จ้อง
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/20/YangonDowntownStreetviewAnawrathaRd51stStreetAugust2013.jpg/220px-YangonDowntownStreetviewAnawrathaRd51stStreetAugust2013.jpg)
จ้อง (พม่า: ဘုန်းကြီးကျောင်း; เอ็มแอลซีทีเอส: bhun:kyi: kyaung:, [pʰóʊɰ̃dʑí tɕáʊɰ̃]) เป็นวัด อาราม วิหาร ประกอบด้วยที่พักอาศัยและสถานที่ปฏิบัติกิจของพระภิกษุสงฆ์พม่า บางส่วนอาจถูกใช้โดย สามเณร, ผู้ดูแล (กัปปิยการก), ตี่ละฉิ่น, ผู้ทรงศีลชุดขาว (ဖိုးသူတော်)[1]
จ้อง เป็นศูนย์กลางวิถีชีวิตในหมู่บ้านพม่ามาช้านาน โดยทำหน้าที่เป็นทั้งสถาบันการศึกษาสำหรับเด็กและศูนย์กลางชุมชน โดยเฉพาะกิจกรรมทำบุญ เช่น การก่อสร้างอาคาร การถวายอาหารแก่พระสงฆ์ การเฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนาพุทธและการประกอบพิธีวันอุโบสถ วัด อารามไม่ได้ก่อตั้งโดยสมาชิกคณะสงฆ์แต่โดยฆราวาสที่บริจาคที่ดินหรือเงินเพื่อสนับสนุนการก่อตั้ง
จ้อง โดยทั่วไปสร้างด้วยไม้ ซึ่งวัดในประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้นเหลือเพียงไม่กี่แห่ง[2] จ้อง มีอยู่ทั่วไปในประเทศพม่า เช่นเดียวกับในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชุมชนชาวพุทธนิกายเถรวาท รวมถึงในประเทศจีนที่อยู่ใกล้เคียง เช่น เขตปกครองตนเองชนชาติไทและจิ่งพัว เต๋อหง ตามสถิติปี พ.ศ. 2559 ที่เผยแพร่โดย คณะกรรมการสังฆมหานายก ประเทศพม่า มี จ้อง 62,649 แห่ง และสำนักชี 4,106 แห่ง[3]
การใช้และศัพทมูลวิทยา
[แก้]ภาษาพม่าสมัยใหม่คำว่า จ้อง (ကျောင်း) มาจากคำว่า kloṅ (က္လောင်) ในภาษาพม่าโบราณ[4] ความเชื่อมโยงอันแน่นแฟ้นระหว่างศาสนาและการศึกษาสะท้อนให้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า จ้อง เป็นคำเดียวกับที่ใช้เรียกโรงเรียนของฆราวาสในปัจจุบัน[5] จ้อง ยังใช้เรียกโบสถ์คริสต์ วัดฮินดู และวัดจีน มัสยิดเป็นข้อยกเว้นเนื่องจากใช้คำว่า บะลี (ဗလီ) ซึ่งมาจากคำว่า (பள்ளி) ในภาษาทมิฬ ที่แปลว่า 'โรงเรียน'
จ้อง ยังถูกยืมมาใช้ในกลุ่มภาษาไท เช่น ภาษาไทใหญ่ คือ kyong (สะกด ၵျွင်း หรือ ၵျေႃင်း)[6] และในภาษาไทใต้คง คือ zông2 (ᥓᥩᥒᥰ แปลงเป็นภาษาจีน 奘房)
ประเภท
[แก้]คำอธิบายภาษาพม่า-บาลีของจูฬวรรค ระบุประเภทของวัดพุทธ 5 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน[7] ในทางปฏิบัติจากมุมมองทางสถาปัตยกรรม แบ่งวัดเป็น 3 ประเภทหลักคือ:[7]
- วัดที่มีหลังคาเชื่อมติดกัน
- วัดที่มีหลังคาทรงกากบาท
- ตามการจัดสังฆาวาสและการจัดอุโบสถ
ในประเทศพม่าปัจจุบัน จ้อง อาจถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท รวมถึงวิทยาลัยสงฆ์ที่เรียกว่า ซาทินไต (စာသင်တိုက်) และวัดป่าห่างไกลที่เรียกว่า ตอยะจ้อง (တောရကျောင်း) เมืองหลักมหาวิทยาลัยสงฆ์ของพม่าได้แก่ พะโค, ปะโคะกู, ซะไกง์[2]
ประวัติศาสตร์
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9d/Felice_Beato_%28British%2C_born_Italy_-_%28King_Thibaw_Min%27s_School_Now_Used_as_a_Church%29_-_Google_Art_Project.jpg/220px-Felice_Beato_%28British%2C_born_Italy_-_%28King_Thibaw_Min%27s_School_Now_Used_as_a_Church%29_-_Google_Art_Project.jpg)
ในยุคก่อนอาณานิคม จ้อง ทำหน้าที่เป็นแหล่งการศึกษาหลัก โดยให้การศึกษาแก่เด็กชายเกือบทุกคน ถือเป็นปราการแห่งอารยธรรมและความรู้ และเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างทางสังคมพม่าก่อนยุคอาณานิคม[1][8] ความสัมพันธ์ระหว่าง จ้อง และการศึกษา ได้รับการส่งเสริมด้วยการสอบของพระสงฆ์ ซึ่งสถาปนาขึ้นครั้งแรก พ.ศ. 2191 ในรัชสมัยของพระเจ้าตาลูน แห่งราชวงศ์ตองอู[9] การศึกษาแบบโบราณได้รับการถ่ายทอดผ่านวัด ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับนักเรียนพม่าศึกษาต่อในระดับสูง และเพื่อก้าวหน้าทางสังคมต่อไปในการบริหารราชการแผ่นดินหลังจากลาสิกขา[10] อันที่จริงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เกือบทั้งหมด เช่น กินหวุ่นมินจี อูกาวง์ ใช้เวลาช่วงวัยสร้างตัวศึกษาที่วัด
