ฟุตบอลทีมชาติอินโดนีเซีย
ฉายา |
| ||
---|---|---|---|
สมาคม | PSSI | ||
สมาพันธ์ย่อย | เอเอฟเอฟ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) | ||
สมาพันธ์ | เอเอฟซี (เอเชีย) | ||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | แพทริก ไกลเฟิร์ต | ||
กัปตัน | อัสนาวี มังกัวลัม | ||
ติดทีมชาติสูงสุด | อับดุล กาดีร์ (111)[1][2] | ||
ทำประตูสูงสุด | อับดุล กาดีร์ (70)[2] | ||
สนามเหย้า | |||
รหัสฟีฟ่า | IDN | ||
| |||
อันดับฟีฟ่า | |||
อันดับปัจจุบัน | 127 2 (19 ธันวาคม 2024)[4] | ||
อันดับสูงสุด | 76 (กันยายน ค.ศ. 1997) | ||
อันดับต่ำสุด | 191 (กรกฎาคม ค.ศ. 2016) | ||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | |||
หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ 7–1 ญี่ปุ่น (มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์; 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1934)[5][6] | |||
ชนะสูงสุด | |||
อินโดนีเซีย 12–0 ฟิลิปปินส์ (โซล ประเทศเกาหลีใต้; 21 กันยายน ค.ศ. 1972) อินโดนีเซีย 13–1 ฟิลิปปินส์ (จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย; 23 ธันวาคม ค.ศ. 2002) | |||
แพ้สูงสุด | |||
บาห์เรน 10–0 อินโดนีเซีย (อัรริฟาอ์ ประเทศบาห์เรน; 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012) | |||
ฟุตบอลโลก | |||
เข้าร่วม | 1 (ในฐานะ หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์) (ครั้งแรกใน 1938) | ||
ผลงานดีที่สุด | Knock Outs | ||
เอเชียนคัพ | |||
เข้าร่วม | 6 (ครั้งแรกใน 1996) | ||
ผลงานดีที่สุด | รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2023) | ||
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน | |||
เข้าร่วม | 15 (ครั้งแรกใน 1996) | ||
ผลงานดีที่สุด | รองชนะเลิศ (2000, 2002, 2004, 2010, 2016, 2020) | ||
ฟุตบอลทีมชาติอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Tim Nasional Sepak Bola Indonesia) เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจากประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้การควบคุมของสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียในฐานะสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย โดยส่วนใหญ่อินโดนีเซียจะใช้สนามกีฬาหลักเกอโลราบุงการ์โนเป็นสนามเหย้า สัญลักษณ์ประจำทีมคือครุฑ หรือ "ตราครุฑปัญจศีล" (ฉายาทีมคือ Garuda Warriors) และตราแผ่นดินของอินโดนีเซียปรากฏบนชุดแข่งขันสีขาวและสีแดง[7]
อินโดนีเซียเป็นชาติแรกในทวีปเอเชียที่เคยร่วมเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยเล่นในฟุตบอลโลก 1938 แต่ในขณะนั้นยังลงเล่นในฐานะตัวแทนของดัตช์อีสต์อินดีส์ ซึ่งเป็นชื่อของอินโดนีเซียในช่วงที่เป็นเมืองขึ้นของเนเธอร์แลนด์ และพวกเขาตกรอบแรกในครั้งนั้น[8][9] และยังไม่เคยเข้าร่วมฟุตบอลโลกในฐานะประเทศเอกราชจนถึงปัจจุบัน ผลงานดีที่สุดคือการเข้าถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ใน ค.ศ. 2024
อินโดนีเซียไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับทางการเท่าไรนัก พวกเขาเคยเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเพียงครั้งเดียวใน ค.ศ. 1956[10] และแข่งขันเอเชียนคัพ 5 ครั้ง และผ่านรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกในเอชียนคัพ 2023 และคว้าเหรียญทองแดงในเอเชียนเกมส์ 1958 ที่โตเกียว[11] และในระดับภูมิภาค อินโดนีเซียเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 6 ครั้ง แต่ทำได้เพียงรองแชมป์ทุกครั้ง และเป็นทีมเดียวในรายการนี้ที่เคยเข้าชิงชนะเลิศแต่ยังไม่เคยได้แชมป์ อินโดนีเซียมีคู่แข่งคือเพื่อนบ้านในภูมิภาค ได่แก่ มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย
ประวัติ
[แก้]1921–1940: อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์
