ข้ามไปเนื้อหา

ฟุตบอลทีมชาติอินโดนีเซีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Indonesia national football team)
อินโดนีเซีย
Shirt badge/Association crest
ฉายา
  • เมระฮ์ ปูติฮ์ (แดง-ขาว)
  • ติมการูดา (ทีมครุฑ)
  • ติมนัซ (ทีมชาติ)
สมาคมPSSI
สมาพันธ์ย่อยเอเอฟเอฟ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
สมาพันธ์เอเอฟซี (เอเชีย)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนแพทริก ไกลเฟิร์ต
กัปตันอัสนาวี มังกัวลัม
ติดทีมชาติสูงสุดอับดุล กาดีร์ (111)[1][2]
ทำประตูสูงสุดอับดุล กาดีร์ (70)[2]
สนามเหย้า
รหัสฟีฟ่าIDN
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 127 ลดลง 2 (19 ธันวาคม 2024)[4]
อันดับสูงสุด76 (กันยายน ค.ศ. 1997)
อันดับต่ำสุด191 (กรกฎาคม ค.ศ. 2016)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ 7–1 ญี่ปุ่น ธงชาติประเทศญี่ปุ่น
(มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์; 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1934)[5][6]
ชนะสูงสุด
ธงชาติอินโดนีเซีย อินโดนีเซีย 12–0 ฟิลิปปินส์ ธงชาติฟิลิปปินส์
(โซล ประเทศเกาหลีใต้; 21 กันยายน ค.ศ. 1972)
ธงชาติอินโดนีเซีย อินโดนีเซีย 13–1 ฟิลิปปินส์ ธงชาติฟิลิปปินส์
(จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย; 23 ธันวาคม ค.ศ. 2002)
แพ้สูงสุด
ธงชาติบาห์เรน บาห์เรน 10–0 อินโดนีเซีย ธงชาติอินโดนีเซีย
(อัรริฟาอ์ ประเทศบาห์เรน; 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม1 (ในฐานะ ธงชาติหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์) (ครั้งแรกใน 1938)
ผลงานดีที่สุดKnock Outs
เอเชียนคัพ
เข้าร่วม6 (ครั้งแรกใน 1996)
ผลงานดีที่สุดรอบ 16 ทีมสุดท้าย (2023)
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน
เข้าร่วม15 (ครั้งแรกใน 1996)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ (2000, 2002, 2004, 2010, 2016, 2020)

ฟุตบอลทีมชาติอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Tim Nasional Sepak Bola Indonesia) เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจากประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้การควบคุมของสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียในฐานะสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย โดยส่วนใหญ่อินโดนีเซียจะใช้สนามกีฬาหลักเกอโลราบุงการ์โนเป็นสนามเหย้า สัญลักษณ์ประจำทีมคือครุฑ หรือ "ตราครุฑปัญจศีล" (ฉายาทีมคือ Garuda Warriors) และตราแผ่นดินของอินโดนีเซียปรากฏบนชุดแข่งขันสีขาวและสีแดง[7]

อินโดนีเซียเป็นชาติแรกในทวีปเอเชียที่เคยร่วมเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยเล่นในฟุตบอลโลก 1938 แต่ในขณะนั้นยังลงเล่นในฐานะตัวแทนของดัตช์อีสต์อินดีส์ ซึ่งเป็นชื่อของอินโดนีเซียในช่วงที่เป็นเมืองขึ้นของเนเธอร์แลนด์ และพวกเขาตกรอบแรกในครั้งนั้น[8][9] และยังไม่เคยเข้าร่วมฟุตบอลโลกในฐานะประเทศเอกราชจนถึงปัจจุบัน ผลงานดีที่สุดคือการเข้าถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ใน ค.ศ. 2024

อินโดนีเซียไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับทางการเท่าไรนัก พวกเขาเคยเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเพียงครั้งเดียวใน ค.ศ. 1956[10] และแข่งขันเอเชียนคัพ 5 ครั้ง และผ่านรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกในเอชียนคัพ 2023 และคว้าเหรียญทองแดงในเอเชียนเกมส์ 1958 ที่โตเกียว[11] และในระดับภูมิภาค อินโดนีเซียเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 6 ครั้ง แต่ทำได้เพียงรองแชมป์ทุกครั้ง และเป็นทีมเดียวในรายการนี้ที่เคยเข้าชิงชนะเลิศแต่ยังไม่เคยได้แชมป์ อินโดนีเซียมีคู่แข่งคือเพื่อนบ้านในภูมิภาค ได่แก่ มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย

ประวัติ

[แก้]
นักฟุตบอลรุ่นบุกเบิกของทีมดัตซ์อีสต์อินดีส์

1921–1940: อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์

[แก้]

