เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก
วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1912 เมืองเบลฟาสต์ เรือไททานิก (ขวา) ถูกเคลื่อนย้ายออกจากอู่แห้งเพื่อเปิดพื้นที่ให้เรือโอลิมปิก (ซ้าย) เข้าซ่อมแซมใบจักรที่เสียหาย
| |
ภาพรวมชั้น | |
---|---|
ผู้สร้าง: | ฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ, เบลฟาสต์ |
ผู้ใช้งาน: | ไวต์สตาร์ไลน์; คูนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์[1] |
ก่อนหน้าโดย: | ชั้นเอเธนิก |
สร้างเมื่อ: | 1908–1914 |
ในราชการ: | 1911–1935 |
วางแผน: | 3 |
เสร็จแล้ว: | 3 |
สูญเสีย: | 2 |
ปลดประจำการ: | 1 |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ตัน): | 45,000 – 48,000 ตันกรอส |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 52,310 ตัน |
ความยาว: |
|
ความกว้าง: |
|
ความสูง: | 205 ฟุต (62 เมตร) จากกระดูกงูเรือถึงยอดเสากระโดง |
กินน้ำลึก: | 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.54 เมตร)[1] |
ความลึก: | 64 ฟุต 9 นิ้ว (20 เมตร) จากกระดูกงูถึงด้านข้างของดาดฟ้า C |
ดาดฟ้า: | 9 |
ระบบพลังงาน: | หม้อไอน้ำเรือแบบสกอตช์ 15 บาร์ ปลายคู่ 24 ชุด และปลายเดี่ยว 5 ชุด ได้รับการทดสอบที่แรงดัน 30 บาร์ พร้อมด้วยเครื่องจักรลูกสูบ 4 สูบ 2 เครื่อง สำหรับใบจักรนอกทั้งสองข้าง กังหันไอน้ำแรงดันต่ำ 1 เครื่องสำหรับใบจักรกลาง กำลังรวม 50,000 แรงม้า ทำกำลังสูงสุดได้ 59,000 แรงม้า[2][3][4] |
ระบบขับเคลื่อน: |
|
ความเร็ว: | |
ความจุ: | ผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่ และลูกเรือ 3,327 คน[1] |
ลูกเรือ: | 892 คน |
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic-class ocean liner) เป็นกลุ่มเรือเดินสมุทรสัญชาติบริติชจำนวน 3 ลำ สร้างขึ้นโดยอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ สำหรับบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้แก่ อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (ค.ศ. 1911) อาร์เอ็มเอส ไททานิก (ค.ศ. 1912) และอาร์เอ็มเอส บริแทนนิก (ค.ศ. 1914) ทั้งสามลำถูกออกแบบมาให้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในยุคนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ไวต์สตาร์ได้เปรียบในด้านขนาดและความหรูหราในการขนส่งผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
แม้เรือโอลิมปิกซึ่งเป็นเรือลำแรกในกลุ่มจะให้บริการได้นานถึง 24 ปีก่อนจะถูกปลดประจำการและขายเป็นเศษเหล็กในปี ค.ศ. 1935 แต่เรืออีกสองลำกลับไม่ประสบความสำเร็จในลักษณะเดียวกัน ไททานิกประสบอุบัติเหตุชนภูเขาน้ำแข็งและอับปางลงในระหว่างการเดินทางครั้งแรก ส่วนบริแทนนิกอับปางลงขณะทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากชนกับทุ่นระเบิดนอกเกาะเคียในทะเลอีเจียน ก่อนจะเริ่มให้บริการรับส่งผู้โดยสาร
ถึงแม้เรือสองลำในจำนวนนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ก็ถือเป็นเรือเดินสมุทรที่มีชื่อเสียงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ทั้งเรือโอลิมปิกและเรือไททานิกต่างเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรือโอลิมปิกครองตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สร้างโดยอังกฤษเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งถูกแทนที่ด้วยเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี ซึ่งเข้าประจำการในปี ค.ศ. 1936 เรื่องราวของไททานิกถูกนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่าง ๆ มากมาย อาทิ หนังสือ ภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ ส่วนบริแทนนิกนั้นได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกันในปี ค.ศ. 2000
ต้นกำเนิดและการสร้าง
[แก้]เรือชั้นโอลิมปิกมีต้นกำเนิดมาจากการแข่งขันกันอย่างดุเดือดระหว่างสหราชอาณาจักรและเยอรมนีในการสร้างเรือโดยสารขนาดใหญ่ บริษัทนอร์ทด็อยท์เชอร์ ล็อยท์ และบริษัทฮัมบูร์กอเมริกาไลน์ ซึ่งเป็นบริษัทของเดินเรือขนาดใหญ่ที่สุดสองแห่งของเยอรมนีในเวลานั้นได้เข้าร่วมในการแข่งขันเพื่อสร้างเรือให้มีความเร็วและขนาดใหญ่ที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรือลำแรกที่ให้บริการสำหรับนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์คือ ไคเซอร์วิลเฮ็ล์มแดร์โกรเซอ (Kaiser Wilhelm der Grosse) ซึ่งได้รับรางวัลบลูริบบันด์ในปี ค.ศ. 1897[5] ก่อนจะถูกเรือดอยทช์ลันท์ (Deutschland) ของฮัมบูร์กอเมริกาไลน์แซงหน้าไปในปี ค.ศ. 1900[6]
จากนั้นจึงมีเรือแฝดอีกสามลำตามมาคือ โครนพรินซ์วิลเฮ็ล์ม (Kronprinz Wilhelm), ไคเซอร์วิลเฮ็ล์มที่ 2 (Kaiser Wilhelm II) และโครนพรินเซสซินเซซิเลีย (Kronprinzessin Cecilie) ซึ่งทั้งสามลำนี้จัดอยู่ใน "ชั้นไคเซอร์" เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ บริษัทคูนาร์ดไลน์ของอังกฤษจึงได้สั่งสร้างเรือสองลำ ซึ่งด้วยความเร็วของเรือทั้งสองลำนี้เองที่ทำให้ได้รับฉายาว่า "สุนัขไล่เนื้อแห่งท้องทะเล" (greyhounds of the seas) นั่นคือเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย[7] เรือมอริเทเนียครองบลูริบบันด์เป็นเวลาเกินกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 ถึง 1929[8][9]
