โครงการเอกภาพ (ทหารเสือพราน)
เอกภาพ | |
---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามกลางเมืองลาวและสงครามเวียดนาม | |
เครื่องบิน ที-28 ของกองทัพอากาศไทยที่ฐานบินอุดรธานี ซึ่งเป็นฐานบินหลักในการสนับสนุนโครงการเอกภาพและทหารเสือพราน | |
ชนิด | การช่วยเหลือและเสริมกำลังทางทหารอย่างลับ ๆ |
ตำแหน่ง | พระราชอาณาจักรลาว |
โดย | กองบัญชาการผสม 333 ส่วนแยกประสานงานร่วมซีไอเอ |
ผู้บังคับบัญชา | กองทัพบกไทย, ซีไอเอ, ชาวลาวกษัตริย์นิยม |
วัตถุประสงค์ | สนับสนุนพระราชอาณาจักรลาวโดยส่งทหารรับจ้างและหน่วยทหารอื่น ๆ |
วันที่ | กันยายน 2501 – 22 กุมภาพันธ์ 2516 |
ผู้ลงมือ | กองทัพบกไทย, ซีไอเอ, ชาวลาวกษัตริย์นิยม |
ผลลัพธ์ | การเสริมกำลังโดยทหารจากประเทศไทย; หยุดยิงเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 เป็นอันยุติโครงการ |
ผู้สูญเสีย | ทหารไทย 1,751 นาย และพลเรือนอย่างน้อย 30 คนเสียชีวิต ทหารไทยมากกว่า 1,000 นายบาดเจ็บ ทหารไทย 753 นายสูญหาย |
เอกภาพ หรือ ยูนิตี้ (อังกฤษ: Unity) เป็นชื่อรหัสโครงการ[1]ของกองกำลังอาสาสมัครทหารรับจ้างของไทยชื่อว่า ทหารเสือพราน[2] (ทสพ.) ที่ส่งไปยังพระราชอาณาจักรลาวในช่วงสงครามกลางเมืองลาว ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 จนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2516 กองพันอาสาสมัครของไทยได้ต่อสู้กับกลุ่มกบฏคอมมิวนิสต์บนทุ่งไหหินในพื้นที่กองทัพแห่งชาติลาวภาค 2 ขณะที่กองทัพลับชาวม้ง (L'Armée Clandestine) กำลังสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่องและกำลังพลสำรองมีอย่างจำกัด กองพันทหารเสือพราน (ทสพ.) จึงเข้ามาแทนที่
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 กองพันทหารเสือพราน (ทสพ.) เริ่มปฏิบัติการป้องกันต่อต้านหน่วยทหารของกองทัพประชาชนเวียดนามที่เคลื่อนทัพไปทางตะวันตกจากเส้นทางโฮจิมินห์ในดินแดนลาวใต้ หลังจากคอมมิวนิสต์เอาชนะฝ่ายกษัตริย์นิยมในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 มีอาสาสมัครทหารเสือพรานประมาณ 18,000 นาย ประจำการอยู่ในลาว
ภาพรวม
[แก้]ราชอาณาจักรไทยมีสถานะที่เปราะบางในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง พระราชอาณาจักรลาวเป็นรัฐกันชนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและประเทศไทย และอาจเป็นการครอบงำไทยได้ ลาวยังทำหน้าที่เป็นกันชนจากการสู้รบในสงครามเวียดนามอีกด้วย อย่างไรก็ตาม พรมแดนแม่น้ำโขงระหว่างไทย–ลาวถูกละเมิดได้อย่างง่ายดาย เป็นผลให้ชาวไทยมีฉันทามติร่วมกันว่าควรหยุดการรุกรานของคอมมิวนิสต์ก่อนถึงดินแดนไทย เนื่องจากความพยายามอย่างเปิดเผยจะดึงดูดความสนใจจากจีน รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจเลือกเข้าร่วมสงครามกลางเมืองลาวที่กำลังดำเนินอยู่อย่างลับ ๆ ทำให้ตำรวจพลร่ม (PARU) ของตำรวจตระเวนชายแดนกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานสำหรับเรื่องนี้[3]
ประวัติ
