ข้ามไปเนื้อหา

การให้มีผู้แทนแบบจัดสรรปันส่วนผสม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม หรือ ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่มีสมาชิกแบบผสม (อังกฤษ: mixed-member proportional representation; ย่อ: MMP/MMPR) เป็นระบบเลือกตั้งแบบผสมซึ่งผู้ออกเสียงลงคะแนนมีคะแนนเสียงสองเสียง โดยเสียงหนึ่งใช้ตัดสินผู้แทนสำหรับเขตเลือกตั้งแบบที่นั่งเดียว และอีกเสียงหนึ่งใช้ตัดสินเลือกพรรคการเมือง ที่นั่งในสภานิติบัญญัติจะจัดสรรให้แก่ผู้สมัครแบบแบ่งเขตที่ได้รับเลือกตั้งก่อน และลำดับที่สองจะจัดสรรให้แก่ผู้สมัครจากพรรคการเมืองโดยคิดตามร้อยละของคะแนนเสียงทั่วประเทศหรือทั่วพื้นที่หนึ่ง ๆ ซึ่งแต่ละพรรคได้รับ[1][2][3] ผู้แทนแบบแบ่งเขตจะใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (first-past-the-post) หรือระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า/ฝ่ายข้างมากอย่างอื่น ส่วนในระดับประเทศนั้นผู้แทนทั่วประเทศหรือภูมิภาคหนึ่ง ๆ มาจากบัญชีรายชื่อซึ่งมีการเผยแพร่ไว้ คล้ายกับการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ในการได้มาซึ่งผู้แทนตัวประเทศ พรรคการเมืองอาจจำเป็นต้องได้ผู้สมัครแบบแบ่งเขตจำนวนหนึ่ง และร้อยละของจำนวนคะแนนเสียงของพรรคทั่วประเทศจำนวนหนึ่ง หรือทั้งคู่

ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม (MMP) แตกต่างจากการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน (parallel voting) ตรงที่จำนวนที่นั่งในสภามีการจัดสรรแก่พรรคการเมืองแบบบังคับเพื่อชดเชยให้ได้ผลลัพธ์การเลือกตั้งแบบเป็นสัดส่วน และแตกต่างจากระบบเสียงเดียวผสมตรงที่ผู้ลงคะแนนสามารถออกเสียงลงคะแนนแยกให้กับพรรคการเมืองหนึ่งในระดับท้องถิ่นและอีกพรรคการเมืองหนึ่งในระดับชาติได้ ภายใต้ระบบ MMP พรรคการเมืองสองพรรคที่ได้คะแนนเสียงร้อยละ 25 เท่ากันอาจได้ที่นั่งร้อยละ 25 เท่ากันแม้พรรคการเมืองหนึ่งชนะเขตเลือกตั้งมากกว่าอีกพรรคหนึ่ง โดยผลลัพธ์ที่แน่นอนนั้นขึ้นอยู่กับระบบที่ใช้ในแต่ละประเทศซึ่งอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันซึ่งทำให้ผลของความเป็นสัดส่วนนั้นต่างกันได้[4] โดยจะมีประเด็นเรื่องที่นั่งส่วนขยาย (overhang seats) ที่เกิดขึ้นโดยพรรคการเมืองใดที่ชนะการเลือกตั้งมากในแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จนกระทั่งว่าจำนวนที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อไม่อาจชดเชยได้ครบถ้วนจะทำให้ความเป็นสัดส่วนลดลง โดยการแก้ปัญหาวิธีนี้ทำได้โดยการขยายขนาดสภา (เพิ่มจำนวนที่นั่ง) เพื่อให้สัดส่วนยังคงเดิมและลดความไม่เป็นสัดส่วนลง[5]

เดิมระบบ MMP ใช้เริ่มแรกเพื่อเลือกตั้งผู้แทนในสภาบุนเดิสทาคของเยอรมนี และต่อมาโบลิเวีย เลโซโทและนิวซีแลนด์รับไปใช้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ในโรมาเนียระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาปี 2551 และ 2555 ในเยอรมนีนั้นใช้ทั้งในการเลือกตั้งระดับสหพันธ์และในระดับรัฐเกือบทั้งหมด โดยเรียกระบบการลงคะแนนแบบนี้ว่า "ระบบสัดส่วนแบบเฉพาะตัว" (เยอรมัน: personalisiertes Verhältniswahlrecht) ส่วนในสหราชอาณาจักร ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสมแบบปรับเปลี่ยนได้นำมาใช้ในสกอตแลนด์ เวลส์ และสภาลอนดอน โดยเรียกว่า "ระบบสมาชิกเพิ่มเติม" (additional member system)[6][7] ในรัฐเกแบ็กของแคนาดาซึ่งทำการศึกษาการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมนี้ เรียกว่า "ระบบลงคะแนนแบบสมาชิกผสมแบบมีการชดเชย" (ฝรั่งเศส: système mixte avec compensation) [8]

ขั้นตอน

[แก้]
ผลการเลือกตั้งระดับสหพันธ์ของเยอรมนี ค.ศ. 2017 โดยแสดงให้เห็นถึงที่นั่งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ตัวอย่างเช่น พรรค FDP (สีเหลือง) ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตเลย แต่จำนวนสมาชิกสภาของพรรคทั้งหมด 80 คนล้วนมาจากระบบบัญชีรายชื่อ

