กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน
กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน | |
---|---|
กองกำลังเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน | |
ทหารช่างกำลังเทคอนกรีตในงานก่อสร้างลานพื้นแข็งคอนกรีตเสริมเหล็ก บนเขตนิรภัยของทางวิ่งสนามบินบากรัม | |
ประจำการ | 15 มีนาคม – 1 ตุลาคม 2546 |
ประเทศ | ไทย |
เหล่า | กองทัพไทย |
รูปแบบ | ผู้มิใช่พลรบ |
บทบาท | การทำลายล้างวัตถุระเบิด การป้องกัน คชรน. การต่อสู้ระยะประชิด การสงครามทะเลทราย เวชศาสตร์ฉุกเฉิน การป้องกันกำลังรบ ผู้ตรวจการณ์หน้า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การแทรกแซงด้านมนุษยธรรม ผู้ช่วยแพทย์ การส่งกลับสายแพทย์ วิศวกรรมการทหาร การส่งกำลังบำรุงทางทหาร การตรวจตราทางทหาร การรักษาสันติภาพ การลาดตระเวน บริการการแพทย์ฉุกเฉินเชิงยุทธวิธี การสงครามในเมือง |
กำลังรบ | 130 นาย |
ขึ้นกับ | กองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180 |
กองบัญชาการ | ฐานทัพอากาศบากรัม, บากรัม, อัฟกานิสถาน |
สมญา | ร้อย.ช.ฉก.975 ไทย/อัฟกานิสถาน (975th Thai/Afghanistan Task Force) |
ปฏิบัติการสำคัญ | สงครามอัฟกานิสถาน |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผบ.ร้อย.ช.ฉก.975 | พันโท สิรภพ ศุภวานิช |
กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน (อังกฤษ: 975th Thai Engineer Task Force) หรือ ร้อย.ช.ฉก.975 เป็นหน่วยทหารช่างของกองทัพไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน (Operation Enduring Freedom) ในอัฟกานิสถาน
ภารกิจของหน่วยคือการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม[1]ในอัฟกานิสถานหลังจากสภาวะสงครามในภูมิภาคที่กินเวลามากกว่า 2 ทศวรรษ[2] โดยประเทศไทยได้ส่งกำลังทหารที่ไม่ใช่พลรบจำนวน 130 นาย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546[3]
ประวัติ
[แก้]หลังจากวินาศกรรม 11 กันยายน สหรัฐได้แสวงหาพันธมิตรในการร่วมภารกิจในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หน่วยบัญชาการทหารสหรัฐภาคอินโดแปซิฟิกจึงได้มีการเชิญชาติพันธมิตรไปร่วมประชุมกันที่รัฐฮาวาย โดยประเทศไทยได้ส่งกำลังเข้าร่วมประชุมด้วยคือ พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นเข้าร่วมในการประชุม และมีการพูดคุยนอกรอบเกี่ยวกับกรอบความช่วยเหลือที่ไทยสามารถให้การสนับสนุนสหรัฐได้ คือการส่งกำลังทหารไปปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม ซึ่งไทยเคยจัดกำลังไปสนับสนุนแล้วในหลายภูมิภาค เช่น กัมพูชา และติมอร์ตะวันออก[3]
ร้องขอกำลัง
[แก้]จากนั้นฝั่งสหรัฐได้นำเรื่องนี้ไปหารือและได้ส่งหนังสือมายังกองทัพไทยตามระบบราชการ มีเนื้อหาขอรับการสนับสนุนจากกองทัพไทยเพื่อไปปฏิบัติภารกิจด้านการซ่อมแซมสนามบินบากรัม ในอัฟกานิสถาน กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงได้มีการประชุม และเสนอเรื่องดังกล่าวไปยังรัฐบาลในขณะนั้น เพราะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจนี้ และได้มีข้อสั่งการให้ พลตรี นิพัทธ์ ทองเล็ก พร้อมคณะ คือ พันเอก นิวัตร มีนะโยธิน พันเอก สุพจน์ ธำมรงค์รัตน์ และพันตรี สิรภพ ศุภวานิช รวม 4 นาย เดินทางไปประสานงานกับหน่วยทหารสหรัฐในประเทศอัพกานิสถาน เดินทางในระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 4 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยสหรัฐเป็นผู้จัดการเดินทางให้ และมีนายทหารสหรัฐจำนวน 2 นายจากคณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐ ประจำประเทศไทย (จัสแมกไทย) คือ พันโท ซีโบห์ (LTC. Carl Seabaugh) และพันตรี ร็อคกี คาร์เตอร์ (Maj. Carter) โดยคณะได้บินไปลงที่ประเทศโอมานก่อนเพื่อพักและเปลี่ยนอากาศยาน จากนั้นคณะจากประเทศไทยได้เครื่องแต่งกายเป็นชุดฝึกพร้อมเป้สัมภาระเพื่อขึ้นเครื่องบิน ซี-130 ของสหรัฐสำหรับบินต่อในช่วงเย็น ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเครื่องก็ลงจอดที่สนามบินบากรัม ซึ่งการลงจอดไม่ราบรื่นมากนักเนื่องจากสภาพของทางวิ่งทีทรุดโทรม[3]
สนามบินบากรัมนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ทางวิ่งสนามบินมีความยาว 3000 เมตร กว้าง 54 เมตร มีทางวิ่ง 1 ทางวิ่ง และ 1 แท็กซี่เวย์ ซึ่งสนามบินสร้างขึ้นโดยเงินของสหรัฐ และช่วงปี พ.ศ. 2523 ประเทศรัสเซียได้ส่งทหารมารุกรานอัฟกานิสถานและใช้สนามบินดังกล่าวเป็นฐานทัพก่อนจะถอนตัวออกไป หลังจากสหรัฐส่งกำลังเข้ามาปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน ได้ดำเนินการยึดสนามบินกลับมาใช้งานเป็นฐานปฏิบัติการ[3]
คณะเดินทางจากไทยและจัสแมกทั้ง 6 นาย มีลูกเรือของเครื่องบินที่ใช้แว่นมองกลางคืน นำทางเข้าสู่ฐานทัพ เนื่องจากจำเป็นต้องมีการพรางแสงไฟเพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งตัวสนามบินไปจนถึงทางวิ่ง โดยคณะเดินทางจากไทยทั้ง 4 นาย ได้แยกย้ายเข้าพักในเต็นท์พักอาศัยขนาดใหญ่ท่ามกลางอากาศหนาวของภูมิอากาศขณะนั้น[3]
จากนั้นในเช้าวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545 คณะเดินทางของไทยได้เดินทางไปพบกับผู้บัญชาการฐานทัพของสหรัฐเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับภารกิจของกองร้อยทหารช่างไทยที่จะมาปฏิบัติการซ่อมทางวิ่ง โดยที่ พันตรี สิรภพ ศุภวานิช ผู้ที่จะมาเป็นผู้บังคับกองร้อยที่จะมาปฏิบัติงานได้พูดคุยเกี่ยวกับประเด็นของการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกลทางการช่างจากประเทศไทย ซึ่งทางการสหรัฐระบุว่าให้ไทยออกค่าใช้จ่ายเอง จึงได้เดินทางมาเพื่อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจจะช่วยกันจ่ายได้[3]
ข้อตกลงระหว่างไทยและสหรัฐในส่วนของค่าใช้จ่ายและการสนับสนุนประกอบไปด้วย
- ไทยจะสนับสนุนกำลังพลจากกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ในการปฏิบัติการจำนวน 130 นาย ซึ่งเป็นกำลังจากกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจจำนวน 120 นาย และกำลังจากส่วนสนับสนุนจำนวน 10 นาย[4]
- กองทัพสหรัฐจะสนับสนุนการปฏิบัติการในรูปแบบของการชำระเงินคืนในภายหลัง (Reimbursement) ประกอบไปด้วย ค่าใช้จ่ายในการขนส่งยุทโธปกรณ์ของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไปยังสนามบินบากรัม ทั้งขาไปและขากลับ ค่าใช้จ่ายสำหรับ สป.3 ในการขนย้ายกำลังพลทั้งไปและกลับ รวมไปถึงการส่งกำลังบำรุงตามวงรอบรายเดือน โดยใช้งานเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศไทย ค่าใช้จ่าย สป.3 สำหรับปฏิบัติการ (JP-8) ในภารกิจ หากใช้นอกเหนือจากที่จัดไว้ให้ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง การสร้างที่พักของกำลังพล ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลสนาม (Medical Unit Level 3) ของสหรัฐ และการให้ยืมชุดปฏิบัติการในสภาพอากาศหนาวเย็น (Cold weather gear) และชุดป้องกันนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี โดยรัฐบาลไทยต้องชดใช้กรณีอุปกรณ์เสียหายหรือชำรุด[4]
- กองทัพไทยจะต้องรับผิดชอบเอง ประกอบไปด้วย ค่าใช้จ่ายเงินตอบแทนกำลังพล ค่าใช้จ่ายดำรงชีพ การส่งกำลังและการเตรียมการเตรียมความพร้อมของหน่วย ค่าใช้จ่ายการปฏิบัติภารกิจ (ยกเว้น สป.3 JP-8) การบำรุงรักษายุทโธปกรณ์ การจัดหายุทโธปกรณ์เพิ่มเติม การเคลื่อนย้ายภายในประเทศ และการตรวจเยี่ยมหน่วย การจัดหาอะไหล่ชิ้นส่วน (PPL) ในการซ่อมบำรุง และการใช้จ่ายในการทดแทนกำลังพลและยุทโธปกรณ์[4]