ในยุคแรก ทีมฟุตบอลอินโดนีเซียลงแข่งขันในนามดัตช์อีสต์อินดีส์ เนื่องจากหมู่เกาะในภูมิภาคทั้งหมดของอินโดนีเซียในยุคนั้นเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ การแข่งขันนัดแรกที่มีการบันทึกไว้คือการพบทีมชาติสิงคโปร์ในเกมกระชับมิตรกรุงจาการ์ตา ในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1921 และดัตช์อีสต์อินดีส์ชนะด้วยผลประตู 1–0 ตามด้วยการพบกับออสเตรเลียใน ค.ศ. 1928 (ชนะ 2–1) และเสมอกับทีมจากเซี่ยงไฮ้ (4–4) ในอีกสองปีต่อมา

ใน ค.ศ. 1934 ทีมฟุตบอลของเกาะชวาเป็นตัวแทนของอีสต์อินดีส์ในการแข่งขันกีฬาตะวันออกไกล ที่ประเทศฟิลิปปินส์และคว้าอันดับสองได้ โดยชนะญี่ปุ่นด้วยผลประตูถึง 7–1 ในนัดแรก ตามด้วยการแพ้จีน (0–2) และเจ้าภาพอย่างฟิลิปปินส์ (2–3) และแม้การแข่งขันครั้งนี้จะไม่ได้รับการบันทึกโดยสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซีย ทว่าระบบการให้คะแนน Elo ถือว่าเป็นการแข่งขันทางการครั้งแรกของทีมอินโดนีเซีย[12] และทีมดัตช์อีสต์อินดีส์ถือเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกของเอเชียที่ได้ร่วมเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยเข้าร่วมฟุตบอลโลก 1938 ที่แร็งส์ ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังจากญี่ปุ่นสละสิทธิ์แข่งขันในรอบคัดเลือก และพวกเขาได้ลงแข่งขันเพียงนัดเดียวโดยแพ้ต่อฮังการีขาดลอย 0–6

การแข่งขันระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพโซเวียตในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมลเบิร์น เกมจบลงด้วยผลเสมอ 0–0

1940–2000: กีฬาโอลิมปิก และฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก

[แก้]

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการปฏิวัติอินโดนีเซีย ประเทศได้ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซียได้มีทีมฟุตบอลของตนเองอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการแข่งขันรายการสำคัญคือโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมลเบิร์น พวกเขาเสมอสหภาพโซเวียต 0–0 และแพ้ 0–4 ในนัดแข่งใหม่ และนั่นเป็นการแข่งขันในโอลิมปิกครั้งเดียวของพวกเขา ถัดมา พวกเขาแข่งขันในฟุตบอลโลก 1958 รอบคัดเลือก เอาชนะจีนในรอบแรก ก่อนจะขอถอนตัวไม่แข่งขันกับอิสราเอลในรอบต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมือง และอินโดนีเซียคว้าเหรียญทองแดงในเอเชียนเกมส์ 1958 ที่โตเกียว เอาชนะอินเดีย 4–1 และทีมเริ่มมีการพัฒนาขึ้น โดยสามารถเสมอกับทีมจากยุโรปอย่างเยอรมนีตะวันออก 2–2 ในเกมกระชับมิตร และพวกเขาเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยการชนะการแข่งขันเมอร์เดก้า ทัวร์นาเมนท์ 3 สมัย ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่จัดขึ้นในมาเลเซียเพื่อรำลึกถึงวันประกาศอิสรภาพ และยังได้แชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1968 ชนะพม่า 1–0

อินโดนีเซียกลับมาแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอีกครั้งใน ค.ศ. 1974 แต่ตกรอบแรก โดยชนะเพียงนัดเดียวจากหกนัด และตกรอบแรกอีกครั้งในรอบคัดเลือก ค.ศ. 1978 โดยชนะได้เพียงนัดเดียวจากสี่นัดต่อสิงคโปร์ ก่อนจะทำผลงานได้ดีขึ้นในรอบคัดเลือก ค.ศ. 1982 ชนะได้สองนัด[13] พวกเขามีผลงานที่ดีที่สุดในขณะนั้นด้วยการผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบที่สอง ฟุตบอลโลก 1986 ด้วยผลงานชนะ 4 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ 1 นัดในรอบแรก ก่อนจะแพ้ทีมใหญ่อย่างเกาหลีใต้ในรอบที่สอง ตามด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเอเชียนเกมส์ 1986 ที่กรุงโซล โดยเอาชนะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ไปแพ้เกาหลีใต้ในนัดต่อมา และแพ้คูเวตในนัดชิงอันดับสาม แต่อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรกด้วยการคว้าเหรียญทองสองสมัยในซีเกมส์ 1987 (ชนะมาเลเซีย 1–0) และ 1991 (ชนะจุดโทษไทย) แต่ล้มเหลวในฟุตบอลโลก 1990 และ 1994 ในรอบคัดเลือกด้วยการชนะนัดเดียวจากหกนัดในทั้งสองครั้ง

