อาณาจักรธนบุรี
อาณาจักรธนบุรี | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พ.ศ. 2310–2325 | |||||||||||
แผนที่แสดงอาณาเขตของอาณาจักรธนบุรี พ.ศ. 2323 (เส้นสีแดง) | |||||||||||
สถานะ | ราชอาณาจักร | ||||||||||
เมืองหลวง | กรุงธนบุรี | ||||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษาไทย | ||||||||||
ศาสนา | ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท | ||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตยแบบประชานิยม | ||||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||||
• 2310–2325 | สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี | ||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคใหม่ | ||||||||||
• สถาปนา | 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 | ||||||||||
• รวมแผ่นดินสำเร็จ | พ.ศ. 2313 | ||||||||||
• สิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี | 6 เมษายน พ.ศ. 2325 | ||||||||||
| |||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ |
ประวัติศาสตร์ไทย |
---|
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึง ปีพุทธศักราช |
อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรที่มีระยะเวลาสั้นที่สุดของไทย คือระหว่าง พ.ศ. 2310–2325 ระยะเวลา 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลังอาณาจักรอยุธยาล่มสลายไปพร้อมกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ทว่า ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน
ประวัติ
[แก้]การกอบกู้เอกราช
[แก้]เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่างสงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[1] พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมืองนครนายก เมืองปราจีนบุรี พัทยา สัตหีบ ระยอง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้เป็น "เจ้า"[2] และตีจนได้เมืองจันทบุรีและตราด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310[3]
ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่าได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมีสุกี้เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพธิ์สามต้น พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น
ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี[4] และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนบุรี[5] เนื่องจากทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงจนไม่อาจปฏิสังขรณ์ได้กลับคืนดังเดิม โดยเรียกนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ส่วนสาเหตุที่ทรงเลือกนั้นเป็นเพราะว่าเมืองธนบุรีมีขนาดเล็กและชัยภูมิ มีปราการป้องกันเข้มแข็ง ทำให้ข้าศึกรุกรานได้ยาก และยังสามารถใช้เป็นสถานที่หลบหนีไปตั้งหลักยังเมืองจันทบุรีได้ทางเรือได้อีก[6]
การรวมชาติและการขยายตัว
[แก้]ครั้งเมื่อพระเจ้ามังระแห่งอาณาจักรพม่าทรงทราบข่าวเรื่องการกอบกู้เอกราชของไทย พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองทวายคุมกองทัพมาดูสถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรอยุธยาเดิม เมื่อปลาย พ.ศ. 2310 แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปโดยกองทัพธนบุรี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงนำทัพมาด้วยพระองค์เอง[7]
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน กรมหมื่นเทพพิพิธสู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311[8] เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ นักองราม เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์โปรดให้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ[9]
ในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมืองเสียมราฐ และเมืองพระตะบอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้