[แก้]ในยุคแรก ทีมฟุตบอลอินโดนีเซียลงแข่งขันในนามดัตช์อีสต์อินดีส์ เนื่องจากหมู่เกาะในภูมิภาคทั้งหมดของอินโดนีเซียในยุคนั้นเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ การแข่งขันนัดแรกที่มีการบันทึกไว้คือการพบทีมชาติสิงคโปร์ในเกมกระชับมิตร ณ กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1921 และดัตช์อีสต์อินดีส์ชนะด้วยผลประตู 1–0 ตามด้วยการพบกับออสเตรเลียใน ค.ศ. 1928 (ชนะ 2–1) และเสมอกับทีมจากเซี่ยงไฮ้ (4–4) ในอีกสองปีต่อมา
ใน ค.ศ. 1934 ทีมฟุตบอลของเกาะชวาเป็นตัวแทนของอีสต์อินดีส์ในการแข่งขันกีฬาตะวันออกไกล ที่ประเทศฟิลิปปินส์และคว้าอันดับสองได้ โดยชนะญี่ปุ่นด้วยผลประตูถึง 7–1 ในนัดแรก ตามด้วยการแพ้จีน (0–2) และเจ้าภาพอย่างฟิลิปปินส์ (2–3) และแม้การแข่งขันครั้งนี้จะไม่ได้รับการบันทึกโดยสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซีย ทว่าระบบการให้คะแนน Elo ถือว่าเป็นการแข่งขันทางการครั้งแรกของทีมอินโดนีเซีย[12] และทีมดัตช์อีสต์อินดีส์ถือเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกของเอเชียที่ได้ร่วมเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยเข้าร่วมฟุตบอลโลก 1938 ที่แร็งส์ ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังจากญี่ปุ่นสละสิทธิ์แข่งขันในรอบคัดเลือก และพวกเขาได้ลงแข่งขันเพียงนัดเดียวโดยแพ้ต่อฮังการีขาดลอย 0–6
1940–2000: กีฬาโอลิมปิก และฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
[แก้]ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการปฏิวัติอินโดนีเซีย ประเทศได้ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซียได้มีทีมฟุตบอลของตนเองอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการแข่งขันรายการสำคัญคือโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมลเบิร์น พวกเขาเสมอสหภาพโซเวียต 0–0 และแพ้ 0–4 ในนัดแข่งใหม่ และนั่นเป็นการแข่งขันในโอลิมปิกครั้งเดียวของพวกเขา ถัดมา พวกเขาแข่งขันในฟุตบอลโลก 1958 รอบคัดเลือก เอาชนะจีนในรอบแรก ก่อนจะขอถอนตัวไม่แข่งขันกับอิสราเอลในรอบต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมือง และอินโดนีเซียคว้าเหรียญทองแดงในเอเชียนเกมส์ 1958 ที่โตเกียว เอาชนะอินเดีย 4–1 และทีมเริ่มมีการพัฒนาขึ้น โดยสามารถเสมอกับทีมจากยุโรปอย่างเยอรมนีตะวันออก 2–2 ในเกมกระชับมิตร และพวกเขาเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยการชนะการแข่งขันเมอร์เดก้า ทัวร์นาเมนท์ 3 สมัย ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่จัดขึ้นในมาเลเซียเพื่อรำลึกถึงวันประกาศอิสรภาพ และยังได้แชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1968 ชนะพม่า 1–0
อินโดนีเซียกลับมาแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอีกครั้งใน ค.ศ. 1974 แต่ตกรอบแรก โดยชนะเพียงนัดเดียวจากหกนัด และตกรอบแรกอีกครั้งในรอบคัดเลือก ค.ศ. 1978 โดยชนะได้เพียงนัดเดียวจากสี่นัดต่อสิงคโปร์ ก่อนจะทำผลงานได้ดีขึ้นในรอบคัดเลือก ค.ศ. 1982 ชนะได้สองนัด[13] พวกเขามีผลงานที่ดีที่สุดในขณะนั้นด้วยการผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบที่สอง ฟุตบอลโลก 1986 ด้วยผลงานชนะ 4 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ 1 นัดในรอบแรก ก่อนจะแพ้ทีมใหญ่อย่างเกาหลีใต้ในรอบที่สอง ตามด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเอเชียนเกมส์ 1986 ที่กรุงโซล โดยเอาชนะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ไปแพ้เกาหลีใต้ในนัดต่อมา และแพ้คูเวตในนัดชิงอันดับสาม แต่อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรกด้วยการคว้าเหรียญทองสองสมัยในซีเกมส์ 1987 (ชนะมาเลเซีย 1–0) และ 1991 (ชนะจุดโทษไทย) แต่ล้มเหลวในฟุตบอลโลก 1990 และ 1994 ในรอบคัดเลือกด้วยการชนะนัดเดียวจากหกนัดในทั้งสองครั้ง
อินโดนีเซียเข้าร่วมรายการเอเชียนคัพครั้งแรกใน ค.ศ. 1996 แต่ตกรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่ชนะทีมใด และเข้าร่วมครั้งที่สองใน ค.ศ. 2000 ที่ประเทศเลบานอน แต่ก็ตกรอบแรกเช่นเคย ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคือ เอเชียนคัพ 2004 ที่ประเทศจีน โดยชนะหนึ่งนัดในรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับกาตาร์ (2–1) แต่ตกรอบด้วยการแพ้จีนขาดลอย 0–5 และแพ้บาห์เรน 1–3 ก่อนที่ประเทศอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับชาติอื่นอีก 4 ชาติในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2007 แต่ก็ตกรอบแรกอีกครั้ง[14]
