนำไปเก็บรักษาที่กระทรวงมหาดไทยทันทีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม[29] จากนั้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ได้เชิญคนโทน้ำของทั้ง 76 จังหวัด รวมถึงของกรุงเทพมหานคร ไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร[30] และประกอบพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์รวมเมื่อเวลา 15:20 น. โดยมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส[31]

พิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์

[แก้]

เนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เหล่าทัพโดย กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจึงกราบบังคมทูลพระกรุณาเชิญเสด็จพระราชดำเนินในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เป็นครั้งแรกในรัชกาล[32]

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2567

เวลา 17.20 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ พระลานพระราชวังดุสิต ในโอกาสนี้ พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงเป็นองค์ผู้บังคับกองผสม และพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นองค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในพิธีดังกล่าว ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงรอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ณ พลับพลาที่ประทับ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต องค์ผู้บังคับกองผสม พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

จากนั้น องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้ากองบัญชาการกองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ทรงตรวจพลสวนสนา องค์ผู้บังคับกองผสม ถวายรายงาน ความว่า

ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เป็นผู้บังคับกองผสม นำทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 11 กองพัน ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจพลสวนสนาม พระพุทธเจ้าข้าขอรับ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯ ไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 11 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์, กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน, กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว กองบัญชาการกองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ “ราชวัลลภ” และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 11 กองพัน ตามลำดับ

จากนั้นเวลา 17.55 น. พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษในการถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจากขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นมา

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทยศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่างๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต[33]

การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)

[แก้]

รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนได้เห็นชอบร่วมกันให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเขี้ยวแก้ว จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มาประดิษฐานในประเทศไทยที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์จีน–ไทย ในปี พ.ศ. 2568 โดยเป็นครั้งที่ 17 ที่รัฐบาลจีนอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปประดิษฐานในต่างประเทศ และเป็นครั้งที่ 2 ที่ประดิษฐานในประเทศไทย โดยครั้งเรกเคยประดิษฐานเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่พุทธมณฑล[34]

รัฐบาลไทยได้จัดสร้างมณฑปประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วที่ท้องสนามหลวง มีลักษณะสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและศิลปะจีน โดยมีพิธีบวงสรวงเริ่มการก่อสร้างเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567[35] จากนั้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำคณะจากประเทศไทยเดินทางไปยังวัดหลิงกวงเพื่อรับมอบพระเขี้ยวแก้ว และอัญเชิญออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปักกิ่ง มายังท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ในประเทศไทย จากนั้นอัญเชิญไปตามขบวนรถผ่านสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์จีน–ไทย และสิ้นสุดที่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์[36] ต่อจากนั้นมีริ้วบวนจำนวน 24 ริ้วขบวน อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปต่อและนำขึ้นประดิษฐานบนมณฑปที่ท้องสนามหลวงเมื่อเวลา 17:30 น. โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส[37] โดยพิธีนี้มีการถ่ายทอดสดทางเอ็นบีที 2 เอชดี[38]

จากนั้นรัฐบาลไทยได้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระเขี้ยวแก้วตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของรัชกาลที่ 9, วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ จนถึง 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 07:00 - 20:00 น. ก่อนส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาลจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์[39] ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปถวายสักการะ พร้อมทั้งพระราชทานไฟประจำมณฑปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 17.11 น.[40]

เพลงเฉลิมพระเกียรติ

[แก้]

ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้มีการแต่งเพลงเฉลิมพระเกียรติขึ้นมาทั้งหมด 2 เพลง ได้แก่

ปณิธานของใจ

[แก้]

เพลง ปณิธานของใจ เป็นบทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จัดทำขึ้นโดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติและเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยร่วมกันดูแลรักษาแผ่นดินไทยให้เติบโต ร่มเย็น ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ ประพันธ์คำร้องโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ ทำนองโดย สราวุธ เลิศปัญญานุช ขับร้องโดย ศรัณย์ คุ้งบรรพต[41] และ บริษัท มิวซิกมูฟ จำกัด ยังได้จัดทำเพลงนี้ในเวอร์ชั่นรวมศิลปินอีกด้วย ขับร้องโดย สหรัถ สังคปรีชา, วฤตดา ภิรมย์ภักดี, อานนท์ สายแสงจันทร์, กุลกรณ์พัชร์ เมอร์นาร์ด, ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล และ รณเดช วงศาโรจน์ โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นนี้เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธี

ตามรอยความดี

[แก้]

เพลง ตามรอยความดี เป็นบทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จัดทำขึ้นโดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) ในเครือบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยร่วมกันทำความดีตามแนวพระราชดำริของพระองค์ ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย ปิติ ลิ้มเจริญ และเรียบเรียงเสียงประสานโดย สราวุธ เลิศปัญญานุช ขับร้องโดยศิลปินจำนวน 23 คน เช่น ธงไชย แมคอินไตย์, ใหม่ เจริญปุระ, รัดเกล้า อามระดิษ, พลพล พลกองเส็ง นภัสสร สุวรรณานนท์ ปิยนุช เสือจงพรูเป็นต้น โดยเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567[42]

ตราสัญลักษณ์

[แก้]

ตราสัญลักษณ์ของพระราชพิธีนี้ ประกอบด้วย อักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. อยู่ตรงกลาง อักษร ว ใช้สีขาวนวล สีแห่งวันจันทร์วันพระบรมราชสมภพ ตามคติมหาทักษา อักษร ป ใช้สีเหลือง วันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และอักษร ร ใช้สีฟ้า วันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อยู่บนรูปทรงของเพชร อันหมายถึง พระปรมาภิไธย “มหาวชิราลงกรณ” เพชรสีขาบ (สีน้ำเงินแก่อมม่วง) อันเป็นสีของพระมหากษัตริย์ ภายนอกกรอบของเพชร ประกอบด้วยแถบสีเขียว ซึ่งเป็นสีแห่งเดชวันพระบรมราชสมภพ ประดับด้วยเพชร 72 เม็ด หมายถึง พระชนมพรรษา 72 พรรษา

เบื้องบนของตราสัญลักษณ์ ประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ แสดงถึงการทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ เบื้องหลังพระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร แสดงถึงพระบรมเดชานุภาพแผ่กระจายไปไกลทั่วทุกหนแห่ง เพื่อปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ทั่วทั้งแผ่นดิน ยอดจงกลฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์ ดอกจำปาทองห้อยระบายชั้นล่างนพปฎลมหาเศวตฉัตร 8 ดอก หมายถึง พระบารมีแผ่ไปทั่วทั้ง 8 ทิศ เลข ๑๐ ไทย ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายถึง พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

เบื้องล่างปลายแถบแพร เบื้องขวามีรูปคชสีห์กายสีม่วงชมพูประคองฉัตร 7 ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายทหาร เบื้องซ้ายมีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร 7 ชั้น หมายถึง ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ผู้ปฏิบัติราชการสนองงานแผ่นดิน เบื้องล่างประกอบด้วยลวดลายพญานาคกายสีเขียว อันแสดงถึงนักษัตรปีมะโรงอันเป็นปีพระบรมราชสมภพ แพรแถบสีส้มขลิบทองซึ่งเป็นสีแห่งมูละของวันพระบรมราชสมภพ ภายในแพรแถบมีข้อความว่า "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗" ใต้อักษรพระปรมาภิไธย ประกอบด้วยตัวเลข ๗๒ ไทย หมายถึงพระชนมพรรษา ลวดลายเฟื่องอุบะและลวดลายดอกรวงผึ้ง ดอกไม้ประจำพระองค์มีสีทอง อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนและประเทศชาติ[43]

การใช้ตราสัญลักษณ์

[แก้]

คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ขอความร่วมมือให้สถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทุกช่องแสดงตราสัญลักษณ์พระราชพิธีนี้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 00:01 น. และให้แสดงตราสัญลักษณ์นี้ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2567 นั่นคือ ให้แสดงจนถึงวันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 23:59 น.[44]

การมอบตราสัญลักษณ์

[แก้]