จากนั้นคณะจากไทยได้เดินเท้าสำรวจหน้างานในบริเวณฐานทัพ โดยประกอบไปด้วยหน่วยทหารจากประเทศต่าง ๆ มาตั้งหน่วยภายในฐานทัพโดยเฉพาะจากเนโท รวมประมาณ 20 ประเทศ ระหว่างเดินสำรวจได้พบกับเครื่องจักรและเครื่องมือช่างขนาดใหญ่ และเครื่องจักรกลอีกหลายเครื่อง ที่ถูกใช้งานโดยกลุ่มประเทศที่มาช่วยเหลือสหรัฐปฏิบัติการและกำลังจะจบภารกิจ กองทัพไทยจึงได้จดบันทึกเอาไว้เพื่อประสานงานรับช่วงต่อเครื่องจักรดังกล่าว จะได้ลดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายอุปกรณ์จากประเทศไทย[3]
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่มีภายในฐานทัพคือระบบสุขาภิบาลพื้นฐาน มีโรงภาพยนตร์ในสนามรบ มีอาคารสโมสร มีโรงครัวตามมาตรฐานกองทัพสหรัฐ มีสนามกีฬา มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในฐานทัพเอง และมีระบบโทรศัพท์ดาวเทียม[3]
สำหรับพื้นที่สำคัญที่ทหารไทยจะมาปฏิบัติงานคือพื้นที่ทางวิ่งของสนามบิน ความยาวประมาณ 3000 เมตร ที่มีสภาพทรุดโทรม ซึ่งคณะได้พูดคุยเพื่อสอบถามความต้องการของสหรัฐ และได้ให้คำตอบสหรัฐไปว่าไทยสามารถดำเนินการได้อย่างแน่นอนในภารกิจนี้ ก่อนที่คณะจะเดินทางกลับมายังประเทศไทยผ่านเส้นทางเดิมคือโอมานและกลับสู่ประเทศไทย[3]
ส่งกำลังเข้าร่วม
[แก้]ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2546 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จัดกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน จำนวน 130 นาย ไปปฏิบัติภารกิจ ณ สนามบินบากรัม โดยมีชุดเดินทางส่วนหน้าเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ด้วยเรือคิโมชิตะ ของกองทัพเรือญี่ปุ่น ที่สหรัฐประสานงานมาเพื่อสนับสนุนการขนส่งทางทะเล โดยนำเครื่องจักรและอุปกรณ์จากประเทศไทยไปขึ้นฝั่งที่เมืองโดฮาร์ ประเทศกาตาร์ และมีเครื่องบิน ซี-17 ของกองทัพอากาศสหรัฐมารับช่วงในการลำเลียงบรรทุกเครื่องจักร ยุทโธปกรณ์ และกำลังพลชุดส่วนหน้าต่อไปยังสนามบินบากรัม ประเทศอัพกานิสถาน[3]
จากนั้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2546 กองร้อยทหารช่างและหน่วยแพทย์ทหาร นำโดย พันตรี สิรภพ ศุภวานิช ได้ออกเดินทางจากประเทศไทยด้วยเครื่องบิน ซี-130 ของกองทัพอากาศไทยเดินทางไปยังจุดหมายคือสนามบินบากรัม ประเทศอัพกานิสถานเพื่อสมทบกับกำลังส่วนหน้าที่ได้เดินทางไปล่วงหน้าแล้ว โดยมีสายการบังคับบัญชาขึ้นตรงกับกองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180 (Combined Joint Task Force 180: CJTF-180) และสิ้นสุดภารกิจลงเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546[3]
ภาพรวมของกองกำลัง
[แก้]กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน[5] มีกำลังพลจำนวน 130 นาย ประกอบไปด้วยกำลังจาก
- หน่วยทหารช่าง จำนวน 90 นายจากกรมการทหารช่าง โดยมี 1 หมวดก่อสร้างฯ และ 1 หมวดงานดินเป็นส่วนกำลังที่ปฏิบัติการเป็นหลัก[5]
- ส่วนสนับสนุน ตอนระวังป้องกัน[4]
- ส่วนสนับสนุน หน่วปฏิบัติการทางการแพทย์ จำนวน 12 นาย แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด[5]
และกำลังปฏิบัติการร่วมอื่น ๆ ปฏิบัติงานในลักษณะภารกิจร่วมบูรณาการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่เกิดความเสียหายหลังจากสภาวะสงครามที่กินเวลายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ โดยปฏิบัติภารกิจในส่วนของทางการช่าง (Engineer Support) การปฏิบัติการทางการแพทย์ (Medical Support) และการปฏิบัติการในภารกิจพิเศษที่ได้รับมอบหมายภายในพื้นที่เมืองบากรัม ชาริการ์ จังหวัดปาร์วัน ในกรอบของปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน ภายใต้การบังคับบัญชาของกองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180[5]