ทศวรรษ 2000–2010: ปัญหาภายใน
[แก้]ในช่วงทศวรรษ 2000 ทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนได้ถึง 4 ครั้ง แต่ได้เพียงรองแชมป์ทั้งหมด ต่อมาใน ค.ศ. 2012 สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้รับคำเตือนในกรณีการแบ่งแยกการแข่งขันลีกภายในประเทศ โดยมีการแบ่งการแข่งขันเป็น ลีกาซาตู ซึ่งไม่ได้รับการรับรองสถานะจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศและสมาคมในขณะนั้น และการแข่งขันอินโดนีเซียนพรีเมียร์ลีก คณะกรรมการกีฬาแห่งชาติ (KONI) สนับสนุนให้สมาคมแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวร่วมกับคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติของอินโดนีเซีย และประธานคณะกรรมการกีฬาแห่งชาติกล่าวว่าจะเข้าควบคุมการบริหารสมาคมหากสมาคมไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้[15] ฟีฟ่ายังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนในขณะนั้นว่าจะมีโทษแบนต่อทีมชาติอินโดนีเซียและสมาคมหรือไม่
ในวันที่ 20 มีนาคม 2012 ฟีฟ่าแถลงว่าสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้และฟีฟ่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมสภาเพื่อหาข้อสรุป[16] และฟีฟ่าได้ขยายเวลาการแก้ปัญหาให้แก่สมาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน หากไม่สำเร็จ คดีนี้จะถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการฉุกเฉินของฟีฟ่าเพื่อระงับการแข่งขัน[17] และมีการกำหนดเส้นตายใหม่อีกครั้งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2012 และในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนครบกำหนด คณะกรรมการหลักสามในสี่คนของสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากผิดหวังในการจัดการแก้ปัญหาของสมาคม อย่างไรก็ตาม ฟีฟ่าแถลงว่าจะกำหนดบทลงโทษทีมชาติอินโดนีเซียภายหลังจากเสร็จสิ้นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2012 ซึ่งอินโดนีเซียตกรอบแบ่งกลุ่ม
ใน ค.ศ. 2013 ดจฮาร์อาริฟิน ฮูซิน ประธานของสมาคมฟุตบอลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ La Nyalla Mahmud Mattalitti ผ่านสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ส่งผลให้การแข่งขัน ลีกาซาตู ถูกควบคุมโดยคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติของอินโดนีเซีย จนกว่าจะมีการก่อตั้งการแข่งขันรายการใหม่ หมายความว่า ผู้เล่นจากลีกาซาตูสามารถร่วมแข่งขันในนามทีมชาติชุดใหญ่ได้ และสมาคมได้เรียกผู้เล่นจากทั้งสองลีก (ลีกาซาตู และพรีเมียร์ลีก) ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สมาคมฟุตบอลได้จัดการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร่วมกับตัวแทนของคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติ ในการประชุมดังกล่าวประกอบไปด้วย 4 วาระสำคัญได้แก่ การรวมตัวของสองลีก; การแก้ไขกฎเกณฑ์ของสมาคม; การคืนสถานะของสมาชิกคณะกรรมการบริหารสมาคมที่ถูกไล่ออก และข้อตกลงของทุกฝ่ายในบันทึกความเข้าใจที่ลงนามร่วมกัน ราฮ์มัด ดาร์มาวัน ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนรักษาการทีมชาติชุดใหญ่ โดยมี แจ็คเซน เอฟ. ติอาโก เพื่อนสนิทของเขาเป็นผู้ช่วย และอินโดนีเซียแพ้ต่อซาอุดีอาระเบีย 1–2 ในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก พวกเขาได้ประตูจาก โบอาส โซลอซซา