[แก้]ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2501 กองทัพบกไทยได้เริ่มฝึกทหารลาวที่ค่ายเอราวัณ ประเทศไทย[4] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2504 ค่ายฝึกทหารลาวแห่งแรกในประเทศไทยได้เปิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยมีชื่อรหัสว่า "โครงการฝึกเอกราช"[5] กองทัพบกได้จัดตั้ง กองบัญชาการผสม 333 (Headquarters 333: HQ 333) เพื่อควบคุมการปฏิบัติการลับที่เกี่ยวข้องกับลาว สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ได้จัดตั้งหน่วยประสานงานร่วมเพื่อประสานงานกิจกรรมกับกองบัญชาการผสม 333 รวมถึงนักบินไทย สหรัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านการบินยังได้เดินทางอย่างลับ ๆ ไปยังกองทัพอากาศพระราชอาณาจักรลาว[6] รวมถึงอากาศยาน เช่น เครื่องบิน ที-28 ที่นำไปติดธงชาติลาวที่ตัวเครื่อง หรือไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกฝ่ายเลย[7]
หน่วยความต้องการพิเศษ
[แก้]เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 เพื่อเตรียมการรุกในปฏิบัติการสามเหลี่ยมของลาว ทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ไทยจำนวน 279 นายได้บินจากนครราชสีมาไปยังทุ่งไหหิน ประเทศลาว กองพันของไทยติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และปืนใหญ่วิถีโค้งขนาด 105 มม. จำนวน 5 กระบอก เพื่อสนับสนุนกองทัพที่เป็นกลาง (Forces Armées Neutralistes: FAN) ของกองแล วีระสาน โดยมีการร้องขอกำลังไปและมีการจัดกำลังที่เรียกว่า โครงการ 008 (Project 008) มาจากกำลังที่ถูกฝึกในปี พ.ศ. 2508[7] ซึ่งเป็นกองพันแรกถูกส่งไปถึงที่หมาย หน่วยนี้จึงถูกเรียกว่า หน่วยความต้องการพิเศษ 1[8]
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2509 จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ประกาศรับอาสาสมัครทหารเสือพรานไปประจำการในเวียดนามใต้ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากชายไทย โดยมีทหารจากกรุงเทพฯ 5,000 นายเข้าร่วมการไปรบครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าการระดมพลครั้งนี้ส่งผลให้ทหารไทยที่ได้รับทุนจากสหรัฐยกพลขึ้นบกในเวียดนามใต้ในปี พ.ศ. 2510 เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากกำลังพลอีกส่วนที่ถูกส่งไปยังลาว[9]
หน่วยความต้องการพิเศษที่ตามมาทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมของกองทัพที่เป็นกลาง (FAN) ที่ประจำการอยู่ที่ลานบินทุกสภาพอากาศด้านหน้าที่เมืองสุย ในช่วงการทัพทวนทัง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2512 เมื่อกองกำลังของกองทัพประชาชนเวียดนาม (PAVN) ได้เข้ามาและกระจายกำลัง กองทัพที่เป็นกลาง (FAN) และหน่วยความต้องการพิเศษ 8 จำนวน 317 นายพร้อมอาวุธครบมือได้ตรึงกำลังยึดพื้นที่ไว้ จากนั้นได้มีการอพยพครอบครัวทหารของกองทัพที่เป็นกลาง (FAN) ด้วยเฮลิคอปเตอร์ทำให้หลังจากนั้นฝ่ายที่เป็นกลางเลือกที่จะไม่ต่อต้าน และเลือกที่จะถอนกำลังออกจากเมืองสุย เจ้าหน้าที่อาวุโสของไทยที่ประจำการอยู่ในพื้นที่นั้นได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังเช่นกัน เนื่องจากถูกล้อมและมีจำนวนน้อยกว่าฝ่ายข้าศึก ภายใต้การยิงสนับสนุนของรถถังและปืนใหญ่ ในวันที่ 26 มิถุนายน กองกำลังของไทยถูกลำเลียงออกผ่านเฮลิคอปเตอร์ในปฏิบัติการสวอนเลก และหน่วยความต้องการพิเศษ 8 ถูกยุบเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย[10]
กองทัพลัพชาวม้ง (L'Armée Clandestine) ต่อสู้ในการทัพที่ได้รับชัยชนะในช่วงปี พ.ศ. 2512 ได้แก่ ปฏิบัติการเรนแดนซ์, ปฏิบัติการออฟบาลานซ์ และ กู้เกียรติ เมื่อใกล้ถึงช่วงหลัง กองทัพลับได้ลดจำนวนกำลังพลชาวม้งลงเหลือเพียง 5,000 ถึง 5,500 นาย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทหารคอมมิวนิสต์กว่า 22,000 นาย[11][12] ซึ่งในเวลานั้นกำลังสำรองใกล้จะหมดลงแล้ว เหลือแค่เพียงเด็กชายวัยรุ่นและชายสูงอายุเท่านั้น[13] เมื่อเปรียบเทียบกับข้าศึกแล้วแล้ว มีกำลังหมุนเวียนเข้ามาเติมมากถึง 10,000 นายต่อปีสำหรับกำลังของคอมมิวนิสต์เวียดนาม[14]