ประเทศไทยได้ส่งกำลังส่วนหน้าเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 และส่งกำลังชุดหลักมาปฏิบัติการเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2546 ปฏิบัติการจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546[3] ระยะเวลารวมประมาณ 6 เดือน[4]
ปฏิบัติการ
[แก้]การปฏิบัติการของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน มีภารกิจหลักในการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม[1] โดยแบ่งเป็น 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ
การปฏิบัติงานช่าง
[แก้]กองกำลังของไทยวางกำลังที่สนามบินบากรัม มีภารกิจหลักในการบูรณะและฟื้นฟูสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศอัฟกานิสถาน ร่วมกับหน่วยทหารช่างจำนวน 4 ชาต ประกอบไปด้วย สหรัฐ โปแลนด์ สโลวาเกีย และเกาหลีใต้ โดยกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถานได้รับมอบหมายงานก่อสร้างและซ่อมแซมจำนวน 8 โครงการ[5] คือ
- ก่อสร้างลานพื้นแข็งคอนกรีตเสริมเหล็ก (I.V.M.M.D. Concrete Pad) ความกว้าง 66.6 เมตร ความยาว 31.5 เมตร บริเวณเขตนิรภัยของทางวิ่งบนสนามบินบากรัม ระยะเวลา 37 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม - 30 เมษายน พ.ศ. 2546
- ติดตั้งระบบไฟฟ้า (Rewiring electrical work) ภายในอาคารกองบังคับการกองพลส่งทางอากาศที่ 82 (82nd Airborne Division) ประกอบไปด้วยงานติดตั้งกล่องควบคุม การเดินสายเมน การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า และการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าระบบไฟ 3 เฟส 110 โวลท์ ระเวลา 35 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 29 เมษายน พ.ศ. 2546
- ซ่อมแซมทางวิ่งสนามบินบากรัม (Runway Repair) ในพื้นที่ลงจอด (Landing Zone) ซึ่งมีการชำรุดและร้าวจากการทรุดตัว ขนาดความกว้าง 45 เมตร ความยาว 684 เมตร (2,736 Slabs) พื้นผิวคอนกรีตหนา 0.30 เมตร ปริมาณงานรวมแล้ว 36,936 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 2 เฟสงาน ด้วยการแบ่งครึ่งทางวิ่งเพื่อใช้งานอีกครึ่งสำหรับการรองรับการขึ้นลงของเครื่องบินลำเลียง ซี-17 และ ซี-130 โดยแต่เฟสประกอบไปด้วยงานเจาะ งานตัด งานรื้อผิวคอนกรีตทางวิ่งเดิม การขนย้ายวัสดุคอนกรีตเดิมทิ้ง งานปรับระดับ บดอัดชั้นใต้ฐาน (Subgrade) งานก่อสร้างชั้นฐาน (Base) งานเทคอนกรีตก่อสร้างชั้นผิวทางวิ่งใหม่ รวมไปถึงานตัดร่วม งานไหลทาง และการบ่งคอนกรีตก่อนใช้งาน แบ่งเป็น
- เฟสที่ 1 ฝั่งทิศตะวันตก ปริมาณงานรวม 18,468 ตารางเมตร ระยะเวลาโครงการ 120 วัน เริ่มงาน 21 เมษายน แล้วเสร็จ 22 กรกฎาคม และเปิดใช้งานหลังบ่มคอนกรีต 4 สิงหาคม พ.ศ. 2546
- เฟสที่ 2 ฝั่งทิศตะวันออก ปริมาณงานรวม 18,468 ตารางเมตร ระยะเวลาโครงการ 102 วัน เริ่มงาน 4 สิงหาคม แล้วเสร็จ 15 กันยายน พ.ศ. 2546
- วางระบบไฟฟ้า 3 เฟส (Rewiring electrical work) ในค่ายพักของหน่วยทหารสหรัฐอาหรับเอมิเรท จำนวน 40 หลัง ระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2546
- วางและติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส (Rewiring electrical work) พร้อมกับตู้ควบคุม ในอาคารพักของหน่วยกองพลรบป่าภูเขาที่ 10 ของสหรัฐ (10th Mountain Division) จำนวน 21 หลัง ระยะเวลา 26 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม - 23 มิถุนายน พ.ศ. 2546
- วางและติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส (Rewiring electrical work) พร้อมกับตู้ควบคุม ในอาคารพักของหน่วยกรมส่งทางอากาศที่ 187 ของอิตาลี (187th Parachute Regiment) จำนวน 12 หลัง ระยะเวลา 25 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2546