อินโดนีเซียเข้าร่วมรายการเอเชียนคัพครั้งแรกใน ค.ศ. 1996 แต่ตกรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่ชนะทีมใด และเข้าร่วมครั้งที่สองใน ค.ศ. 2000 ที่ประเทศเลบานอน แต่ก็ตกรอบแรกเช่นเคย ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคือ เอเชียนคัพ 2004 ที่ประเทศจีน โดยชนะหนึ่งนัดในรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับกาตาร์ (2–1) แต่ตกรอบด้วยการแพ้จีนขาดลอย 0–5 และแพ้บาห์เรน 1–3 ก่อนที่ประเทศอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับชาติอื่นอีก 4 ชาติในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2007 แต่ก็ตกรอบแรกอีกครั้ง[14]

ทศวรรษ 2000–2010: ปัญหาภายใน

[แก้]

ในช่วงทศวรรษ 2000 ทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนได้ถึง 4 ครั้ง แต่ได้เพียงรองแชมป์ทั้งหมด ต่อมาใน ค.ศ. 2012 สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้รับคำเตือนในกรณีการแบ่งแยกการแข่งขันลีกภายในประเทศ โดยมีการแบ่งการแข่งขันเป็น ลีกาซาตู ซึ่งไม่ได้รับการรับรองสถานะจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศและสมาคมในขณะนั้น และการแข่งขันอินโดนีเซียนพรีเมียร์ลีก คณะกรรมการกีฬาแห่งชาติ (KONI) สนับสนุนให้สมาคมแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวร่วมกับคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติของอินโดนีเซีย และประธานคณะกรรมการกีฬาแห่งชาติกล่าวว่าจะเข้าควบคุมการบริหารสมาคมหากสมาคมไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้[15] ฟีฟ่ายังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนในขณะนั้นว่าจะมีโทษแบนต่อทีมชาติอินโดนีเซียและสมาคมหรือไม่

ในวันที่ 20 มีนาคม 2012 ฟีฟ่าแถลงว่าสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้และฟีฟ่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมสภาเพื่อหาข้อสรุป[16] และฟีฟ่าได้ขยายเวลาการแก้ปัญหาให้แก่สมาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน หากไม่สำเร็จ คดีนี้จะถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการฉุกเฉินของฟีฟ่าเพื่อระงับการแข่งขัน[17] และมีการกำหนดเส้นตายใหม่อีกครั้งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2012 และในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนครบกำหนด คณะกรรมการหลักสามในสี่คนของสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากผิดหวังในการจัดการแก้ปัญหาของสมาคม อย่างไรก็ตาม ฟีฟ่าแถลงว่าจะกำหนดบทลงโทษทีมชาติอินโดนีเซียภายหลังจากเสร็จสิ้นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2012 ซึ่งอินโดนีเซียตกรอบแบ่งกลุ่ม

ใน ค.ศ. 2013 ดจฮาร์อาริฟิน ฮูซิน ประธานของสมาคมฟุตบอลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ La Nyalla Mahmud Mattalitti ผ่านสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ส่งผลให้การแข่งขัน ลีกาซาตู ถูกควบคุมโดยคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติของอินโดนีเซีย จนกว่าจะมีการก่อตั้งการแข่งขันรายการใหม่ หมายความว่า ผู้เล่นจากลีกาซาตูสามารถร่วมแข่งขันในนามทีมชาติชุดใหญ่ได้ และสมาคมได้เรียกผู้เล่นจากทั้งสองลีก (ลีกาซาตู และพรีเมียร์ลีก) ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สมาคมฟุตบอลได้จัดการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร่วมกับตัวแทนของคณะกรรมการฟุตบอลแห่งชาติ ในการประชุมดังกล่าวประกอบไปด้วย 4 วาระสำคัญได้แก่ การรวมตัวของสองลีก; การแก้ไขกฎเกณฑ์ของสมาคม; การคืนสถานะของสมาชิกคณะกรรมการบริหารสมาคมที่ถูกไล่ออก และข้อตกลงของทุกฝ่ายในบันทึกความเข้าใจที่ลงนามร่วมกัน ราฮ์มัด ดาร์มาวัน ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนรักษาการทีมชาติชุดใหญ่ โดยมี แจ็คเซน เอฟ. ติอาโก เพื่อนสนิทของเขาเป็นผู้ช่วย และอินโดนีเซียแพ้ต่อซาอุดีอาระเบีย 1–2 ในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก พวกเขาได้ประตูจาก โบอาส โซลอซซา

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียได้รับโทษโดยถูกสั่งระงับการแข่งขันทุกรายการของฟีฟ่า สืบเนื่องจากการแทรกแซงของรัฐบาลในการจัดการแข่งขันลีกซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายปี โทษแบนดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที ส่งผลให้อินโดนีเซียถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก และเอเชียนคัพ 2019 รอบคัดเลือก ยิ่งไปกว่านั้น ฟีฟ่ายังมีบทลงโทษเพิ่มเติม สืบเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นและสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียส่งผลให้มีการยกเลิกการแข่งขันในประเทศ[18] ทว่าบทลงโทษดังกล่าวถูกยกเลิกในการประชุมสามัญครั้งที่ 66 ของฟีฟ่า อินโดนีเซียยังได้รับสิทธิ์แข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2016 ซึ่งพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 5 แต่ก็แพ้ทีมชาติไทยอีกครั้ง[19]