ในระหว่างการทัพเวียดนาม 139 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสถานะของกองทัพลับ (L'Armée Clandestine) ของนายพลวังเปา ทหารปืนใหญ่จากไทย 300 นายสังกัดหน่วยความต้องการพิเศษ 9 มาถึงที่ลองเตียง พวกเขาเดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2513 ในช่วงที่กำลังสำรองของนายพลวังเปาถูกลดเหลือเพียงช่างเครื่องเครื่องบินและทหารดุริยางค์ โดยกรมผสมที่ 13 จากกองทัพภาคที่ 2 ของกองทัพบกไทยภายใต้ โครงการวีพี[1] ได้มาสมทบในเดือนเมษายนโดยมีระยะเวลาในการปฏิบัติการในประเทศลาวเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อ "อำพราง" หน้าที่ของตนในกองทัพของนายพลวังเปา ประกอบไปด้วย กองพันทหารราบ 3 กองพัน กองพันปืนใหญ่ชุดใหม่ และหน่วยความต้องการพิเศษ 9 ได้รับการจัดหน่วยใหม่โดยใช้ชื่อภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบลาว โดยรวมแล้ว หน่วยของไทยถูกขนานนามว่า หน่วยรบเฉพาะกิจวังเปา (หรือที่เอกสารของไทยเรียกว่า หน่วยรบเฉพาะกิจวีพี: ฉก.วีพี[2]) ฉก.เวียงเปาได้จัดตั้งฐานยิงสนับสนุน 2 แห่งเพื่อใช้เป็นที่ตั้งปืนใหญ่ เมื่อฤดูร้อนดำเนินไป หน่วยที่ถูกย้ายเข้ามาจากภาคทหารอื่น ๆ ได้หมุนเวียนไปยังฐานทัพของตน และทหารราบไทยเข้ามาแทนที่พวกเขาในฐานที่มั่นของพวกเขา[16]
จุดเริ่มต้น
[แก้]หลังจากที่ ลอน นอล ขึ้นเป็นผู้นำของสาธารณรัฐเขมร ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513 รัฐบาลไทยได้จัดหาอาสาสมัครทหารเสือพราน (ทสพ.)[2] จำนวน 5,000 คนเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ที่นั่น และเริ่มฝึกอบรมพวกเขา เมื่อวันที่ 9 กันยายน มีการประกาศต่อสาธารณชนว่าประเทศไทยตัดสินใจที่จะไม่ส่งทหารไปกัมพูชาแล้ว อย่างไรก็ตาม การเจรจาลับระหว่างสหรัฐและประเทศไทยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและการใช้กำลังทหารดังกล่าวไม่ได้เปิดเผย เมื่อ พลโท ริชาร์ด จี. สติลเวลล์ อ้างว่างบประมาณของสหรัฐสำหรับการฝึกอบรมและจัดหาอุปกรณ์ให้กับทหารเหล่านี้สามารถจ่ายเพื่อฝึกอบรมกองทัพเขมรทั้งหมดแทนได้ แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธ ทำให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐจัดสรรเงินดังกล่าวเพื่อส่งอาสาสมัครเหล่านี้ไปยังลาวภายใต้ชื่อรหัสว่า เอกภาพ หรือ ยูนิตี้ (Unity) ส่วนซีไอเอ โดยหน่วย สกาย[2] จะฝึกอบรมและดำเนินโครงการเอกภาพ อาสาสมัครเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารราบ 9 กองพัน และกองพันทหารปืนใหญ่ 1 กองพัน ทหารราบแต่ละกองพันจะมีทหารใหม่ 495 นายประจำการในระยะเวลา 1 ปี แต่ละกองพันจะมีผู้ฝึก 22 นาย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 33 นาย จากกองทัพบกไทย ขนาดของกองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ที่ตั้งขึ้นนั้นถือเป็นการเพิ่มความมุ่งมั่นที่มีส่วนร่วมของไทยในสงครามลาวอย่างชัดเจน[17][9] การฝึกโครงการเอกภาพถูกย้ายไปยังฐานทัพที่ใหญ่กว่าใกล้กาญจนบุรี ประเทศไทย ซึ่งสามารถรองรับทหารได้ครั้งละ 4 กองพัน ที่นั่น ทหารไทยได้รับการฝึกโดยเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษของสหรัฐจำนวน 44 นาย ในขณะเดียวกัน ทั้งรัฐบาลไทยและสหรัฐต่างก็มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับโครงการเอกภาพอย่างมาก จนพวกเขาได้พิจารณาขยายโครงการให้เกินกว่าความคืบหน้าที่มีอยู่ในเวลานั้นเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า[18]
