ข้ามไปเนื้อหา

ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก France national football team)
ฝรั่งเศส
Shirt badge/Association crest
ฉายาLes Bleus (สีน้ำเงิน)
ตราไก่ (ฉายาในภาษาไทย)
สมาคมสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF)
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนดีดีเย เดช็อง
กัปตันกีลียาน อึมบาเป [1]
ติดทีมชาติสูงสุดอูว์โก โยริส (143)
ทำประตูสูงสุดออลีวีเย ฌีรู (56)
สนามเหย้าสตาดเดอฟร็องส์
รหัสฟีฟ่าFRA
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 2 Steady (20 มิถุนายน 2024)[2]
อันดับสูงสุด1 (พฤษภาคม ค.ศ. 2001 – พฤษภาคม ค.ศ. 2002, สิงหาคม – กันยายน ค.ศ. 2018)
อันดับต่ำสุด26 (กันยายน ค.ศ. 2010)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติเบลเยียม เบลเยียม 3–3 ฝรั่งเศส ธงชาติฝรั่งเศส
(อุกล์ ประเทศเบลเยียม; 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1904)
ชนะสูงสุด
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 14–0 ยิบรอลตาร์ ธงชาติยิบรอลตาร์
(นิส ประเทศฝรั่งเศส; 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023)
แพ้สูงสุด
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก 17–1 ฝรั่งเศส ธงชาติฝรั่งเศส
(ลอนดอน ประเทศอังกฤษ; 22 ตุลาคม ค.ศ. 1908)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม15 (ครั้งแรกใน 1930)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (1998, 2018)
ยูโร
เข้าร่วม10 (ครั้งแรกใน 1960)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (1984, 2000)
เนชันส์ลีก รอบสุดท้าย
เข้าร่วม1 (ครั้งแรกใน 2021)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (2021)
คอนเมบอล-ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์
เข้าร่วม1 (ครั้งแรกใน 1985)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (1985)
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 2001)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (2001, 2003)

ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Équipe de France de football) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การกำกับดูแลโดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส เป็นสมาชิกของสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปในการแข่งขันระดับทวีป และสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติในการแข่งขันระดับโลก มีสนามเหย้าคือสตาดเดอฟร็องส์ ตั้งอยู่ในเทศบาลแซ็ง-เดอนีในกรุงปารีส และสนามฝึกซ้อมตั้งอยู่ที่แกลร์ฟงแตน ออง อีฟเฟอลีน แคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ สีประจำทีมคือสีน้ำเงินและสีแดงซึ่งมีต้นแบบมาจากธงชาติฝรั่งเศส และเป็นที่มีของฉายา Les Bleus (The Blues) สัญลักษณ์ฺทีมคือไก่ตัวผู้

ฝรั่งเศสเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จทีมหนึ่งในทวีปยุโรป มีผลงานชนะเลิศฟุตบอลโลก 2 สมัย (ค.ศ. 1998 และ 2018), ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 สมัย (ค.ศ. 1984 และ 2000), ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2 สมัย (ค.ศ. 2001 และ 2003) ยูฟ่าเนชันส์ลีก 1 สมัย (ค.ศ. 2021), คอนเมบอล–ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์ 1 สมัย (ค.ศ. 1985) และเหรียญทองโอลิมปิก 1 สมัย (โอลิมปิกฤดูร้อน 1984)

ทีมชาติฝรั่งเศสก่อตั้งทีมใน ค.ศ. 1904 และเป็นหนึ่งในสี่ชาติของยุโรปที่ได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 1930 ฝรั่งเศสภายใต้ผู้เล่นชื่อดังอย่าง เรมง โกปา และ ฌุสต์ ฟงแตน พาทีมคว้าอันดับสามในฟุตบอลโลก 1958 ทีมชาติฝรั่งเศสมียุคทองที่ประสบความสำเร็จสูงสุดสามช่วงเวลาด้วยกัน เริ่มต้นในทศวรรษ 1980 ตามด้วยปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 และปลายทศวรรษ 2010 โดยใน ค.ศ. 1984 ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 ภายใต้การนำของนักเตะชื่อดังและเจ้าของรางวัลบาลงดอร์ 3 สมัยอย่างมิเชล พลาตินี่ ตามด้วยแชมป์คอนเมบอลในปีต่อมา ทีมชุดนี้ยังผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้สองสมัยติดต่อกันในฟุตบอลโลก 1982 และฟุตบอลโลก 1986

ในทศวรรษต่อมา ภายใต้นักเตะตัวหลักอย่างซีเนดีน ซีดาน และดีดีเย เดช็องกัปตันทีม ฝรั่งเศสคว้าแชป์ฟุตบอลโลก 1998 ในฐานะเจ้าภาพ ด้วยการชนะบราซิลในรอบชิงชนะเลิศ 3–0 ตามด้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 โดยเอาชนะอิตาลีในช่วงต่อเวลา 2–1 และคว้าแชมป์ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพอีกสองสมัยใน ค.ศ. 2001 และ 2003 และผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 แต่แพ้จุดโทษอิตาลี[3] จากนั้น พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จติดต่อกันหลายรายการ[4] ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และเข้าชิงชนะเลิศแต่แพ้โปรตุเกสในช่วงต่อเวลา 0–1 ก่อนจะกลับสู่ความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สองใน ค.ศ. 2018[5] เอาชนะโครเอเชียในรอบชิงชนะเลิศ 4–2 ตามด้วยแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021[6] เอาชนะสเปนในรอบชิงชนะเลิศ 2–1 และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 แต่แพ้อาร์เจนตินาในการดวลจุดโทษ 2–4

ฝรั่งเศสเคยเป็นทีมอันดับหนึ่งตามการจัดอันดับโดยฟีฟ่าในต้นทศวรรษ 2000 และปลายทศวรรษ 2010 พวกเขาเป็นชาติแรกของโลกที่ชนะเลิศการแข่งขันรายการสำคัญของฟีฟ่าครบทั้ง 3 รายการ ได้แก่ ฟุตบอลโลก, ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ และกีฬาโอลิมปิก (เหรียญทอง) และเป็นชาติเดียวในยุโรปที่ชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าและยูฟ่าครบทุกรายการทั้งในฐานะทีมชาติชุดใหญ่และทีมเยาวชน[7] พวกเขายังเป็นหนึ่งในสองชาติร่วมกับบราซิล ที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชายของฟีฟ่าแบบผู้เล่น 11 คนในทุกรุ่นอายุ โดยชนะเลิศฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ฝรั่งเศสมีชาติคู่ปรับหลายทีม ได้แก่ เบลเยียม, บราซิล[8], อังกฤษ[9], เยอรมนี, อิตาลี, โปรตุเกส และสเปน[10] ปัจจุบันฝรั่งเศสเป็นทีมอันดับ 1 ของทวีปยุโรป และอันดับ 2 ของโลกตามการจัดอันดับโดยฟีฟ่า

ประวัติทีม

[แก้]

ยุคแรก (1900–1930)

[แก้]
นักฟุตบอลชุดแรกของทีมชาติฝรั่งเศสในการลงแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรก พบเบลเยียม ค.ศ. 1904

ทีมชาติฝรั่งเศสตั้งทีมขึ้นมาในช่วง ค.ศ. 1904 ในช่วงที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1904[11] โดยลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกกับเบลเยียมในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1904 ซึ่งเกมดังกล่าวจบลงด้วยผลเสมอ 3–3[12] ในขณะที่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1905 ฝรั่งเศสได้ลงเล่นในเกมระดับชาติในสนามของตนเองอย่างเป็นทางการในเกมที่พบกับสวิตเซอร์แลนด์ที่สนามปาร์กเดแพร็งส์ ต่อหน้าผู้ชมราว 500 คน และพวกเขาเอาชนะไปได้ 1–0 จากประตูของแกสตัน ซีเปรส์ สืบเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างฟีฟ่าและสหภาพสมาคมกีฬากีฬาแห่งฝรั่งเศส (USFSA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์กรปกครองด้านกีฬาในฝรั่งเศส ในช่วงทศวรรษที่ 1890 และต้นทศวรรษ 1900 ทำให้อำนาจในการบริหารทีมของฝรั่งเศสยังคงไม่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ต่อมา ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1908 คณะกรรมการกีฬาแห่งฝรั่งเศส (CFI) ซึ่งเป็นองค์กรคู่แข่งของ USFSA มีมติให้ฟีฟ่าเป็นผู้รับผิดชอบการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึง และใน ค.ศ. 1919 คณะกรรมการกีฬาแห่งฝรั่งเศสได้กลายสภาพเป็นสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) ก่อนที่ USFSA จะควบรวมกับสหพันธ์ในอีกสองปีต่อมา

ใน ค.ศ. 1930 ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศอุรุกวัย โดยเกมแรกในรายการนี้ของฝรั่งเศสคือถล่มทีมชาติเม็กซิโก 4–1 โดยลูว์เซียง โลร็อง ที่เป็นผู้ยิงประตูแรกของเกม กลายเป็นนักเตะที่ทำประตูแรกสุดของศึกฟุตบอลโลกอีกด้วย แต่ฝรั่งเศสกลับแพ้ 0–1 ใน 2 เกมต่อมากับอาร์เจนตินาและชิลี ทำให้ต้องตกรอบแรก ต่อมา ใน ค.ศ. 1934 ฝรั่งเศสยังคงต้องผิดหวังต่อไป เมื่อตกรอบแรกจากการแพ้ออสเตรีย[13] แต่พวกเขาทำผลงานได้ดีขึ้นในครั้งที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 1938 โดยผ่านไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศก่อนจะแพ้ให้กับอิตาลี 1–3

ทศวรรษ 1950–1980

[แก้]