ในระบบสัดส่วนผสมส่วนใหญ่จะดำเนินการดังนี้ ผู้ลงคะแนนมีคะแนนเสียงคนละสองคะแนน คะแนนแรกสำหรับผู้แทนแบบแบ่งเขต และอีกคะแนนสำหรับพรรคการเมือง ส่วนในแบบต้นฉบับที่ใช้ในเยอรมนีนั้น ผู้ลงคะแนนมีเพียงคะแนนเดียว กล่าวคือเมื่อทำการลงคะแนนเลือกผู้แทนจะถือว่าทำการเลือกพรรคการเมืองของผู้สมัครรายนั้นโดยอัตโนมัติ ต่อมาในรัฐส่วนใหญ่ของเยอรมนีได้เปลี่ยนไปใช้แบบสองคะแนนเพื่อให้ผู้แทนแบบแบ่งเขตนั้นมีความยึดโยงกับท้องถิ่นมากขึ้น โดยผู้ลงคะแนนสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากท้องถิ่นในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องคำนึงถึงสังกัดพรรคการเมือง เนื่องจากคะแนนฝั่งพรรคการเมืองนั้นมาจากคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น ในการเลือกตั้งทั่วไปนิวซีแลนด์ ปีค.ศ. 2017 ผู้ลงคะแนนจำนวนร้อยละ 27.33 พบพฤติกรรมการแบ่งคะแนน (โดยผู้ลงคะแนนทำการเลือกผู้สมัครจากท้องถิ่นซึ่งต่างสังกัดกันกับพรรคการเมืองที่เลือกในแบบบัญชีรายชื่อ) ลดลงจากปีค.ศ. 2014 ที่มีมากถึงร้อยละ 31.64

ในแต่ละเขตเลือกตั้งนั้นจะมีผู้ชนะเพียงคนเดียว ปกติแล้วจะใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (ผู้ที่ได้คะแนนนำสูงสุดชนะ)

ในระบบบัญชีรายชื่อส่วนใหญ่ในแบบบัญชีปิดในการเลือกสมาชิกผู้แทนแบบไม่แบ่งเขต (หรือเรียกว่า "สมาชิกผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ") ในประเทศส่วนใหญ่สามารถส่งชื่อผู้สมัครรายเดียวกันได้ทั้งในแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อพร้อม ๆ กัน (ในนิวซีแลนด์เรียกว่า "ผู้สมัครคู่") ในเวลส์ระหว่างปีค.ศ. 2006 จนถึงค.ศ. 2014 ห้ามการลงสมัครคู่ กล่าวคือผู้สมัครสามารถเลือกลงแข่งเลือกตั้งได้เพียงระบบแบ่งเขต หรือระบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น โดยไม่สามารถเลือกลงสองระบบพร้อม ๆ กันได้ หากผู้สมัครรายนั้นอยู่ในบัญชีรายชื่อและชนะการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตด้วย จะไม่ถือว่าได้สองที่นั่ง โดยผู้สมัครรายนั้นจะถูกข้ามชื่อไปในระดับบัญชีรายชื่อโดยลำดับถัดไปจะได้รับเลือกแทน

ในบาวาเรีย คะแนนเสียงที่สองนั้นไม่เพียงให้แค่พรรคการเมืองเท่านั้น แต่ยังให้คะแนนเสียงผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อท้องถิ่นด้วย โดยบาวาเรียนำระบบนี้มาใช้ในทั้งเจ็ดเขต ระบบบัญชีรายชื่อท้องถิ่นแบบบัญชีเปิด ได้ถูกเสนอโดยคณะกรรมาธิการเจนกินส์เพื่อนำมาใช้ในการปฏิรูประบบเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร (ซึ่งเรียกว่า "ระบบสมาชิกเพิ่มเติม") และสำหรับแคนาดา ซึ่งแนะนำโดยคณะกรรมาธิการกฎหมายแห่งแคนาดา โดยทั้งสองกรณีไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้จริง

ในกรณีตรงข้ามกัน รัฐพรินซ์เอดเวิร์ดไอแลนด์ของแคนาดาได้เลือกระบบสัดส่วนผสมแบบบัญชีเปิด โดยผ่านการลงประชามติในปีค.ศ. 2016 สำหรับการปฏิรูประบบเลือกตั้งของรัฐ

การคำนวณ

[แก้]

ในการเลือกตั้งระดับภูมิภาค หรือระดับชาตินั้น (ไม่ใช่แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง) ใช้วิธีการคำนวณได้หลายวิธี แต่หลักการพื้นฐานของระบบสัดส่วนแบบสมาชิกผสม (MMP) คือจำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด โดยรวมทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อรวมกันแล้วนำมาจัดสรรปันส่วนให้กับพรรคการเมืองตามสัดส่วนของคะแนนเสียงทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับตามบัตรลงคะแนน โดยการคำนวณสามารถใช้วิธีเหลือเศษสูงสุด หรือวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ วิธีโดนต์ และวิธีแซ็งต์-ลากูว์ โดยผลลัพธ์คือจำนวนที่นั่งพึงมีของแต่ละพรรคการเมือง แล้วนำไปลบด้วยจำนวนที่นั่งที่แต่ละพรรคได้รับจากแบบแบ่งเขต โดยส่วนต่างจากจำนวนที่นั่งพึงมีจะได้รับการชดเชย (ท็อปอัพ) หากเกิดกรณีที่จำนวนผู้แทนแบบแบ่งเขตมีจำนวนเกินกว่าจำนวนที่นั่งพึงมีของพรรค ที่นั่งส่วนที่เกินจะได้รับการจัดสรรเป็นที่นั่งส่วนขยาย (overhang seats) ทำให้ที่นั่งในสภามีจำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อคงความเป็นสัดส่วนเท่าเดิม ในรัฐส่วนใหญ่ในเยอรมนี (ยกเว้นการเลือกตั้งระดับสหพันธ์) ก่อนการเลือกตั้งระดับสหพันธ์ในปีค.ศ. 2013 มีการใช้การปรับที่นั่ง (leveling seats) ซึ่งเพิ่มที่นั่งเพื่อชดเชยกับที่นั่งส่วนขยาย (overhang seats) ให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ ในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งในสกอตแลนด์ การคำนวณวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดนั้นทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีรัฐบาลพรรคชาติสกอตเสียงข้างมากซึ่งมีคะแนนเสียงรวมเพียงแค่ร้อยละ 44 อย่างไรก็ตาม ในสกอตแลนด์ใช้ระบบการลงคะแนนแบบสมาชิกเพิ่มเติมซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับระบบสัดส่วนผสมอื่น ๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่เป็นสัดส่วนอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก[9] ในรัฐบาวาเรีย คะแนนเสียงในแบบแบ่งเขตและคะแนนพรรคจะนำมารวมกันเพื่อกำหนดจำนวนที่นั่งพึงมีในสภา

ที่นั่งส่วนขยาย

[แก้]

เมื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้จำนวนที่นั่งมากกว่าจำนวนที่นั่งพึงมี (จากการคำนวณคะแนนพรรค หรือบัญชีรายชื่อ) ในบางระบบจะอนุโลมให้มีการเพิ่มที่นั่ง หรือที่นั่งส่วนขยาย (overhang seats) ในสภาได้ กล่าวคือขนาดของสภาจะขยายใหญ่ขึ้นตามจำนวนที่นั่งขยายในสมัยเลือกตั้งนั้น ๆ

ในสภาบุนเดิสทาคของเยอรมนี และสภาผู้แทนราษฎรนิวซีแลนด์นั้นสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจากระบบแบ่งเขตยังคงที่นั่งตัวเองไว้ได้ ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศนิวซีแลนด์ ค.ศ. 2008 พรรคเมารีชนะคะแนนเสียงพรรคเพียงร้อยละ 2.4 ซึ่งคำนวณออกมาได้ 3 ที่นั่งพึงมีในสภาผู้แทนราษฎร แต่พรรคสามารถชนะแบบแบ่งเขตได้ถึง 5 ที่นั่ง ทำให้มี 2 ที่นั่งถือเป็นที่นั่งส่วนขยาย ทำให้ขนาดของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นจึงมีสมาชิกทั้งหมดเท่ากับ 122 คน ในทางกลับกันในกรณีที่คะแนนเสียงพรรคมีจำนวนตามสัดส่วนใกล้ ๆ กับจำนวนผู้แทนแบบแบ่งเขตสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นจะไม่มีที่นั่งส่วนขยายเพิ่ม

เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ

[แก้]

ในการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหลายแบบนั้นมีการใช้เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำสำหรับการได้ที่นั่งในแบบบัญชีรายชื่อซึ่งใช้กันในระบบสัดส่วนผสม ซึ่งพรรคการเมืองจะต้องได้รับคะแนนเสียงพรรค (บัญชีรายชื่อ) อย่างน้อยตามเกณฑ์ขั้นต่ำ มิฉะนั้นจะไม่ได้ที่นั่งในแบบบัญชีรายชื่อเลย โดยผู้ชนะในแบบแบ่งเขตยังคงที่นั่งไว้ได้เช่นเดิม ในนิวซีแลนด์ใช้เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำร้อยละ 5 โบลิเวียร้อยละ 3 เยอรมนีร้อยละ 5 เป็นต้น โดยพรรคการเมืองสามารถได้ที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อได้หากชนะการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตอย่างน้อยสามที่นั่งในเยอรมนี หรืออย่างน้อยหนึ่งที่นั่งในนิวซีแลนด์ ซึ่งการชนะที่นั่งให้ได้ในแบบแบ่งเขตจึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญของพรรคการเมืองขนาดเล็กในนิวซีแลนด์

รัฐบาลที่มาจากระบบสัดส่วนผสม

[แก้]
ตัวอย่างบัตรลงคะแนนในเขตเลือกตั้งเขต 252 (วูร์ซบวร์ก) ในการเลือกตั้งระดับสหพันธ์ของเยอรมนีในปีค.ศ. 2005 โดยมีแบบแบ่งเขตด้านซ้ายมือ และแบบพรรคการเมืองฝั่งขวามือ

ปัจจุบัน

[แก้]
  • นิวซีแลนด์ ใช้ระบบการลงคะแนนนี้สำหรับการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในปีค.ศ. 1994 ภายหลังจากการปฏิรูประบบเลือกตั้งอันยืดเยื้อ โดยเริ่มจากการเสนอแนะโดยคณะกรรมการหลวงเพื่อระบบการลงคะแนนในปีค.ศ. 1985 และจบลงด้วยการลงประชามติในปีค.ศ. 1996 และภายหลังต่อมาได้รับการลงประชามติอีกครั้งในปีค.ศ. 2011 โดยได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาดรับรองระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสมถึงร้อยละ 56.17 ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2020 พรรคแรงงานได้ถึง 65 ที่นั่ง จากทั้งหมด 120 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเพียงพรรคการเมืองพรรคที่สองของโลกที่สามารถเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในสภาโดยเป็นพรรครัฐบาลเพียงพรรคเดียวในระบบการเลือกตั้งนี้
  • เยอรมนี
  • สหราชอาณาจักร ถึงแม้ว่ารัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรจะไม่ได้มีที่มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม แต่ใช้ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของสองประเทศและภูมิภาคหนึ่ง (โดยเรียกว่า "ระบบสมาชิกเพิ่มเติม")
    • สกอตแลนด์ โดยรัฐสภาสกอตใช้ระบบสัดส่วนผสมในเขตเลือกตั้งตามภูมิภาคอันประกอบด้วยสมาชิกระดับท้องถิ่นจำนวน 9 คน (ยกเว้น 3 ภูมิภาค) และสมาชิกระดับภูมิภาคจำนวน 9 คน
    • เวลส์ โดยรัฐสภาเวลส์ใช้ระบบสัดส่วนผสมในเขตเลือกตั้งตามภูมิภาคอันประกอบด้วยสมาชิกระดับท้องถิ่นจำนวน 8 คน (ยกเว้น 2 ภูมิภาค) และสมาชิกระดับภูมิภาคจำนวน 4 คน
    • ลอนดอน โดยสภาลอนดอนใช้ระบบสัดส่วนผสมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาจำนวน 14 คนจากแบบแบ่งเขต และ 11 คนจากแบบบัญชีรายชื่อ โดยมีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำที่ร้อยละ 5 ถึงจะได้ที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อ
  • เกาหลีใต้ ตั้งแต่ ค.ศ. 2019 สภาแห่งชาติ ใช้ระบบสัดส่วนผสมแบบปรับแต่ง โดยมีสมาชิกจากเขตเลือกตั้งละคนจำนวน 253 คน อีก 17 คนเป็นที่นั่งเสริม (คล้ายกับในระบบคู่ขนาน) และที่นั่งชดเชยอีก 30 ที่นั่ง
  • โบลิเวีย ใช้ระบบสัดส่วนผสมในปีค.ศ. 1994 โดยการจัดสรรปันส่วนที่นั่งในสภามาจากคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดี[10]