รัฐบาลไทยได้จัดพิธีมอบตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 16:00 น. โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติฯ การจัดงานในครั้งนี้และมอบให้แก่หน่วยงานของรัฐบาล 19 กระทรวง สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด (ผ่านระบบ ZOOM) และสื่อมวลชน 35 หน่วย[45]

สิ่งที่ระลึก

[แก้]

สถานที่

[แก้]

สะพานทศมราชัน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเส้นทางทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก ภายใต้การดูแลโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลพิจารณาให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการออกแบบสะพานให้สื่อถึงพระองค์ในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้[46][47]

  • ชื่อสะพาน "ทศมราชัน" เป็นชื่อพระราชทาน หมายถึง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10
  • ยอดเสาสะพาน เปรียบเสมือนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์
  • ตราพระปรมาภิไธยย่อ วปร. (ต่อมาปรับเปลี่ยนมาติดตั้งตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ บนคานสะพานแทน)
  • สายเคเบิลสีเหลือง สีประจำวันจันทร์ วันพระบรมราชสมภพของพระองค์
  • ประติมากรรมพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมะโรง นักษัตรประจำปีพระบรมราชสมภพของพระองค์ คือ พ.ศ. 2495
  • เสาขึงรั้วกันกระโดด สื่อถึงต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ประจำพระองค์

โดยกำหนดเดิม พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดสะพานทศมราชันในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับช่วงพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ[47] ก่อนจะเลื่อนออกไป โดยเสด็จมาทรงเปิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม[48] หลังจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยนำตราสัญลักษณ์พระราชพิธีและป้ายชื่อสะพานขึ้นติดตั้ง และการก่อสร้างทางขึ้นลงฝั่งสุขสวัสดิ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว[49]

เหรียญและแพรแถบที่ระลึก

[แก้]
แพรแถบเหรียญราชอิสริยาภรณ์

เหรียญราชอิสริยาภรณ์ ลักษณะเป็นเหรียญกลม ขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร ทําด้วยเงิน ด้านหน้ากลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบ เต็มยศจอมทัพ ฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสายสร้อยจุลจอมเกล้า ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูปตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” ด้านหน้าขอบนอกเหรียญเบื้องบนมีเลข ๑๐ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ เบื้องหลังประดิษฐานพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เบื้องล่างด้านขวามีเลข ๗ ด้านซ้ายมีเลข ๒ ด้านหลังขอบนอกเหรียญ มีห่วงสําหรับบุรุษใช้ห้อยกับแพรแถบกว้าง 32 มิลลิเมตร พื้นของแพรแถบเป็นสีขาวนวล หมายถึง น้ำพระราชหฤทัยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องประกอบไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาที่เปี่ยมล้น ที่พระองค์มอบสู่พสกนิกรของพระองค์ ทั้งสองข้างมีริ้วสีเหลืองข้างละ 2 ริ้ว สีเหลืองเป็นสีประจําวัน พระบรมราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และมีริ้วสีม่วงข้างละ 1 ริ้ว ริ้วสีม่วงเป็นสีประจําวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ที่ทรงเคียงคู่บุญบารมีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สําหรับสตรีใช้ห้อยกับแพรแถบดังกล่าวผูกเป็นรูปแมลงปอ[50]

เข็มที่ระลึก

[แก้]

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานเดียวที่ดำเนินการจัดทำเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์ฯ สำหรับจำหน่ายให้แก่ประชาชนเพื่อใช้ประดับ และเก็บไว้เป็นที่ระลึกในราคาเข็มละ 300 บาท โดยนำเงินรายได้ภายหลังหักค่าใช้จ่าย เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์ฯ ได้จัดทำโดยช่างฝีมือผู้มีความชำนาญ จัดทำด้วยความประณีต ละเอียดอ่อน สวยงาม สมพระเกียรติ และมีคุณค่า เหมาะสำหรับเก็บไว้เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ทั้งนี้ สามารถสั่งจองได้ที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป โดยจองผ่านเว็บไซต์ Thailandpostmart.com หรือที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ซึ่งผู้สั่งจองจะได้รับเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์ฯ ประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567[51]

และในการนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับบิ๊กซี จำหน่ายเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์ฯ ให้กับประชาชนทั่วไปในราคาเข็มละ 300 บาท โดยเริ่มจำหน่ายที่บิ๊กซี 208 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป[52] และสามารถสั่งจองได้ที่บิ๊กซีมินิทุกสาขาทั่วประเทศ (โดยสั่งจองล่วงหน้า 7 วัน) [ต้องการอ้างอิง]

เสื้อโปโลสีเหลืองประดับตราสัญลักษณ์ ฯ

[แก้]

สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดสั่งจองเสื้อโปโลสีเหลืองประดับตราสัญลักษณ์ฯ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567 อีกทั้งยังมีการอนุญาตให้ผลิตเสื้อโปโลสีเหลืองประดับตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ซึ่งตอนนี้มีร้านค้าที่ได้รับอนุญาตให้จัดทำเสื้อประดับตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ อย่างแพร่หลาย เพื่อให้ประชาชนสามารถหาซื้อได้ตามสะดวก[ต้องการอ้างอิง]

แสตมป์พระราชพิธี

[แก้]

รอประกาศอย่างเป็นทางการจาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด[ต้องการอ้างอิง]

ธนบัตรที่ระลึก

[แก้]

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2567 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงข่าวการออกใช้ธนบัตรที่ระลึก เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดทำธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ตลอดจนให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสแลกธนบัตรไว้เป็นที่ระลึก และมีส่วนร่วมในการแสดงความจงรักภักดี โดย ธปท. จัดทำธนบัตรที่ระลึกในชนิดราคา 100 บาท จำนวนทั้งสิ้น 10 ล้านฉบับ ออกแบบธนบัตรเป็นแนวตั้ง เพื่อให้พระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความโดดเด่น งดงาม มีความพิเศษแตกต่างจากธนบัตรหมุนเวียนทั่วไป และจัดพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง บนวัสดุพอลิเมอร์ เพื่อให้มีความทนทาน รวมทั้งมีลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงอย่างครบถ้วนธนบัตรที่ระลึกนี้สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยจ่ายแลกในราคาฉบับละ 100 บาท พร้อมกันนี้ ธปท. ได้จัดทำแผ่นพับสำหรับธนบัตรที่ระลึกดังกล่าว จำนวน 2 ล้านชุด เพื่อจำหน่ายในราคาชุดละ 10 บาท โดยรายได้จากการจำหน่ายแผ่นพับทั้งหมด จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจ สามารถติดต่อขอแลกธนบัตรที่ระลึกนี้ได้ที่ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รวมถึงศูนย์การเรียนรู้ ธปท. ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป[53]

มหรสพสมโภช

[แก้]

รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม จัดมหรสพสมโภชเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ระหว่างวันที่ 11–15 กรกฎาคม ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง[54] ประกอบด้วย พิธีบวงสรวงเทพยดา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม เวลา 8:19 น., ริ้วขบวนเฉลิมพระเกียรติฯ ในพิธีเปิดงาน, นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ, การจัดแสดงสวนแสงเฉลิมพระเกียรติฯ, การแสดงบนเวทีย่อยระหว่างเวลา 17:00–18:30 น. และ ตลาดวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นต้น[55]

พระราชพิธีต่อเนื่อง

[แก้]

หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบแล้ว ยังมีพระราชพิธีที่จัดขึ้นต่อเนื่องคือ พระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 26,469 วันเท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี[56] อนึ่ง พระราชพิธีนี้เคยจัดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2543[57]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "'ประชุม ครม.' แบบ 'เศรษฐาสไตล์' ข้อสั่งการมาก-ทำงานเร็ว-กำหนดเวลาตามงาน". กรุงเทพธุรกิจ. 15 กันยายน 2023. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  2. "สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ตุลาคม 2566". รัฐบาลไทย. 3 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  3. "บําเพ็ญพระกุศลทักษิณานุปทาน เฉลิมพระชนมพรรษาในหลวง 6 รอบ เปิดให้พสกนิกรร่วมถวายพระพร". www.thairath.co.th. 2024-07-28.
  4. ปีติ ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม มีพระราชดำรัสขอบใจ ทรงให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศ https://www.matichon.co.th/royal-celebration/news_4705821https://royalcelebration.matichon.co.th/ceremony/2785/
  5. "พระราชดำรัส ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ". www.thairath.co.th. 2024-07-28.
  6. ในหลวง เสด็จฯ ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
  7. ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ การพระราชกุศลเลี้ยงพระ เทศน์มงคลวิเศษ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
  8. "คณะทูตานุทูต ถวายพระพรชัย ณ พระที่นั่งจักรี เนื่องในโอกาส ปีติ "มหามงคล" พระชนม์ 6 รอบ". www.thairath.co.th. 2024-07-31.
  9. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร[ลิงก์เสีย]
  10. 10.0 10.1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระพุทธบาท อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี[ลิงก์เสีย]
  11. เปิดกำหนดการพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณทหารรักษาพระองค์ 2567 (amarintv.com)
  12. "รัฐบาลเชิญชวนประดับธงตราสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา6รอบปี2567". โพสต์ทูเดย์. 25 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  13. "รัฐบาล เตรียมจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ "ในหลวง" 28 ก.ค. 2567". ไทยรัฐ. 8 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  14. "ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อัญเชิญ 'พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ' จากอินเดียมาไทย". มติชน. 7 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  15. "วธ.จัดขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุยิ่งใหญ่". ไทยรัฐ. 20 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  16. "อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุฯ จากอินเดียถึงไทยแล้ววันนี้". ฐานเศรษฐกิจ. 22 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  17. "อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ จากอินเดียถึงไทยแล้ว (ภาพชุด)". มติชน. 22 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  18. "สมเด็จพระสังฆราช เสด็จอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานที่ท้องสนามหลวง". ข่าวสด. 23 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  19. "ถ่ายทอดสดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ สนามหลวง". ฐานเศรษฐกิจ. 23 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  20. 20.0 20.1 20.2 "เปิดสักการะพระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ 24 ก.พ.-3 มี.ค." ไทยพีบีเอส. 22 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  21. "ขยายเวลาสักการะ "พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ" ณ ท้องสนามหลวง เป็นเวลา 08.00-21.00 น." พีพีทีวี. 27 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  22. "ศรัทธาหลั่งไหล ขยายเวลาไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่สนามหลวงอีกครั้ง ใน 2 วันสุดท้าย เป็น 07.00-21.00 น." ผู้จัดการออนไลน์. 1 มีนาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  23. "ในหลวง ทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย พระราชทานไฟ ณ 4 มณฑป ถวายเป็นพุทธบูชา". ไทยโพสต์. 26 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  24. "สร้างมงคลชีวิต 24 ก.พ.นี้ ร่วมสักการะ "พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ" ณ ท้องสนามหลวง". พีพีทีวีออนไลน์. พีพีทีวี. 20 กุมภาพันธ์ 2024. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  25. "กระทรวงมหาดไทยร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ". พีพีทีวี. 5 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  26. "ทั่วประเทศจัดพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เรียบร้อย พรุ่งนี้เตรียมสมโภช". มติชน. 7 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  27. "พิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำพระพุทธมนต์ ฤกษ์ 12.00 น. วันนี้". มติชน. 8 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  28. "เชิญคนโทน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ 76 จังหวัด เก็บรักษาไว้ที่มหาดไทย". ไทยโพสต์. 14 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  29. "กทม. ประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์-อัญเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์". ประชาชาติธุรกิจ. 13 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  30. "มหาดไทย เชิญคนโทน้ำพระพุทธมนต์ไปวัดโพธิ์ เตรียมประกอบพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ 16.30 น.วันนี้". ประชาชาติธุรกิจ.