ในยุคทศวรรษที่ 1950 นับเป็นยุคทองของวงการฟุตบอลของฝรั่งเศส จากการแจ้งเกิดของนักเตะชื่อดังอย่างฌุสต์ ฟงแตน เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลโลก และแรมง กอปา ตำนานดาวยิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับเรอัลมาดริด ใน ค.ศ. 1958 ฝรั่งเศสสามารถคว้าอันดับ 3 จากการถล่มทีมชาติเยอรมนีตะวันตก 6–3 โดยฟงแตนยิงคนเดียว 4 ประตู ใน ค.ศ. 1960 ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป เป็นครั้งแรก แต่พวกเขากลับทำได้แค่อันดับ 4 หลังจากแพ้เชโกสโลวาเกีย 0–2 และหลังจากนั้น ฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคตกต่ำจากการเปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อยครั้ง และล้มเหลวในการผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันเมเจอร์ และไม่สามารถคว้าแชมป์ใดได้เลยในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970

เข้าสู่ทศวรรษที่ 1980 ฝรั่งเศสกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งจากการนำทัพของมีแชล ปลาตีนี ตัวทำเกมจอมเทคนิค และสามสุดยอดกองกลางอย่างฌ็อง ตีกานา, อาแล็ง ฌีแร็ส และลูยส์ แฟร์น็องแดซ ที่ประสานงานร่วมกันจนถูกขนานนามว่า สี่เหลี่ยมมหัศจรรย์ (Magic Square)[14] พวกเขาพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ โดยปลาตีนีได้เป็นดาวซัลโวของรายการด้วยการยิงไปถึง 9 ประตู รวมถึงหนึ่งในประตูในเกมที่ชนะสเปน 2–0 ในนัดชิงชนะเลิศ มีแชล ไฮดาลโก ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นอำลาตำแหน่งหลังการแข่งขัน และถูกแทนทีโดย อ็องรี มีแชล พาทีมชาติฝรั่งเศสยังสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 1984 ตามด้วยการเอาชนะอุรุกวัยในนัดตัดสิน 2–0 ชนะเลิศรายการคอนเมบอล–ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์เป็นครั้งแรก (ถ้วยต้นแบบของรายการฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ) ได้สองประตูจากดอมีนิก โรเชตู และโชเซ ตูเร โดยฝรั่งเศสประสบความสำเร็จในการชนะเลิศการแข่งขันรายการสำคัญระดับนานาชาติได้ถึง 3 จาก 4 รายการ

ในปีถัดมาทำให้พวกเขาได้รับการยกให้เป็นทีมเต็งในฟุตบอลโลก 1986 แต่แพ้เยอรมนีตะวันตกในรอบรองชนะเลิศ และคว้าอันดับ 3 จากการชนะเบลเยียมด้วยผลประตู 4–2 ต่อมาใน ค.ศ. 1988 ฝรั่งเศสเปิดตัวศูนย์ฝึกฟุตบอลและสนามฝึกซ้อมเต็มรูปแบบในชื่อแกลร์ฟงแตน โดยได้รับเกียรติจากฟร็องซัว มีแตร็อง ประธานาธิบดีในขณะนั้น ผู้ฝึกสอนอย่างมีแชลถูกปลดในอีกห้าเดือนถัดมา และแทนที่โดยมีแชล ปลาตีนี แต่ฝรั่งเศสไม่ประสบความสำเร็จในการผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 1990

ยุคของซีดาน และแชมป์ฟุตบอลโลก & ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

[แก้]
ซีเนดีน ซีดานในฟุตบอลโลก 2006 ในฐานะกัปตันทีมเขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ

เฌราร์ อูลีเย เข้ามาคุมทีมในปี 1992 แต่ฝรั่งเศสยังมีผลงานย่ำแย่โดยไม่ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 1994 ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 2 นัดพบกับอิสรเอล และบัลแกเรีย แต่พวกเขาแพ้อิสราเอล 2–3 แม้จะออกนำไปก่อน 2–1 และแพ้บัลแกเรียในนัดสุดท้าย 1–2 นำไปสู่การประท้วงโดยแฟนบอลและอูลีเยลาออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยของเขาอย่างเอเม ฌาคเกต์ เข้ารับตำแหน่งแทน และทีมผลงานที่ดีขึ้นมาก โดยในฟุตบอลโลก 1994 ถือเป็นรายการแจ้งกเกิดของว่าที่ตำนานอย่างซีเนดีน ซีดาน กองกลางดาวรุ่งพรสวรรค์สูงแห่งวงการฟุตบอล ฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 แต่แพ้สาธารณรัฐเช็ก ต่อมาในฟุตบอลโลก 1998 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ ฝรั่งเศสประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรกด้วยการชนะบราซิลในนัดชิงชนะเลิศ 3–0[15] การแข่งขันมีขึ้น ณ สนามสตาดเดอฟร็องส์ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสได้สองประตูจากซีดาน และประตูปิดท้ายในช่วงทดเวลาจากแอมานุแอล เปอตี ฌาคเกต์อำลาตำแหน่งหลังจบการแข่งขัน และผู้ช่วยของเขา โรเฌ เลอแมร์ เข้ามารับช่วงต่อ

ใน ค.ศ. 2000 ฝรั่งเศสยังคงรักษาความฟอร์มที่ดีไว้ได้อย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 ภายใต้การนำทัพของซีดาน เจ้าของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีด้วยการชนะอิตาลี 2–1 ในนัดชิงชนะเลิศ[16] ทำให้พวกเขาทำสถิติเป็นชาติแรกที่ครองแชมป์ทั้งฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโรนับตั้งแต่ที่เยอรมนีตะวันตกเคยทำได้เมื่อปี 1974 และยังเป็นทีมแชมป์ฟุตบอลโลกทีมแรกในทวีปยุโรป ที่ชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปต่อจากฟุตบอลโลก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังขึ้นไปอันดับ 1 ในการจัดอันดับโลกตามการจัดอันดับโดยฟีฟ่า