การศึกษาของสงฆ์แบบดั้งเดิมได้รับการพัฒนาครั้งแรกในสมัยอาณาจักรพุกาม ควบคู่ไปกับการแพร่กระจายการศึกษาศาสนาพุทธนิกายเถรวาทช่วงคริสต์ศักราช 1100[8] หลักสูตรของ จ้อง ประกอบด้วยภาษาพม่า ไวยากรณ์บาลี และตำราพุทธศาสนา โดยเน้นที่ระเบียบวินัย ศีลธรรม และจรรยาบรรณ (เช่น มงคลสูตร, สิงคาลกสูตร, ธรรมบท และชาดก) บทสวดมนต์และเลขคณิตเบื้องต้น[1] วัดที่มีชื่อเสียงมักมีหอสมุดเก็บต้นฉบับและตำราจำนวนมาก[10] การศึกษาของสงฆ์มีอยู่ทั่วไปทำให้มีอัตราการรู้หนังสือในชายชาวพุทธพม่าสูง[11] สำมะโนประชากรอินเดียของอังกฤษ พ.ศ. 2444 พบว่าชายชาวพุทธพม่าที่มีอายุมากกว่า 20 ปี 60.3% รู้หนังสือ เมื่อเทียบกับ 10% โดยรวมในอินเดียยุคอังกฤษปกครอง[11]
จ้อง ที่เรียกว่า บแวจ้อง (ပွဲကျောင်း) ยังสอนวิชาทางโลก เช่น ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ยา การนวด การทำนาย การขี่ม้า การฟันดาบ การยิงธนู ศิลปะหัตถกรรม มวย มวยปล้ำ ดนตรี และนาฏศิลป์[12] ในช่วงสมัยราชวงศ์โก้นบอง กษัตริย์หลายพระองค์รวมทั้งพระเจ้าปดุง ได้ปราบปรามการแพร่กระจายของ บแวจ้อง ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่อาจเกิดการกบฏได้[12]
กฎหมายป้องกันความฟุ่มเฟือยกำหนดการก่อสร้างและตกแต่ง จ้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างอาคารไม่กี่แห่งช่วงพม่าก่อนยุคอาณานิคมที่มีหลังคาหลายชั้นอันวิจิตรที่เรียกว่า ปยะตะ[13] ราวบันไดก่ออิฐเป็นลักษณะเฉพาะของวัดราชวงศ์
ภายหลังการล้มล้างระบอบกษัตริย์พม่าเมื่อสิ้นสุดสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สาม โรงเรียนของสงฆ์จึงถูกแทนที่ด้วยโรงเรียนฆราวาส ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่[8]
ลักษณะทั่วไปของ จ้อง
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7c/Bodleian_Ms._Burm._a._5_fol012-3.jpg/220px-Bodleian_Ms._Burm._a._5_fol012-3.jpg)
โดยทั่วไป จ้อง ไปประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า จ้องซอง (ကျောင်းဆောင်) :[14]
- เตน (သိမ်, จากภาษาบาลี สีมา) - อุโบสถ อาคารที่พระวินัยบัญญัติไว้
- ดะมะโยน (ဓမ္မာရုံ) - หอประชุมที่ใช้เพื่อการเทศนาและสาธารณประโยชน์
- เซดี (စေတီ, จากภาษาบาลี เจติย) - เจดีย์หรือสถูป มักปิดด้วยแผ่นทองและมีพระธาตุบรรจุอยู่
- กันดะกุตี (ဂန္ဓကုဋိ, จากภาษาบาลี คันธกุฎี) - อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานของวัด
- ศาลพระอรหันต์ พระสีวลี และพระอุปคุต
- ดะกูนไดง์[15] - เสาธงชัยประดับตกแต่ง สื่อถึงการเฉลิมฉลองการยอมจำนนของ นะ (วิญญาณท้องถิ่น) ต่อธรรมะ
- ซะยะ - ศาลาเปิดโล่งที่ใช้เป็นที่พัก
- พื้นที่พักอาศัยสำหรับภิกษุและซะยาดอ
- เจะตะเยค่าน (ကျက်သရေခန်း) - ห้องเก็บของ
- พื้นที่ประกอบอาหาร
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a9/Bodleian_Ms._Burm._a._5_fol011-3.jpg/220px-Bodleian_Ms._Burm._a._5_fol011-3.jpg)
วัดแบบดั้งเดิมในสมัยโก้นบองประกอบด้วยอาคารดังต่อไปนี้:
- ปยะตะซอง (ပြာသာဒ်ဆောင်) - อุโบสถหลักที่ประดิษฐานพระพุทธรูป[16]
- ซองมะจี้ (ဆောင်မကြီး) หรือ ซองมะ (ဆောင်မ) - ห้องประชุมหลักสำหรับการเทศนา พิธีการ และที่พักของสามเณร
- ซะนุซอง (စနုဆောင်) - ห้องของเจ้าอาวาสวัด
- บอกะซอง (ဘောဂဆောင်) - ห้องเก็บเสบียงอาหารของภิกษุ
