ตราสารยอมจำนนของเยอรมนี
ตราสารยอมจำนนของเยอรมนี เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ส่งผลให้เกิดการวางอาวุธโดยไร้เงื่อนไขของแวร์มัคท์ ถือเป็นจุดสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป ตราสารดังกล่าวลงนามที่กรุงเบอร์ลินในเวลา 21.20 น. ของวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ระหว่างผู้แทนสามเหล่าทัพของกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ (OKW), ผู้แทนกำลังรบต่างแดนสัมพันธมิตร และผู้แทนกองบัญชาการสูงสุดกองทัพแดง โดยมีสหรัฐและฝรั่งเศสเป็นสักขีพยาน ตราสารยอมจำนนดังกล่าวมีสามภาษา แต่เฉพาะฉบับภาษาอังกฤษและภาษารัสเซียที่มีอำนาจใช้บังคับ
วันที่ 8 พฤษภาคม ถือเป็นวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปในชาติตะวันตก แต่โซเวียตเลือกเฉลิมฉลองในวันที่ 9 พฤษภาคม วันดังกล่าวในเยอรมนีเป็นที่รู้จักกันว่าวันแห่งการยอมจำนน[1]
เบื้องหลัง
[แก้]การร่างข้อความในตราสารยอมจำนนเริ่มขึ้นโดยผู้แทนสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และสหราชอาณาจักรที่คณะกรรมการที่ปรึกษายุโรป (EAC) ตลอดปี ค.ศ. 1944 และเมื่อวันที่ 3 มกราคม ปีเดียวกัน คณะกรรมการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของ EAC ได้เสนอให้การยอมจำนนของเยอรมนีควรจะบันทึกในเอกสารยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขเพียงฉบับเดียว[2]
คณะกรรมการเสนอต่อไปว่าตราสารยอมจำนนนั้นควรจะได้รับการลงนามโดยผู้แทนจากกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ การพิจารณาเบื้องหลังข้อเสนอแนะดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดตำนานแทงข้างหลังซ้ำอีก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ก่อตัวขึ้นในเยอรมนีหลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นับตั้งแต่การยอมจำนนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งได้รับการลงนามโดยผู้แทนของรัฐบาลเยอรมัน และวงการทหารในภายหลังอ้างว่ากองบัญชาการทหารสูงสุดไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น
เงื่อนไขการยอมจำนนของเยอรมนีนั้นได้รับการอภิปรายเป็นครั้งแรกที่การประชุม EAC ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1944
วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1945 EAC ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้แทนเชโกสโลวาเกีย เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก นอร์เวย์ ยูโกสลาเวีย และกรีซเกี่ยวกับประเด็นของตราสารยอมจำนนนี้ รัฐบาลเช็กเสนอว่าตราสารควรจะมีข้อความซึ่งต่อต้านการได้มาซึ่งดินแดนด้วยกำลัง และกล่าวถึงความรับผิดชอบของรัฐเยอรมนีต่อสงคราม รัฐบาลเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ด้วยความกังวลถึงสถานะของตนในฐานะชาติฝ่ายสัมพันธมิตรเล็ก ๆ แนะนำว่า ตราสารยอมจำนนควรจะกล่าวยอมรับถึงการควบคุมเยอรมนีในส่วนของชาติขนาดเล็กโดยเฉพาะ รัฐบาลนอร์เวย์ต้องการให้ตราสารมีการอ้างอิงโดยเฉพาะถึงการยอมจำนนของกองทัพเยอรมันในนอร์เวย์ รัฐบาลยูโกสลาเวียประกาศเจตนาที่จะระงับการแนะนำใด ๆ จนกว่าจะมีความตกลงจากรัฐบาลสมานฉันท์ระหว่างโจซิป โบรซ ติโต และนายกรัฐมนตรีอีวาน รัฐบาลกรีกเสนอให้รวมข้อเรียกร้องให้กองทัพเยอรมันที่ยังอาจหลงเหลืออยู่ในดินแดนกรีก ณ ขณะที่มีการยอมจำนน ให้ยอมจำนนยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้แก่รัฐบาลกรีก[3]
พิธีการยอมจำนน
[แก้]การยอมจำนนในแรมส์
[แก้]ตราสารยอมจำนนฉบับแรกถูกลงนามที่แรมส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเวลา 2.41 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 พิธีลงนามมีขึ้นในอาคารเรียนอิฐแดงซึ่งใช้เป็นกองบัญชาการสูงสุดกำลังรบนอกประเทศสัมพันธมิตร (SHAEF)[4] และจะมีผลเมื่อเวลา 23.01 น. ตามเวลายุโรปกลาง ของวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945[5]
การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของแวร์มัคท์ถูกลงนามโดยพลเอกอาวุโสอัลเฟรด โยเดิล ในนามของกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์และในนามผู้แทนของประธานาธิบดีเยอรมนีคนใหม่ จอมพลเรือคาร์ล เดอนิทซ์ ส่วนของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกถูกลงนามโดย พลโทวัลเตอร์ เบเดล สมิธ ส่วนของสหภาพโซเวียตลงนามโดยพลตรีอีวาน ซูสโลปารอฟ
การยอมจำนนในเบอร์ลิน
[แก้]เนื่องจากพิธีการในแรมส์จัดขึ้นโดยฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกโดยไม่ได้ตกลงกับกองบัญชาการทหารโซเวียต ไม่นานหลังจากมีการลงนามยอมจำนนแล้ว ฝ่ายโซเวียตได้ประกาศว่าผู้แทนโซเวียตในแรมส์ พลเอกซูสโลปารอฟ ไม่มีอำนาจที่จะลงนามในตราสารนี้[6] ยิ่งไปกว่านี้ สหภาพโซเวียตยังพบอีกว่าตราสารซึ่งลงนามในแรมส์มีข้อความแตกต่างไปจากร่างที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับการรับรองโดยประเทศยิ่งใหญ่ทั้งสาม[6] ที่สำคัญ บางส่วนของกองทัพเยอรมันปฏิเสธที่จะยอมวางอาวุธและยังคงทำการสู้รบต่อไปในเชโกสโลวาเกีย โดยได้มีการประกาศในสถานีวิทยุเยอรมันว่าเยอรมนีตกลงสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก มิใช่กับฝ่ายโซเวียต[6]
ฝ่ายโซเวียตแย้งว่าการยอมจำนนนั้นควรจะจัดขึ้นอย่างเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ และไม่ควรมีพิธีในดินแดนของผู้ยึดครอง แต่ในสถานที่ซึ่งการรุกรานของเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นมา: ในเบอร์ลิน[6] ฝ่ายโซเวียตยืนกรานว่าการยอมจำนนในลงนามในแรมส์นั้นควรจะถูกพิจารณาว่าเป็น "พิธีสารชั้นต้นของการยอมจำนน"[7] ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงให้มีพิธีการยอมจำนนอีกครั้งหนึ่งในเบอร์ลิน[7] ตราสารยอมจำนนทางทหารได้รับการลงนามไม่นานก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 8 พฤษภาคม[8] ณ ที่ทำการทหารสารบรรณโซเวียตในเบอร์ลิน-คาร์ลชอร์สท์ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เยอรมนี-รัสเซียเบอร์ลิน-คาร์ลชอร์สท์
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ Grosshistoricher Weltatlas, 1965 edition See end of World War II map
- ↑ Memorandum by the Working Security Committee, January 3, 1944, Foreign Relations of the United States 1944, vol I, p. 101
- ↑ Report of the Allied Consultation Committee to the European Advisory Commission, March 14, 1945 Foreign Relations of the United States 1945, vol. III, pp. 191-198
- ↑ I remember the German surrender, Kathryn Westcott, BBC News, May 4, 2005.
- ↑ Act of Military Surrender Signed at Rheims at 0241 on the 7th day of May, 1945 เก็บถาวร 2009-07-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The Avalon Project, Yale University Law School, © 1996-2007, The Lillian Goldman Law Library in Memory of Sol Goldman.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Pinkus, p. 501-3
- ↑ 7.0 7.1 Chaney p. 328
- ↑ Earl F. Ziemke References CHAPTER XV:The Victory Sealed Page 258 second last paragraph
อ้างอิง
[แก้]- Chaney, Otto Preston. Zhukov. University of Oklahoma Press, 1996, ISBN 0806128070, 9780806128078.
- Pinkus, Oscar . The war aims and strategies of Adolf Hitler, McFarland, 2005, ISBN 0786420545, 9780786420544
- Ziemke, Earl F. "The U.S. Army in the occupation of Germany 1944-1946" Center of Military History, United States Army, Washington, D. C., 1990, Library of Congress Catalog Card Number 75-619027
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- History Documents: "Surrender of Germany (1945)" เก็บถาวร 2009-05-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (photos, refs)