บริษัทไวต์สตาร์ไลน์ทราบดีว่าเรือใหญ่สี่ลำของตน (Big Four) ที่สร้างขึ้นเพื่อเน้นขนาดและความหรูหรา นั้นไม่สามารถเทียบเคียงกับเรือลำใหม่ของคูนาร์ดในแง่ของความเร็วได้[10] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1907 ระหว่างการพูดคุยกันที่บ้านพักในย่านเบลเกรเวียของบุคคลหลังเกี่ยวกับการเดินทางครั้งแรกที่กำลังจะมาถึงของเรือลูซิเทเนียของคูนาร์ดซึ่งเหลืออีกเพียงสองเดือน เจ. บรูซ อิสเมย์ ประธานบริษัทไวต์สตาร์ และวิลเลียม เจ. พีร์รี ผู้อำนวยการบริษัทฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ ได้จดบันทึกความเร็วของเรือลำนี้เอาไว้ อิสเมย์ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการทำลายสถิติเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือลูซิเทเนียต่อพีร์รี แม้ว่าไวต์สตาร์จะมีชื่อเสียงในด้านความหรูหราและความสง่างาม แต่ความโดดเด่นของคูนาร์ดในด้านความตรงต่อเวลาและความเร็วได้สร้างภัยคุกคามต่อทั้งสองบริษัทในระดับมาก พีร์รีได้ผุดแนวคิดของเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่มีปล่องไฟสามต้นขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบโต้ต่อความสำเร็จของเรือลูซิเทเนียที่เพิ่งเปิดตัว โดยเน้นที่ภาพลักษณ์อันทรงเกียรติและการออกแบบที่เป็นเลิศ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำเช่นนี้จะยกระดับไปสู่ชั้นเรือโดยสารขนาดใหญ่และหรูหรารุ่นใหม่ ซึ่งจะสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับคู่เรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียของคูนาร์ด โดยมีการวางแผนสร้างเรือเพิ่มเติมเพื่อก้าวขึ้นนำคูนาร์ด
สิ่งเหล่านี้คือรากฐานเบื้องต้นสำหรับเรือโดยสารแฝดสามชื่อดังที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1908 ถึง 1914 หลังจากที่อเล็กซานเดอร์ คาร์ไลล์ สถาปนิกผู้มากประสบการณ์ของฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ และทอมัส แอนดรูส์ หลานชายของพีร์รี ได้ร่างแบบเบื้องต้นขึ้นมาแล้ว ก็ได้มีการเพิ่มปล่องไฟเข้าไปในพิมพ์เขียวอีกหนึ่งต้น ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อเสริมรูปลักษณ์ให้กับเรือ ทำให้กลายเป็นเรือที่มีปล่องไฟ 4 ต้นตามแบบที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ สัญญานี้ได้รับความเห็นชอบจากร่างข้อตกลงระหว่างไวต์สตาร์และฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟภายหลังจากนั้นหนึ่งปีในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1908 โดยมีทั้งพีร์รีและอิสเมย์เป็นผู้ดำเนินการและลงนาม[11] เรือทั้งสามลำได้รับการออกแบบโดยแอนดรูส์และคาร์ไลล์ โดยคาร์ไลล์เป็นสถาปนิกหลักของเรือเหล่านี้ในช่วงแรกจนกระทั่งเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1910 ทำให้การก่อสร้างอยู่ภายใต้การดูแลของแอนดรูส์เพียงผู้เดียว พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากโรเดริก ชิสโฮล์ม[8]
การก่อสร้างเรือโอลิมปิกเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1908 และเรือไททานิกเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1909 โดยทั้งสองลำถูกสร้างขึ้นเคียงข้างกัน[12] ก่อนเริ่มการก่อสร้างเรือโอลิมปิก อู่ต่อเรือได้ทำการรื้อถอนลาดกว้านเรือทั้งสามแห่งเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับแคร่ซึ่งจะเป็นที่วางตัวเรือทั้งสองลำ เนื่องจากความหนาแน่นดังกล่าว จึงมีความต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่โดยรอบเป็นอย่างมาก มีการสร้างสะพานเครนขนาดใหญ่ (gantry) ขนาด 6,000 ตัน สูงกว่า 200 ฟุต พร้อมด้วยเครนเคลื่อนที่เหนือศีรษะเพื่อรองรับกระดูกงูของเรือ การก่อสร้างเรือบริแทนนิกเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1911 หลังจากเรือโอลิมปิกเริ่มให้บริการและปล่อยเรือไททานิก หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรืออีกสองลำที่ยังคงให้บริการได้ทำการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยอย่างครอบคลุม[13]
-
เรือไททานิกและโอลิมปิกอยู่ระหว่างการก่อสร้างในเบลฟาสต์ ราวปี ค.ศ. 1910
-
เรือไททานิกก่อนพิธีปล่อย วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1911
-
เรือบริแทนนิกก่อนพิธีปล่อย กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914
-
บิล แฮมแม็ก กับการก่อสร้างและการให้บริการของเรือชั้นโอลิมปิก
ข้อมูลจำเพาะ
[แก้]เรือทั้งสามลำในชั้นโอลิมปิกมีดาดฟ้าทั้งหมด 9 ชั้น โดยมี 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร เรียงลำดับจากบนลงล่าง ดังนี้:
- ชั้นเรือบด หรือ Boat Deck เป็นดาดฟ้าชั้นบนสุดของเรือ ใช้สำหรับติดตั้งสิ่งต่าง ๆ เช่น เรือชูชีพ และปล่องไฟ สะพานเดินเรือและห้องถือท้ายตั้งอยู่ที่ส่วนหัว ด้านหน้าห้องพักของกัปตันและเจ้าหน้าที่ สะพานเดินเรือมีแท่นสังเกตการณ์สองแห่งอยู่ด้านขวาและด้านซ้าย เพื่อให้สามารถบังคับทิศทางเรือขณะเทียบท่าได้ ห้องถือท้ายตั้งอยู่ภายในสะพาน ทางเข้าสู่บันไดใหญ่ (Grand Staircase) ชั้นหนึ่งและห้องออกกำลังกายชั้นหนึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางลำเรือ ร่วมกับหลังคายกสูงของห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง ขณะที่บริเวณท้ายดาดฟ้ามีหลังคาของห้องสูบบุหรี่ชั้นหนึ่ง ห้องพักวิศวกร และทางเข้าชั้นสองที่ค่อนข้างเรียบง่าย ดาดฟ้าปูด้วยไม้ถูกแบ่งออกเป็นทางเดินเล่นสี่ส่วนที่แยกจากกันสำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง วิศวกร และผู้โดยสารชั้นสอง ตามลำดับ เรือชูชีพเรียงรายอยู่ข้างลำเรือทั้งสองข้าง ยกเว้นบริเวณชั้นหนึ่งที่เว้นว่างไว้เพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพ[14][15]