ชิน แท-ยง ผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 และเข้าร่วมแข่งขันเอเชียนคัพ 2023

ลุยส์ มิลลา ผู้ฝึกสอนชาวสเปนได้รับการแต่งตั้งเพื่อนำทีมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018 แต่เขาได้ลาออกภายในเวลาอันสั้นโดยไม่ได้ให้เหตุผลใด ๆ สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนอย่างมาก บิมา ซักติ เข้ามารักษาการแต่ทีมก็ตกรอบแรกในการแข่งขัน ไซมอน แมคเมเนมี ผู้ฝึกสอนชาวสกอตแลนด์ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมเพื่อเตรียมแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ด้วยความคาดหวังว่าผลงานของทีมจะดีขึ้น เนื่องจากแมคเมเนมีทำผลงานได้ดีในการคุมทีมชาติฟิลิปปินส์ โดยอินโดนีเซียอยู่ร่วมกลุ่มกับชาติคู่แข่งในอาเซียนอย่าง ไทย, เวียดนาม และคู่ปรับสำคัญ มาเลเซีย ทว่าพวกเขามีผลงานย่ำแย่ รวมถึงการแพ้คาบ้านต่อมาเลเซีย 2–3 ทั้งที่ออกนำไปก่อน 2–1 ตามด้วยการแพ้เวียดนามในบ้านตนเองเป็นครั้งแรกในการแข่งขันระดับทางการ ส่งผลให้แมคเมเนมีถูกปลด[20] อินโดนีเซียตกรอบหลังจากบุกไปพ่ายมาเลเซีย 0–2[21] และทีมมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยแต่งตั้ง ชิน แท-ยงอดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติเกาหลีใต้ โดยสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียยึดแนวทางของทีมชาติเวียดนามในการแต่งตั้ง พัก ฮัง-ซอ เป็นผู้ฝึกสอน[22]

2020–ปัจจุบัน: พัฒนาทีม และกลับมาเป็นทีมชั้นนำของอาเซียน

[แก้]

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 พวกเขาผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 6 และเป็นครั้งที่ 4 ที่พบทีมชาติไทยในรอบชิงชนะเลิศ แต่ก็แพ้ด้วยผลประตูรวม 2–6 ทำได้เพียงรองแชมป์สมัยที่ 6 ต่อมาในเอเชียนคัพ 2023 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 อินโดนีเซียทำผลงานยอดเยี่ยมในนัดแรกด้วยการบุกไปชนะคูเวต 2–1 ซึ่งเป็นการเอาชนะคูเวตได้ในรอบกว่า 42 ปี และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ที่ทีมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บุกไปเอาชนะทีมจากเอเชียตะวันตก (นับตั้งแต่ทีมชาติไทยบุกไปชนะเยเมน ณ เมืองซานาในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก) และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทีมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บุกไปเอาชนะทีมในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียในบ้าน พวกเขาปิดท้ายด้วยการเอาชนะเนปาลขาดลอย 7–0 คว้าสิทธิ์แข่งขันรอบสุดท้ายในเอเชียนคัพ 2023 ครั้งแรกในรอบ 16 ปี โดยอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมแกร่งอย่างญี่ปุ่น, อิรัก และคู่อริอย่างเวียดนาม

ในการแข่งขันเอเชียนคัพ พวกเขาประเดิมสนามด้วยการแพ้อิรัก 1–3 และเอาชนะเวียดนาม 1–0 และแม้จะแพ้ญี่ปุ่น 1–3 แต่ยังเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 และต้องยุติเส้นทางในรอบต่อมาด้วยการแพ้ออสเตรเลีย 0–4 แต่จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกสอนอย่างชิน แท-ยง ได้รับการขยายสัญญาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2024 ออกไปจนถึงปี 2027

ผู้เล่นอินโดนีเซียก่อนลงแข่งขันกับเวียดนามในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 ที่ฮานอย โดยอินโดนีเซียบุกไปชนะ 3–0
ผู้เล่นอินโดนีเซียฉลองการทำประตูในนัดที่พบกับฟิลิปปินส์ มิถุนายน ค.ศ. 2024 โดยอินโดนีเซียชนะ 2–0

อินโดนีเซียเอาชนะบรูไนขาดลอย 12–0 ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 1 ต่อมา ในการแข่งขันรอบที่ 2 พวกเขาประเดิมด้วยการแพ้่อิรัก 1–5 และบุกไปเสมอฟิลิปปินส์ 1–1 และเอาชนะคู่แข่งอย่างเวียดนามได้ทั้งนัดเหย้าและเยือน นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาบุกไปชนะที่เวียดนามตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ทำให้อินโดนีเซียผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จากการมี 7 คะแนน พวกเขาทำผลงานยอดเยี่ยมซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในแง่การพัฒนาทีมด้วยการใช้ผู้เล่นโอนสัญชาติหลายราย