ในสมัยก่อนอาณานิคม พระอารามหลวงถูกจัดเป็นกลุ่มอาคารที่เรียกว่า จ้องไต (ကျောင်းတိုက်) ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยหลายแห่ง รวมทั้งอาคารหลัก ซองมะจี้ (ကျောင်းကြီး) หรือ ซองมะ (ကျောင်းမ) ซึ่งถูกครอบครองโดยซะยาดอที่อาศัยอยู่ และอาคารเล็ก ๆ ที่เรียกว่า จ้องยาน (ကျောင်းရံ) เป็นที่พักอาศัยของสาวกซะยาดอ[17] อาคารต่าง ๆ ประกอบด้วยกำแพงล้อมรอบและยังเป็นที่ตั้งของหอสมุด ห้องอุปสมบท ห้องประชุม อ่างเก็บน้ำ บ่อน้ำ และอาคารสาธารณูปโภค[17] ตะแยะดอ เป็น จ้องไต สำคัญใจกลางเมืองย่างกุ้ง ประกอบด้วยอารามต่าง ๆ มากกว่า 60 แห่ง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Houtman, Gustaaf (1990). Traditions of Buddhist Practice in Burma (ภาษาอังกฤษ). ILCAA.
- ↑ 2.0 2.1 Johnston, William M. (2013). Encyclopedia of Monasticism. Taylor & Francis. ISBN 978-1-136-78715-7.
- ↑ "The Account of Wazo Monks and Nuns in 1377 (2016 year)". The State Samgha Maha Nayaka Committee (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-19.
- ↑ Watkins, Justin (2005). Studies in Burmese Linguistics (ภาษาอังกฤษ). Pacific Linguistics, Research School of Pacific and Asian Studies, the Australian National University. p. 227. ISBN 9780858835597.
- ↑ Chai, Ada. "The Effects of the Colonial Period on Education in Burma". Educ 300: Education Reform, Past and Present. Trinity College. สืบค้นเมื่อ 2016-11-26.
- ↑ Sao Tern Moeng (1995). Shan-English Dictionary. 1995. ISBN 0-931745-92-6.
- ↑ 7.0 7.1 Robinne, François (2003). "The monastic unity. A contemporary Burmese Artefact?". Aséanie, Sciences humaines en Asie du Sud-Est. 12: 75–92.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 James, Helen (2005). Governance and Civil Society in Myanmar: Education, Health, and Environment (ภาษาอังกฤษ). Psychology Press. pp. 78–83. ISBN 9780415355582.
- ↑ "သာသနာရေးဦးစီးဌာနက ကျင်းပသည့် စာမေးပွဲများ". Department of Religious Affairs (ภาษาพม่า). Ministry of Religious Affairs. สืบค้นเมื่อ 2016-11-13.
- ↑ 10.0 10.1 Huxley, Andrew (2007). "Review of Powerful Learning: Buddhist Literati and the Throne in Burma's Last Dynasty, 1752-1885". South East Asia Research. 15 (3): 429–433. JSTOR 23750265.
- ↑ 11.0 11.1 Reid, Anthony (1990). Southeast Asia in the Age of Commerce, 1450-1680: The Lands Below the Winds (ภาษาอังกฤษ). Yale University Press. ISBN 0300047509.
- ↑ 12.0 12.1 Mendelson, E. Michael (1975). Sangha and State in Burma: A Study of Monastic Sectarianism and Leadership (ภาษาอังกฤษ). Cornell University Press. ISBN 9780801408755.
sangha and state in burma.
- ↑ Fraser-Lu, Sylvia (1994). Burmese Crafts: Past and Present (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 9780195886085.
- ↑ World and Its Peoples: Eastern and Southern Asia. Marshall Cavendish. 2007. p. 630. ISBN 978-0-7614-7631-3.
- ↑ Nisbet, John (1901). Burma Under British Rule--and Before (ภาษาอังกฤษ). A. Constable & Company, Limited.
- ↑ India, Archaeological Survey of; Marshall, Sir John Hubert (1904). Annual Report (ภาษาอังกฤษ). Superintendent of Government Printing.
- ↑ 17.0 17.1 Lammerts, D. Christian (2015). Buddhist Dynamics in Premodern and Early Modern Southeast Asia (ภาษาอังกฤษ). Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 9789814519069.