คัมภีร์ทางศาสนาพุทธในประเทศไทย
คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย
[แก้]คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ครอบคลุมถึงพระไตรปิฎก รวมคัมภีร์ที่อธิบายพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็น อรรถกา ฎีกา อนุฎีกา และปกรณ์วิเศษต่างๆ ที่รจนาด้วยภาษาบาลีขึ้นในแผ่นดินไทยในสมัยต่างๆ ตั้งแต่ยุคแรกที่พุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ
ประวัติ
[แก้]ช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 - 1300
[แก้]ตามที่ปรากฏในวรรณกรรมทางพุทธศาสนา และคัมภีร์ต่างๆ ระบุว่า พุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาถึงแผ่นดิสุวรรณภูมิเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 ทรงอาราธนาให้พระโสณะและพระอุตตระ เป็นพระธรรมทูตเดินทางมาประกาศพระศาสนายังแผ่นดินแห่งนี้ ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับสถานที่ตั้งอันแท้จริงของสุวรรณภูมิ แต่โดยสรุปแล้วภูมิภาคดังกล่าวควรมีอาณาบริเวณครอบคลุมตั้งตั้งแต่ชายฝั่งอ่าวเมาะตะมะจนถึงอ่าวไทย อันเป็นอาณาเขตของอารยะธรรมทวาราวดี หรือภาคกลางของไทยในปัจจุบัน
สมันตัปปาสาทิกา หรือ สมันตปาสาทิกา คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายขยายความพระวินัยปิฎก รจนาโดยพระพุทธโฆสะ เมื่อ พ.ศ. 1000 มีเนื้อความระบุไว้ว่า
สุวณฺณภูมึ คนฺตฺวาน โสณุตฺตรา มหิทฺธิกา
ปิสาเจ นิทฺธมิตฺวาน พฺรหฺมชาลํ อเทสิสุนฺติ ฯ
แปลว่า
พระโสณะและพระอุตตระ ผู้มีฤทธิ์มาก ไปสู่สุวรรณภูมิ
ปราบปรามพวกปีศาจแล้ว ได้แสดงพรหมชาลสูตร
ตามคัมภีร์สมันตปาสาทิกา อธิบายเพิ่มเติมว่า พระโสณะและพระอุตตระได้แสดงอภินิหาริย์ปราบนางผีเสื้อน้ำและทรงแสดงธรรมพรหมชาลสูตร (สูตรว่าด้วยข่ายอันประเสริฐ ประกอบด้วย ศีลน้อย ศีลกลาง และศีลใหญ่) นั่นคือการประพฤติตนอยู่ในสรณะและศีล มีคนทั้งหลายในสุวรรณภูมิประเทศนี้ได้บรรลุธรรมประมาณ 60,000 คน กุลบุตรออกบวชประมาณ 3,500 คน [1]
เนื้อความจากสมันตปาสาทิกาแสดงให้เห็นว่า ในชั้นแรก หรือช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 นั้น คัมภีร์ทางพุทธศาสนาเข้าถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ ในรูปของการถ่ายทอดเชิงมุขปาฐะ ซึ่งเป็นลักษณะของการสืบทอดพระธรรมวินัยในยุคแรก ตราบจนกระทั่งการสังคายนาครั้งที่ 5 จึงมีการจารึกพระธรรมวินัยในเอกสาร คือใบลาน นับแต่นั้นมา
แผ่นดินสุวรรณภูมิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 - 1800 แบ่งแยกออกเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ ยังนับถือพุทธศาสนาต่างนิกายกัน ทั้งสายอาจาริยาวาท และสายเถรวาท ดังนั้นคัมภีร์พุทธศาสนาในแพร่กลายในดินแดนนี้จึงมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่หลงเหลือถึงปัจจุบันเกี่ยวกับพุทธศาสนาในยุคนั้นมีอยู่กระท่อนกระแท่น
กระนั้นก็ตาม สันนิษฐานจากความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาของอาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton Kingdom) ของชาวมอญทางตอนล่างของพม่า ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับผู้สถาปนาอาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักรหริภุญชัย ในภาคกลางของไทย ทำให้พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทรุ่งเรืองมากในทางตอนกลางและตอนเหนือของไทย [2]