อดีต

[แก้]

อยู่ในระหว่างการศึกษา

[แก้]

แคนาดา

[แก้]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ.​2004 คณะกรรมาธิการกฎหมายแห่งแคนาดาได้เสนอร่างระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสม[19] โดยประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[20]จำนวนร้อยละ 33 มาจากบัญชีรายชื่อแบบเปิด แต่ต่อมารัฐสภาได้ระงับการพิจารณาลงภายหลังจากการเลือกตั้งปีค.ศ. 2006

พรรคประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนระบบสัดส่วนผสมอย่างยาวนาน และมีพรรคกรีนแห่งแคนาดาเป็นแนวร่วมเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูประบบการเลือกตั้งให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น

ในปีค.ศ. 2007 สมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเลือกตั้งในออนแทรีโอยังแนะนำระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสมสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติออนแทรีโอในอนาคต โดยมีบัตรลงคะแนนคล้ายกับของนิวซีแลนด์ และมีบัญชีรายชื่อแบบปิดสำหรับระดับจังหวัดเช่นเดียวกับในนิวซีแลนด์แต่กำหนดให้มีสมาชิกแบบชดเชยเพียงร้อยละ 30 ต่อมาการลงประชามติซึ่งทำพร้อมกันกับการเลือกตั้งระดับจังหวัดเมื่อ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ผลคือไม่ผ่านการรับรอง[21]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 คณะกรรมาธิการพิเศษเพื่อการปฏิรูปการเลือกตั้งได้ก่อตั้งขึ้นโดยสภาสามัญชนแห่งแคนาดาเพื่อศึกษาโอกาสในการเปลี่ยนแปลงระบบการลงคะแนนโดยมีระบบสัดส่วนผสมเป็นหนึ่งในระบบที่พิจารณา โดยคณะกรรมาธิการพิเศษฯ ได้นำเสนอผลการศึกษาต่อรัฐสภาเมื่อ 1 ธันวาคม ในปีเดียวกัน ในต้นปีค.ศ. 2017 รัฐบาลประกาศตกลงยอมรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการพิเศษ และจะไม่ดำเนินการใด ๆ ต่อประเด็นการปฏิรูประบบเลือกตั้งอีกต่อไป[22][23]

ในการทำประชาพิจารณ์ระหว่าง 27 ตุลาคม และ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 พลเมืองรัฐพรินซ์เอดเวิร์ดไอแลนด์ ได้ลงคะแนนรับรองระบบสัดส่วนผสมต่อระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในการนับคะแนนรอบสุดท้าย ด้วยคะแนนร้อยละ 52 ต่อร้อยละ 43 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจังหวัดซึ่งไม่ได้ทำการกำหนดเกณฑ์ผู้มาใช้สิทธิขั้นต่ำไว้ก่อน ได้ชี้แจงในเวลาต่อมาว่ามีผู้มาใช้สิทธิเพียงแค่ร้อยละ 36 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำการเปลี่ยนแปลงระบบการลงคะแนน[24] ต่อมาในการลงประชามติเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับจังหวัด ระบบสัดส่วนผสมไม่ได้รับการรับรองโดยคะแนนเสียงร้อยละ 48 ต่อร้อยละ 52 โดยมีผู้มาใช้สิทธิจำนวนร้อยละ 76

รัฐบาลเกแบ็ก ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนโดยพรรคฝ่ายค้านจำนวน 2 ใน 3 (PQ และ Québec Solidaire) ได้ผ่านร่างกฎหมายประชามติในการเปลี่ยนระบบการลงคะแนนเป็นแบบสัดส่วนผสม โดยกำหนดทำประชามติในปีค.ศ. 2022

คอสตาริกา

[แก้]

ในปัจจุบันคอสตาริกานั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาเปลี่ยนจากระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อปิดมาเป็นระบบสัดส่วนผสมตามแบบประเทศเยอรมนี โดยร่างกฎหมายได้รับการเสนอโดยกลุ่มเคลื่อนไหว Citizen Power Now และได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภา ซึ่งระบบใหม่ที่เสนอนั้นจะทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกแบ่งเป็นสองประเภท โดยมีประเภทแรกจำนวน 42 คนมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองตามสัดส่วนคะแนนเสียง โดยเรียกผู้แทนประเภทนี้ว่า "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระดับชาติ (national deputies) และอีก 42 คนมาจากการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งโดยระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด[25] ร่างกฎหมายนี้จะต้องผ่านขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนซึ่งจะต้องมีเสียงข้างมากพิเศษถึงสองในสามของสภา อย่างไรก็ตามจากการสำรวจความเห็นในปีค.ศ. 2019 ทั้งสี่พรรคการเมืองหลักได้กล่าวสนับสนุนการปฏิรูปดังกล่าว[26]

ศรีลังกา

[แก้]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของศรีลังกาได้ประกาศว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาเปลี่ยนระบบการลงคะแนนปัจจุบันเป็นแบบสัดส่วนผสม[27]

แอฟริกาใต้

[แก้]

การลงคะแนนเสียงเชิงกลยุทธ์

[แก้]

ในระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่มีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ ประชาชนผู้ชื่นชอบพรรคการเมืองขนาดใหญ่อาจเลือกใช้กลยุทธ์ลงคะแนนโดยเลือกพรรคการเมืองพรรคเล็กที่คาดการณ์ว่าจะได้คะแนนเกือบถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ผู้ลงคะแนนบางคนอาจจะกลัวว่าพรรคขนาดเล็กจะได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์และจะทำให้พรรคการเมืองใหญ่ในกลุ่มพันธมิตรเดียวกันอ่อนแอลง ตัวอย่างเช่น พรรค FDP ฝั่งขวากลางของเยอรมนีซึ่งปกติจะได้คะแนนเสียงจากผู้ลงคะแนนที่ชอบพรรค CDU ซึ่งเป็นพรรคขนาดใหญ่ เนื่องจากเหล่าผู้ลงคะแนนมีความกลัวว่าหากพรรค FDP ได้คะแนนน้อยกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำแล้ว (ร้อยละ 5) จะทำให้พรรค CDU ไม่มีพันธมิตรในสภาและจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลได้ การลงคะแนนเชิงกลยุทธ์ยังทำให้ปัญหาคะแนนสูญนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่มีต้นทุนคือการเพิ่มที่นั่งให้กับพรรค FDP แทนที่จะเป็นพรรค CDU ตามความต้องการแท้จริงของผู้ลงคะแนน ยุทธวิธีนี้เหมือนกันกับยุทธวิธีอื่น ๆ ที่ใช้ในระบบสัดส่วนแบบมีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ

กรณีคล้ายกันเกิดขึ้นในนิวซีแลนด์ ผู้ลงคะแนนบางส่วนที่ชอบพรรคขนาดใหญ่เลือกลงคะแนนให้กับผู้สมัครท้องถิ่นที่สังกัดพรรครองเพื่อที่จะให้มีคะแนนเสียงมากพอที่จะชนะแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตนั้นเขตเดียว โดยเกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งเอปซอมในออคแลนด์เมื่อปี ค.ศ. 2008 และ 2011 ซึ่งผู้ลงคะแนนที่สนับสนุนพรรคชาตินิวซีแลนด์ลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรค ACT ในแบบแบ่งเขต ในกรณีนี้ยุทธวิธีนี้ยังคงไว้ซึ่งความเป็นสัดส่วนได้เนื่องจากได้คะแนนเกินเกณฑ์ขั้นต่ำร้อยละ 5 แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจกับยุทธวิธีนี้เนื่องจากทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นในขณะที่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงพรรคสูงกว่าแต่ไม่ชนะแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นไม่ได้ที่นั่งเลย ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 เมื่อพรรค ACT ได้สัดส่วน 5 ที่นั่งจากการชนะแบบแบ่งเขตเพียงที่นั่งเดียว โดยมีคะแนนพรรคเพียงร้อยละ 3.7 ในขณะที่พรรคนิวซีแลนด์เฟิร์สไม่ชนะแบบแบ่งเขตเลยสักที่นั่ง แต่ได้คะแนนพรรคถึงร้อยละ 4.1 ซึ่งรวมแล้วไม่ได้เลยสักที่นั่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 2011 ผู้ลงคะแนนจากเขตเลือกตั้งเอปซอมเลือกลงคะแนนให้กับพรรคแรงงาน (ฝ่ายซ้าย) และพรรคกรีน เพื่อพยายามสกัดการใช้กลยุทธ์โดยลงคะแนนแบบแบ่งเขตให้กับผู้สมัครจากพรรคชาตินิวซีแลนด์แทน ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะไม่บรรลุผลตามที่คาดหมาย แต่ก็สามารถลดคะแนนเสียงข้างมากของพรรค ACT ต่อพรรคชาตินิวซีแลนด์จาก 12,900 คะแนน เป็น 2,300 คะแนน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 มีรายงานการคณะกรรมการการเลือกตั้งของนิวซีแลนด์ เกี่ยวกับการพิจารณาระบบการลงคะแนนระบบสัดส่วนผสมโดยแนะนำให้ยกเลิกเกณฑ์บังคับขั้นต่ำ 1 ที่นั่งที่จะต้องชนะในแบบแบ่งเขต หมายความว่า พรรคการเมืองใดที่ชนะที่นั่งแบบแบ่งเขตแต่ไม่ได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์ขั้นต่ำร้อยละ 5 (ในรายงานเดียวกันแนะนำให้ลดเกณฑ์ขั้นต่ำลงเหลือร้อยละ 4) จะได้เพียงแค่ที่นั่งเดียวจากแบบแบ่งเขตเท่านั้น[28]

ในกรณีอื่น ๆ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งอาจมีความมั่นใจที่จะชนะที่นั่งในแบบแบ่งเขตจำนวนมาก และคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้รับที่นั่งเพิ่มจากแบบสัดส่วนเลย ผู้ลงคะแนนบางกลุ่มอาจจะพยายามเพิ่มเสียงผู้แทนโดยใช้กลยุทธ์เลือกพรรคการเมืองอื่นในแบบแบ่งเขต เนื่องจากหากพวกเขาเลือกลงคะแนนให้กับพรรคที่สนับสนุนจริง ๆ แล้วคะแนนเสียงจะสูญไป กลยุทธ์นี้มักใช้ไม่ได้ผลกับระบบสัดส่วนผสมที่มีจำนวนที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนมาก (ร้อยละ 50 ในรัฐส่วนใหญ่ของเยอรมนี และร้อยละ 42.5 ในสภาผู้แทนราษฎรนิวซีแลนด์) และใช้ไม่ได้ผลกับระบบเลือกตั้งที่มีการเพิ่มที่นั่งส่วนเกินเพื่อลดโอกาสความไม่เป็นสัดส่วนลง โดยจะทำให้พรรคการเมืองยังคงความเป็นสัดส่วนเท่าเดิมไว้ได้แม้แต่มีพรรคการเมืองใดได้จำนวนที่นั่งแบบแบ่งเขตมากเกินไป

การแบ่งพรรคเล็ก

[แก้]