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสเริ่มกลับสู่ความตกต่ำอีกครั้ง หลังจากไม่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 ได้ โดยพวกเขาต้องหยุดอยู่ที่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น โดยไม่สามารถชนะทีมใดได้เลย โดยแพ้เดนมาร์กในนัดสุดท้าย 0–2 ถือเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลกในฐานะทีมแชมป์เก่า[17] ก่อนที่ผลงานจะดีขึ้นมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 โดยผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ แต่ก็ปราชัยต่อกรีซ แชมป์ในรายการนั้น[18] ต่อมา ภายใต้การคุมทีมโดยแรมง ดอแมแน็ก ใน ค.ศ. 2006 ฝรั่งเศสเกือบจะไม่ผ่านไปเล่นในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี แต่ยังดีที่บรรดานักเตะรุ่นเก่าที่เคยประกาศตัดสินใจอำลาทีมชาติเปลี่ยนใจกลับมาช่วยทีมอีกครั้ง ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจากการชนะไซปรัส 4–0 และพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีในรอบสุดท้าย และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศพบอิตาลีอีกครั้ง โดยมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจและเป็นที่จดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก เมื่อซีดานได้รับใบแดงจากการใช้ศีรษะโขกมาร์โก มาเตรัซซี กองหลังอิตาลี แม้ฝรั่งเศสจะได้ประตูออกไปก่อนจากลูกจุดโทษของซีดานในครึ่งเวลาแรก แต่ก็เสียประตูตีเสมอจากการโหม่งทำประตูโดยมาเตรัซซี เกมจบลงด้วยผลเสมอในเวลาปกติ และกาารต่อเวลาพิเศษ 1–1 ฝรั่งเศสแพ้ในการดวลจุดโทษ 3–5 และนั่นคือการลงสนามครั้งสุดท้ายของซีดาน ก่อนจะประกาศเกษียนณตนเองการการเล่นฟุตบอล

ตกต่ำ และสร้างทีมใหม่ (2007–2012)

[แก้]
ทีมชาติฝรั่งเศสชุดคว้ารองแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ได้รับการต้อนรับจากแฟน ๆ เมื่อเดินทางกลับกรุงปารีส

ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ฝรั่งเศสต้องตกรอบแรก เนื่องจากถูกจับให้อยู่ในกลุ่มที่มีทีมเต็งแชมป์ทั้งเนเธอร์แลนด์ อิตาลี และโรมาเนีย[19] มีเพียง 1 คะแนนจากการเสมอโรมาเนีย 0–0[20][21] ฝรั่งเศสเกือบจะไม่ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2010 โดยจบเพียงอันดับ 2 ในรอบคัดเลือก และต้องลงแข่งเพลย์ออฟพบทีมชาติไอร์แลนด์ พวกเขาเอาชนะได้ในนัดแรก 1–0 และเสมอ 1– 1 ในนัดตัดสินจากประตูของตีแยรี อ็องรี ซึ่งเป็นที่วิจารณ์จากการใช้มือช่วยอย่างขัดเจน แต่ผู้ตัดสินกลับให้ประตูอย่างค้านสายตา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มีช่วงเวลาเลวร้ายต่อเนื่องในฟุตบอลโลก 2010 นับเป็นอีกครั้งที่ต้องตกรอบแบ่งกลุ่ม และไม่ชนะทีมใดจากการเสมออุรุกวัย 0–0 ตามด้วยการแพ้เม็กซิโก 0–2 และแพ้เจ้าภาพอย่างแอฟริกาใต้ในนัดสุดท้าย 1–2[22] และยังมีปัญหาภายในทีมระหว่างนักเตะ และดอแมแน็กโดยเฉพาะกรณีปัญหากับนีกอลา อาแนลกา และนักเตะอีกหลายรายที่ประท้วงด้วยการไม่ลงฝึกซ้อม[23][24] จากความล้มเหลวดังกล่าวนำไปสู่การลาออกของฌ็อง-ปีแยร์ เอสกาแล็ต ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส

ดอแมแน็กอำลาทีมหลังหมดสัญญา และโลร็องต์ บล็องก์ เข้ามาคุมทีมต่อ และต่อมาสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสได้ปฏิบัติตามการร้องขอของบล็องก์ในการสั่งแบนผู้เล่นทั้ง 23 คนจากฟุตบอลโลก 2010 ในการแข่งขันกระชับมิตรกับนอร์เวย์ ผู้เล่น 5 คนที่มีส่วนในการประท้วงงดการฝึกซ้อมได้รับบทลงโทษทางวินัย และอาแนลกาได้รับโทษแบนสูงสุด 18 นัด ส่งผลให้เขาประกาศอำลาทีมชาติ[25][26] ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ฝรั่งเศสก็เริ่มทำผลงานดีขึ้น โดยผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้สเปน 0–2 และ ดีดีเย เดช็อง เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อ