ในรอบต่อมา อินโดนีเซียเริ่มต้นด้วยการบุกไปเสมอทีมแกร่งอย่างซาอุดีอาระเบียด้วยผลประตู 1–1 ที่ญิดดะฮ์ และเปิดบ้านเสมอออสเตรเลีย 0–0[23] ตามด้วยการบุกไปเสมอบาห์เรน 2–2 และแม้จะบุกไปแพ้จีน 1–2 ตามด้วยการเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่นถึง 0–4 แต่ในนัดถัดมาพวกเขาคว้าชัยชนะที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งด้วยการเอาชนะซาอุดีอาระเบีย 2–0 จากสองประตูของมาร์เซลิโน เฟอร์ดินัน ทำสถิติเป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เอาชนะซาอุดีอาระเบีย[24] ทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ของกลุ่ม

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024 กลุ่มบี อินโดนีเซียอยู่ร่วมกับเวียดนาม, ฟิลิปปินส์, พม่า และลาว ในครั้งนี้อินโดนีเซียไม่ได้ส่งผู้เล่นตัวหลักลงแข่งขัน โดยใช้ผู้เล่นเกือบทั้งหมดจากทีมเยาวชน เนื่องจากผู้เล่นตัวหลักอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รวมทั้งเพิ่งผ่านการเล่นรายการใหญ่ในช่วงต้นปีอย่างเอเชียนคัพ 2023 พวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่มจากการมี 4 คะแนนโดยแพ้ฟิลิปปินส์ในนัดสุดท้าย 0–1

แพทริก ไกลเฟิร์ต ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2025[25]

สนามแข่ง

[แก้]
สนามกีฬาหลักเกอโลราบุงการ์โน

ทีมชาติอินโดนีเซียมักลงแข่งขันที่ สนามกีฬาหลักเกอโลราบุงการ์โน เป็นหลัก ตั้งอยู่ภายใน เกอโลรา บุงการ์โน สปอร์ต คอมเพล็กซ์ ใจกลางกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ความจุกว่า 77,000 ที่นั่ง และยังสามารถขยายความจุได้อีกในรายการอื่น ๆ สนามแห่งนี้ยังถูกใช้ในเอเชียนคัพ 2007 รอบชิงชนะเลิศ และเคยได้รับการจัดอันดับเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก

อินโดนีเซียมีแผนจะใช้สนาม "จาการ์ตาบีเอ็มดับเบิลยูสเตเดียม" เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีหลังคาแบบเปิด-ปิดได้ และจะมีความจุ 82,000 ที่นั่ง โดยจะกลายเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย แต่เดิมสนามมีหนดการเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม 2021 แต่จากการระบาดของ ไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้แผนดังกล่าวถูกเลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2022[26]

เอกลักษณ์ทีม

[แก้]
ชุดแข่งขันของอินโดนีเซียพร้อมหมายเลข 17 ใน ค.ศ. 1981

ในช่วงแรกที่ถูกปกครองโดยเนเธอร์แลนด์ ทีมฟุตบอลหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ลงแข่งขันในชุดสีส้มซึ่งเป็นสีหลักของเนเธอร์แลนด์ โดยปราศจากเอกสารทางการที่ยืนยันข้อมูลของชุดแข่งขันในยุคนั้น หลักฐานที่ถูกเก็บไว้มีเพียงภาพถ่ายขาวดำในการแข่งขันที่พบกับฮังการีในฟุตบอลโลก 1938 เอกสารที่ไม่เป็นทางการระบุว่าชุดดังกล่าวประกอบด้วยเสื้อสีส้ม กางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีฟ้าอ่อน[27] และนับตั้งแต่ได้รับเอกราช ทีมชาติอินโดนีเซียใช้สีแดงและสีขาวเป็นสีหลักมาตลอด ซึ่งเป็นสีของธงชาติอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การผสมผสานระหว่างสีเขียวและสีขาวยังถูกนำมาปรับใช้กับชุดทีมเยือน ซึ่งถูกใช้ครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ณ เมืองเมลเบิร์น ซึ่งชุดแข่งขันดังกล่าวถูกใช้งานต่อเนื่องถึงกลางทศวรรษ 1980[28]

Erigo บริษัทผู้ผลิตเครื่องแต่งกายชื่อดังของประเทศ เป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันของอินโดนีเซียในปัจจุบัน โดยเริ่มตั้งแต่สิ้นสุดการแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 และมีการเซ็นสัญญากันจนถึงปี 2026[29] ก่อนหน้านั้น ชุดแข่งขันของทีมอยู่ภายใต้ความดูแลของไนกี้ และ Mills อินโดนีเซียยังสวมเครื่องแต่งกายอื่น ๆ เฉพาะเมื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เช่น เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ ในการแข่งขันเหล่านี้ อินโดนีเซียจะสวมชุดแข่งขันของหลี่หนิง เนื่องจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์และซีเกมส์เป็นการแข่งขันกีฬาหลากหลายประเภท ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติอินโดนีเซีย (NOC)[30]