- ชั้น A หรือ Promenade Deck ทอดไปตามแนวยาวของโครงสร้างบน (superstructure) ทั้งหมด 546 ฟุต (166 เมตร) จัดเตรียมไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ ประกอบด้วยห้องโดยสารชั้นหนึ่งตั้งอยู่ส่วนหน้าตลอดแนว ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง ห้องสูบบุหรี่ ห้องอ่านและเขียนหนังสือ และสวนปาล์ม[14] ทางเดินเล่นของเรือโอลิมปิกเปิดโล่งตลอดความยาวทั้งหมด ขณะที่ไททานิกและบริแทนนิกนั้นครึ่งหน้าถูกปิดด้วยฉากเหล็กที่มีหน้าต่างบานเลื่อน[16]
- ชั้น B หรือ Bridge Deck เกือบทั้งหมดถูกใช้สำหรับห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ห้องสวีทที่หรูหราที่สุดสามารถพบได้บนดาดฟ้าชั้นนี้ โดยเฉพาะห้องสวีทแบบ "ดีลักซ์" สองห้องที่มีระเบียงส่วนตัวยาวถึง 50 ฟุต (15 เมตร) เรือทั้งสามลำมีห้องอาหารตามสั่ง (à la carte) ตั้งอยู่บริเวณท้ายเรือบนดาดฟ้าชั้นนี้ รวมถึงห้องสูบบุหรี่ชั้นสองและทางเข้าชั้นสอง เรือโอลิมปิกถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยทางเดินเล่นชั้นหนึ่งที่ซึ่งต่อมาพิสูจน์แล้วว่าไม่จำเป็น เพราะมีทางเดินเล่นกว้างขวางอยู่แล้วบนชั้น A เรือไททานิกได้เพิ่มห้องโดยสารขนาดใหญ่ขึ้น และสร้างคาเฟ่ปารีเซียง (Café Parisien) ขึ้นเป็นส่วนต่อเติมของห้องอาหารที่ขยายขนาดขึ้น การจัดเรียงนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนเรือโอลิมปิกได้นำเอาการเพิ่มเติมเหล่านั้นไปใช้ในการปรับปรุงในปี ค.ศ. 1913 บนภายนอกของเรือแต่ละลำ ชั้น B ถูกกำหนดโดยหน้าต่างบานเลื่อนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
- ชั้น C หรือ Shelter Deck เป็นดาดฟ้าชั้นบนสุดที่ทอดยาวต่อเนื่องจากหัวเรือจรดท้ายเรือ รวมถึงดาดฟ้าเว้า (well deck) สองแห่งซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นที่เดินเล่นชั้นสาม ดาดเฟ้าเว้าแต่ละแห่งยังมีเครนขนาดใหญ่สำหรับบรรทุกสินค้าลงไปในห้องเก็บสินค้าภายในเรือ ห้องพักลูกเรือตั้งอยู่ใต้ดาดฟ้าหัวเรือ (forecastle) และห้องสาธารณะชั้นสามตั้งอยู่ใต้ดาดฟ้าท้ายเรือ (poop deck) โครงสร้างบนของชั้น C ระหว่างหัวและท้ายเรือส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยห้องพักชั้นหนึ่ง แต่ห้องสมุดชั้นสองก็ตั้งอยู่บริเวณค่อนท้ายเรือเช่นกัน ใต้ห้องสูบบุหรี่ชั้นสองโดยตรง[17][18]
- ชั้น D หรือ Saloon Deck เป็นชั้นที่ถูกครอบครองโดยห้องสาธารณะขนาดใหญ่สามห้อง ได้แก่ ห้องรับรองชั้นหนึ่ง ห้องอาหารชั้นหนึ่ง และห้องอาหารชั้นสอง มีพื้นที่เปิดโล่งสำหรับผู้โดยสารชั้นสามอยู่ด้านล่างใต้หัวเรือ ผู้โดยสารชั้นสองและสามมีห้องพักอยู่บนดาดฟ้านี้ โดยมีที่นอนสำหรับลูกเรือห้องเครื่องจัดไว้ที่บริเวณหัวเรือ เดิมทีเป็นดาดฟ้าสูงสุดที่ผนังกั้นน้ำของเรือสามารถเข้าถึงได้ (แม้จะเป็นเพียง 8 ใน 15 แนวเท่านั้น)[17][19] สิ่งนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงในภายหลังในเรือโอลิมปิกในการปรับปรุงในปี ค.ศ. 1913 หลังจากการสูญเสียเรือไททานิก เรือบริแทนนิกถูกออกแบบมาให้มีผนังกั้นน้ำยื่นออกไปจนถึงดาดฟ้าหลัก
- ชั้น E หรือ Upper Deck ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นที่พักสำหรับผู้โดยสารทุกชั้น รวมถึงเป็นที่นอนสำหรับพ่อครัว กะลาสี บริกร และลูกเรือห้องถ่านหิน นอกจากนี้ยังมีห้องโดยสารชั้นสามที่มีทางเดินยาวซึ่งลูกเรือตั้งชื่อเล่นว่า ถนนสกอตแลนด์ (Scotland Road) อ้างอิงจากถนนที่มีชื่อเสียงในเมืองลิเวอร์พูล[17][20]
- ชั้น F หรือ Middle Deck เป็นชั้นสุดท้ายที่สมบูรณ์และส่วนใหญ่ใช้รองรับผู้โดยสารชั้นสาม นอกจากนี้ ยังมีห้องโดยสารชั้นสองและชั้นสาม รวมถึงที่พักสำหรับลูกเรืออีกด้วย ห้องรับอาหารชั้นสามตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เช่นเดียวกับสระว่ายน้ำ และห้องอาบน้ำแบบตุรกีสมียวิกตอเรีย ซึ่งเป็นส่วนเดียวสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง[17][20]
- ชั้น G หรือ Lower Deck เป็นชั้นที่ล่างสุดที่รองรับผู้โดยสาร และมีช่องหน้าต่าง (portholes) ต่ำที่สุดซึ่งยื่นออกมาเหนือระดับน้ำ สนามสควอชตั้งอยู่บนชั้นนี้ร่วมกับที่ทำการไปรษณีย์เคลื่อนที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะทำการคัดแยกจดหมายและพัสดุเพื่อเตรียมสำหรับการจัดส่งเมื่อเรือเทียบท่า อาหารยังถูกเก็บไว้ที่นี่ด้วย ถูกแบ่งออกเป็นช่วงด้วยชั้นท้องเรือ (บางส่วน) ที่อยู่เหนือห้องหม้อไอน้ำ ห้องเครื่อง และห้องกังหัน[17][21]
- ชั้นท้องเรือ หรือ Orlop Deck และ ท้องเรือชั้นใน หรือ Tank Top เป็นชั้นล่างสุดของเรือใต้ระดับน้ำ ชั้นท้องเรือถูกใช้เป็นที่เก็บสินค้า ขณะที่ท้องเรือชั้นในซึ่งเป็นพื้นที่ด้านในของตัวเรือ ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับหม้อไอน้ำ เครื่องยนต์ กังหัน และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรือ ส่วนนี้ของเรือถูกครอบครองโดยห้องเครื่องและห้องหม้อไอน้ำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่อนุญาติผู้โดยสารเข้าชม ชั้นนี้เชื่อมกับชั้นที่สูงกว่าของเรือด้วยบันไดวนคู่ใกล้หัวเรือขึ้นไปยังชั้น D[17][21]
แรงขับเคลื่อนของเรือเกิดจากใบจักรสามเพลา โดยเพลาด้านนอกหรือปีกทั้งสองข้างมีสามพวง ขณะที่เพลากลางมีสี่พวงในเรือโอลิมปิกและบริแทนนิก ส่วนเรือไททานิกถูกติดตั้งใบจักรกลางสามพวงเพื่อทดสอบประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับใบจักรกลางสี่พวงของเรือโอลิมปิกซึ่งเป็นเรือพี่ที่สร้างขึ้นก่อน ใบจักรด้านข้างทั้งสองถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำแบบลูกสูบขยายตัวสามเท่า (reciprocating steam triple expansion) ขณะที่ใบจักรกลางถูกขับเคลื่อนด้วยกังหันไอน้ำ[22] พลังงานทั้งหมดบนเรือมาจากหม้อไอน้ำแบบเผาถ่านหินจำนวน 29 ลูกใน 6 ห้องห้องหม้อไอน้ำ ต่อมาในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หม้อไอน้ำของเรือโอลิมปิกได้ถูกแปลงให้เผาน้ำมัน ทำให้จำนวนลูกเรือห้องเครื่องลดลงจาก 350 คนเหลือเพียง 60 คน[23][24]