พื้นที่ปฏิบัติการ
[แก้]ตามข้อตกลงทางการเมืองระหว่างรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาว ไทย และสหรัฐ ได้กำหนดพื้นที่ปฏิบัติการสำหรับทหารเสือพรานในเขตประเทศลาว ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวก่อน ในบางสถานการณ์แม้จะเกิดการรุกรานของกองกำลังคอมมิวนิสต์ในลาว หากกองทัพของพระราชอาณาจักรลาวสามารถรักษาพื้นที่และต่อต้านกองกำลังข้าศึกได้ และไม่มีการร้องขอจากรัฐบาลลาว จะไม่สามารถส่งกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการได้เป็นอันขาด ซึ่งในช่วงเริ่มต้นได้จัดกำลังในรูปแบบของหน่วยรบเฉพาะกิจ (ฉก.) สำหรับควบคุมการปฏิบัติการรบโดยตรงไปยังแต่ละกองพัน (บีซี) ประกอบไปด้วย[2]
- ภาคเหนือของลาว ในพื้นที่ของกองทัพแห่งชาติลาวภาค 1 (ทชล.ภาค 1) จะจัดหน่วยรบเฉพาะกิจราทิกุล (ฉก.ราทิกุล) เข้าปฏิบัติการในพื้นที่แขวงไชยบุรีตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2514 และถอนกำลังในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2517 เนื่องจากมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และซีไอเอยุติการสนับสนุนหน่วย ทำให้ ฉก.ราทิกุลได้ส่งมอบพื้นที่คืนให้กองทัพแห่งชาติลาวภาค 1 และถอนกำลังกลับมายังฐานบินน้ำพอง ประเทศไทย[2]
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของลาว ในพื้นที่ของกองทัพแห่งชาติลาวภาค 2 (ทชล.ภาค 2) และกองทัพแห่งชาติลาวภาค 5 (ทชล.ภาค 5) บางส่วน จะจัดหน่วยรบเฉพาะกิจ วีพี (ฉก.วีพี) เข้าปฏิบัติการ เป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงในการรบมากที่สุด รวมถึงพื้นที่ทุ่งไหหิน เริ่มนำกำลังเข้าปฏิบัติการในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 และถอนกำลังในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศหยุดยิง[2]
- ภาคกลางและภาคใต้ของลาว ในพื้นที่ของกองทัพแห่งชาติลาวภาค 4 (ทชล.ภาค 4) จะจัดหน่วยรบเฉพาะกิจผาสุก (ฉก.ผาสุก) เข้าปฏิบัติการในพื้นที่แขวงทันดอนและแขวงจำปาศักดิ์ เริ่มปฏิบัติการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 และถอนกำลังในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศหยุดยิง[2]
การจัดหน่วย
[แก้]การฝึกอบรมและการปรับใช้
[แก้]กองพัน 2 กองพันแรกของทหารเสือพราน (ทสพ.) ที่เป็นอาสาสมัครทหารรับจ้างไทยได้รับการฝึกฝนในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 โดยมีหน่วยรบพิเศษของไทย (Royal Thai Special Force: RTSF) จำนวนหนึ่ง เป็นส่วนเสริมในหน่วยรบ หน่วยใหม่นี้ถือว่าพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขณะที่รัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งโครงการเอกภาพได้กำหนดเงื่อนไขในการส่งกำลังทหารไทยไปยังลาว กองกำลังไทยจะต้องถูกใช้ในปฏิบัติการจริง และต้องอยู่ห่างจาก อินเตอร์เนชั่นแนล เพรส คอร์ป (international press corps) ในเวียงจันทน์ นอกจากนี้ กองพันยังต้องปลอมแปลงตนเองโดยเปลี่ยนชื่อเป็น Bataillon Commandos (BC กองทัพไทยเรียก บีซี[2]) เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมของรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาว กองพันใหม่ใช้หมายเลขเรียงลำดับ 601 และ 602 ต่อไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ได้เริ่มประเพณีใหม่ในการนับหน่วยทหารรับจ้างไทยในชุดกองพัน หรือ บีซี 600 ในขณะที่พวกเขาประจำการในลาว[19]