ยุคของเดช็อง และกลับมาประสบความสำเร็จ (2012–ปัจจุบัน)

[แก้]
กีลียาน อึมบาเป กัปตันทีมคนปัจจุบัน มีส่วนสำคัญในการพาทีมชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในฟุตบอลโลก 2018

ในฟุตบอลโลก 2014 ฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะแพ้เยอรมนี 0–1 ต่อมา ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 พวกเขาเอาชนะเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศ 2–0 ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกที่มีต่อเยอรมนีในการแข่งขันรายการเมเจอร์นับตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ฝรั่งเศสผ่านเข้าชิงชนะเลิศแต่แพ้โปรตุเกสในช่วงต่อเวลา 0–1[27] และในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ฝรั่งเศสภายใต้นักเตะแกนหลักอย่าง กีลียาน อึมบาเป, อ็องตวน กรีแยซมาน และ ปอล ปอกบา ทำผลงานยอดเยี่ยมผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมชาติโครเอเชีย และคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 2 โดยเอาชนะไป 4–2 และพวกเขายังประสบความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก สมัยแรกใน ค.ศ. 2021 จากการชนะสเปน 2–1[28]

ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ฝรั่งเศสลงป้องกันแชมป์ในฐานะหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ พวกเขาทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม และเอาชนะโปแลนด์, อังกฤษ และโมร็อคโกในรอบแพ้คัดออก ผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 4 แต่แพ้อาร์เจนตินาในการดวลจุดโทษภายหลังเสมอกันด้วยผลประตู 3–3 ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ฝรั่งเศสเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มจากผลงานชนะ 1 และเสมอ 2 นัด ตามด้วยการชนะเบลเยียม 1–0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และเอาชนะโปรตุเกสจากการดวลจุดโทษ 5–3 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 0–0 แต่แพ้สเปนซึ่งเป็นทีมแชมป์ในครั้งนี้ในรอบรองชนะเลิศ 1–2[29] ต่อมาในการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 ฝรั่งเศสในฐานะทีมในกลุ่มลีก A ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศจากผลงานชนะ 4 นัดในรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปพบกับโครเอเชียใน ค.ศ. 2025

เกียรติประวัติ

[แก้]

ผู้เล่น

[แก้]

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

[แก้]

รายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวเพื่อลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์

สถิติทีมชาตินับถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2022 หลังจบการแข่งขันกับเดนมาร์ก

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK อูว์โก โยริส (1986-12-26) 26 ธันวาคม ค.ศ. 1986 (37 ปี) 141 0 แม่แบบ:Country data FRE ลอสแอนเจลิส
16 1GK สแตฟว์ ม็องด็องดา (1985-03-28) 28 มีนาคม ค.ศ. 1985 (39 ปี) 34 0 ฝรั่งเศส แรน
23 1GK อาลฟงส์ อาเรออลา (1993-02-27) 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 (31 ปี) 5 0 อังกฤษ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

2 2DF แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ (1996-03-28) 28 มีนาคม ค.ศ. 1996 (28 ปี) 47 2 เยอรมนี ไบเอิร์น มิวนิก
3 2DF แอ็กแซล ดิซาซี (1998-03-11) 11 มีนาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 0 0 ฝรั่งเศส อาแอ็ส มอนาโก
4 2DF ราฟาแอล วาราน (1993-04-25) 25 เมษายน ค.ศ. 1993 (31 ปี) 88 5 อังกฤษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
5 2DF ฌูล กูนเด (1998-11-12) 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 (26 ปี) 14 0 สเปน บาร์เซโลนา
17 2DF วีลียาม ซาลิบา (2001-03-24) 24 มีนาคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 7 0 อังกฤษ อาร์เซนอล
18 2DF ดาโย อูว์ปาเมกาโน (1998-10-27) 27 ตุลาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 9 1 เยอรมนี ไบเอิร์น มิวนิก
21 2DF ลูกัส แอร์น็องแดซ (1996-02-14) 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 (28 ปี) 33 0 เยอรมนี ไบเอิร์น มิวนิก
22 2DF ตีโอ แอร์น็องแดซ (1997-10-06) 6 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 9 1 อิตาลี เอซี มิลาน
24 2DF อีบราอีมา โกนาเต (1999-05-25) 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 (25 ปี) 4 0 อังกฤษ ลิเวอร์พูล

6 3MF มาเตโอ แกนดูซี (1999-04-14) 14 เมษายน ค.ศ. 1999 (25 ปี) 6 1 ฝรั่งเศส มาร์แซย์
8 3MF โอเรเลียง ชัวเมนี (2000-01-27) 27 มกราคม ค.ศ. 2000 (24 ปี) 16 1 สเปน เรอัล มาดริด
13 3MF ยูซุฟ โฟฟานา (1999-01-10) 10 มกราคม ค.ศ. 1999 (25 ปี) 4 0 ฝรั่งเศส อาแอ็ส มอนาโก
14 3MF อาเดรียง ราบีโย (1995-04-03) 3 เมษายน ค.ศ. 1995 (29 ปี) 31 3 อิตาลี ยูเวนตุส
15 3MF ฌอร์ด็อง แวร์ตู (1993-03-01) 1 มีนาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี) 5 0 ฝรั่งเศส มาร์แซย์
25 3MF เอดัวร์โด กามาวีงกา (2002-11-10) 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 (22 ปี) 4 0 สเปน เรอัล มาดริด