ชุดทีมเหย้าแบบล่าสุดของอินโดนีเซีย สวมใส่โดยมาร์เซลิโน เฟอร์ดินัน ค.ศ. 2024

การใช้ชุดเหย้าระหว่างปี 2010–2012 เกิดกรณีปัญหาเมื่อทีมชาติอินโดนีเซียต้องลงเล่นกับคู่แข่งที่สวมชุดแข่งสีขาวล้วน เนื่องจากถุงเท้าเป็นสีขาวแทนที่จะเป็นสีแดงตามปกติ อินโดนีเซียมีวิธีแก้ปัญหาคือการใช้สีแดงและสีเขียว (สำหรับเกมเยือน) โดยใช้กางเกงขาสั้นและถุงเท้าสีเขียวจากชุดเยือน ใช้ชุดสีแดงล้วนเมื่อเป็นเจ้าบ้าน ไนกี้เป็นผู้ผลิตชุดแข่งของทีมตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2019[31] ภายหลังความพ่ายแพ้ต่อทีมชาติบาห์เรนในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2011 กางเกงขาสั้นสีแดง (ที่ติดแถบสีเขียว) ก็ถูกยกเลิกไปหลังจากลงเล่นนัดแรก และไม่เคยนำมาใช้อีกเลย ในขณะที่ถุงเท้าสีแดงติดแถบสีขาว ซึ่งแตกต่างจากถุงเท้าสีแดงที่ติดแถบสีเขียวที่สวมใส่ระหว่างการฝึกซ้อม และการผสมสีระหว่างสีแดง-ขาว-แดงถูกนำมาใช้เป็นชุดทีมเหย้าในบางครั้งในเวลาต่อมา เช่น ในเกมเหย้ารอบคัดเลือกเลือกที่พบกับกาตาร์และอิหร่านในปีนั้น

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ไนกี้เปิดตัวชุดเหย้าและชุดเยือนแบบใหม่ของทีมชาติอินโดนีเซีย โดยเสื้อเหย้าเป็นสีแดงพร้อมโลโก้ไนกี้สีทองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศ ซึ่งก็คือ "ตราครุฑปัญจศีล" ชุดเหย้าประกอบด้วยสีแดง-ขาว-แดง ส่วนชุดเยือนประกอบด้วยสีขาว-เขียว-ขาว พร้อมโลโก้ไนกี้สีเขียวปรากฏบนเสื้อ[32]

คู่แข่ง

[แก้]

คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอินโดนีเซียก็คือ "มาเลเซีย" การแข่งขันของทั้งสองทีมเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในภูมิภาค[33][34] ทั้งคู่พบกันรวม 99 ครั้ง ผลงานของทั้งคู่นั้นสูีกันมาก อินโดนีเซียเอาชนะได้ 40 ครั้ง, เสมอ 21 ครั้ง และแพ้ 38 ครั้ง ความขัดแย้งทางการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศซึ่งอุบัติขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ทำให้บรรยากาศการพบกันทวีความเข้มข้นมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ วลีที่ว่า "Ganyang Malaysia!" ที่อดีตประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซียกล่าวในสุนทรพจน์ทางการเมืองเมื่อปี 1963 ที่กรุงจาการ์ตา ถือเป็นการให้กำลังใจทีมชาติอินโดนีเซียก่อนการแข่งขันกับมาเลเซีย[35]

การพบกันนัดแรกคือการแข่งขันรอบ 2 ในรายการ เมอร์เดกา ทัวร์นาเมนท์ (เกมกระชับมิตรที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันประกาศอิสรภาพมาเลเซีย) ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะ 4–2 ของอินโดนีเซีย และนับตั้งแต่นั้นการแข่งขันระหว่างทั้งคู่ในเมืองใหญ่อย่างจาการ์ตาและกัวลาลัมเปอร์จะมีบรรยากาศที่ดุเดือดเรื่อยมา โดยในซีเกมส์ 2011 มีแฟนบอลเสียชีวิตจำนวนสองรายจากการปะทะกันในรอบชิงชนะเลิศทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ต่อมา การแข่งขันครั้งสำคัญของทั้งสองทีมคือรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2010 มาเลเซียเอาชนะอินโดนีเซียด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–2 คว้าแชมป์สมัยแรก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 ซึ่งอินโดนีเซียเอาชนะ 4–1 ในรอบแบ่งกลุ่ม

ชาติอื่นในภูมิภาคที่ถือเป็นคู่แข่งของอินโดนีเซียคือเวียดนาม, ไทย และสิงคโปร์ในฐานะที่เป็นคู่แข่งแย่งความสำเร็จในรายการสำคัญ เช่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน และซีเกมส์ อินโดนีเซียเคยเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนถึง 6 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดทีมหนึ่ง ทว่าพวกเขากลับทำได้เพียงรองแชมป์ทุกครั้ง และเป็นการแพ้ทีมชาติไทยถึง 4 ครั้ง, และแพ้สิงคโปร์ในนัดชิงชนะเลิศปี 2004

