ระบบการลงคะแนนแบบผสม
ส่วนหนึ่งของชุดการเมือง |
ระบบการลงคะแนน |
---|
สถานีย่อยการเมือง |
ระบบการลงคะแนนแบบผสม (อังกฤษ: mixed electoral system) เป็นระบบการลงคะแนนที่ผสมผสานระหว่างแบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากกับระบบสัดส่วน (PR)[1][2][3] โดยส่วนแรกที่เป็นแบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากนั้นมักจะใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP)[4] ในขณะที่ส่วนที่แบบระบบสัดส่วนนั้นใช้ระบบบัญชีรายชื่อ (party list PR)[5] ลักษณะเฉพาะของระบบผสมนี้ผู้ลงคะแนนเสียงสามารถมีบทบาทได้ทั้งในการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากและแบบสัดส่วนพร้อม ๆ กัน[6] ส่วน ระบบลูกผสม นั้นใช้สูตรการคำนวณผลคะแนนอีกแบบหนึ่งและมักใช้กันในการเลือกตั้งในระดับภูมิภาค[7]
ระบบการลงคะแนนแบบผสมที่สำคัญได้แก่ ระบบสัดส่วนผสม (MMP) และระบบคู่ขนาน หรือเรียกอีกอย่างว่า ระบบการลงคะแนนแบบเสียงข้างมากผสม (MMM) ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เป็นสัดส่วน[2] ในระบบสัดส่วนผสมนั้นพรรคการเมืองที่ชนะคะแนนเสียงร้อยละ n ของคะแนนเสียงทั้งหมดจะได้รับจำนวนที่นั่งคร่าว ๆ ร้อยละ n ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด ส่วนระบบคู่ขนานนั้นมักจะให้ผลลัพธ์กึ่งสัดส่วน กล่าวคือ มีความเป็นสัดส่วนมากกว่าระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากแต่มีความเป็นสัดส่วนน้อยกว่าการเลือกตั้งระบบสัดส่วน โดยทั้งสองแบบนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีการเลือกผู้แทนซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกมาจากแบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก และอีกส่วนหนึ่งมาจากระบบสัดส่วน อย่างไรก็ตามการลงคะแนนแบบผสมนี้ไม่จำเป็นจะต้องแบ่งผู้แทนเป็นหลายส่วน[8]
การจัดสรรปันส่วนที่นั่งแบบชดเชย/ไม่ชดเชย
[แก้]ความแตกต่างของการจัดสรรปันส่วนที่นั่งผสมแบบ ชดเชย และ ไม่ชดเชย[6] คือ ในทั้งสองแบบนั้น จะมีที่นั่งชุดหนึ่งจัดสรรในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก ที่นั่งจำนวนที่เหลือจะได้รับการจัดสรรให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ ตามสัดส่วนจากการคำนวณวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดหรือวิธีเหลือเศษสูงสุด ในระบบผสมแบบไม่ชดเชยที่นั่ง หรือเรียกกันว่า ระบบคู่ขนาน[4] ซึ่งจัดสรรปันส่วนที่นั่งอย่างเป็นอิสระต่อระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก ในขณะที่ระบบผสมแบบชดเชยที่นั่ง การแบ่งสรรปันส่วนที่นั่งจากระบบสัดส่วนนั้นจะได้รับการชดเชยตามความไม่เป็นสัดส่วนของจำนวนที่นั่งส่วนที่มาจากระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก
ตัวอย่างโดยสมมุติโดยหลุยส์ มาซีก็อต[4] แสดงให้เห็นถึงที่นั่งจากระบบสัดส่วนซึ่งได้รับการแบ่งสรรปันส่วนแบบชดเชยและไม่ชดเชย โดยสมมุติว่าสภานิติบัญญัติประกอบด้วยผู้แทนจำนวน 200 คน โดย 100 คนมีที่มาจากการลงคะแนนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) และที่เหลืออีก 100 ที่นั่ง มาจากระบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ตารางต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงคะแนนนิยม (popular vote) และผลการเลือกตั้งโดยระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด โดยมีจำนวนที่นั่งแบบสัดส่วนแบ่งสรรปันส่วนให้แต่ละพรรคการเมืองขึ้นอยู่กับการชดเชยที่นั่ง
พรรคการเมือง | คะแนนนิยม | ที่นั่งแบ่งเขต (FPTP) | ที่นั่งสัดส่วน (PR) | ที่นั่งรวม |
---|---|---|---|---|
A | 44% | 65 | ? | ? |
B | 40% | 34 | ? | ? |
C | 10% | 1 | ? | ? |
D | 6% | 0 | ? | ? |
รวมทั้งสิ้น | 100% | 100 | 100 | 200 |