7 4FW อ็องตวน กรีแยซมาน (1991-03-21) 21 มีนาคม ค.ศ. 1991 (33 ปี) 112 42 สเปน อัตเลติโก มาดริด
9 4FW ออลีวีเย ฌีรู (1986-09-30) 30 กันยายน ค.ศ. 1986 (38 ปี) 116 51 อิตาลี เอซี มิลาน
10 4FW กีลียาน อึมบาเป (กัปตัน) (1998-12-20) 20 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 61 31 ฝรั่งเศส เรอัล มาดริด
11 4FW อุสมาน แดมเบเล (1997-05-15) 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 30 4 สเปน บาร์เซโลนา
12 4FW ร็องดาล กอโล มัวนี (1998-12-05) 5 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 2 0 เยอรมนี ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท
20 4FW กีงส์แล กอมาน (1996-06-13) 13 มิถุนายน ค.ศ. 1996 (28 ปี) 42 5 เยอรมนี ไบเอิร์น มิวนิก
26 4FW มาร์คัส ตูราม (1997-10-06) 6 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 6 0 เยอรมนี เมินเชินกลัทบัค

ถูกเรียกตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้

[แก้]

รายชื่อผู้เล่นที่เคยถูกเรียกตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้

ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร ถูกเรียกครั้งล่าสุด
GK สแตฟว์ ม็องด็องดา (1985-03-28) 28 มีนาคม ค.ศ. 1985 (39 ปี) 34 0 ฝรั่งเศส มาร์แซย์ v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
GK เบอร์นัวต์ กอสตีล (1987-07-03) 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1987 (37 ปี) 1 0 ฝรั่งเศส บอร์โด v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021

DF ดาโย อูว์ปาเมกาโน (1998-10-27) 27 ตุลาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 6 1 เยอรมนี ไบเอิร์น มิวนิก v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
DF เกลม็อง ล็องแกล (1995-06-17) 17 มิถุนายน ค.ศ. 1995 (29 ปี) 15 1 สเปน บาร์เซโลนา v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
DF ลีโอ ดูบัวส์ (1994-09-14) 14 กันยายน ค.ศ. 1994 (30 ปี) 13 0 ฝรั่งเศส โอลิมปิก ลียง v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
DF กูร์ต ซูมา (1994-10-27) 27 ตุลาคม ค.ศ. 1994 (30 ปี) 11 1 อังกฤษ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
DF นอร์ดี มูคิเอเล (1997-11-01) 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (27 ปี) 1 0 เยอรมนี ไลพ์ซิช v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021

MF ปอล ปอกบา (1993-03-15) 15 มีนาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี) 91 11 อังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด v. ธงชาติแอฟริกาใต้ แอฟริกาใต้, 29 มีนาคม 2022
MF ฌอด็อง แวร์ตูร์ (1993-03-01) 1 มีนาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี) 5 0 อิตาลี โรมา v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
MF ตอมา เลอมาร์ (1995-11-12) 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 (29 ปี) 27 4 สเปน อัตเลติโก มาดริด v. ธงชาติฟินแลนด์ ฟินแลนด์, 16 พฤศจิกายน 2021
MF กอร็องแต็ง ตอลีโซ (1994-08-03) 3 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (30 ปี) 28 2 เยอรมนี ไบเอิร์นมิวนิก v. ธงชาติบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, 1 กันยายน 2021
MF มูซา ซีซอโก (1989-08-16) 16 สิงหาคม ค.ศ. 1989 (35 ปี) 71 2 อังกฤษ วอตฟอร์ด ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020

FW อ็องตอนี มาร์ซียาล (1995-12-05) 5 ธันวาคม ค.ศ. 1995 (29 ปี) 30 2 สเปน เซบิยา v. ธงชาติสเปน สเปน, 10 ตุลาคม 2021

สถิติเกี่ยวกับผู้เล่น

[แก้]

ผู้เล่นที่ลงเล่นให้ทีมชาติมากที่สุด

[แก้]

แถบสีฟ้าคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้ทีมชาติอยู่ในปัจจุบัน