ผลงาน

[แก้]
  • 1930, 1934, 1954 - ไม่ได้เข้าร่วม
  • 1938 - รอบแรก (ในนาม ดัตช์อีสต์อินดีส)
  • 1950, 1958, 1962 - ถอนตัว
  • 1966, 1970 - ไม่ได้เข้าร่วม
  • 1974 - 2014 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
  • 2018 - ถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันจากทางฟีฟ่า
  • 2022 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
  • 2026 - กำลังแข่งขันรอบคัดเลือก
  • 1956 - 1964 - ไม่ได้เข้าร่วม
  • 1968 - 1992 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
  • 1996 - 2004 - รอบแรก
  • 2007 - รอบแรก (เจ้าภาพร่วม)
  • 2011 - 2015 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
  • 2019 - ถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันจากทางฟีฟ่า
  • 2023 - รอบ 16 ทีมสุดท้าย
  • 2027 - ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว
  • 1996 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
  • 1998 - อันดับ 3
  • 2000 - รองชนะเลิศ
  • 2002 - รองชนะเลิศ
  • 2004 - รองชนะเลิศ
  • 2007 - รอบแรก
  • 2008 - รอบแรก
  • 2010 - รองชนะเลิศ
  • 2012 - รอบแรก
  • 2014 - รอบแรก
  • 2016 - รองชนะเลิศ
  • 2018 - รอบแรก
  • 2020 - รองชนะเลิศ
  • 2022 - รอบรองชนะเลิศ
  • 2024 - รอบแรก

ผลงานอื่น

[แก้]
  • ซีเกมส์ - ชนะเลิศ 2 ครั้ง - 1987 (จาการ์ตา), 1991 (มะนิลา)
  • คิงส์คัพ - ชนะเลิศ 1 ครั้ง ใน คิงส์คัพ ครั้งที่ 1 (2511)

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

[แก้]

รายชื่อผู้เล่น 23 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสาม

จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567 หลังแข่งขันกับ ธงชาติซาอุดีอาระเบีย ซาอุดีอาระเบีย

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK Maarten Paes (1998-05-14) 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 1 0 สหรัฐอเมริกา FC Dallas
16 1GK Nadeo Argawinata (1997-03-09) 9 มีนาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 24 0 อินโดนีเซีย Borneo Samarinda
21 1GK Ernando Ari (2002-02-27) 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 (22 ปี) 15 0 อินโดนีเซีย Persebaya Surabaya
2 2DF Calvin Verdonk (1997-04-26) 26 เมษายน ค.ศ. 1997 (27 ปี) 2 0 ประเทศเนเธอร์แลนด์ NEC
3 2DF Jay Idzes (captain) (2000-06-02) 2 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (24 ปี) 4 1 ประเทศอิตาลี Venezia
4 2DF Wahyu Prasetyo (1998-03-21) 21 มีนาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 2 0 อินโดนีเซีย Malut United
5 2DF Rizky Ridho (2001-11-21) 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 (23 ปี) 40 4 อินโดนีเซีย Persija Jakarta
6 2DF Sandy Walsh (1995-03-14) 14 มีนาคม ค.ศ. 1995 (29 ปี) 14 1 ประเทศเบลเยียม Mechelen
12 2DF Pratama Arhan (2001-12-21) 21 ธันวาคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 46 3 ประเทศเกาหลีใต้ Suwon FC
13 2DF Muhammad Ferarri (2003-06-21) 21 มิถุนายน ค.ศ. 2003 (21 ปี) 3 0 อินโดนีเซีย Persija Jakarta
14 2DF อัสนาวี มังกูวาลัม (vice-captain) (1999-10-04) 4 ตุลาคม ค.ศ. 1999 (25 ปี) 45 2 ไทย การท่าเรือ เอฟซี
20 2DF Shayne Pattynama (1998-08-11) 11 สิงหาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 9 1 ประเทศเบลเยียม Eupen
23 2DF จัสติน ฮับเนอร์ (2003-09-14) 14 กันยายน ค.ศ. 2003 (21 ปี) 12 0 ประเทศอังกฤษ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์

7 3MF Marselino Ferdinan (2004-09-09) 9 กันยายน ค.ศ. 2004 (20 ปี) 27 3 ประเทศอังกฤษ Oxford United
8 3MF Witan Sulaeman (2001-10-08) 8 ตุลาคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 45 9 อินโดนีเซีย Persija Jakarta
10 3MF Egy Maulana Vikri (2000-07-07) 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 (24 ปี) 31 9 อินโดนีเซีย Dewa United
15 3MF Ricky Kambuaya (1996-05-05) 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1996 (28 ปี) 40 5 อินโดนีเซีย Dewa United
18 3MF Ivar Jenner (2004-01-10) 10 มกราคม ค.ศ. 2004 (21 ปี) 13 0 ประเทศเนเธอร์แลนด์ Jong Utrecht
19 3MF Thom Haye (1995-02-09) 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 (29 ปี) 5 1 Unattached
22 3MF Nathan Tjoe-A-On (2001-12-22) 22 ธันวาคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 6 0 เวลส์ Swansea City