ทั้งนี้ คาดว่า คงมีการศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาในระดับหนึ่ง แต่อาจไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากคัมภีร์ทางศาสนาเป็นสมบัติของหลวง และมักไม่มอบให้แต่ละรัฐโดยง่าย ดังจะเห็นได้จากกรณีที่พระเจ้ามนูหะ แห่งอาณาจักรอาณาจักรสะเทิม ทรงไม่ยินยอมมอบพระไตรปิฎกฉบับจำลองให้กับพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งอาณาจักพุกามตามคำร้องขอ จนนำไปสู่สงคราม และการสิ้นสุดของอาณาจักรอาณาจักรสะเทิมด้วยน้ำมืออาณาจักพุกามในปีพ.ศ 514 [3]
ช่วงพุธศตวรรษที่ 1300 - 1800
[แก้]หลังฐานการเผยแผ่คัมภีร์ทางพุทธศานาในแผ่นดินไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ดังปรากฏว่า พระนางจามเทวีเดินทางมาจากละโว้เมื่อปี พ.ศ. 1205 มาครองเมืองหริภุญไชย พระนางได้นำพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏกจำนวน 500 รูปติดตามมาด้วย จนทำให้พุทธศาสนาแบบเถรวาทเผยแพร่ในอาณาจักรนี้ [4]
นอกจากนี้ ในตำนานจามเทวีวงศ์บันทึกไว้ว่า เมื่อพระนางจามเทวีทรงครองราชสมบัติแล้ว ทรงสร้างพระอาราม 5 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ อาพัทธาราม ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองหริภุญไชย สำหรับถวายแด่พระภิกษุที่เดินทางมาจากสีหลประเทศ หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน จึงคาดว่า ในเวลานั้นน่าจะมีการเผยแพร่พระคัมภีร์จากสิงหลมาถึงตอนเหนือของไทยในปัจจุบันแล้ว [5]
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 – 18 ลงมาแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาหรือรจนาพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ ทราบแต่เพียงข้อมูลจากศิลาจารึกบางหลัก ที่บันทึกข้อความจากคัมภีร์ภาษบาลีที่สำคัญบางฉบับ อาทิเช่น จารึกเนินสระบัว พบที่เนินสระบัว ในบริเวณเมืองพระรถ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อหาในจารึกระบุมหาศักราช 683 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1304 ปรากฏคาถาพระบาลีสามบทในจารึกเป็นบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยตรงกับ เตลกฏาหคาถา หรือ คาถากระทะน้ำมัน ซึ่งแต่งขึ้นที่ลังกา สันนิษฐานว่าราวช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 5 โดยไม่ปรากฏผู้แต่งแต่อย่างใด [6]
ช่วงพุธศตวรรษที่ 1900 - 2100
[แก้]ข้อมูลเกี่ยวกับการเผยแผ่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกครั้ง หลังพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา โดยเมื่อราว พ.ศ. 1800 พวกพระภิกษุไทยซึ่งได้ไปบวชปลง ณ เมืองลังกากลับมาตั้งคณะที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมากษัตริย์ในอาณาจักรสุโขทัยทรงเลื่อมใสโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศ์มาประกาศพระศาสนายังตอนเหนือของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การมาถึงของคณะสงฆ์ลังกาในแผ่นดินไทยมิใช่ครั้งแรก เพราะเคยมีการติดต่อกันสมัยหริภุญไชย และทวราวดี แต่การมาครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดของคณะนิกายอื่นๆ ที่เคยแพร่หลายในดินแดนนี้ ดังจะเห็นได้ว่า พระสงฆ์นิกายในแถบนี้อาจสังวัธยายพระธรรมเป็นภาษาสันสกฤต แต่พวกนิกายลังกาวงศ์สังวัธยายเป็นภาษามคธ จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น กว่าจะเป็นเอกภาพได้ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ จากการใช้ภาษาสันสกฤต ทำให้คาดว่า คณะสงฆ์เดิมในแถบนี้อาจมีทั้งฝ่ายมหายาน และฝ่ายเถรวาทที่ใช้ภาษาสันสกฤต คือนิกายมูลสรวาสติวาท ดังที่ปรากฏในหลักฐานบันทึกการเดินทางของพระอี้จิง พระเถระชาวจีนที่เดินทางมาพำนักศึกษาภาษาสันสกฤตและพระธรรมในแว่นแคว้นทางตอนใต้ของไทย (หรือแถบมลายู) ก่อนเดินทางไปศึกษาพระธรรมในประเทศอินเดียเมื่อศตวรรษที่ 6
ขณะเดียวกัน ในภาคเหนือของไทย หลังจากที่พญามังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ทรงผนวกอาณาจักรหริภุญชัยในปีพ.ศ. 1839 ได้ทรงรับพุทธศาสนาเถรวาทเข้าไว้ในเวลาเดียวกัน ต่อจากนั้นพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเฟื่องฟูอย่างยิ่งในดินแดนล้านนา โดยได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพญากือนา ที่ทรงนิมนต์พระสุมนเถระจากสุโขทัยมาประกาศพระศาสนาในล้านนาเมื่อพ.ศ. 1912 ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระสงฆ์ชาวล้านนาหลายรูปได้เดินทางไปศึกษาที่ลังกาในราวพ.ศ. 1967 และได้นิมนต์พระเถระชาวลังกามาส่งเสริมนิกายเถรวาทสายลังกาวงศ์จนรุ่งเรือง [7]
การเผยแพร่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในล้านนา และในไทยถึงจุดเฟื่องฟูที่สุดในรัชสมัยของพญาติโลกราช โดยในพ.ศ. 2020 ได้ทรงจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก ณ จัดมหาโพธาราม หรือวัดเจ็ดยอด ประกอบกับช่วงเวลานั้นมีพระเถระที่เชี่ยวชาญวรรณคดีทางศาสนามากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้จนถึงรัชสมัยพญาแก้ว หรือพระเมืองแก้ว (พ.ศ. 2039 - 2069) การเผยแผ่พระศาสนาผ่านการรจนาคัมภีร์ยังรุ่งเรืองยิ่งนัก มีพระเถระมากมายที่รจนาพระคัมภีร์ต่างๆ ที่ไม่เพียงยังใช้กันในระดับเปรียญธรรมทุกวันนี้เท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับในวงการภาษาบาลีทั่วโลกอีกด้วย [8]
ช่วงพุธศตวรรษที่ 2100 -
[แก้]อาณาจักรล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าในพ.ศ. 2101 แต่การรจนาพระคัมภีร์ยังคงมีต่อไปตราบจนกระทั่งหลังพุทธศตวรรษที่ 2200 ลงมา เกิดความไม่สงบในล้านนาบ่อยครั้ง จนทำให้ขาดผู้อุปถัมภ์พระศาสนา และขาดพระเถระผู้ทรงภูมิ ทำการรจนาคัมภีร์ภาษาบาลีขาดช่วง แต่ยังคงมีการแต่งวรรณคดีทางพุทธศาสนาเรื่อยมาในภาษาท้องถิ่น อีกทั้งล้านนายังได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากพม่า ที่มีความนิยมรจนาพระคัมภีร์อยู่แล้ว ทำให้ศาสนาพุทธมิได้ซบเซา เพียงแต่ขาดผู้มีความรู้ที่จะรจนา หรือประพันธ์วรรณกรรมภาษาบาลี
ทางภาคกลางของไทยอาณาจักรสุโขทัยมีการรจนาพระคัมภีร์บาลีไม่มากนัก ปัจจุบันพบเพียงคัมภีร์เดียวคือรัตนพิมพวงศ์ แต่งขึ้นในจ.ศ. 791 หรือ พ.ศ. 1972 หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับพระคัมภีร์ภาษาบาลีน้อยมากเช่นกัน ทำให้พบวรรณคดีประเภทนี้เพียงไม่กี่เรื่อง [9]
จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งนับเป็นการรวบรวมวรรณคดีบาลีครั้งสำคัญ และมีการแต่งพระคัมภีร์เพิ่มเติมจำนวนมากโดยพระเถระชาวสยามในครั้งนั้น ตราบจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลี เนื่องจากทรงเคยผนวชเป็นเวลานาน กอปรกับได้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกที่เข้ายึดครองอาณานิคมในอินเดีย ถิ่นกำเนิดของภาษาบาลี ทำให้การศึกษาและการรจนาผลงานทางพุทธศาสนาในภาษาบาลีเฟื่องฟูอีกครั้ง จนถึงปัจจุบัน