เรือในชั้นโอลิมปิกมีความยาว 883.0 ฟุต (269.13 เมตร) เมื่อบรรทุกตามปกติจะมีระวางขับน้ำ 52,310 ลองตัน (53,150 ตัน) กินน้ำลึกประมาณ 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร) และขนาดของเรือโดยประมาณอยู่ที่ 45,000–46,000 ตันกรอส (GRT)[25] เรือโอลิมปิกครองตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1911 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับเรือไททานิกซึ่งเป็นเรือน้องเมื่อสร้างเสร็จในเดือนเมษายน ค.ซ. 1912 หลังจากการอับปางของเรือไททานิก เรือลำที่สามชื่อว่าบริแทนนิกได้ครองตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างโดยอังกฤษจนกระทั่งเรือลำนี้อับปางลงในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1916 หลังจากนั้นเรือโอลิมปิกก็ได้ครองตำแหน่งนี้เป็นเวลา 20 ปีจนกระทั่งการเปิดตัวเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี (RMS Queen Mary) ในปี ค.ศ. 1936[26]
เรือทั้งสามลำมีปล่องไฟสี่ต้น โดยต้นที่สี่นั้นเป็นปล่องปลอมที่ใช้เพื่อการระบายอากาศและความสวยงาม ควันจากห้องครัวบนเรือ ห้องสูบบุหรี่ และไอเสียจากห้องเครื่องจะถูกระบายออกผ่านปล่องควันส่วนหน้าของปล่องไฟต้นนี้ แม้ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อสร้างความสมมาตรให้กับรูปลักษณ์ของเรือ แต่ก็ทำหน้าที่เป็นช่องระบายอากาศขนาดใหญ่แทนช่องระบายอากาศขนาดเล็กจำนวนมากบนดาดฟ้าอย่างเรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียของคูนาร์ด[27]
ความปลอดภัย
[แก้]เรือทั้งสามลำได้นำเทคโนโลยีและมาตรการความปลอดภัยสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ เพื่อลดความเสี่ยงจากการรั่วซึมและแทบจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เรืออับปางได้ทั้งหมด เรือแต่ละลำมีผนังชั้นในซึ่งเป็นชั้นเหล็กหนา 1.25 นิ้ว (31.8 มิลลิเมตร) อีกชั้นหนึ่งอยู่เหนือกระดูกงู ทำให้เกิดเป็นช่องว่างกั้นน้ำตลอดแนวท้องเรือเรียกว่า "ท้องเรือสองชั้น" (double bottom) ผนังกันน้ำเหล็กตามขวางสูง 45 ฟุต (13.7 เมตร) 15 แนวสูงขึ้นไปถึงชั้น E (หรือชั้น D สำหรับสองแนวด้านหน้าสุด) แบ่งตัวเรือออกเป็น 16 ห้องกันน้ำ แต่ละห้องติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าเพื่อระบายน้ำที่รั่วเข้ามา ในกรณีที่เกิดการชน ประตูกันน้ำจะถูกปิดโดยอัตโนมัติจากสะพานเดินเรือ ทำให้สามารถกักน้ำไว้ในห้องที่เกิดความเสียหายโดยไม่กระจายไปยังห้องอื่น ๆ หากระบบควบคุมบนสะพานเดินเรือเกิดขัดข้อง คนเติมถ่านและวิศวกรสามารถปิดประตูกันน้ำได้ด้วยตนเองโดยใช้คันโยกที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้น การออกแบบที่กำหนดไว้จึงทำให้เรือโอลิมปิกและไททานิกยังคงลอยน้ำได้แม้จะมีห้องกันน้ำเสียหายถึงสี่ห้อง[28] เรือชั้นโอลิมปิกยังได้ยกเลิกการใช้ผนังกันน้ำตามยาว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียที่แยกบังเกอร์ถ่านหินที่อยู่ทั้งสองข้างตัวเรือออกจากห้องเครื่องและห้องหม้อไอน้ำตรงกลาง การจัดวางเช่นนี้เชื่อกันว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่เรือจะพลิกคว่ำ เพราะน้ำจะถูกกักไว้ตามความยาวของเรือ และทำให้เรือเอียงมากขึ้น[29]
การอับปางของเรือไททานิกทำให้ฮาร์แลนด์แอนด์โวลฟ์และไวต์สตาร์ตัดสินใจปรับปรุงเรือลำอื่น ๆ ทั้งหมดตามการแก้ไขใหม่ ส่งผลให้จำเป็นต้องมีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยอย่างมากให้กับเรือโอลิมปิกในช่วงปลายปี ค.ศ. 1912 พร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนการออกแบบเรือบริแทนนิกอย่างใหญ่หลวง ซึ่งได้เริ่มวางกระดูกงูไปแล้วหลายเดือนก่อนหน้านั้น[30] ห้องกันน้ำด้านหน้า 6 ห้องจากทั้งหมด 16 ห้องของเรือไททานิกได้รับความเสียหาย แม้จะอยู่เหนือกระดูกงูแต่ก็ต่ำกว่าระดับน้ำ ทำให้หลีกเลี่ยงท้องเรือสองชั้นไปโดยสิ้นเชิง ความสูงที่ต่ำของผนังกันน้ำก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เรือล่ม เพราะเกิดน้ำท่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากน้ำที่เข้าไปในห้องกันน้ำที่เสียหายนั้นสูงถึงชั้น E การปรับปรุงเรือโอลิมปิกได้ทำการยกผนังกันน้ำกลาง 5 แนวขึ้นมาถึงชั้น B ส่วนผนังกั้นน้ำแนวอื่นได้ยกขึ้นมาถึงชั้น D และยังมีการขยายท้องเรือสองชั้นไปตามแนวตัวเรือขึ้นมาจนถึงชั้น G การปรับปรุงเหล่านี้ได้รับการออกแบบในเรือบริแทนนิก พร้อมกับผนังกันน้ำเพิ่มเติมอีกสองแนว[29] การปรับปรุงเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งเรือโอลิมปิกและบริแทนนิกสามารถรอดพ้นจากสถานการณ์ที่นำไปสู่การอับปางแบบเรือไททานิกซึ่งเป็นเรือน้องลำกลางได้ เรือทั้งสามลำติดตั้งหวูดไอน้ำทองเหลืองสามเสียง สามห้อง บนปล่องไฟทั้งสี่ต้น มีเพียงบนปล่องไฟต้นแรกและสองเท่านั้นที่ใช้งานได้จริง ส่วนบนปล่องไฟต้นที่สามและสี่นั้นประดับไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น
เรือชูชีพ