- ขยายทางขับสนามบินบากรัม (Taxiway Expansion) จำนวน 4 จุด ประกอบไปด้วยทางขับอัลฟา บราโว ชาลี และเอคโค ขยายทางขับออกข้างละ 6.6 เมตร ตลอดความยาวจุดละ 180 เมตร ระยะเวลาตั้งแต่ 18 มิถุนายน - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
- วางและติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส (Rewiring electrical work) พร้อมกับตู้ควบคุม ในอาคารพักของผู้รับเหมาพลเรือน (Civilian Contractor village) จำนวน 60 หลัง ระยะเวลา 54 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม - 15 กันยายน พ.ศ. 2546
การปฏิบัติการด้านการแพทย์
[แก้]นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติการด้านการแพทย์จากชุดแพทย์ กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน ประกอบไปด้วย[5]
- การบริการทางการแพทย์ให้กับกำลังพลทหารไทย ณ ที่ตั้งของหน่วย และการเฝ้าระวังโรคติดต่อต่าง ๆ รวมไปถึงงานด้านสาธารณสุขในค่ายพักของทหารไทย
- สนับสนุนชุดแพทย์สนามให้กับหน่วยทหารช่างกวาดล้างทุ่นระเบิดของสหรัฐ และโปแลนด์ (Demolition Engineer Support) พร้อมรับการช่วยชีวิตฉุกเฉินในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่โดยรอบสนามบินบากรัม ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ทุ่นระเบิดสังหารแบบ PMN-II, VM-I ทุ่นระเบิดดักรถถัง TM-62 และทุ่นระเบิดแบบโปรยหว่าน Blue-97
- การให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนชาวอัฟกานิสถาน (Medial for civil Affair) ประกอบไปด้วย
- งานบริการทางการแพทย์ร่วมกับเกาหลีใต้ ณ โรงพยาบาลสนามเกาหลีใต้ โดยได้ให้บริการผู้ป่วยชาวอัฟกานิสถานจำนวนทั้งสิ้น 16,420 คน
- งานบริการทางการแพทย์ตามโครงการหน่วยแพทย์คลื่อนที่ (Medical for civil action project) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านพลเรือนในพื้นที่รอบฐานทัพอากาศบากรัม และพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกับหน่วยแพทย์ (Task Force 44 Medical Briga3de: TF-44) ของสหรัฐ และหน่วยแพทย์เกาหลีใต้
สิ่งสืบเนื่อง
[แก้]ระหว่างการปฏิบัติการของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน ได้มีการวางแผนการปฏิบัติการของกองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรักอีกชุด ซึ่งในรายงานระบุว่าเครื่องจักรและยุทโธปกรณ์ทางการช่างหลังจากสิ้นสุดภารกิจในประเทศอัฟกานิสถานจะถูกนำไปใช้งานในประเทศอิรักต่อเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากประเทศไทย[4]
ดูเพิ่ม
[แก้]- กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก
- กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก
- กองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟู
- ประเทศไทยกับการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน". กระทรวงการต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "ละครมหาดไทย : จาก ป. (ปลี) สมุหพระกลาโหม ถึง ป. (ประวิตร ) รมว.กห". mgronline.com. 2011-03-07.
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 "ภาพเก่าเล่าตำนาน : ทหารช่างไทย…ไปทำอะไร…ในอัฟกานิสถาน โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก". www.matichon.co.th.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 บทบาทของกองทัพไทยในการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ (PDF). ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน (PDF). กรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-11-25. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25.