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้รับโทษโดยถูกสั่งระงับการแข่งขันทุกรายการของฟีฟ่า สืบเนื่องจากการแทรกแซงของรัฐบาลในการจัดการแข่งขันลีกซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายปี โทษแบนดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที ส่งผลให้อินโดนีเซียถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก และเอเชียนคัพ 2019 รอบคัดเลือก ยิ่งไปกว่านั้น ฟีฟ่ายังมีบทลงโทษเพิ่มเติม สืบเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นและสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียส่งผลให้มีการยกเลิกการแข่งขันในประเทศ[18] ทว่าบทลงโทษดังกล่าวถูกยกเลิกในการประชุมสามัญครั้งที่ 66 ของฟีฟ่า อินโดนีเซียยังได้รับสิทธิ์แข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2016 ซึ่งพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 5 แต่ก็แพ้ทีมชาติไทยอีกครั้ง[19]
ลุยส์ มิลลา ผู้ฝึกสอนชาวสเปนได้รับการแต่งตั้งเพื่อนำทีมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018 แต่เขาได้ลาออกภายในเวลาอันสั้นโดยไม่ได้ให้เหตุผลใด ๆ สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนอย่างมาก บิมา ซักติ เข้ามารักษาการแต่ทีมก็ตกรอบแรกในการแข่งขัน ไซมอน แมคเมเนมี ผู้ฝึกสอนชาวสกอตแลนด์ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมเพื่อเตรียมแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ด้วยความคาดหวังว่าผลงานของทีมจะดีขึ้น เนื่องจากแมคเมเนมีทำผลงานได้ดีในการคุมทีมชาติฟิลิปปินส์ โดยอินโดนีเซียอยู่ร่วมกลุ่มกับชาติคู่แข่งในอาเซียนอย่าง ไทย, เวียดนาม และคู่ปรับสำคัญ มาเลเซีย ทว่าพวกเขามีผลงานย่ำแย่ รวมถึงการแพ้คาบ้านต่อมาเลเซีย 2–3 ทั้งที่ออกนำไปก่อน 2–1 ตามด้วยการแพ้เวียดนามในบ้านตนเองเป็นครั้งแรกในการแข่งขันระดับทางการ ส่งผลให้แมคเมเนมีถูกปลด[20] อินโดนีเซียตกรอบหลังจากบุกไปพ่ายมาเลเซีย 0–2[21] และทีมมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยแต่งตั้ง ชิน แท-ยงอดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติเกาหลีใต้ โดยสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียยึดแนวทางของทีมชาติเวียดนามในการแต่งตั้ง พัก ฮัง-ซอ เป็นผู้ฝึกสอน[22]
2020–ปัจจุบัน: พัฒนาทีม และกลับมาเป็นทีมชั้นนำของอาเซียน
[แก้]ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 พวกเขาผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 6 และเป็นครั้งที่ 4 ที่พบทีมชาติไทยในรอบชิงชนะเลิศ แต่ก็แพ้ด้วยผลประตูรวม 2–6 ทำได้เพียงรองแชมป์สมัยที่ 6 ต่อมาในเอเชียนคัพ 2023 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 อินโดนีเซียทำผลงานยอดเยี่ยมในนัดแรกด้วยการบุกไปชนะคูเวต 2–1 ซึ่งเป็นการเอาชนะคูเวตได้ในรอบกว่า 42 ปี และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ที่ทีมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บุกไปเอาชนะทีมจากเอเชียตะวันตก (นับตั้งแต่ทีมชาติไทยบุกไปชนะเยเมน ณ เมืองซานาในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก) และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทีมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บุกไปเอาชนะทีมในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียในบ้าน พวกเขาปิดท้ายด้วยการเอาชนะเนปาลขาดลอย 7–0 คว้าสิทธิ์แข่งขันรอบสุดท้ายในเอเชียนคัพ 2023 ครั้งแรกในรอบ 16 ปี โดยอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมแกร่งอย่างญี่ปุ่น, อิรัก และคู่อริอย่างเวียดนาม
ในการแข่งขันเอเชียนคัพ พวกเขาประเดิมสนามด้วยการแพ้อิรัก 1–3 และเอาชนะเวียดนาม 1–0 และแม้จะแพ้ญี่ปุ่น 1–3 แต่ยังเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 และต้องยุติเส้นทางในรอบต่อมาด้วยการแพ้ออสเตรเลีย 0–4 แต่จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกสอนอย่างชิน แท-ยง ได้รับการขยายสัญญาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2024 ออกไปจนถึงปี 2027
อินโดนีเซียเอาชนะบรูไนขาดลอย 12–0 ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 1 ต่อมา ในการแข่งขันรอบที่ 2 พวกเขาประเดิมด้วยการแพ้่อิรัก 1–5 และบุกไปเสมอฟิลิปปินส์ 1–1 และเอาชนะคู่แข่งอย่างเวียดนามได้ทั้งนัดเหย้าและเยือน นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาบุกไปชนะที่เวียดนามตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ทำให้อินโดนีเซียผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จากการมี 7 คะแนน พวกเขาทำผลงานยอดเยี่ยมซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในแง่การพัฒนาทีมด้วยการใช้ผู้เล่นโอนสัญชาติหลายราย