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 ในความพยายามที่จะเพิ่มการรับสมัครทหารเสือพราน (ทสพ.) สำหรับโครงการเอกภาพ อาสาสมัครชาวไทยที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมทางทหารมาก่อนได้รับอนุญาตให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในลาว กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ขยายตัวจากกำลังพล 14,028 นาย ในเดือนมิถุนายนเป็น 21,413 นาย ในเดือนกันยายน[20]
โครงสร้าง
[แก้]โครงสร้างของกองกำลังทหารเสือพราน ประกอบด้วยกำลังทั้งหมด 36 กองพัน (33 กองพันทหารราบ และ 3 กองพันทหารปืนใหญ่)[1] แบ่งออกเป็นหน่วยรบเฉพาะกิจตามที่สามารถค้นคว้าได้[2] ดังนี้
- หน่วยรบเฉพาะกิจราทิกุล (ฉก.ราทิกุล) ประกอบไปด้วย
- กองพันทหารเสือพราน 611 (บีซี 611)
- กองพันทหารเสือพราน 612 (บีซี 612)
- กองพันทหารเสือพราน 615 (บีซี 615)
- กองพันทหารเสือพราน 620 (บีซี 620)
- กองพันทหารเสือพราน 622 (บีซี 622)
- กองร้อยทหารปืนใหญ่
- หน่วยรบเฉพาะกิจวีพี (ฉก.วีพี) ประกอบไปด้วย
- กองพันทหารเสือพราน 603 (บีซี 603)
- กองพันทหารเสือพราน 604 (บีซี 604)
- กองพันทหารเสือพราน 605 (บีซี 605)
- กองพันทหารเสือพราน 606 (บีซี 606)
- กองพันทหารเสือพราน 607 (บีซี 607)
- กองพันทหารเสือพราน 608 (บีซี 608)
- กองพันทหารเสือพราน 609 (บีซี 609)
- กองพันทหารเสือพราน 610 (บีซี 610)
- กองพันทหารเสือพราน 616 (บีซี 616)
- กองพันทหารเสือพราน 617 (บีซี 617)
- กองพันทหารเสือพราน 618 (บีซี 618)
- กองพันทหารเสือพราน 619 (บีซี 619)
- หน่วยรบเฉพาะกิจผาสุก (ฉก.ผาสุก) ประกอบไปด้วย
- กองพันทหารเสือพราน 601 (บีซี 601)
- กองพันทหารเสือพราน 602 (บีซี 602)
- กองพันทหารเสือพราน 610 (บีซี 610)
- กองพันทหารเสือพราน 613 (บีซี 613)
- กองพันทหารเสือพราน 614 (บีซี 614)
- กองพันทหารเสือพราน 621 (บีซี 621)
- กองพันทหารปืนใหญ่
กองทัพแห่งชาติลาวภาค 4
[แก้]เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2513 บีซี 601 และ บีซี 602 ได้ถูกลำเลียงโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังหมู่บ้านร้างในห้วยทราย ประเทศลาว เพื่อเริ่มปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่กองทัพแห่งชาติลาวภาค 4 โดยปฏิบัติการภายใต้ชื่อรหัสว่า วีระคม ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนเจ้าหน้าที่ของซีไอเอสังเกตเห็นความแตกต่างกับกองกำลังเขมรในโครงการคอปเปอร์ จึงคิดว่าไทยอาจยึดที่ราบสูงโบลาเวนคืนได้[19]
ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ได้เข้าร่วมปฏิบัติการสายศิลาเพื่อยึดสนามบินสำคัญที่สาละวันคืน ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 กองกำลังได้เข้าร่วมในการโจมตีที่คล้ายคลึงกันในปฏิบัติการเบดร็อกและปฏิบัติการท้าวลา[21] ในเดือนธันวาคม กองทัพเวียดนามเหนือได้กดดันฝ่ายกษัตริย์นิยมในปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อผลักดันพวกเขาออกจากเส้นทางโฮจิมินห์และถอยไปทางประเทศไทย[22]