หากไม่มีการชดเชยที่นั่ง แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับที่นั่งสัดส่วนของตนจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม จากตารางถัดไป จำนวนผลรวมที่นั่งทั้งสองแบบ (FPTP+PR) นั้นไม่เป็นสัดส่วนตามคะแนนนิยม พรรค A มีคะแนนนำพรรค B ไปเพียงไม่มาก (ตามผลคะแนนนิยม) แต่พรรค A ได้รับจำนวนที่นั่งมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นผลมาจากการเลือกตั้งจากแบบแบ่งเขตซึ่งใช้คะแนนนำเป็นการตัดสิน (FPTP)
พรรคการเมือง | คะแนนนิยม | ที่นั่งแบ่งเขต (FPTP) | ที่นั่งสัดส่วน (PR) | ที่นั่งรวม |
---|---|---|---|---|
A | 44% | 65 | 44 | 109 (54% ของสภา) |
B | 40% | 34 | 40 | 74 (37% ของสภา) |
C | 10% | 1 | 10 | 11 (6% ของสภา) |
D | 6% | 0 | 6 | 6 (3% ของสภา) |
รวมทั้งสิ้น | 100% | 100 | 100 | 200 |
อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดสรรปันส่วนที่นั่งในระบบสัดส่วนอย่างเป็นธรรม (แบบชดเชย) ดังนั้นจำนวที่นั่งทั้งหมดของแต่ละพรรคการเมืองจะเป็นสัดส่วนสอดคล้องกับคะแนนนิยม ดังปรากฏในตารางด้านล่าง พรรค B ชนะที่นั่งแบบแบ่งเขตถึงร้อยละ 34 จะได้รับที่นั่งระบบสัดส่วนเป็นจำนวนร้อยละ 46 เพื่อให้ได้ผลรวมเท่ากับร้อยละ 40 ของที่นั่งในสภา (ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนคะแนนนิยมของพรรค)
พรรคการเมือง | คะแนนนิยม | ที่นั่งแบ่งเขต (FPTP) | ที่นั่งสัดส่วน (PR) | ที่นั่งรวม |
---|---|---|---|---|
A | 44% | 65 | 23 | 88 (44% ของสภา) |
B | 40% | 34 | 46 | 80 (40% ของสภา) |
C | 10% | 1 | 19 | 20 (10% ของสภา) |
D | 6% | 0 | 12 | 12 (6% ของสภา) |
รวมทั้งสิ้น | 100% | 100 | 100 | 200 |
ในทางปฏิบัติแล้ว การจัดสรรปันส่วนที่นั่งแบบชดเชยนั้นมีความซับซ้อนจากความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองพรรคเดียวหรือหลายพรรคชนะที่นั่งแบบแบ่งเขตจำนวนมากจนทำให้ไม่มีที่นั่งในระบบสัดส่วนเพียงพอ[9]ที่จะทำให้จำนวนที่นั่งออกมาลงตัว ในระบบผสมในบางประเทศมีวิธีแก้ปัญหานี้โดยให้เพิ่มจำนวนที่นั่งของระบบสัดส่วนเป็นการชั่วคราวจนถึงการเลือกตั้งสมัยถัดไป[4]
ประเภทของระบบผสม
[แก้]ระบบคู่ขนาน
[แก้]ระบบการลงคะแนนแบบคู่ขนาน (parallel voting) เป็นระบบผสมที่ไม่มีการจัดสรรที่นั่งชดเชยโดยมีสมาชิกสภาที่มาจากการลงคะแนนสองประเภท ประเภทแรกคือจากระบบแบ่งเขตเบอร์เดียวซึ่งใช้ระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากตัดสิน และอีกประเภทมาจากผู้แทนในระดับภูมิภาคหรือผู้แทนรวมที่เลือกมาโดยระบบสัดส่วน เช่น ระบบบัญชีรายชื่อ โดยใช้ในการเลือกตั้งสภาล่างในหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และรัสเซีย
ระบบสัดส่วนผสม
[แก้]การลงคะแนนระบบสัดส่วนผสม (MMP) มีความคล้ายคลึงกับแบบคู่ขนาน โดยในแบบสัดส่วนผสมนี้จะมีผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งจากระบบแบ่งเขตซึ่งใช้ระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากตัดสิน และมีผู้แทนอีกส่วนที่มาจากระบบสัดส่วน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ระบบสัดส่วนผสมเป็นระบบผสมซึ่งหมายความว่าที่นั่งที่ได้มาจากระบบสัดส่วนนั้นมาจากการจัดสรรปันส่วนเพื่อแก้ไขให้เป็นสัดส่วนของความไม่สัมพันธ์กันอันเกิดจากการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขต ระบบสัดส่วนผสมใช้ในการเลือกตั้งในไทย นิวซีแลนด์ โบลิเวีย เยอรมนี และเลโซโท
คะแนนเสียงเผื่อเลือกเพิ่ม
[แก้]ระบบคะแนนเสียงเผื่อเลือกเพิ่ม (alternative vote plus, ย่อ AV+) เป็นระบบผสมที่มีการชดเชยที่นั่ง คล้ายคลึงกับระบบสมาชิกเพิ่มเติม (additional member system, ย่อ AMS) โดยแตกต่างตรงที่นั่งจากการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นได้มาจากระบบคะแนนเสียงเผื่อเลือก (alternative vote, ย่อ AV) ระบบนี้ได้ถูกเสนอโดยคณะกรรมการอิสระเพื่อระบบการลงคะแนนให้ใช้เป็นตัวเลือกแทนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในระบบการลงคะแนนของรัฐสภาสหราชอาณาจักร