วิธีใช้กลยุทธ์สำหรับการร่วมพันธมิตรระหว่างพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่การชนะที่นั่งแบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อจำนวนมากนั้นอาจนำมาใช้ได้เป็นกลยุทธ์อย่างเป็นจริงเป็นจัง ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งในอัลเบเนีย ค.ศ. 2005 ซึ่งพรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรคไม่ได้คาดว่าจะได้รับที่นั่งเพิ่มจากสัดส่วนเลย จึงได้โน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองรองที่เป็นพันธมิตรกันแทน กลยุทธ์นี้บิดเบือนการทำงานของระบบถึงจุดที่พรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งแบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อจะแตกต่างจากพรรคการเมืองที่ชนะแบบแบ่งเขตเสมอ (ในกรณีนี้เหมือนได้ที่นั่งทั้งสองแบบ) โดยพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อนั้นมีเพียงผู้สมัครรายเดียวจากแบบแบ่งเขตที่ชนะการเลือกตั้ง การเลือกตั้งในครั้งนี้ถูกประนามโดยองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปว่ามีความล้มเหลวในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเนื่องจากปัญหา "ความผิดปกติอย่างร้ายแรง" การซื้อเสียง การข่มขู่ และ "ความรุนแรงโดยฝ่ายหัวรุนแรงทั้งสองฝ่าย" โดยแทนที่จะแก้ปัญหาความไม่เป็นสัดส่วนด้วยการปล่อยให้มีที่นั่งส่วนขยายเพิ่ม อัลเบเนียได้เปลี่ยนการลงคะแนนเป็นระบบบัญชีรายชื่อล้วน ๆ

ในกลเม็ดเสียหมากเพื่อได้เปรียบขึ้นเช่นอย่างกรณีในอัลเบเนียนั้น หากพรรคการเมืองขนาดใหญ่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะได้ที่นั่งน้อยหรือไม่ได้ที่นั่งแบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อเลยอันเนื่องมาจากความได้เปรียบในตัวผู้สมัครในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นอาจเลือกที่จะแบ่งพรรคการเมืองเป็นสองพรรค โดยพรรคหนึ่งมุ่งเน้นชิงที่นั่งแบบแบ่งเขต ในขณะที่อีกพรรคหนึ่งเน้นแบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อ โดยสมมติว่าเป็นไปได้ตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองทั้งสองนี้จะสามารถร่วมมือในระดับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งร่วมกัน และทำงานร่วมกันภายในสภานิติบัญญัติในขณะที่ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่แยกกันโดยนิตินัย ผลลัพธ์ที่ได้จากกลเม็ดนี้หากนำมาใช้กันในทุกพรรคการเมืองจะทำให้ระบบสัดส่วนผสมนี้กลายร่างเป็นระบบคู่ขนานโดยพฤตินัย

ตัวอย่างของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในเลโซโท ค.ศ. 2007 ในกรณีนี้พรรคการเมืองหลักสองพรรค ได้แก่พรรค LCD และพรรค ABC ใช้ตัวล่อแทนเป็นพรรคเอกราขแห่งชาติ และพรรคแรงงานเลโซโท ตามลำดับ เพื่อจุดประสงค์ในการหลีกเลี่ยงกลไกลชดเชยที่นั่งในระบบสัดส่วนผสม โดยผลลัพธ์ของการเลือกตั้งคือ พรรค LCD และพรรคสำรองยึดครองที่นั่งในสภาได้ถึงร้อยละ 69.1 ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 51.8 โดยหัวหน้าพรรค ABC ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า "เสรี แต่เป็นธรรม" ต่อมาในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2012 ระบบการลงคะแนนได้ถูกปรับเพื่อมีความเชื่อมโยงระหว่างแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อเพื่อจะจำกัดประสิทธิภาพของพรรคสำรองนี้ และทำให้ปรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นสัดส่วนได้ระหว่างทุกพรรคการเมืองเกือบจะสมบูรณ์แบบ[29]

อีกกรณีศึกษาตัวอย่างที่น่าสนใจคือในเวเนซุเอลา ซึ่งสุดท้ายต้องเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง โดยรับเอาระบบการลงคะแนนแบบคู่ขนานมาใช้แทนระบบสัดส่วนผสมอย่างเป็นทางการ เวเนซุเอลาเริ่มใช้ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสมในปี ค.ศ. 1993 แต่กลยุทธ์ในการสร้างพรรคสำรองนั้นเริ่มนำมาใช้กันในปี ค.ศ. 2000 โดยหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ต่อมากลยุทธ์นี้ได้ถูกนำไปใช้โดยพรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนชาเวซในการเลือกตั้งระดับชาติในปี ค.ศ. 2005 ต่อมาเมื่อได้รับรู้กันถึงปัญหานี้ เวเนซุเอลาจึงได้เปลี่ยนกลับมาใช้ระบบการลงคะแนนแบบคู่ขนานซึ่งมีความเป็นสัดส่วนน้อยกว่าแบบสัดส่วนผสม เมื่อ 26 กันยายน ค.ศ. 2010 พรรคการเมืองของชาเวซ (พรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซุเอลา) ได้ที่นั่งถึงร้อยละ 57.4 ของสภา ในขณะที่ได้คะแนนเสียงทั้งหมดเพียงแค่ร้อยละ 48.2 ในระบบลงคะแนนใหม่นี้ (ยังไม่นับรวมถึงบทบาทของพรรคพันธมิตรอื่น ๆ) จะเห็นได้ว่าการลงคะแนนระบบคู่ขนานนั้นไม่ได้ช่วยให้การเลือกตั้งมีความเป็นสัดส่วนขึ้นแต่อย่างใด ในกรณียิ่งเป็นระบบการลงคะแนนแบบคะแนนนำแล้ว (อาจทำให้ชนะถึง 71 เขตจากทั้งหมด 109 เขต หรือร้อยละ 65)[30]

ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปในเกาหลีใต้ ค.ศ. 2020 ได้มีการเปลี่ยนระบบการลงคะแนนจากระบบคู่ขนานมาเป็นระบบสัดส่วนผสมแบบลูกผสม โดยมีสมาชิกจำนวน 30 ที่นั่งที่จัดสรรมาจากการชดเชย พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคเสรีภาพเกาหลี ได้จัดตั้งพรรคการเมืองลูกขึ้นมา คือ พรรคอนาคตเกาหลี โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มที่นั่งจากแบบสัดส่วน[31] พรรคฝ่ายรัฐบาล คือพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลีได้ประนามการกระทำของพรรคฝ่ายค้านโดยหาทางจัดการผ่านกระบวนการทางกฎหมายเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็ได้จัดตั้งพรรคการเมืองลูกขึ้นมาเช่นกัน คือ พรรคแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นการตอบโต้[32] โดยทั้งสองพรรคลูกนี้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง โดยพรรคอนาคตเกาหลีสามารถได้ที่นั่งชดเชยได้ถึง 12 ที่นั่ง และพรรคแพลทฟอร์มได้ที่นั่งชดเชยถึง 11 ที่นั่ง และภายหลังการเลือกตั้งทั้งสองพรรคการเมืองได้ผนวกรวมเข้ากับพรรคแม่ของตนเอง

ปัญหาการแตกเสียงลงคะแนนนั้นสามารถแก้ไขได้โดยการกำจัดกลไกที่นำไปสู่ปัญหานี้ได้ โดยอาจจะยกเลิกเลิกระบบสองคะแนน (บัตรสองใบ) โดยจะทำให้กลายเป็นระบบเสียงเดียวผสม (Mixed single vote) ไปโดยปริยาย (ต้นแบบรุ่นแรกของระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่เริ่มใช้ในเยอรมนี) ซึ่งในกรณีนี้ผู้ลงคะแนนไม่สามารถแยกลงคะแนนได้ถึงแม้ว่าจะเป็นความต้องการที่แท้จริง อีกวิธีหนึ่งคือการกำจัดกลไกการเชื่อมโยงกับจำนวนที่นั่งโดยไปใช้การเชื่อมโยงกับคะแนนเสียงแทน โดยในกรณีนี้จำนวนที่นั่งชดเชยอาจจะมีเพิ่มขึ้น[5] ระบบโอนคะแนนลบอย่างสกอร์โปโร (Scorporo) นั้นยังคงเก็บความเสี่ยงที่ทำให้เกิดพรรคลูกขึ้นได้อยู่ แต่หากเป็นกรณีที่คะแนนเสียงทั้งสองคะแนนนั้นเชื่อมโยงกันอยู่ในระบบเลือกตั้งแบบบัตรผสมถ่ายโอนคะแนนได้ (Mixed ballot transferable vote) ซึ่งจะหมดโอกาสในการใช้กลไกในการเพิ่มที่นั่งให้กับพรรคของตัวเองได้ อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ไม่อาจจะรับรองได้ว่าที่นั่งของพรรคการเมืองจะยังคงความเป็นสัดส่วนตามคะแนนเสียงของพรรคการเมืองซึ่งก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดเฉพาะของแต่ระบบที่ใช้

(ผสม) เสียงเดียว (ผสม) สองเสียง
แบบที่เชื่อมโยงกับจำนวนคะแนนเสียง ระบบเสียงเดียวผสม (MSV) เพิ่มที่นั่ง (top-up) ระบบสัดส่วนผสม (MMP)

ระบบสมาชิกเพิ่มเติม (AMS)

ระบบคะแนนเสียงเผื่อเลือกเพิ่ม (AV+)

แบบที่เชื่อมโยงกับจำนวนที่นั่ง ระบบเสียงเดียวผสม (MSV) ถ่ายโอนคะแนนบวก (positive vote transfer)

ระบบสัดส่วนสมาชิกคู่ (DMP)

สกอร์โปโร (ลูกผสม: MSV กับระบบคู่ขนาน)

ระบบบัตรผสมถ่ายโอนคะแนนได้ (MBTV)

ดูเพิ่ม

[แก้]

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Batto, Nathan F.; Huang, Chi; Tan, Alexander C.; Cox, Gary W., บ.ก. (2016). Mixed-Member Electoral Systems in Constitutional Context: Taiwan, Japan, and Beyond. Ann Arbor, Michigan: University of Michigan Press. doi:10.3998/mpub.8084028. hdl:2027/ku01.r2_9. ISBN 978-0-472-90062-6.
  • Ferrara, Federico; Herron, Erik S.; Nishikawa, Misa (2005). Mixed Electoral Systems: Contamination and Its Consequences. New York: Palgrave MacMillan. doi:10.1057/9781403978851. ISBN 978-1-4039-7885-1.
  • Forder, James (2011). The Case Against Voting Reform: Why the AV System Would Damage Britain. Oxford: Oneworld Publications. ISBN 978-1-85168-825-8.
  • Gallagher, Michael (2011). "Elections and Referendums". ใน Caramani, Daniele (บ.ก.). Comparative Politics (2nd ed.). Oxford: Oxford University Press. pp. 181–197. ISBN 978-0-19-957497-1.
  •  ———  (2014). "Electoral Institutions and Representation". ใน LeDuc, Lawrence; Niemi, Richard G.; Norris, Pippa (บ.ก.). Comparing Democracies: Elections and Voting in a Changing World (4th ed.). SAGE Publications. ISBN 978-1-4739-0508-5.
  • Law Commission of Canada (2004). Voting Counts: Electoral Reform for Canada (PDF). Ottawa: Public Works and Government Services Canada. ISBN 978-0-662-36426-9. สืบค้นเมื่อ 6 May 2011.
  • Mayorga, René Antonio (1997). "Bolivia: Electoral Reform in Latin America" (PDF). ใน Reynolds, Andrew; Reilly, Ben (บ.ก.). The International IDEA Handbook of Electoral System Design. The International Idea Handbook Series (2nd ed.). Stockholm: International Institute for Democracy and Electoral Assistance (ตีพิมพ์ 2002). pp. 79–84. ISBN 978-91-89098-00-8. ISSN 1402-6759. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-11-24. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017.
  •  ———  (2001). "Electoral Reform in Bolivia: Origins of the Mixed-Member Proportional System". ใน Shugart, Matthew Søberg; Wattenberg, Martin P. (บ.ก.). Mixed-Member Electoral Systems: The Best of Both Worlds?. Comparative Politics. Oxford: Oxford University Press (ตีพิมพ์ 2003). doi:10.1093/019925768X.001.0001. ISBN 978-0-19-925768-3.
  • Reynolds, Andrew; Reilly, Ben; Ellis, Andrew (2005). Electoral System Design: The New International IDEA Handbook (PDF). The International Idea Handbook Series. Stockholm: International Institute for Democracy and Electoral Assistance (ตีพิมพ์ 2008). ISBN 978-91-85391-18-9. ISSN 1402-6759. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017.