อันดับ ชื่อ ช่วงเวลา จำนวนนัดที่ลงสนาม ประตู สโมสร
1 ลิลิยอง ตูว์ราม 1994–2008 142 2 อาแอส มอนาโก
ปาร์มา
ยูเวนตุส
บาร์เซโลนา
2 อูว์โก โยริส 2008–ปัจจุบัน 141 0 นิส
โอลิมปิก ลียง
ทอตนัม ฮอตสเปอร์
3 ตีแยรี อ็องรี 1997–2010 123 51 อาแอส มอนาโก
ยูเวนตุส
อาร์เซนอล
บาร์เซโลนา
4 มาร์แซล เดอไซยี 1993–2004 116 3 โอลิมปิก มาร์แซย์
เอซี มิลาน
เชลซี
ออลีวีเย ฌีรู 2011–ปัจจุบัน 116 51 มงเปอลีเย
อาร์เซนอล
เชลซี
เอซี มิลาน
6 อ็องตวน กรีแยซมาน 2014–ปัจจุบัน 112 42 อัตเลติโกเดมาดริด
บาร์เซโลนา
7 ซีเนดีน ซีดาน 1994–2006 108 31 บอร์โด
ยูเวนตุส
เรอัลมาดริด
8 ปาทริค วิเอรา 1997–2009 107 6 อาร์เซนอล
ยูเวนตุส
อินเตอร์ มิลาน
9 ดีดีเย เดช็อง 1989–2000 103 4 โอลิมปิก มาร์แซย์
บอร์โด
ยูเวนตุส
เชลซี
10 โรล็อง บล็องก์ 1989–2000 97 16 มงเปอลีเย
นาโปลี
นีมส์
แซ็ง เตเตียน
โอแซร์
บาร์เซโลนา
โอลิมปิก มาร์แซย์
อินเตอร์ มิลาน
บิเซนเต ลิซาราซู 1992–2004 97 2 บอร์โด
แอธเลติก บิลเบา
บาร์เยิร์น มิวนิก
การีม แบนเซมา 2007–ปัจจุบัน 97 37 โอลิมปิก ลียง
เรอัลมาดริด
13 ซิลแว็ง วิลตอร์ 1999–2006 92 26 บอร์โด
อาร์เซนอล
โอลิมปิก ลียง
14 ปอล ปอกบา 2010–ปัจจุบัน 91 11 ยูเวนตุส
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
15 ราฟาแอล วาราน 2013– 88 5 เรอัล มาดริด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
16 ฟาเบียง บาร์แตซ 1994–2006 87 0 โอลิมปิก มาร์แซย์
อาแอส มอนาโก
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
17 วีลียาม กาลัส 2002–2010 84 5 เชลซี
อาร์เซนอล
แบลซ มาตุยดี 2010–2019 84 9 อาแอ็ส แซ็งเตเตียน
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
ยูเวนตุส
19 ยูริ จอร์เกฟฟ์ 1993–2002 82 28 อาแอส มอนาโก
ปารีส แซ็ง-แฌร์แม็ง
อินเตอร์ มิลาน
ไคเซอร์สเลาเทิร์น
โบลตัน
มานุแอล อมอรอส 1982–1992 82 1 อาแอส มอนาโก
โอลิมปิก มาร์แซย์
21 ปาทริส เอวรา 2004–2016 81 0 อาแอส มอนาโก
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ยูเวนตุส
ฟร็องก์ รีเบรี 2006–2014 81 16 โอลิมปิก มาร์แซย์
บาเยิร์นมิวนิก
23 ฟลอร็อง มาลูดา 2004–2012 80 9 โอลิมปิก ลียง
เชลซี
24 รอแบร์ ปีแร็ส 1996–2012 79 14 แม็ส
โอลิมปิก มาร์แซย์
อาร์เซนอล
ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2022[30]

ผู้เล่นที่ยิงประตูให้ทีมชาติมากที่สุด

[แก้]

แถบสีฟ้าคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้ทีมชาติอยู่ในปัจจุบัน

อันดับ ชื่อ ช่วงเวลา ประตู จำนวนนัดที่ลงเล่น สโมสร ค่าเฉลี่ย
1 ออลีวีเย ฌีรู 2011–2024 57 137 มงเปอลีเย
อาร์เซนอล
เชลซี
เอซี มิลาน
0.42
2 ตีแยรี อ็องรี 1997–2010 51 123 อาแอส มอนาโก
ยูเวนตุส
อาร์เซนอล
บาร์เซโลนา
0.42
3 อ็องตวน กรีแยซมาน 2014–ปัจจุบัน 42 112 เรอัลโซซิเอดัด
อัตเลติโก มาดริด
บาร์เซโลนา
0.39
4 มีแชล ปลาตีนี 1976–1987 41 72 น็องซี
แซ็งต์-เตเตียน
ยูเวนตุส
0.57
5 การีม แบนเซมา 2007–ปัจจุบัน 37 97 โอลิมปิก ลียง
เรอัลมาดริด
0.38
6 ดาวิด เตรเซเแก 1998–2008 34 71 อาแอส มอนาโก
ยูเวนตุส
0.47
7 ซีเนดีน ซีดาน 1994–2006 31 106 บอร์โด
ยูเวนตุส
เรอัลมาดริด
0.28
กีลียาน อึมบาเป 2017– 31 61 ปารีส แซ็ง-แฌร์แม็ง 0.47
9 ฌุสต์ ฟงแตน 1953–1960 30 21 โอเฌเซ นิส
แร็งส์
1.42
ฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง 1986–1995 30 54 โอลิมปิก มาร์แซย์
เอซี มิลาน
บาเยิร์นมิวนิก
0.55
11 ยูริ จอร์เกฟฟ์ 1993–2002 28 82 อาแอส มอนาโก
ปารีส แซ็ง-แฌร์แม็ง
อินเตอร์ มิลาน
ไคเซอร์สเลาเทิร์น
โบลตัน
0.34
12 ซิลแว็ง วิลตอร์ 1999–2006 26 92 บอร์โด
อาร์เซนอล
โอลิมปิก ลียง
0.28
13 ฌ็อง แว็งซ็อง 1953–1961 22 46 ลีล
สตาด เดอ แร็งส์
0.47
14 ฌ็อง นีกอลา 1933–1938 21 25 รูอ็อง 0.84
15 ปอล นีกอลา 1920–1931 20 35 เรด สตาร์ แอฟเซ 0.57
เอริก ก็องโตนา 1987–1995 20 45 โอลิมปิก มาร์แซย์
มงเปอลีเย
ลีดส์ ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
0.38
17 ฌ็อง บาแร็ตต์ 1944–1952 19 32 ลีล 0.57
18 โรเฌร์ ปีอ็องโตนี 1952–1961 18 37 น็องซี
แร็งส์
0.48
แรมง กอปา 1952–1962 18 45 แร็งส์
เรอัลมาดริด
0.40
20 โรล็อง บล็องก์ 1989–2000 16 97 มงเปอลีเย
นาโปลี
นีม
แซ็ง-เตเตียน
โอแซร์
บาร์เซโลนา
โอลิมปิก มาร์แซย์
อินเตอร์ มิลาน
0.16
ฟร็องก์ รีเบรี 2006–2014 16 81 โอลิมปิก มาร์แซย์
บาเยิร์นมิวนิก
0.20
22 เออแฌน มาแอส 1911–1913 15 11 เรด สตาร์ แอฟเซ 1.36
แอฟวร์ แรเวลลี 1966–1975 15 30 แซ็ง-เตเตียน
นีซ
0.50
ดอมีนิก รอเชโต 1975–1986 15 49 แซ็ง-เตเตียน
ปารีส แซ็ง-แฌร์แม็ง
0.30
ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2022[31]

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "เดส์ชองส์ตั้ง "เอ็มบัปเป้" กัปตันทีมชาติฝรั่งเศสคนใหม่". pptvhd36.com. สืบค้นเมื่อ 21 March 2023.
  2. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 20 มิถุนายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2024.
  3. "FIFA". fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
  4. Davis, Dan (2017-08-29). "The mutiny of Les Bleus: how France capitulated at the 2010 World Cup". These Football Times (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  5. https://www.bbc.co.uk/sport/football/44754965
  6. https://www.eurosport.com/football/uefa-nations-league-finals/2020-2021/spain-v-france-follow-live-coverage_sto8576173/story.shtml
  7. "Member Associations". www.fifa.com (ภาษาอังกฤษ).[ลิงก์เสีย]
  8. Kay, Oliver. "Messi, Mbappe and an uncomfortable rivalry defined by mutual respect". The Athletic (ภาษาอังกฤษ).
  9. "France fans savour 'brilliant' World Cup win over England". web.archive.org. 2022-12-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-12-22. สืบค้นเมื่อ 2024-03-20.
  10. Okwonga, Musa (2021-10-11). "France's Win Over Spain Was a Prelude to an Epic Rivalry in the Making". The Ringer (ภาษาอังกฤษ).
  11. "History of Football in France". Sports and Leisure in France.
  12. "Fédération Française de Football". www.fff.fr.
  13. "Football World Cup 1934 in Italy". www.footballhistory.org.
  14. UEFA.com (2016-04-06). "France's 'Magic Square' – the best ever midfield?". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  15. "FIFA". fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
  16. UEFA.com (2003-10-06). "Trezeguet's golden goal sinks Italy as France make history and win the EURO 2000 final". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  17. 161385360554578 (2018-06-05). "Remembering France's hilariously bad World Cup defence in 2002". Dream Team FC (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  18. "France 0-1 Greece" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2004-06-25. สืบค้นเมื่อ 2021-10-22.
  19. UEFA.com (2008-06-13). "Dominant Netherlands stun France in Group C to reach EURO 2008 knockouts in style". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  20. "Romania 0-0 France" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2008-06-09. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  21. "France 0-2 Italy" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2008-06-17. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  22. "France 1-2 South Africa". news.bbc.co.uk.
  23. "The Associated Press: Brazil advances, Italy held to another WCup draw". web.archive.org. 2010-06-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-25. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  24. "Fédération Française de Football". www.fff.fr.
  25. "Anelka laughs off 'nonsense' ban" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2010-08-18. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  26. Davies, Lizzy (2010-08-17). "Nicolas Anelka suspended for 18 matches by France over World Cup revolt". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  27. "Germany 0-2 France: Antoine Griezmann's double sees Didier Deschamps' side into Euro 2016 final". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  28. UEFA.com (2021-10-10). "Spain 1-2 France: Les Bleus seal trophy with another comeback". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  29. "France crash out of Euro 2024, Spain goes through to final". France 24 (ภาษาอังกฤษ). 2024-07-09.
  30. Luis Fernando Passo Alpuin. "Goals for Venezuela National Team". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2013-07-24.
  31. Luis Fernando Passo Alpuin. "Goals for Venezuela National Team". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2013-07-24.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]