  31. "นายกฯ ประธานพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ". ไทยรัฐ. 25 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  32. หมายกำหนดการที่ ๑๗/๒๕๖๗ หมายกำหนดการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
  33. isarin (2024-12-03). "ในหลวง เสด็จฯ พิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา". ประชาชาติธุรกิจ.
  34. "อัญเชิญ "พระเขี้ยวแก้ว" จากจีน-ไทย 4 ธ.ค.-14 ก.พ.68". ไทยพีบีเอส. 29 ตุลาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  35. "รัฐบาลบวงสรวงสร้างมณฑปประดิษฐาน 'พระเขี้ยวแก้ว' จากจีน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว". มติชน. 30 ตุลาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  36. "พระเขี้ยวแก้วจากจีน ถึงไทยแล้ว อัญเชิญประดิษฐานที่ท้องสนามหลวง". ประชาชาติธุรกิจ. 4 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  37. "พระเขี้ยวแก้ว ประดิษฐาน มณฑปพิธีท้องสนามหลวง เปิดสักการะ5 ธ.ค.67-14 ก.พ.68". ข่าวสด. 4 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  38. "ถ่ายทอดสด พิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานที่ไทย". กรุงเทพธุรกิจ. 4 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  39. "เชิญชวนประชาชนร่วมสักการะ 'พระเขี้ยวแก้ว' ตั้งแต่วันนี้ – 14 ก.พ. 68". เดอะสแตนดาร์ด. 5 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  40. "ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ สักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)". สำนักข่าวไทย. 12 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  41. "บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ แต่งเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในชื่อ ปณิธานของใจ". ข่าวช่อง 7HD. 28 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  42. "จีเอ็มเอ็ม มิวสิค รวมใจศิลปินชั้นนำกว่า 20 ชีวิต ร่วมถ่ายทอดบทเพลง "ตามรอยความดี" เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567". ผู้จัดการออนไลน์. 25 กันยายน 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2024.
  43. "โปรดเกล้าฯ ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567". มติชน. 25 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2023.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  44. "คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เผยแพร่ตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567". สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่. 4 มกราคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  45. "รัฐบาลจัดพิธีมอบตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567". กรมประชาสัมพันธ์. 26 มกราคม 2024. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  46. "โครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่4". ยูทูบ. 11 พฤษภาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2023.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  47. 47.0 47.1 "ปลื้มปีติ! พระราชทานชื่อ "ทศมราชัน" สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ข้ามเจ้าพระยา". เดลินิวส์. 30 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  48. "ในหลวง-พระราชินี ทรงเปิด "สะพานทศมราชัน" ทางพิเศษสายพระราม 3". ผู้จัดการออนไลน์. 14 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  49. "ติดตั้งป้ายชื่อสะพาน "ทศมราชัน" พร้อมตราสัญลักษณ์ฯ บนยอดเสาสะพานแล้ว เตรียมเปิดบริการ ธ.ค.นี้". เดลินิวส์. 24 ตุลาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  50. พระราชกฤษฎีกา เหรียญเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
  51. "เปิดสั่งจอง เข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว". ไทยโพสต์. 29 มีนาคม 204. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2024.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  52. สยามรัฐ (1 June 2024). "บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำหน่ายเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว". สยามรัฐ. สยามรัฐ. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
  53. ไทยรัฐ (21 June 2024). "ธนบัตรที่ระลึก เทิดพระเกียรติในหลวง เฉลิมพระชนม์ 6 รอบ แบงก์ชาติผลิตพิเศษ". www.thairath.co.th. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
  54. "จัดใหญ่ "มหรสพสมโภช" เฉลิมพระเกียรติ "ในหลวง" ครบ 6 รอบ ณ ท้องสนามหลวง". ผู้จัดการออนไลน์. 6 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  55. "รัฐบาลจัดมหรสพสมโภชครั้งยิ่งใหญ่ 5 วันเต็ม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 11-15 ก.ค.นี้ ณ ท้องสนามหลวง". ผู้จัดการออนไลน์. 12 กรกฎาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  56. "รัฐบาลเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่า รัชกาลที่ 1". ไทยโพสต์. 18 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2024.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  57. Laika (2019-09-10). "พระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช". vajirayana.org.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ถัดไป
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
(4–6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562)

พระราชพิธีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
(28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567)
รอประกาศ