ในรอบต่อมา อินโดนีเซียเริ่มต้นด้วยการบุกไปเสมอทีมแกร่งอย่างซาอุดีอาระเบียด้วยผลประตู 1–1 ที่ญิดดะฮ์ และเปิดบ้านเสมอออสเตรเลีย 0–0[23] ตามด้วยการบุกไปเสมอบาห์เรน 2–2 และแม้จะบุกไปแพ้จีน 1–2 ตามด้วยการเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่นถึง 0–4 แต่ในนัดถัดมาพวกเขาคว้าชัยชนะที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งด้วยการเอาชนะซาอุดีอาระเบีย 2–0 จากสองประตูของมาร์เซลิโน เฟอร์ดินัน ทำสถิติเป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เอาชนะซาอุดีอาระเบีย[24] ทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ของกลุ่ม
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024 กลุ่มบี อินโดนีเซียอยู่ร่วมกับเวียดนาม, ฟิลิปปินส์, พม่า และลาว ในครั้งนี้อินโดนีเซียไม่ได้ส่งผู้เล่นตัวหลักลงแข่งขัน โดยใช้ผู้เล่นเกือบทั้งหมดจากทีมเยาวชน เนื่องจากผู้เล่นตัวหลักอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รวมทั้งเพิ่งผ่านการเล่นรายการใหญ่ในช่วงต้นปีอย่างเอเชียนคัพ 2023 พวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่มจากการมี 4 คะแนนโดยแพ้ฟิลิปปินส์ในนัดสุดท้าย 0–1
แพทริก ไกลเฟิร์ต ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2025[25]
สนามแข่ง
[แก้]ทีมชาติอินโดนีเซียมักลงแข่งขันที่ สนามกีฬาหลักเกอโลราบุงการ์โน เป็นหลัก ตั้งอยู่ภายใน เกอโลรา บุงการ์โน สปอร์ต คอมเพล็กซ์ ใจกลางกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ความจุกว่า 77,000 ที่นั่ง และยังสามารถขยายความจุได้อีกในรายการอื่น ๆ สนามแห่งนี้ยังถูกใช้ในเอเชียนคัพ 2007 รอบชิงชนะเลิศ และเคยได้รับการจัดอันดับเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก
อินโดนีเซียมีแผนจะใช้สนาม "จาการ์ตาบีเอ็มดับเบิลยูสเตเดียม" เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีหลังคาแบบเปิด-ปิดได้ และจะมีความจุ 82,000 ที่นั่ง โดยจะกลายเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย แต่เดิมสนามมีหนดการเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม 2021 แต่จากการระบาดของ ไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้แผนดังกล่าวถูกเลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2022[26]
เอกลักษณ์ทีม
[แก้]ในช่วงแรกที่ถูกปกครองโดยเนเธอร์แลนด์ ทีมฟุตบอลหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ลงแข่งขันในชุดสีส้มซึ่งเป็นสีหลักของเนเธอร์แลนด์ โดยปราศจากเอกสารทางการที่ยืนยันข้อมูลของชุดแข่งขันในยุคนั้น หลักฐานที่ถูกเก็บไว้มีเพียงภาพถ่ายขาวดำในการแข่งขันที่พบกับฮังการีในฟุตบอลโลก 1938 เอกสารที่ไม่เป็นทางการระบุว่าชุดดังกล่าวประกอบด้วยเสื้อสีส้ม กางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีฟ้าอ่อน[27] และนับตั้งแต่ได้รับเอกราช ทีมชาติอินโดนีเซียใช้สีแดงและสีขาวเป็นสีหลักมาตลอด ซึ่งเป็นสีของธงชาติอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การผสมผสานระหว่างสีเขียวและสีขาวยังถูกนำมาปรับใช้กับชุดทีมเยือน ซึ่งถูกใช้ครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ณ เมืองเมลเบิร์น ซึ่งชุดแข่งขันดังกล่าวถูกใช้งานต่อเนื่องถึงกลางทศวรรษ 1980[28]
Erigo บริษัทผู้ผลิตเครื่องแต่งกายชื่อดังของประเทศ เป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันของอินโดนีเซียในปัจจุบัน โดยเริ่มตั้งแต่สิ้นสุดการแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 และมีการเซ็นสัญญากันจนถึงปี 2026[29] ก่อนหน้านั้น ชุดแข่งขันของทีมอยู่ภายใต้ความดูแลของไนกี้ และ Mills อินโดนีเซียยังสวมเครื่องแต่งกายอื่น ๆ เฉพาะเมื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เช่น เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ ในการแข่งขันเหล่านี้ อินโดนีเซียจะสวมชุดแข่งขันของหลี่หนิง เนื่องจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์และซีเกมส์เป็นการแข่งขันกีฬาหลากหลายประเภท ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติอินโดนีเซีย (NOC)[30]