รายชื่อคัมภีร์ภาษาบาลีที่แต่งขึ้นในประเทศไทย
[แก้]- รัตนพิมพวงศ์ หรือ รตนพิมฺพวํส รจนาโดยพระพรหมราชปัญญา แห่งวัดภูเขาหลวง เมืองสุโขทัย เมื่อพ.ศ. 1972
- จามเทวีวงศ์ รจนาโดยพระโพธิรังสี เมืองเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ. 1950-2000
- สิหิงคนิทาน รจนาโดยพระโพธิรังสี เมื่อพ.ศ. 1954-2000
- ปัญญาสชาดก รจนาโดยพระภิกษุชาวเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ. 2000-2200
- ปทักกมโยชน-สัททัตถเภทจินดา พระธรรมเสนาบดีเถระ ชาวเชียงแสน พ.ศ. 2020-2045
- สมันตปาสาทิกาอัตถโยชนา พระญาณกิตติเถระ แห่งวัดปรสาราม (วัดสวนขนุน) ชาวเมืองเชียงใหม่ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- ภิกขุปาฏิโมกขคัณฐิทีปนี รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- สีมาสังกรวินิจฉัย รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- อัฏฐสาลินีอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- สัมโมหวิโนทนอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- ธาตุกถาอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- ปุคคลบัญญัติอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- กถาวัตถุอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- ยมกอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- ปัฏฐานอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- อภิธัมมัตถวิภาวิณีอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028- 2043
- มูลกัจจายนอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
- สังขยาปกาสก รจนาโดยพระญาณกิตติเถระพ.ศ. 2058
- สารัตถสังคหะ รจนาโดยพระนันทาจารย์ ไม่ทราบปี
- มธุรัตถปกาสีนีฎีกามิลินทปัญหา รจนาโดยพระติปิฎกจุฬาภยเถระ
- สัททพินทุอภินวฎีกา รจนาโดยพระสัทธัมมกิตติมหาผุสสเทวเถระ แห่งวัดรัมมะ ชาวเมืองลำพูน
- เวสันตรทีปนี รจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์ แห่งวัดสวนขวัญ (วัดตำหนัก) ชาวเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 210610
- จักวาฬทีปนี รจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์ พ.ศ. 2063
- สังขยาปกาสกฎีกา รจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์ พ.ศ. 2063
- มังคลัตถทีปนี รจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์ พ.ศ. 2067
- มูลศาสนา รจนาโดยพระพุทธพุกาม – พระพุทธญาณเจ้า
- ชินกาลมาลีปกรณ์ รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ ชาวเชียงราย พ.ศ. 2060-2071
- มาติกัตถสรูปอภิธรรมสังคณี รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ
- วชิรสารัตถสังคหะ รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ พ.ศ. 2078
- คันถาภรณฎีกา รจนาโดยพระสุวัณณรังสีเถระ ชาวเชียงใหม่ พ.ศ. 2128
- ปฐมสมโพธิกถา รจนาโดยพระสุวัณณรังสีเถระ
- วิสุทธิมรรคทีปนี รจนาโดยพระอุตตราราม ชาวเชียงใหม่
- สังขยาปกาสก รจนาโดยพระญาณวิลาส ชาวล้านนา
- อุปปาตสันติ รจนาโดยพระเถระชาวเชียงใหม่
- สัทธัมมสังคหะ รจนาโดยพระธรรมกิตติมหาสามีเถระ แต่งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20