สกอร์โปโร
[แก้]สกอร์โปโร (scorporo) เป็นระบบการลงคะแนนแบบผสมสองชั้นคล้ายกับระบบสัดส่วนผสม ยกเว้นตรงประเด็นความไม่เป็นสัดส่วนจากการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตจะถูกจัดการโดยกลไกแบบโอนเสียง โดยคะแนนเสียงของผู้ชนะในแบบแบ่งเขตของแต่ละเขตนั้นจะไม่ถูกนำไปคำนวณในการจัดสรรที่นั่งในระบบสัดส่วน ระบบนี้ใช้ในอิตาลีช่วง ค.ศ. 1993 ถึง ค.ศ. 2005 และในปัจจุบันใช้ในฮังการี
เสียงข้างมากแบบเพิ่มที่นั่ง
[แก้]ระบบเสียงข้างมากแบบเพิ่มที่นั่ง (majority bonus system) เป็นระบบการลงคะแนนที่มีการเพิ่มที่นั่ง (โบนัส) ที่เรียกกันว่าเป็น "ระบบผสมแบบแหวกแนว" ใช้ในกรีซ ซานมารีโน และอาร์มีเนีย รวมถึงอิตาลีในช่วง ค.ศ. 2006–2013 ระบบนี้ช่วยให้พรรคการเมืองที่มีคะแนนสูงสุดหรือพันธมิตรได้ที่นั่งส่วนใหญ่โดยใช้เสียงจำนวนน้อยซึ่งคล้ายกับกรณีของระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก เพียงแต่ใช้ระบบสัดส่วนในการจัดสรรปันส่วนที่นั่งให้กับพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล
สัดส่วนคู่
[แก้]ระบบสัดส่วนคู่ (dual-member proportional representation, ย่อ DMP) เป็นระบบผสมที่มีการชดเชยที่นั่งคล้ายกับระบบสัดส่วนผสม ยกเว้นที่ตรงที่การลงคะแนนนั้นทำเป็นคู่ (สองคน) ในระดับแบ่งเขต โดยเป็นระบบที่เสนอให้ใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปของแคนาดา และยังเคยเป็นระบบที่ได้รับการเสนอให้ใช้ในการเลือกตั้งรัฐพรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ในการลงประชามติเมื่อ ค.ศ. 2016 และในรัฐบริติชโคลัมเบียเมื่อ ค.ศ. 2018
รายชื่อประเทศที่ใช้ระบบผสม
[แก้]ตารางต่อไปนี้แสดงถึงรายชื่อประเทศที่ใช้ระบบการลงคะแนนแบบผสมสำหรับสภาล่าง โดยไม่รวมถึงประเทศในระบบลูกผสม และประเทศที่ใช้ระบบผสมแบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากทั้งสอง
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Electoral System Design: The New International IDEA Handbook". International Institute for Democracy and Electoral Assistance. 2005.
- ↑ 2.0 2.1 ACE Project Electoral Knowledge Network. "Mixed Systems". สืบค้นเมื่อ 20 October 2017.
- ↑ Norris, Pippa (1997). "Choosing Electoral Systems: Proportional, Majoritarian and Mixed Systems" (PDF). Harvard University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-06-29. สืบค้นเมื่อ 2021-06-16.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 Massicotte, Louis (2004). In Search of Compensatory Mixed Electoral System for Québec (PDF) (Report). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-12-24. สืบค้นเมื่อ 2021-06-16.
- ↑ "Electoral Systems and the Delimitation of Constituencies". International Foundation for Electoral Systems. 2 Jul 2009.
- ↑ 6.0 6.1 Bochsler, Daniel (May 13, 2010). "Chapter 5, How Party Systems Develop in Mixed Electoral Systems". Territory and Electoral Rules in Post-Communist Democracies. Palgrave Macmillan. ISBN 9780230281424.
- ↑ ACE Project Electoral Knowledge Network. "Electoral System Tiers and Hybrid Systems". สืบค้นเมื่อ 20 October 2017.
- ↑ Bormann, Nils-Christian; Golder, Matt (2013). "Democratic Electoral Systems around the world, 1946–2011" (PDF). Electoral Studies. 32 (2): 360–369.
- ↑ Bochsler, Daniel (2012). "A quasi-proportional electoral system 'only for honest men'? The hidden potential for manipulating mixed compensatory electoral systems" (PDF). International Political Science Review. 33 (4): 401–420.