การใช้ชุดเหย้าระหว่างปี 2010–2012 เกิดกรณีปัญหาเมื่อทีมชาติอินโดนีเซียต้องลงเล่นกับคู่แข่งที่สวมชุดแข่งสีขาวล้วน เนื่องจากถุงเท้าเป็นสีขาวแทนที่จะเป็นสีแดงตามปกติ อินโดนีเซียมีวิธีแก้ปัญหาคือการใช้สีแดงและสีเขียว (สำหรับเกมเยือน) โดยใช้กางเกงขาสั้นและถุงเท้าสีเขียวจากชุดเยือน ใช้ชุดสีแดงล้วนเมื่อเป็นเจ้าบ้าน ไนกี้เป็นผู้ผลิตชุดแข่งของทีมตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2019[31] ภายหลังความพ่ายแพ้ต่อทีมชาติบาห์เรนในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2011 กางเกงขาสั้นสีแดง (ที่ติดแถบสีเขียว) ก็ถูกยกเลิกไปหลังจากลงเล่นนัดแรก และไม่เคยนำมาใช้อีกเลย ในขณะที่ถุงเท้าสีแดงติดแถบสีขาว ซึ่งแตกต่างจากถุงเท้าสีแดงที่ติดแถบสีเขียวที่สวมใส่ระหว่างการฝึกซ้อม และการผสมสีระหว่างสีแดง-ขาว-แดงถูกนำมาใช้เป็นชุดทีมเหย้าในบางครั้งในเวลาต่อมา เช่น ในเกมเหย้ารอบคัดเลือกเลือกที่พบกับกาตาร์และอิหร่านในปีนั้น
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ไนกี้เปิดตัวชุดเหย้าและชุดเยือนแบบใหม่ของทีมชาติอินโดนีเซีย โดยเสื้อเหย้าเป็นสีแดงพร้อมโลโก้ไนกี้สีทองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศ ซึ่งก็คือ "ตราครุฑปัญจศีล" ชุดเหย้าประกอบด้วยสีแดง-ขาว-แดง ส่วนชุดเยือนประกอบด้วยสีขาว-เขียว-ขาว พร้อมโลโก้ไนกี้สีเขียวปรากฏบนเสื้อ[32]
คู่แข่ง
[แก้]คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอินโดนีเซียก็คือ "มาเลเซีย" การแข่งขันของทั้งสองทีมเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในภูมิภาค[33][34] ทั้งคู่พบกันรวม 99 ครั้ง ผลงานของทั้งคู่นั้นสูีกันมาก อินโดนีเซียเอาชนะได้ 40 ครั้ง, เสมอ 21 ครั้ง และแพ้ 38 ครั้ง ความขัดแย้งทางการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศซึ่งอุบัติขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ทำให้บรรยากาศการพบกันทวีความเข้มข้นมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ วลีที่ว่า "Ganyang Malaysia!" ที่อดีตประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซียกล่าวในสุนทรพจน์ทางการเมืองเมื่อปี 1963 ที่กรุงจาการ์ตา ถือเป็นการให้กำลังใจทีมชาติอินโดนีเซียก่อนการแข่งขันกับมาเลเซีย[35]
การพบกันนัดแรกคือการแข่งขันรอบ 2 ในรายการ เมอร์เดกา ทัวร์นาเมนท์ (เกมกระชับมิตรที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันประกาศอิสรภาพมาเลเซีย) ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะ 4–2 ของอินโดนีเซีย และนับตั้งแต่นั้นการแข่งขันระหว่างทั้งคู่ในเมืองใหญ่อย่างจาการ์ตาและกัวลาลัมเปอร์จะมีบรรยากาศที่ดุเดือดเรื่อยมา โดยในซีเกมส์ 2011 มีแฟนบอลเสียชีวิตจำนวนสองรายจากการปะทะกันในรอบชิงชนะเลิศทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ต่อมา การแข่งขันครั้งสำคัญของทั้งสองทีมคือรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2010 มาเลเซียเอาชนะอินโดนีเซียด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–2 คว้าแชมป์สมัยแรก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 ซึ่งอินโดนีเซียเอาชนะ 4–1 ในรอบแบ่งกลุ่ม
ชาติอื่นในภูมิภาคที่ถือเป็นคู่แข่งของอินโดนีเซียคือเวียดนาม, ไทย และสิงคโปร์ในฐานะที่เป็นคู่แข่งแย่งความสำเร็จในรายการสำคัญ เช่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน และซีเกมส์ อินโดนีเซียเคยเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนถึง 6 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดทีมหนึ่ง ทว่าพวกเขากลับทำได้เพียงรองแชมป์ทุกครั้ง และเป็นการแพ้ทีมชาติไทยถึง 4 ครั้ง, และแพ้สิงคโปร์ในนัดชิงชนะเลิศปี 2004
ผลงาน
[แก้]- 1930, 1934, 1954 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1938 - รอบแรก (ในนาม ดัตช์อีสต์อินดีส)