ในปี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพขึ้นไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง โดยตีได้เมืองพิษณุโลก และตามไปตีชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรีได้ และทรงประทับ ณ เมืองสวางคบุรี เพื่อสมโภชการสำเร็จศึก และจัดการการปกครองและคณะสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ตลอดฤดูน้ำ 2 เดือนเศษ ซึ่งนับเป็นชุมนุมอิสระสุดท้ายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝางได้นั้น นับเป็นการพระราชสงครามสุดท้ายที่ ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงบรรลุพระราชภารกิจสำคัญ ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวดังเดิมหลังภาวะจลาจลเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 และทำให้สิ้นสุดสภาพจลาจลการแยกชุมนุมอิสระภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และนับเป็นการสถาปนากรุงธนบุรีได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสำเร็จศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝาง ในปี พ.ศ. 2313[10]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การสิ้นสุด
[แก้]หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวว่า เกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาสรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงทำศึกอยู่ที่กัมพูชา ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และต่อมาสมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระองค์โตก็ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ส่งผลให้อาณาจักรธนบุรีสิ้นสุดลง
การปกครอง
[แก้]การปกครองในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ดัดแปลงมาจากกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
การปกครองส่วนกลาง
[แก้]กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลาง มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง " เจ้าพระยา " จำนวน 2 ท่าน ได้แก่
- สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ในฐานะเจ้าเสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้เป็นจะมียศเป็น "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" หรือที่เรียกว่า "ออกญาจักรี"
- สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ยศนั้นก็จะมี "เจ้าพระยามหาเสนา" หรือที่เรียกว่า "ออกญากลาโหม"
ส่วนจตุสดมภ์นั้นยังมีไว้เหมือนเดิม มีเสนาบดีตำแหน่ง " พระยา " จำนวน 4 ท่าน ได้แก่
- กรมเวียง หรือ นครบาล มีพระยายมราชทำหน้าที่ดูแล และ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
- กรมวัง หรือ ธรรมาธิกรณ์ มีพระยาธรรมาธิกรณ์ ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน
- กรมคลัง หรือ โกษาธิบดี มีพระยาโกษาธิบดี ทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายสินค้า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองฝ่ายตะวันออกด้วย
- กรมนา หรือ เกษตราธิการ มีพระยาพลเทพ ทำหน้าที่ดูแลการเกษตรกรรม หรือ การประกอบอาชีพของประชากร
การปกครองส่วนภูมิภาค
[แก้]- หัวเมืองชั้นใน จะมีผู้รั้งเมือง เป็นผู้ปกครอง จะอยู่รอบๆไม่ไกลจากราชธานี
- เมืองพระยามหานคร จะแบ่งออกได้เป็น เมืองเอก โท ตรี จัตวา มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง
- เมืองประเทศราช คือเมืองที่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้กรุงธนบุรี ซึ่งในขณะนั้น จะมี นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู มะริด ตะนาวศรี พุทไธมาศ พนมเปญ สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด จำปาศักดิ์ หลวงพระบาง และ เวียงจันทน์ ฯลฯ
เศรษฐกิจ
[แก้]ราคาข้าว | ||
---|---|---|
ปี | ราคา | |
ต้นรัชกาล | ถังละเท่ากับทองคำครึ่งบาท | [11] |
2311-2312 | เกวียนละ 160 บาท | [12] |
2313 | เกวียนละ 3 ชั่ง | [13] |
2317 | เกวียนละ 10 ตำลึง | [12] |
ช่วงต้นรัชกาล สภาพบ้านเมืองเสียหายจากการทำสงครามอย่างหนัก เกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย[14] เนื่องจากขาดการทำนามานาน ราคาข้าวในอาณาจักรสูงเกือบตลอดรัชกาล ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงในตอนปลายรัชกาล จะมีเพิ่มสูงขึ้นบ้างก็ในปี พ.ศ. 2312 ที่เกิดหนูระบาด[12] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อข้าวมาให้แก่ราษฎรทั้งหลาย ช่วยคนได้หลายหมื่น[15] ทั้งยังกระตุ้นให้ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ เนื่องจากไม่อาจพึ่งรายได้จากภาษีอากรจากผู้คนที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้ อีกทั้งการส่งเสริมการขายสินค้าพื้นเมืองยังเป็นการสร้างงานให้กับชาวบ้าน โดยพระองค์ได้ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น[16][17][18]