[แก้]เรือแต่ละลำสามารถบรรทุกเรือชูชีพได้สูงสุด 64 ลำ[31] อย่างไรก็ตาม มีการติดตั้งเรือชูชีพเพียง 20 ลำบนเรือโอลิมปิกและไททานิกในระหว่างการก่อสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงความรกบนดาดฟ้าและเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร ในยุคนั้น ผู้สร้างเรือส่วนใหญ่มองว่าเรือเดินสมุทรความปลอดภัยสูงสุด สามารถป้องกันอันตรายได้ทุกสถานการณ์ จึงเชื่อว่าเรือชูชีพมีไว้เพียงเพื่อขนย้ายผู้โดยสารจากเรือที่กำลังจมไปยังเรือลำอื่นที่เข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น แม้ว่าจะมีจำนวนเรือชูชีพน้อย แต่ทั้งเรือโอลิมปิกและไททานิกก็ยังถือว่าเกินกว่าข้อบังคับของคณะกรรมการการค้าในขณะนั้น[32] หลังจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปาง เรือโอลิมปิกได้มีการเพิ่มจำนวนเรือชูชีพ ส่วนเรือบริแทนนิกได้ติดตั้งเครนยกเรือ (davits) ชูชีพขนาดใหญ่ 8 ตัว โดย 6 ตัวอยู่บนดาดฟ้าเรือบด และอีก 2 ตัวอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือ แต่ละตัวบรรจุเรือชูชีพ 6 ลำ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบไฟส่องสว่างเวลากลางคืน ในกรณีที่เรือเอียงจนไม่สามารถปล่อยเรือชูชีพจากด้านใดด้านหนึ่ง เครนยกจะสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อยกเรือชูชีพจากอีกด้านหนึ่งของดาดฟ้าได้[33]
ภายใน
[แก้]-
บันไดใหญ่บนเรือโอลิมปิก
-
สระว่ายน้ำชั้นหนึ่งของเรือโอลิมปิก
-
ห้องออกกำลังกายบนเรือไททานิก
-
ร้านอาหารตามสั่งของเรือโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1911
-
คาเฟ่ระเบียงกราบขวาของเรือโอลิมปิก
-
ห้องอาบน้ำแบบตุรกีของเรือโอลิมปิก
เรือทั้งสามลำมีที่พักสำหรับผู้โดยสารทั้งหมด 8 ชั้น โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างแต่ละลำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีชนชั้นใดถูกละเลย ผู้โดยสารชั้นหนึ่งได้เพลิดเพลินกับห้องโดยสารหรูหราที่หลายห้องมีห้องน้ำส่วนตัว ซึ่งนับเป็นสิ่งใหม่ในสมัยนั้น ห้องสวีททั้งสองห้องที่หรูหราที่สุดนั้นมีระเบียงส่วนตัว ห้องนั่งเล่น ห้องเสื้อผ้าแบบวอล์กอินสองตู้ ห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำส่วนตัว และห้องส้วมส่วนตัว แต่ละชั้นมีห้องอาหารขนาดใหญ่เป็นของตนเอง ขณะที่ชั้นหนึ่งยังมีบันไดใหญ่ (Grand Staircase) ที่ทอดตัวลงมาเจ็ดชั้นตลอดความสูงของเรือ (และมีบันไดใหญ่ขนาดเล็กอีกหนึ่งชุดที่ทอดตัวลงมาสามชั้น)[34] ห้องสูบบุหรี่แบบจอร์เจียน คาเฟ่ระเบียง (Veranda Cafe) ตกแต่งด้วยต้นปาล์ม[35] สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี[36] ห้องออกกำลังกาย[37] และสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายสำหรับรับประทานอาหารและความบันเทิง เรือชั้นโอลิมปิกถือเป็นเรืออังกฤษลำแรกที่มีห้องอาหารแยกต่างหากออกจากห้องอาหารส่วนกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นการเลียนแบบอย่างที่เรือเอสเอส อเมริกา (SS Amerika) ของบริษัทฮัมบูร์ก-อเมริกาของเยอรมันได้ทำไว้ก่อน ซึ่งมีร้านอาหารที่ให้บริการเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงที่ดำเนินการโดยเซซาร์ ริตซ์ เจ้าของโรงแรมชื่อดัง[38] เรือโอลิมปิกและไททานิกต่างมีร้านอาหารตามสั่ง (à la carte) ตั้งอยู่บริเวณท้ายเรือบนดาดฟ้า B บริการจัดการโดยลุยจี กัตติ เจ้าของร้านอาหารในลอนดอนพร้อมด้วยพนักงานของเขา ซึ่งทั้งหมดเสียชีวิตในการอับปางของเรือไททานิก
ชั้นสองยังมีห้องสูบบุหรี่ ห้องสมุด ห้องอาหารขนาดใหญ่ และลิฟต์ให้บริการ นอกจากนี้ ชั้นสองของเรือบริแทนนิกยังมีห้องออกกำลังกายอีกด้วย[39]
ท้ายที่สุด ผู้โดยสารชั้นสามได้รับที่พักที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเรือลำอื่น แทนที่จะมีหอพักขนาดใหญ่เหมือนกับเรือส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ผู้โดยสารชั้นสามของเรือชั้นโอลิมปิกนั้นจะได้พักในห้องโดยสารที่มีเตียงนอนตั้งแต่ 2 ถึง 10 เตียง ชั้นนี้ยังมีห้องสูบบุหรี่ พื่นที่ส่วนกลาง และห้องอาหารอีกด้วย เรือบริแทนนิกถูกวางแผนให้จัดเตรียมความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารชั้นสามมากกว่าเรือพี่อีกสองลำ[40]
อาชีพการงาน
[แก้]ชื่อ | ผู้สร้าง | เริ่มสร้าง | วางกระดูกงู | ปล่องลงน้ำ | เข้าประจำการ[1] | ความเป็นไป |
---|---|---|---|---|---|---|
โอลิมปิก | ฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ, เบลฟาสต์ | 1907 | 16 ธันวาคม 1908 | 20 ตุลาคม 1910 | 14 มิถุนายน 1911 | แยกชิ้นส่วน 1935–1937 |
ไททานิก | 17 กันยายน 1908 | 31 มีนาคม 1909 | 31 พฤษภาคม 1911 | 10 เมษายน 1912 | อับปางหลังจากชนภูเขาน้ำแข็ง ในวันที่ 15 เมษายน 1912 | |
บริแทนนิก | 1911 | 30 พฤศจิกายน 1911 | 26 กุมภาพันธ์ 1914 | 23 ธันวาคม 1915 | อับปางหลังจากชนทุ่นระเบิดนอกเกาะเคียในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1916 |
1: ^ สำหรับเรือโดยสาร คำว่า "ประจำการ" หมายถึง วันที่ออกเดินทางในเที่ยวเรือโดยสารครั้งแรก
โอลิมปิก