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยมในดินแดนทางตอนใต้ของลาวถูกโจมตีจนต้องถอยร่น จนกระทั่งกองกำลังคอมมิวนิสต์บางส่วนบุกโจมตีชายแดนแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทย กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ถูกเคลื่อนย้ายระหว่างภาค 2 และภาค 4 เพื่อต่อต้านกำลังทหารเวียดนามเหนือ (PAVN) ที่เพิ่มขึ้น การรุกของฝ่ายกษัตริย์นิยมแบล็กไลออน —ปฏิบัติการแบล็กไลออน, แบล็กไลออน 3 และแบล็กไลออน 5 เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2515 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 โดยหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้อย่างหมดหนทาง ซึ่งทหารรับจ้างของไทยเป็นกำลังส่วนใหญ่ของกองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม[23]
กองทัพแห่งชาติลาวภาค 2
[แก้]ฝ่ายกษัตริย์ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายในพื้นที่กองทัพแห่งชาติลาวภาค 2 ฐานสนับสนุนการยิงพันช์เชอร์ ซึ่งเป็นกองรักษาด่านของบ้านนาที่ล่องแจ้ง ถูกล้อมโดยทหารราบและหน่วยจู่โจมของกองทัพเวียดนามเหนือ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เกิดเหตุระเบิดโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้พลเรือนเสียชีวิต 30 ราย ต่อมาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ กองทัพลับ (L'Armée Clandestine) ของนายพลวังเปาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ กองทัพเวียดนามเหนืออยู่ในระยะโจมตีจากฐานทัพกองโจรหลักที่ล่องแจ้ง กองพันทหารเสือพรานอีก 2 กองพันคือ บีซี 603 และ บีซี 604 ถูกดึงออกจากการฝึกขั้นสุดท้ายและส่งไปเสริมกำลังให้กับทหารม้ง เพื่อรักษาสภาพของหน่วย ไทยต่อต้านความพยายามของนายวังเปาที่จะแบ่งหมวดทหารที่ถูกส่งมาทดแทนของไทยให้เป็นหน่วยกองโจรม้ง เนื่องจากทหารเสือพรานของไทยได้รับการฝึกฝนให้ต่อสู้อย่างเหนียวแน่นในฐานะกองกำลังรุกเคลื่อนที่ และไทยตั้งใจที่จะรักษาคุณลักษณะเช่นนั้นเอาไว้[24]
ในวันที่ 3 มีนาคม กองพันแรกของไทยเดินทางมาถึงล่องแจ้ง[18] กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) สามารถยึดแนวได้ตลอดเดือนมีนาคม ขณะที่กองทัพเวียดนามเหนือไม่สามารถบุกโจมตีและเอาชนะได้ในแนวรบล่องแจ้ง จนกระทั่งถึงฤดูฝนกองทัพเวียดนามจึงได้ยุติความพยายามดังกล่าว[25]
กองพันทหารเสือพราน (ทสพ.) ยังคงโอนย้ายไปยังพื้นที่ภาค 2 ซึ่งไทยสามารถยึดฐานทัพสำหรับการรบขั้นสูงที่เมืองสุ่ยคืนมาได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2514 ไทยยังได้จัดตั้งเครือข่ายฐานสนับสนุนการยิงปืนใหญ่ที่มีสนามแนวยิงเชื่อมต่อกันทั่วทุ่งไหหินเพื่อป้องกันกองกำลังของคอมมิวนิสต์[26]
ในช่วงปลายเดือนกันยายน กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ได้เพิ่มกำลังขึ้นจนถึงจุดที่สามารถให้การสนับสนุนการส่งกลับสายแพทย์ได้ เฮลิคอปเตอร์ ยูเอช-1เอ็ม ติดอาวุธจำนวน 10 ลำ ได้รับการจัดหาและประจำการที่ฐานบินอุดรธานี นักบินชาวไทย 26 คน ได้รับการฝึกให้บินเฮลิคอปเตอร์ประเภทนี้ เฮลิคอปเตอร์มากถึง 6 ลำ จะบินไปทางเหนือทุกวันไปยังที่ราบ โดยตอบสนองต่อสัญญาณเรียกขานว่า ไวท์ฮอส หรือ ม้าขาว[27]
สิ้นปี พ.ศ. 2514 เวียดนามเริ่มปฏิบัติการทัพ แซด กองกำลังไทยในกองทัพลับ (L'Armée Clandestine) ได้เข้ามาแทนที่กองกำลังติดอาวุธส่วนใหญ่ที่เป็นชาวม้งเดิม แม้ว่าการโจมตีผสมของคอมมิวนิสต์จะยึดจุดต้านทานของไทยได้ 6 จุดในตอนแรก แต่การป้องกันฐานทัพสำคัญที่ล่องแจ้งของไทยช่วยให้ฝ่ายกษัตริย์นิยมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ในสงครามได้อย่างหวุดหวิด[28] ฝ่ายไทยยังเป็นหน่วยหลักของปฏิบัติการสเตร็ง 1 และ ปฏิบัติการสเตร็ง 2 ของฝ่ายกษัตริย์ในการรุกโต้ตอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม พ.