- มูลกัจจายนคัณฐี รจนาโดยพระมหาเทพกวี คาดว่า แต่งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23
- จุลยุทธการวงศ์ รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตน วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม คาดว่าแต่งในสมัยรัชกาลที่ 1
- มหายุทธกาลวงศ์ รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตน ไม่ทราบปี
- สังคีติยวงศ์ รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตน เมื่อ พ.ศ. 2332 [10]
- โลกเนยยปฺปกรณ์ ไม่ทราบผู้รจนา คาดว่า มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19
- มนุสสวิเนยยะ ไม่ทราบผู้รจนา คาดว่า มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นอย่างต่ำ
- อมรกฏะพุทธรูปนิทาน รจนาโดยพระอริยวังสะ ราวพุทธศตวรรษที่ 20
- อัฎฐภาคพุทธรูปนิทาน รจนาโดยพระอริยวังสะ ราวพุทธศตวรรษที่ 20
- ปัญจพุทธพยากรณ์ ไม่ทราบผู้รจนา [11]
คัมภีร์นอกสารบบ
[แก้]- สิวิชัยชาตกะ, สิวิชัยปัญหา หรือมหาสิวิชยช ไม่ทราบผู้รจนา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นอย่างต่ำ
- โสตัตถกี (มหา) นิทาน ไม่ทราบผู้รจนา
- ชาตัตถกีนิทาน ไม่ทราบผู้รจนา
- มาเลยยเถระวัตถุ ไม่ทราบผู้รจนา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 [12]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ อรรถกถาพระวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกาแปล มหาวิภังควรรณนา ภาค 1 หน้า 112 - 114
- ↑ Le May, 1954, หน้า 95
- ↑ Htin Aung, 1967, หน้า 33
- ↑ พรรณเพ็ญ เครือไทย, 2540, หน้า 13
- ↑ ศรี แนวณรงค์, 2533, หน้า 36
- ↑ Norman, 1983, หน้า 156
- ↑ พรรณเพ็ญ เครือไทย, 2540, หน้า 13
- ↑ พรรณเพ็ญ เครือไทย, 2540, หน้า 13
- ↑ พระมหาอดิศร ถิรสีโล, 2543, หน้า 138
- ↑ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2550, หน้า 149 - 164
- ↑ Hinuber, 1996, หน้า 196 - 198
- ↑ Hinuber, 1996, หน้า 198 - 200
บรรณานุกรม
[แก้]- อรรถกถาพระวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกาแปล มหาวิภังควรรณนา ภาค 1 หน้า 112 - 114
- Htin Aung, Maung. (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Le May, Reginald. (1954). The Culture of South-East Asia. London : Government of India.
- พรรณเพ็ญ เครือไทย (บรรณาธิการ). (2540).วรรณกรรมพุทธศาสนาในล้านนา. เชียงใหม่ : สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์.
- ศรี แนวณรงค์. (2533). ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่. วิทยานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาไทย ภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยศิลปากร
- Norman, K.R. (1983). Pāli Literature: Including The Canonical Literature In Prakrit And Sanskrit Of All The Hīnayāna Schools Of Buddhism. Wiesbaden : Otto Harrassowitz Verlag.
- พระมหาอดิศร ถิรสีโล. (2543) ประวัติคัมภีร์บาลี. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย
- คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2550). วรรณคดีบาลี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
- Hinuber, Oskar von. (1996). A Handbook of Pali Literature. Berlin/New York: walter de Gruyter.