[แก้]โอลิมปิกเป็นเรือลำแรกในชั้น ปล่อยลงน้ำในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1910[41] และเข้าประจำการในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1911[42] ออกเดินทางครั้งแรกในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1911 ภายใต้การบัญชาการของกัปตันเอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ ในวันที่ 20 กันยายนปีเดียวกัน ขณะอยู่ภายใต้การควบคุมของพนักงานนำร่องในท่า เรือได้ชนกับเรือลาดตระเวนเบาเอชเอ็มเอส ฮอว์ก (HMS Hawke) ภายในท่าเรือเซาแทมป์ตัน ส่งผลให้ต้องนำไปซ่อมแซมที่ฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ และทำให้การก่อสร้างเรือไททานิกต้องล่าช้าออกไป[43] ขณะที่เรือน้องของมันกำลังจม โอลิมปิกก็กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปในทิศทางตรงกันข้าม และได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากไททานิก แต่ระยะทางไกลเกินกว่าจะไปถึงได้ทันก่อนไททานิกจะจมลง[44] หลังจากไททานิกอับปาง โอลิมปิกก็ถูกนำกลับเข้าอู่แห้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1912 เพื่อทำการปรับปรุงหลายอย่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยก่อนจะกลับมาให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้ง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรือลำนี้ได้ทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพล ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 เรือได้พุ่งชนและจมเรือดำน้ำ อู-103 ของเยอรมัน[45] เมื่อเรือลำนี้กลับมาให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1920 ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสามเรือโดยสารขนาดใหญ่ของไวต์สตาร์ อีกสองลำถูกยึดเป็นค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีคือบิสมาร์ค (Bismarck) ของ HAPAG ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ และเปลี่ยนชื่อเป็นมาเจสติก (Majestic) และโคลัมบัส (Columbus) ของ NDL ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นโฮเมริก (Homeric)[26] ในช่วงทศวรรษที่ 1920 โอลิมปิกได้รับความนิยมอย่างมากในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จนได้รับฉายาว่า "เรือที่งดงามยิ่งใหญ่"[46] เรือลำนี้มักบรรทุกเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น อาทิ ชาร์ลี แชปลิน นักแสดงชื่อดัง และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ ในขณะนั้น ในปี ค.ศ. 1934 เรือได้ชนกับเรือประภาคารแนนทักเก็ต LV-117 (Nantucket Lightship LV-117) โดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้เรือลำดังกล่าวจมลง มีลูกเรือเสียชีวิต 7 คนจากทั้งหมด 11 คน[47]
แม้ว่าโอลิมปิกจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในช่วงหลังของการให้บริการ แต่เมื่อเทียบกับเรือลำใหม่ ๆ แล้วก็ยังถือว่าล้าสมัย หลังจากการควบรวมบริษัทไวต์สตาร์ไลน์และคูนาร์ดไลน์ในปี ค.ศ. 1934 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1935 เนื่องจากมีเรือจำนวนมากเกินความจำเป็นในกองเรือที่รวมกันใหม่ โอลิมปิกจึงปลดระวางและถูกขายเพื่อนำไปตัดและลากไปยังเมืองแจร์โรว์เพื่อทำการรื้อถอน
ไททานิก
[แก้]ไททานิกเป็นเรือลำที่สองในชั้น ปล่อยลงน้ำในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1911[48] และการเข้าประจำการถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อยเนื่องมาจากการซ่อมแซมเรือโอลิมปิกที่ยังไม่เสร็จสิ้น[49] ออกเดินทางครั้งแรกจากท่าเรือเซาแทมป์ตันในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 โดยเกือบจะชนกับเรือเอสเอส นิวยอร์ก (SS New York) ที่จอดอยู่ในท่าเรือและถูกแรงดูดจากใบจักรของไททานิกดึงเข้าหา หลังจากแวะจอดที่แชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส และอีกครั้งที่ควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ เรือลำนี้ก็ได้แล่นออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกพร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 2,200 คน ภายใต้การบัญชาการของกัปตันเอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ มุ่งหน้าสู่นครนิวยอร์ก การเดินทางดำเนินไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ จนกระทั่งวันที่ 14 เมษายน เวลา 23:40 น.[50]
ไททานิกชนกับภูเขาน้ำแข็ง ณ พิกัด 41°46′N 50°14′W / 41.767°N 50.233°W[51] ขณะแล่นอยู่ห่างจากแกรนด์แบงส์ออฟนิวฟันด์แลนด์ไปทางทิศใต้ประมาณ 400 ไมล์ (640 กิโลเมตร) ในเวลา 23:40 น. ตามเวลาเรือ แรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนที่ตามมาทำให้หมุดย้ำขาดออก และเกิดรอยฉีกขาดหลายแห่งที่ตัวเรือใต้ระดับน้ำ เหตุการณ์นี้ทำให้ห้องกันน้ำ 5 ห้องแรกถูกน้ำท่วม และยังมีการรั่วไหลของน้ำเข้าสู่ห้องกันน้ำที่ 6 ซึ่งเครื่องสูบน้ำยังสามารถควบคุมได้ แต่เรือถูกออกแบบมาให้ยังคงลอยน้ำได้เมื่อห้องกันน้ำถูกน้ำท่วมไม่เกิน 4 ห้องเท่านั้น ไททานิกจมลงสู่ก้นมหาสมุทร 2 ชั่วโมง 40 นาที หลังจากการชน เรือชูชีพมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับผู้โดยสารทั้งหมด และเรืออาร์เอ็มเอส คารเพเทีย (RMS Carpathia) ซึ่งเป็นเรือที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเกินกว่าจะมาช่วยทัน[31] ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,514 คนจากทั้งหมด 2,224 คนบนเรือ เหตุการณ์นี้จึงนับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางทะเลที่ร้ายแรงที่สุดในยามสงบในประวัติศาสตร์
บริแทนนิก
[แก้]บริแทนนิกเป็นเรือลำที่สามและลำสุดท้ายในชั้น เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1911 ปล่อยลงน้ำในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 และได้เริ่มกระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ[52] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ก่อนที่บริแทนนิกจะเริ่มให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างนิวยอร์กและเซาแทมป์ตัน สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้ปะทุขึ้น ทันทีหลังจากนั้น อู่ต่อเรือทุกแห่งที่มีสัญญากับกระทรวงทหารเรือได้รับการจัดลำดับความสำคัญสูงสุดในการใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ สัญญาพลเรือนทั้งหมดรวมถึงติดตั้งอุปกรณ์สำหรับบริแทนนิกถูกชะลอไว้
วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1915 บริแทนนิกถูกเรียกให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเรือพยาบาลจากสถานที่เก็บเรือในเบลฟาสต์ เรือถูกทาสีใหม่เป็นสีขาวทั้งลำพร้อมตรากางเขนแดงขนาดใหญ่และแถบสีเขียวแนวนอนตลอดความยาวของลำเรือ และได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า เอชเอ็มเอชเอส (His Majesty's Hospital Ship; เรือพยาบาลหลวง) บริแทนนิก[52]
เวลา 08:12 น. ของวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก ได้ชนกับทุ่นระเบิด ณ พิกัด 37°42′05″N 24°17′02″E / 37.70139°N 24.28389°E[53] และอับปางลง ผู้รอดชีวิตมีจำนวนทั้งสิ้น 1,036 คน และมีผู้เสียชีวิต 30 คน หนึ่งในผู้รอดชีวิตคือไวโอเล็ต เจสซอป เป็นที่น่าสังเกตว่าเธอเคยรอดชีวิตจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปางเมื่อปี ค.ศ. 1912 มาแล้ว และยังเคยอยู่บนเรือโอลิมปิกในช่วงเวลาที่ชนกับเรือหลวงฮอว์กเมื่อปี ค.ศ. 1911 อีกด้วย บริแทนนิกเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่สูญหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่การอับปางลงของเรือลำนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่ากับการอับปางของเรือพี่ หรือการอับปางของเรือลูซิเทเนียของคูนาร์ด ซึ่งถูกจมโดยตอร์ปิโดในทะเลไอริช[54]
มรดก
[แก้]ซากเรือและการสำรวจ
[แก้]เมื่อไททานิกอับปางลงในปี ค.ศ. 1912 และบริแทนนิกอับปางลงในปี ค.ศ. 1916 นั้น เหตุการณ์การอับปางของบริแทนนิกไม่ได้รับความสนใจเท่ากับไททานิก เพราะจำนวนผู้เสียชีวิตที่ต่างกันอย่างมาก (1,517 คนของไททานิก และ 30 คนของบริแทนนิก) และการที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ ด้วยเหตุที่ตำแหน่งที่การจมของบริแทนนิกเป็นที่ทราบแน่ชัดและอยู่ในระดับความลึกที่ไม่มาก จึงเป็นผลให้ซากเรือดังกล่าวถูกค้นพบได้อย่างง่ายดายในปี ค.ศ. 1975[55] อย่างไรดี ไททานิกได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในปี ค.ศ. 1912 หลังจากความพยายามหลายครั้ง ซากเรือก็ถูกค้นพบโดยฌ็อง-หลุยส์ มิเชล จากสถาบันวิจัยการใช้ประโยชน์จากทะเลฝรั่งเศส (IFREMER) และโรเบิร์ต บัลลาร์ด ตามมาด้วยภารกิจลับสุดยอดของกองทัพเรือสหรัฐเพื่อสืบสวนซากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ ยูเอสเอส เทรเชอร์ (USS Thresher) และยูเอสเอส สกอร์เปียน (USS Scorpion) ซึ่งจมลงในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในช่วงทศวรรษที่ 1960[56][57] การค้นพบซากเรือเกิดขึ้นในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1985 ห่างจากตำแหน่งที่ระบุว่าเรือจมลงประมาณ 25 กิโลเมตร ซากเรืออยู่ลึกลงไปประมาณ 4,000 เมตร และแตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหัวเรือยังคงสภาพค่อนข้างดี แต่ส่วนท้ายเรือยุบตัวลงบางส่วน และสลายไปเป็นจำนวนมากในระหว่างการจมและการกระแทกพื้นทะเล[a]
ซากเรือบริแทนนิกถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1975 โดยฌัก กุสโต ส่วนหัวเรือมีรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ที่เกิดจากหัวเรือพุ่งชนพื้นมหาสมุทรก่อนที่ส่วนอื่น ๆ ของเรือจะจมลง เนื่องจากความยาวของเรือมากกว่าความลึกของน้ำ หลังจากการค้นพบ ซากเรือก็ได้ถูกสำรวจอย่างสม่ำเสมอในหลายภารกิจสำรวจ เมื่อเทียบกับไททานิกซึ่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและกำลังถูกแบคทีเรียกินเหล็กกัดเซาะอยู่ บริแทนนิกกลับอยู่ในสภาพดีอย่างน่าทึ่ง และเข้าถึงได้ง่ายกว่าเรือพี่ที่โด่งดังกว่ามาก โครงสร้างภายนอกส่วนใหญ่ยังคงสภาพสมบูรณ์ รวมถึงใบจักร และส่วนประกอบโครงสร้างบนและตัวเรือส่วนใหญ่[58]
มรดกทางวัฒนธรรม
[แก้]พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการต่าง ๆ ได้จัดแสดงเพื่อเป็นเกียรติแก่เรือเหล่านั้น และโศกนาฏกรรมของทั้งสองได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์ นวนิยาย หรือแม้กระทั่งละครเพลงและวิดีโอเกมมากมาย เมื่อโอลิมปิกซึ่งเป็นเรือลำเดียวที่ยังคงเหลืออยู่จากกลุ่มเรือในชั้นเดียวกันนั้นถูกปลดระวางในปี ค.ศ. 1935 ก่อนหน้านี้เคยมีแผนที่จะดัดแปลงเรือลำนี้ให้เป็นโรงแรมลอยน้ำ แต่โครงการดังกล่าวถูกยกเลิกไป[59] อย่างไรก็ตาม ของตกแต่งต่าง ๆ บนเรือได้ถูกนำออกประมูล ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งและบางส่วนของบันไดใหญ่ด้านท้ายเรือสามารถพบได้ที่โรงแรมไวต์สวอน ในเมืองอาร์นวิก นอร์ทัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ แผงไม้ของร้านอาหารตามสั่งบนเรือได้รับการบูรณะใหม่บนเรือเซเลบริตีมิลเลนเนียม (Celebrity Millennium)[60]
การให้เกียรติและแบบจำลอง
[แก้]เนื่องจากประวัติศาสตร์และเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจที่อยู่เบื้องหลังการจมลงของไททานิก ทำให้มีการพยายามสร้างไททานิกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด หลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยมีตั้งแต่การสร้างแบบจำลองที่สามารถลอยน้ำได้ การสร้างขึ้นมาใหม่บนบกในพื้นที่ที่ไม่ติดทะเล ไปจนถึงการออกแบบไททานิกขึ้นมาใหม่ทั้งหมดในรูปแบบที่แตกต่างออกไป[ต้องการอ้างอิง]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อMaritimequest
- ↑ "Mark Chirnside's Reception Room: Olympic, Titanic & Britannic: Olympic Interview, January 2005". Markchirnside.co.uk. สืบค้นเมื่อ 16 July 2009.