ศ. 2515[29] ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2515 กำลังพลชาวม้งลดลงอย่างมากจนที่ปรึกษาของซีไอเอสังเกตเห็นว่ากองพันกองโจรของม้งที่เพิ่งได้รับการคัดเลือกใหม่มามีเยาวชนอายุต่ำกว่า 17 ปีมากกว่า 100 คน ร่วมอยู่ด้วย โดยมีประมาณ 12 คน อายุ 12 ปี หรือน้อยกว่านั้น อันที่จริงแล้ว ฝ่ายกษัตริย์มีกำลังพลไม่เพียงพอเนื่องจากประชากรลาวร้อยละ 6 อยู่ภายใต้การติดอาวุธโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางชาติพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) จึงเป็นกำลังพลส่วนใหญ่ในการปฏิบัติการภูเพียง 2[30] และปฏิบัติการภูเพียง 3 กองพันสุดท้ายของไทยคงอยู่ในสนามรบจนกระทั่งมีการหยุดยิงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ก่อนจะถอนกำลังในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน[31]
ความสูญเสีย
[แก้]จากรายงานในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์การสงครามไทยของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ได้ระบุข้อมูลยอดสรุปความสูญเสียของฝ่ายไทยไว้[2] ดังนี้
- มีผู้เสียชีวิตจำนวน 1,914 นาย แบ่งเป็น
- เสียชีวิตจากการรบ 1,751 นาย
- เสียชีวิตจากมิใช่การรบ 163 นาย
- ผู้สูญหายจำนวน 753 นาย
ผลลัพธ์
[แก้]เมื่อเทียบกับทหารไทย 11,000 นายที่เคยประจำการในเวียดนามใต้ ในปี พ.ศ. 2514 อาจมีทหารไทยมากถึง 22,000 นายที่เคยประจำการในลาว ตัวเลขผู้เสียชีวิตของไทยมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 350 นาย และบาดเจ็บมากกว่า 1,000 นาย[32] เมื่อการหยุดยิงยุติสงครามในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 กองกำลังทหารเสือพราน (ทสพ.) ประกอบด้วยกองพันทหารราบ 27 กองพัน และกองพันทหารปืนใหญ่ 3 กองพัน พร้อมด้วยกองร้อยอาวุธหนัก 6 กองร้อย หน่วยของไทยได้รับการจัดหน่วยเป็นหน่วยรบเฉพาะกิจ 3 หน่วย โดยมีกำลังพลทั้งหมด 17,808 นาย เมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง การหลบหนีจึงเริ่มขึ้น ภายในหนึ่งเดือน กำลังพลของไทยลดลงเหลือ 14,900 นาย ขณะที่อาสาสมัครทหารเสือพราน (ทสพ.) ทยอยอพยพไปทางใต้เพื่อหางานใหม่ ภายในกลางปี กองกำลังทหารเสือพรานลดลงเหลือ 10,000 นาย พวกเขาถูกถอนกำลังออกจากลาวในปีถัดมา แม้ว่าจะมีความคิดที่จะย้ายกำลังพลของกองกำลังทหารเสือพรานบางส่วนไปยังพื้นที่ของกัมพูชา แต่สุดท้ายกำลังทั้งหมดก็ถูกปลดประจำการ[33]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 ชวาลศิลป์, บัญชร. "2503 สงครามลับ สงครามลาว (58)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์". www.matichonweekly.com. สืบค้นเมื่อ 2024-10-09.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 E-Book วิชาประวัติศาสตร์การสงครามไทย Thai War History MS 3003 นนร.ชั้นปีที่ 3 (PDF). กองวิชาประวัติศาสตร์การสงคราม ส่วนวิชาทหาร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า. 2562.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Kislenko, Arne (Summer 2004). "A Not So Silent Partner. Thailand's Role in Covert Operations, Counter-Insurgency, and the Wars in Indochina". The Journal of Conflict Studies. Volume 24, Issue 1, pp. 2–5.
- ↑ Conboy and Morrison, p. 24.