อ้างอิง

[แก้]
  1. ACE Project Electoral Knowledge Network. "Mixed Member Proportional (MMP)". สืบค้นเมื่อ 21 October 2017.
  2. Shugart, Matthew; Wattenberg, Martin P. (2001). "Mixed-Member Electoral Systems: Best of Both Worlds?". Oxford University Press.
  3. Bochsler, Daniel (May 13, 2010). "Chapter 5, How Party Systems Develop in Mixed Electoral Systems". Territory and Electoral Rules in Post-Communist Democracies. Palgrave Macmillan.
  4. Linhart, Eric; Raabe, Johannes; Statsch, Patrick (2018-03-01). "Mixed-member proportional electoral systems – the best of both worlds?". Journal of Elections, Public Opinion and Parties. Informa UK Limited. 29 (1): 21–40. doi:10.1080/17457289.2018.1443464. ISSN 1745-7289. S2CID 149188878.
  5. 5.0 5.1 Golosov, Grigorii V. (2013-10-01). "The Case for Mixed Single Vote Electoral Systems". The Journal of Social, Political, and Economic Studies. 38 (3). ISSN 0278-839X. สืบค้นเมื่อ 2020-11-16.[ลิงก์เสีย]
  6. "Electoral Reform and Voting Systems". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-08. สืบค้นเมื่อ 25 March 2016.
  7. "Additional-member system: Politics". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 24 March 2016.
  8. "Characteristics of a compensatory mixed member voting system: Report of the Chief Electoral Officer" (PDF). Le Directeur général des élections du Québec. December 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-04-08. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017.
  9. "Elections in Wales". Cardiff University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-30. สืบค้นเมื่อ 2021-06-23.
  10. Mayorga 1997; Mayorga 2001, p. 194.
  11. Gallagher 2011, p. 185; Gallagher 2014, p. 18.
  12. Lublin, David. "Albania". Election Passport. American University. สืบค้นเมื่อ 24 March 2016.
  13. Colin Bature (2005). Political Indaba Resource. Trafford Publishing. p. 29. ISBN 9781412026437. สืบค้นเมื่อ 20 December 2015.
  14. Kim Lane, Scheppele; Krugman, Paul (24 February 2014). "Hungary, An Election in Question, Part 3". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 31 March 2016.
  15. Filimon, Paul (20 July 2015). "Legea ALEGERILOR PARLAMENTARE pe LISTE, promulgată de Iohannis". România Liberă (ภาษาโรมาเนีย). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-02. สืบค้นเมื่อ 2021-06-23.
  16. {{cite news|title="บัตร2ใบ-สูตรหาร 100" ฉลุย จับตา “กล(ประ)ยุทธ์" เอาชนะเลือกตั้ง|url=https://www.bangkokbiznews.com/politics/1040801
  17. Wilpert, Gregory (1 October 2010). "A New Opportunity for Venezuela's Socialists". สืบค้นเมื่อ 31 March 2016.
  18. Pearson, Tamara. "Venezuela Passes New Electoral Law". สืบค้นเมื่อ 31 March 2016.
  19. Law Commission of Canada 2004.
  20. Milner, Henry (January 2005), "A Mixed-Member Proportional System Applied to the 2004 Election", Electoral Insight, Elections Canada On-Line
  21. For further details on the recent proposals in Ontario, Quebec, and Prince Edward Island, see Andre Barnes and James R. Robertson, Electoral Reform Initiatives in Canadian Provinces เก็บถาวร 2016-01-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Library of Parliament, revised 18 August 2009.
  22. "Trudeau abandons electoral reform, breaking key campaign promise". The Globe and Mail (ภาษาอังกฤษแบบแคนาดา). สืบค้นเมื่อ 2017-02-06.
  23. Wherry, Aaron (April 4, 2017). "Liberals say no to mandatory and online voting". CBC News. สืบค้นเมื่อ April 4, 2017.
  24. Bradley, Susan (7 November 2016). "P.E.I. plebiscite favours mixed member proportional representation". CBC News. สืบค้นเมื่อ 7 April 2017.
  25. Ramírez, Alexander (2016). "Grupo propone aumentar a 84 el número de diputados". CRHoy.
  26. Carmona, Fiorella (29 March 2019). "Congreso se acerca al cambio en sistema de elección de diputados". Revista Pulso. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-09-12. สืบค้นเมื่อ 28 March 2019.
  27. "New electoral system based on German Model - Mangala". www.adaderana.lk.
  28. "Review of the MMP voting system: Proposals Paper" (PDF). Electoral Commission. 13 August 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 1 September 2012. สืบค้นเมื่อ 13 August 2012.
  29. See blog articles on the 2007 and 2012 elections posted by political science professor Matthew Sobery Shugard, University of California in Davis Fruits and Votes – Lesotho page. Accessed 26 April 2014.
  30. In addition to the Wikipedia page on the 2010 election, see the section titled "Why 'only' 49% of the vote and 59% of the legislators?" in "A New Opportunity for Venezuela's Socialists," Gregory Wilpert, 1 October 2010. Retrieved from venezuelanalysis.com on 26 April 2014.
  31. "Main opposition to set up satellite party for more proportional representation seats". Yonhap News Agency. 24 December 2019.
  32. "Election law should be revised before integration with proportional parties". The Dong-a Ilbo. 25 April 2020.