- 1950, 1958, 1962 - ถอนตัว
- 1966, 1970 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1974 - 2014 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2018 - ถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันจากทางฟีฟ่า
- 2022 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2026 - กำลังแข่งขันรอบคัดเลือก
- 1956 - 1964 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1968 - 1992 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 1996 - 2004 - รอบแรก
- 2007 - รอบแรก (เจ้าภาพร่วม)
- 2011 - 2015 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2019 - ถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันจากทางฟีฟ่า
- 2023 - รอบ 16 ทีมสุดท้าย
- 2027 - ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว
- 1996 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 1998 - อันดับ 3
- 2000 - รองชนะเลิศ
- 2002 - รองชนะเลิศ
- 2004 - รองชนะเลิศ
- 2007 - รอบแรก
- 2008 - รอบแรก
- 2010 - รองชนะเลิศ
- 2012 - รอบแรก
- 2014 - รอบแรก
- 2016 - รองชนะเลิศ
- 2018 - รอบแรก
- 2020 - รองชนะเลิศ
- 2022 - รอบรองชนะเลิศ
- 2024 - รอบแรก
ผลงานอื่น
[แก้]- ซีเกมส์ - ชนะเลิศ 2 ครั้ง - 1987 (จาการ์ตา), 1991 (มะนิลา)
- คิงส์คัพ - ชนะเลิศ 1 ครั้ง ใน คิงส์คัพ ครั้งที่ 1 (2511)
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
[แก้]รายชื่อผู้เล่น 23 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสาม
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567 หลังแข่งขันกับ ซาอุดีอาระเบีย
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | Maarten Paes | 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 | 1 | 0 | FC Dallas |
16 | GK | Nadeo Argawinata | 9 มีนาคม ค.ศ. 1997 | 24 | 0 | Borneo Samarinda |
21 | GK | Ernando Ari | 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 | 15 | 0 | Persebaya Surabaya |
2 | DF | Calvin Verdonk | 26 เมษายน ค.ศ. 1997 | 2 | 0 | NEC |
3 | DF | Jay Idzes (captain) | 2 มิถุนายน ค.ศ. 2000 | 4 | 1 | Venezia |
4 | DF | Wahyu Prasetyo | 21 มีนาคม ค.ศ. 1998 | 2 | 0 | Malut United |
5 | DF | Rizky Ridho | 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 | 40 | 4 | Persija Jakarta |
6 | DF | Sandy Walsh | 14 มีนาคม ค.ศ. 1995 | 14 | 1 | Mechelen |
12 | DF | Pratama Arhan | 21 ธันวาคม ค.ศ. 2001 | 46 | 3 | Suwon FC |
13 | DF | Muhammad Ferarri | 21 มิถุนายน ค.ศ. 2003 | 3 | 0 | Persija Jakarta |
14 | DF | อัสนาวี มังกูวาลัม (vice-captain) | 4 ตุลาคม ค.ศ. 1999 | 45 | 2 | การท่าเรือ เอฟซี |
20 | DF | Shayne Pattynama | 11 สิงหาคม ค.ศ. 1998 | 9 | 1 | Eupen |
23 | DF | จัสติน ฮับเนอร์ | 14 กันยายน ค.ศ. 2003 | 12 | 0 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ |
7 | MF | Marselino Ferdinan | 9 กันยายน ค.ศ. 2004 | 27 | 3 | Oxford United |
8 | MF | Witan Sulaeman | 8 ตุลาคม ค.ศ. 2001 | 45 | 9 | Persija Jakarta |
10 | MF | Egy Maulana Vikri | 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 | 31 | 9 | Dewa United |
15 | MF | Ricky Kambuaya | 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1996 | 40 | 5 | Dewa United |
18 | MF | Ivar Jenner | 10 มกราคม ค.ศ. 2004 | 13 | 0 | Jong Utrecht |
19 | MF | Thom Haye | 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 | 5 | 1 | Unattached |
22 | MF | Nathan Tjoe-A-On | 22 ธันวาคม ค.ศ. 2001 | 6 | 0 | Swansea City |
9 | FW | Rafael Struick | 27 มีนาคม ค.ศ. 2003 | 16 | 0 | ADO Den Haag |
11 | FW | Ragnar Oratmangoen | 21 มกราคม ค.ศ. 1998 | 5 | 2 | Dender |
17 | FW | Hokky Caraka | 21 สิงหาคม ค.ศ. 2004 | 7 | 2 | PSS Sleman |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ FIFA Century Club - 1 December 2021, FIFA.