9 4FW Rafael Struick (2003-03-27) 27 มีนาคม ค.ศ. 2003 (21 ปี) 16 0 ประเทศเนเธอร์แลนด์ ADO Den Haag
11 4FW Ragnar Oratmangoen (1998-01-21) 21 มกราคม ค.ศ. 1998 (27 ปี) 5 2 ประเทศเบลเยียม Dender
17 4FW Hokky Caraka (2004-08-21) 21 สิงหาคม ค.ศ. 2004 (20 ปี) 7 2 อินโดนีเซีย PSS Sleman

อ้างอิง

[แก้]
  1. FIFA Century Club - 1 December 2021, FIFA.
  2. 2.0 2.1 Abdul Kadir - Century of International Appearances - RSSSF.
  3. Raya, Mercy. "Timnas Indonesia Akan Pakai Jakarta International Stadium". sepakbola (ภาษาอินโดนีเซีย). สืบค้นเมื่อ 2021-10-02.
  4. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 19 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2024.
  5. "Dutch East Indies International matches". สืบค้นเมื่อ 19 November 2015.
  6. "Indonesia matches, ratings and points exchanged". World Football Elo Ratings: Indonesia. สืบค้นเมื่อ 24 November 2019.
  7. "Timnas Garuda akan Evaluasi Permainan Usai Laga Melawan Irak". PSSI - Football Association of Indonesia (ภาษาอินโดนีเซีย).
  8. FIFA (2014-09-10), Fascinating story of Asia's first World Cup team, สืบค้นเมื่อ 2024-12-15
  9. "Asia's World Cup Debutants: Dutch East Indies". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
  10. "Indonesia International Matches". www.rsssf.com.
  11. "Indonesia International Matches". www.rsssf.org.
  12. "World Football Elo Ratings". www.eloratings.net (ภาษาอังกฤษ).
  13. "Indonesia International Matches". www.rsssf.com.
  14. Says, Jtxno12 (2010-12-16). "Indonesia National Football Team". Simple More (ภาษาอังกฤษ).
  15. "PSSI warn against Indonesian government plans to take over embattled body | Goal.com". www.goal.com.
  16. "Yahoo Malaysia | News and Lifestyle". Yahoo Malaysia | News and Lifestyle (ภาษาอังกฤษ).
  17. "FIFA.com - FIFA Executive Committee agrees major governance reforms & Ethics structure". web.archive.org. 2012-04-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-01. สืบค้นเมื่อ 2021-12-29.
  18. "Indonesian FA suspended by FIFA for government meddling". Eurosport (ภาษาอังกฤษ). 2015-05-30.
  19. "Indonesia Tops the Anticlimax as Thailand Wins the 2016 AFF Cup". Jakarta Globe.
  20. Post, The Jakarta. "PSSI fires national team coach McMenemy over 'unsatisfactory performance'". The Jakarta Post (ภาษาอังกฤษ).
  21. "Fox Sports". www.foxsports.com.my. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-30. สืบค้นเมื่อ 2021-12-29.
  22. "Shin Tae-yong Merasa Tak Masalah Jika Indonesia Gagal Juara Piala AFF 2020 - Berita Bola Terupdate, Live Score, Jadwal & Klasemen - Football5star.com". football5star.com (ภาษาอินโดนีเซีย).
  23. "Group C: Indonesia 0-0 Australia". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
  24. "#AsianQualifiers - Road To 26 | Group C : Indonesia 2 - 0 Saudi Arabia". the-AFC (ภาษาอังกฤษ).
  25. "Patrick Kluivert Resmi Menjadi Pelatih Timnas Indonesia". PSSI - Football Association of Indonesia (ภาษาอินโดนีเซีย). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-01-08. สืบค้นเมื่อ 2025-01-18.
  26. Raya, Mercy. "Timnas Indonesia Akan Pakai Jakarta International Stadium". sepakbola (ภาษาอินโดนีเซีย).
  27. "Sportgeschiedenis.nl - de alternatieve bron voor sportnieuws". web.archive.org. 2010-06-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-23. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
  28. "FOKUS: Sepuluh Jersey Jadul Terbaik Versi GOAL.com Indonesia - Goal.com". web.archive.org. 2009-06-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-14. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  29. "Instagram". www.instagram.com.
  30. "Mengapa Apparel Timnas U-23 di SEA Games Bukan Mills?". kumparan (ภาษาอินโดนีเซีย).
  31. "Momen Timnas Indonesia Pakai Jersey Merek Kenamaan, dari Adidas hingga Nike". OneFootball (ภาษาฝรั่งเศส). 2024-12-30.
  32. "Nike Indonesia 2018-19 Home & Away Kits Unveiled". Footy Headlines (ภาษาอังกฤษ).
  33. Duerden, John (2019-09-04). "Indonesia v Malaysia: a cauldron of passion and an armoured personnel carrier". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
  34. "Malaysia holiday after football win over Indonesia - USATODAY.com". usatoday30.usatoday.com.
  35. Bola.com (2022-07-07). "Cerita Rivalitas Panas Timnas Indonesia dengan Malaysia Sejak Tahun 1957". bola.com (ภาษาอินโดนีเซีย).

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]