ผลดีประการหนึ่งของสงครามคราวเสียกรุงคือมีผู้คนอพยพมาสร้างความเจริญแก่ท้องที่อื่นให้ดีขึ้นกว่าสมัยอยุธยามาก[19] กรุงธนบุรีได้กลายมาเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของไทยแทนกรุงศรีอยุธยาเดิมที่ถูกเผาทำลายไป[20] และเนื่องจากเมืองมะริดและตะนาวศรีได้ตกเป็นของพม่าอย่างถาวร จึงทำให้เมืองถลางได้กลายเป็นเมืองท่าสำคัญในการค้าขายกับต่างชาติทางฝั่งทะเลอันดามันแทน โดยในสมัยอยุธยามีความสำคัญเป็นเมืองท่าลำดับสอง และมีดีบุกเป็นจำนวนมาก[20] เช่นเดียวกับเมืองไชยาและเมืองสงขลาที่เจริญก้าวหน้ากว่าในสมัยอยุธยาเดิม ชาวต่างชาติยังเขียนอีกว่า ท้องที่ใดมีชาวจีนอาศัยอยู่มาก ท้องที่แห่งนั้นย่อมเจริญแน่ เพราะคนจีนขยันกว่าคนไทย[21]
ไทยมีรากฐานเศรษฐกิจดี มีภูมิประเทศและภูมิอากาศเอื้อต่อเกษตรกรรม เมื่อเว้นว่างจากศึกสงคราม เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ขึ้นดังเดิม ฝ่ายคนจีนและคนไทยบางส่วนได้เอาเงินและทองที่บรรพชนเก็บไว้ในพระพุทธรูปไป บ้างก็ทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์เสียเพื่อเอาเงิน บาทหลวงคอร์ระบุว่า "การที่ประเทศสยามกลับตั้งแต่ได้เร็วเช่นนี้ ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน ถ้าพวกจีนไม่ใช่เป็นคนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้คงไม่มีเงินใช้เป็นแน่"[22]
สังคม
[แก้]ชนชั้นทางสังคม
[แก้]สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น
- พระมหากษัตริย์
- พระบรมวงศานุวงศ์
- ขุนนาง
- ไพร่ เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม[23]
- ทาส
หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบรากันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา
การศึกษา
[แก้]สมัยกรุงธนบุรีเป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย การฟื้นฟูการศึกษาจึงทำได้ไม่มากนัก แต่วัดก็ยังเป็นแหล่งที่ให้การศึกษาอยู่ โดยมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้นที่มีโอกาสศึกษา เพราะต้องอยู่กับพระที่วัดเรียนหนังสือและได้รับการอบรมความประพฤติ เรียนพระธรรม ภาษาบาลีสันสกฤต และศัพท์เขมร เพื่อประโยชน์ในการอ่านคัมภีร์พระพุทธศาสนา นอกจากนี้มีวิชาเลข เน้นมาตรา ชั่ง ตวง วัด มาตราเงินไทย และการคิดหน้าไม้ ซึ่งจะต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีวิชาช่างฝีมือสำหรับเด็กโต ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานช่างก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ในการบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะ และสิ่งก่อสร้างภายในวัด สำหรับการเรียนวิชาชีพโดยตรงนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ใครมีอาชีพอะไรก็ถ่ายทอดวิชานั้นๆ ให้แก่ลูกหลานของตนตามสายตระกูล เช่น วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาช่างปั้น ช่างถม ช่างแกะสลัก ช่างปูนปั้น ช่างเหล็ก ช่างเงิน ช่างทอง ส่วนการศึกษาสำหรับเด็กหญิง จะถือตามประเพณีโบราณคือ เรียนเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว การจัดบ้านเรือน การฝึกอบรมมารยาทของกุลสตรี สังคมสมัยนั้นไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ จึงมีน้อยคนที่อ่านออกเขียนได้[24]
วัฒนธรรม
[แก้]รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแม้จะไม่ยาวนานนักได้ฟื้นฟูปรับปรุงบ้านเมืองในด้านวัฒนธรรมอย่างมากเช่น ด้านศาสนาได้แต่งตั้งพระสังฆราช ด้านศิลปะผลงานไม่เด่นชัด ด้านการศึกษาเด็กผู้ชายจะมีโอกาสได้เรียนเท่านั้น
วรรณกรรม
[แก้]ถึงแม้ว่ากรุงธนบุรีจะดำรงอยู่เป็นเวลาอันสั้น วรรณกรรม วรรณคดีทั้งหลายถูกทำลายลง แต่ก็มีเวลาที่จะมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2313 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชกาลพระองค์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับนี้มี 4 ตอน แบ่งออกเป็น 4 เล่มด้วยกัน
- นายสวน มหาดเล็ก ซึ่งแต่งโคลงสี่สุภาพ แต่งขึ้นเพื่อยกพระเกียรติและสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 85 บท เป็นสำนวนที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่าด้วยเป็นหลักฐานที่คนรุ่นต่อมาได้ทราบถึงสภาพบ้านเมืองและความเป็นไปในยุคนั้น[25]