- ↑ 2.0 2.1 Abdul Kadir - Century of International Appearances - RSSSF.
- ↑ Raya, Mercy. "Timnas Indonesia Akan Pakai Jakarta International Stadium". sepakbola (ภาษาอินโดนีเซีย). สืบค้นเมื่อ 2021-10-02.
- ↑ "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 19 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2024.
- ↑ "Dutch East Indies International matches". สืบค้นเมื่อ 19 November 2015.
- ↑ "Indonesia matches, ratings and points exchanged". World Football Elo Ratings: Indonesia. สืบค้นเมื่อ 24 November 2019.
- ↑ "Timnas Garuda akan Evaluasi Permainan Usai Laga Melawan Irak". PSSI - Football Association of Indonesia (ภาษาอินโดนีเซีย).
- ↑ FIFA (2014-09-10), Fascinating story of Asia's first World Cup team, สืบค้นเมื่อ 2024-12-15
- ↑ "Asia's World Cup Debutants: Dutch East Indies". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Indonesia International Matches". www.rsssf.com.
- ↑ "Indonesia International Matches". www.rsssf.org.
- ↑ "World Football Elo Ratings". www.eloratings.net (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Indonesia International Matches". www.rsssf.com.
- ↑ Says, Jtxno12 (2010-12-16). "Indonesia National Football Team". Simple More (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "PSSI warn against Indonesian government plans to take over embattled body | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ "Yahoo Malaysia | News and Lifestyle". Yahoo Malaysia | News and Lifestyle (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "FIFA.com - FIFA Executive Committee agrees major governance reforms & Ethics structure". web.archive.org. 2012-04-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-01. สืบค้นเมื่อ 2021-12-29.
- ↑ "Indonesian FA suspended by FIFA for government meddling". Eurosport (ภาษาอังกฤษ). 2015-05-30.
- ↑ "Indonesia Tops the Anticlimax as Thailand Wins the 2016 AFF Cup". Jakarta Globe.
- ↑ Post, The Jakarta. "PSSI fires national team coach McMenemy over 'unsatisfactory performance'". The Jakarta Post (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Fox Sports". www.foxsports.com.my. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-30. สืบค้นเมื่อ 2021-12-29.
- ↑ "Shin Tae-yong Merasa Tak Masalah Jika Indonesia Gagal Juara Piala AFF 2020 - Berita Bola Terupdate, Live Score, Jadwal & Klasemen - Football5star.com". football5star.com (ภาษาอินโดนีเซีย).
- ↑ "Group C: Indonesia 0-0 Australia". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "#AsianQualifiers - Road To 26 | Group C : Indonesia 2 - 0 Saudi Arabia". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Patrick Kluivert Resmi Menjadi Pelatih Timnas Indonesia". PSSI - Football Association of Indonesia (ภาษาอินโดนีเซีย). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-01-08. สืบค้นเมื่อ 2025-01-18.
- ↑ Raya, Mercy. "Timnas Indonesia Akan Pakai Jakarta International Stadium". sepakbola (ภาษาอินโดนีเซีย).
- ↑ "Sportgeschiedenis.nl - de alternatieve bron voor sportnieuws". web.archive.org. 2010-06-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-23. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
- ↑ "FOKUS: Sepuluh Jersey Jadul Terbaik Versi GOAL.com Indonesia - Goal.com". web.archive.org. 2009-06-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-14. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Instagram". www.instagram.com.
- ↑ "Mengapa Apparel Timnas U-23 di SEA Games Bukan Mills?". kumparan (ภาษาอินโดนีเซีย).
- ↑ "Momen Timnas Indonesia Pakai Jersey Merek Kenamaan, dari Adidas hingga Nike". OneFootball (ภาษาฝรั่งเศส). 2024-12-30.
- ↑ "Nike Indonesia 2018-19 Home & Away Kits Unveiled". Footy Headlines (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Duerden, John (2019-09-04). "Indonesia v Malaysia: a cauldron of passion and an armoured personnel carrier". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
- ↑ "Malaysia holiday after football win over Indonesia - USATODAY.com". usatoday30.usatoday.com.
- ↑ Bola.com (2022-07-07). "Cerita Rivalitas Panas Timnas Indonesia dengan Malaysia Sejak Tahun 1957". bola.com (ภาษาอินโดนีเซีย).