- ↑ "2503 สงครามลับ สงครามลาว (35) ปีที่ดีของฝ่ายขวา/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์". www.matichonweekly.com. สืบค้นเมื่อ 2024-10-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Kislenko, Arne (Summer 2004). "A Not So Silent Partner. Thailand's Role in Covert Operations, Counter-Insurgency, and the Wars in Indochina". The Journal of Conflict Studies. Volume 24, Issue 1, p. 7.
- ↑ 7.0 7.1 ชวาลศิลป์, บัญชร. "2503 สงครามลับ สงครามลาว (35) ปีที่ดีของฝ่ายขวา/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์". www.matichonweekly.com. สืบค้นเมื่อ 2024-10-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Conboy and Morrison, p. 111.
- ↑ 9.0 9.1 Kislenko, Arne (Summer 2004). "A Not So Silent Partner. Thailand's Role in Covert Operations, Counter-Insurgency, and the Wars in Indochina". The Journal of Conflict Studies. Volume 24, Issue 1, pp. 12–13.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 212–213.
- ↑ Ahern, p. 331.
- ↑ Anthony and Sexton, p. 323.
- ↑ Tapp, p. 82.
- ↑ Conboy and Morrison, p. 248.
- ↑ Kirkpatrick, Matthew D. Special Operations Squadron: Pony Express from Air War Vietnam retrieved June 6, 2007
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 255, 263.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 284–285.
- ↑ 18.0 18.1 Conboy and Morrison, p. 296.
- ↑ 19.0 19.1 Conboy and Morrison, p. 285.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 353–354, note 11.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 304–309.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 328–329.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 349–354.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 296–297
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 296–297, 301.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 302–304.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 303–304.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 323–334.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 335–338.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 345–349, 365.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 390–391.
- ↑ Kislenko, Arne (Summer 2004). "A Not So Silent Partner. Thailand's Role in Covert Operations, Counter-Insurgency, and the Wars in Indochina". The Journal of Conflict Studies. Volume 24, Issue 1, pp. 12–13, 18.
- ↑ Conboy and Morrison, pp. 405–406.
บรรณานุกรม
[แก้]- Ahern, Thomas L. Jr. (2006). Undercover Armies: CIA and Surrogate Warfare in Laos. Center for the Study of Intelligence. Classified control no. C05303949.
- Anthony, Victor B. and Richard R. Sexton (1993). The War in Northern Laos. Command for Air Force History. OCLC 232549943.
- Conboy, Kenneth and James Morrison (1995). Shadow War: The CIA's Secret War in Laos. Paladin Press. ISBN 9780873648257.
- Tapp, Nicholas (2010). The Impossibility of Self: An Essay on the Hmong Diaspora: Volume 6 of Comparative Anthropological Studies in Society, Cosmology and Politics. LIT Verlag Münster. ISBN 9783643102584.