- หลวงสรวิชิต (หน) ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาพระคลัง (หน) งานประพันธ์ของท่านเป็นที่รู้จักและแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน เช่น สามก๊ก เป็นต้น ส่วนในสมัยกรุงธนบุรี ประพันธ์เรื่อง ลิลิตเพชรมงกุฎ (พ.ศ. 2310–2322) และอิเหนาคำฉันท์ (พ.ศ. 2322)
- นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน หรือ นิราศกวางตุ้ง แต่งเมื่อปี พ.ศ. 2324
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
[แก้]ลำดับเหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงธนบุรี (2310–2325)
[แก้]- พ.ศ. 2310
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชครั้งที่ 2 ให้กับกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ พระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ขณะมีพระชนมายุได้ 33 พรรษา และสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่แทนกรุงศรีอยุธยา เกิดสงครามกับพม่าที่บางกุ้ง เมืองสมุทรสงคราม
- พ.ศ. 2311
- เริ่มปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก เกิดการระบาดของหนู
- พ.ศ. 2312
- ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชสำเร็จ ยกทัพไปตีเขมรครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ
- อัญเชิญพระไตรปิฎกจากเมืองนครศรีธรรมราชมายังกรุงธนบุรี
- พ.ศ. 2313
- เกิดสงครามกับพม่าที่เมืองสวางคบุรี และขับไล่ทหารพม่าเป็นผลสำเร็จ และยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 1 แต่ไม่สำเร็จ
- ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์จำนวน 4 ตอน
- พ.ศ. 2314
- ยกทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2 และสามารถปราบเขมรไว้ในอำนาจ นายสวนมหาดเล็กแต่งโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี เริ่มการสร้างกำแพงเมืองกรุงธนบุรี
- พ.ศ. 2315
- พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 1 โดยโปสุพลาแต่ไม่สำเร็จ
- พ.ศ. 2316
- รบชนะพม่าที่มาตีเชียงใหม่และเมืองพิชัยเป็นครั้งที่ 2 ทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
- พ.ศ. 2317
- รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี พม่าถูกจับและเสียชีวิตไปมากมาย ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
- สมเด็จกรมพระเทพามาตย์ เสด็จสวรรคต
- พระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละ เมืองเชียงใหม่ เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
- พ.ศ. 2318
- พม่ายกทัพใหญ่มาตีหัวเมืองเหนือโดยการนำทับของอะแซหวุ่นกี้ ซึ่งถือเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี แต่ไม่สำเร็จ ทหารพม่าถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
- พ.ศ. 2319
- พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ
- โปรดให้สร้างสมุดภาพไตรภูมิ
- ทรงรับปืนนกสับจากฟรานซิส ไลท์ จำนวน 1,400 กระบอก
- พ.ศ. 2321
- โปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาจักรีไปปราบเจ้าเมืองนางรอง เจ้าเมืองนางรองถูกจับประหารชีวิต และนำกองกำลังไปตีและยึดนครจำปาศักดิ์ ทำให้เมืองจำปาศักดิ์ เมืองอัตตะปือ และ ดินแดนตอนใต้ของประเทศลาวตกลงมาเป็นของไทย หลังจากจบศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาจักรี เป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมา ทุกนัคราระเดช นเรศวรราชสุริยวงศ์ดำรงตำแหน่งสมุหนายก
- พ.ศ. 2322
- โปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปตีเวียงจันทน์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาไว้ที่ กรุงธนบุรี พระแก้วมรกตประดิษฐ์ไว้ที่วัดอรุณฯ ส่วนพระบางคืนไปในสมัยรัชกาลที่ 1
- เกิดกบฎมหาดา
- พ.ศ. 2323
- เกิดจลาจลในเขมร โปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระองค์เจ้าจุ้ย ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อน หลวงสรวิชิต(หน) แต่งอิเหนาคำฉันท์
- พ.ศ. 2324
- ส่งทัพไปปราบจลาจลในเขมร
- พระยาสรรค์เป็นกบฏ
- พ.ศ. 2325
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงธนบุรีสิ้นสุดลง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ John Bowman. Columbia Chronologies of Asian History and Culture. Columbia University Press. p. 514. ISBN 0-231-11004-9.
- ↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์, รศ. (2003). บรรพบุรุษไทย: สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 5. ISBN 974-13-2394-8.
- ↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา 2012, p. 385.
- ↑ จรรยา ประชิตโรมรัน (2005) [1997]. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (4 ed.). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 55. ISBN 974-13-3394-3.
- ↑ ภัทรธาดา (พฤษภาคม 1981). เอกสารบรรยายพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี. ชลบุรี. p. 9–10.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ, บ.ก. (26 มิถุนายน 2007). นิราศเมืองแกลง ของสุนทรภู่. กองทุนสุนทรภู่. pp. 123–124. ISBN 978-974-482-064-8.
- ↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา 2012, p. 411–414.
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2022, p. 158.
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2022, p. 159.
- ↑ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเล่ม 3 (11 ed.). นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. 2016. ISBN 978-616-16-1192-7.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 6.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 7.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 8.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 2.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 5.
- ↑ Chris Baker; Pasuk Phongpaichit. A History of Thailand. Cambridge University Press. p. 32. ISBN 0-521-81615-7.
- ↑ Time Out Bangkok: And Beach Escapes. Time Out. 2007. p. 84. ISBN 1-84670-021-3.
- ↑ Paul M. Handley (2006). The King Never Smiles. Yale University Press. p. 27. ISBN 0-300-10682-3.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 16.
- ↑ 20.0 20.1 ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 12.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, pp. 15–16.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ 1998, p. 25.
- ↑ "แรงงานไพร่ในสังคมไทยโบราณ (ตอนที่ 1)". Hfocus.org. 16 มิถุนายน 2014.
- ↑ 53 พระมหากษัตริย์ไทย: ธ ครองใจไทยทั้งชาติ. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. 2000. pp. 244–245. ISBN 974-277-751-9.
- ↑ กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, คุณหญิง (2000). วรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ฉบับแปล. โครงการวรรณกรรมอาเซียน. ISBN 974-272-293-5.
บรรณานุกรม
[แก้]- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา (2012) [1920]. พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า (4 ed.). กรุงเทพฯ: มติชน. ISBN 978-974-02-0920-1.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ตุลาคม 2022) [1986]. การเมืองไทย สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (15 ed.). มติชน. ISBN 978-974-02-1805-0.
- ชัย เรืองศิลป์ (1998). ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. 2352–2453, ด้านเศรษฐกิจ. Vol. 2 (3 ed.). ไทยวัฒนาพานิช. ISBN 974-08-4124-4.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "พระราชวังเดิม พระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช", วิถีไทย : ความรู้เรื่องชีวิตของคนไทย
- ทองเจือ เขียดทอง, ผศ.; และคณะ (2018), "ธนะบุรี วิถีศิลป์", นิทรรศการดิจิทัลศิลปกรรมกรุงธนบุรี, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-05, สืบค้นเมื่อ 2023-04-05
- อาณาจักรธนบุรี
- อาณาจักรสยาม
- รัฐสิ้นสภาพในทวีปเอเชีย
- รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 18
- สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18
- ประวัติศาสตร์ไทย
- ราชอาณาจักรในอดีต
- การล่มสลายของอาณาจักรอยุธยา
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศไทย
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศลาว
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศเวียดนาม
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศกัมพูชา
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศพม่า
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศจีน
- รัฐพุทธ
- ราชาธิปไตยในอดีต
- กลุ่มราชาธิปไตย