- ↑ "Titanic's Prime Mover – An Examination of Propulsion and Power". Titanicology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2021. สืบค้นเมื่อ 30 October 2013.
- ↑ "Boiler - Scotch". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2013. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2013.
- ↑ Le Goff 1998, pp. 22–23.
- ↑ Le Goff 1998, pp. 24–25.
- ↑ Le Goff 1998, pp. 32–33.
- ↑ 8.0 8.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อOcean
- ↑ Le Goff 1998, p. 70.
- ↑ Chirnside 2004, p. 11.
- ↑ Origins Of The Olympic Class, RMS Olympic Archive. Retrieved 8 August 2009 เก็บถาวร 17 มกราคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Chirnside 2004, p. 14.
- ↑ Piouffre 2009, p. 307.
- ↑ 14.0 14.1 Hutchings & de Kerbrech 2011, p. 47.
- ↑ Gill 2010, p. 229.
- ↑ Marriott, Leo (1997). TITANIC. PRC Publishing Ltd. ISBN 1-85648-433-5.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 Hutchings & de Kerbrech 2011, p. 48.
- ↑ Gill 2010, p. 233.
- ↑ Gill 2010, p. 235.
- ↑ 20.0 20.1 Gill 2010, p. 236.
- ↑ 21.0 21.1 Gill 2010, p. 237.
- ↑ Chirnside 2004, p. 30.
- ↑ Le Goff 1998, p. 37.
- ↑ Olympic Returns To Passenger Service เก็บถาวร 21 ตุลาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, RMS Olympic Archive. Retrieved 8 August 2009
- ↑ Chirnside 2004, p. 319.
- ↑ 26.0 26.1 Chirnside 2004, p. 308.
- ↑ Chirnside 2004, p. [ต้องการเลขหน้า].
- ↑ Matsen, Brad. "Titanic's Last Secrets: The Further Adventures of Shadow Divers John Chatterton & Richie Kohler" Hachette: 2008; 99.
- ↑ 29.0 29.1 "Testimony of Edward Wilding, Recalled". British Wreck Commissioner's Inquiry. 7 June 1912. Retrieved 10 May 2009.
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert. "The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; 100.
- ↑ 31.0 31.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อcanots
- ↑ Parks Stephenson เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved 12 June 2011
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; 124.
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) Les escaliers de 1 Classe, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) La Vie à bord du Titanic เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) Les Bains Turcs et la Piscine เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) Le Gymnase เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ Archibald, Rick; Ballard, Robert (2005). "The Lost Ships of Robert Ballard." 35.
- ↑ HMHS Britannic -"The forgotten Sister" เก็บถาวร 19 มิถุนายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, retrieved 12 April 2012
- ↑ Third class areas เก็บถาวร 24 กันยายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Hospital Ship Britannic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ Chirnside 2004, p. 36.
- ↑ Chirnside 2004, p. 47.
- ↑ Piouffre 2009, p. 69.
- ↑ Chirnside 2004, pp. 76–77.
- ↑ Paul Chack, Jean-Jacques Antier, Histoire maritime de la Première Guerre mondiale, France – Empire, 1992, p. 778
- ↑ "Calendar card cartoon. RMS Olympic 'The Ship Magnificent'". National Museums of Northern Ireland. สืบค้นเมื่อ 2021-06-14.
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) Le RMS Olympic เก็บถาวร 24 มกราคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, L'histoire du RMS Olympic, RMS Titanic et HMHS Britannic. Retrieved 8 August 2009
- ↑ Piouffre 2009, p. 60.
- ↑ Chirnside 2004, p. 135.
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) Chronologie d'un naufrage เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, le Site du Titanic. Retrieved 10 August 2009
- ↑ Question No. 25 - When and where did the collision occur?, RMS Titanic, Inc. Retrieved 6 July 2007 เก็บถาวร 21 เมษายน 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 52.0 52.1 Chirnside 2004, p. 240.
- ↑ Chirnside 2004, pp. 254–255.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อlargest
- ↑ (ในภาษาฝรั่งเศส) L'Olympic et le Britannic เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, le Site du Titanic. Retrieved 3 August 2009
- ↑ Gérard Piouffre, Le Titanic ne répond plus, Larousse, 2009, p. 296
- ↑ "Titanic Was Found During Secret Cold War Navy Mission". National Geographic. 21 November 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2021. สืบค้นเมื่อ 27 September 2018.
- ↑ (ในภาษาอังกฤษ) The Wreck เก็บถาวร 10 กุมภาพันธ์ 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Hospital Ship Britannic. Retrieved 3 August 2009
- ↑ "Mark Chirnside's Reception Room: Olympic, Titanic & Britannic: Olympic Interview, January 2005". www.markchirnside.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-21. สืบค้นเมื่อ 2009-08-04.
- ↑ Millennium เก็บถาวร 6 มกราคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Celebrity Cruises. Retrieved 4 August 2009
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน