ข้ามไปเนื้อหา

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

พิกัด: 13°44′47″N 100°29′36″E / 13.746519°N 100.493338°E / 13.746519; 100.493338
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ราชวรมหาวิหาร
แผนที่
ชื่อสามัญวัดโพธิ์ ท่าเตียน
ที่ตั้ง2 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ประเทศไทย 10200
ประเภทพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร
นิกายเถรวาท มหานิกาย
พระประธานพระพุทธเทวปฏิมากร
พระพุทธรูปสำคัญพระพุทธไสยาส
พระพุทธโลกนาถ
พระพุทธศาสดามหากรุณาธิคุณ
พระพุทธมารวิชัยอภัยปรปักษ์
พระพุทธชินราชวโรวาท
พระพุทธชินสีห์มุนีนาถ
พระพุทธปาลิไลยภิรัติไตรวิเวก
พระศรีสรรเพชญุดาญาณ
เจ้าอาวาสสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร)
ความพิเศษวัดประจำรัชกาลที่ 1
จุดสนใจวิหารพระพุทธไสยาสน์ วิหารทิศฝั่งตะวันออก (วิหารพระโลกนาถ) และพระอุโบสถ
กิจกรรมนวดแผนไทย
การถ่ายภาพไม่ควรใช้แฟลช ในการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนัง ส่วนภายในอาคาร บางอาคารห้ามถ่ายภาพ ควรสังเกตป้าย
เว็บไซต์www.watpho.com
หมายเหตุ
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนวัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม
ขึ้นเมื่อ22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร
เลขอ้างอิง0000071
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา
จารึกวัดโพธิ์ *
  ความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโก
ที่เก็บรักษาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
ประเทศ ไทย
ภูมิภาค **เอเชียและแปซิฟิก
อ้างอิง2010-16
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2554
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีความทรงจำแห่งโลก
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม คำอ่าน: [วัด-พฺระ-เชด-ตุ-พน-วิ-มน-มัง-คะ-ลา-ราม][1] โดยทั่วไปเรียก วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร[2] และเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551[3] และวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ และลำดับที่ 3 ของประเทศไทย

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์[4] พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในแง่ของการท่องเที่ยวแล้ว วัดโพธิ์ได้รับความนิยมเที่ยวเป็นลำดับที่ 24 ของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนั้นถึง 8,155,000 คน[5]

ประวัติ

[แก้]

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นหลัง พ.ศ. 2231 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[6] บ้างว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา[7]

เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" สันนิษฐานว่าเพราะเป็นที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่ต่อมาคติความเชื่อเรื่องการบูชาพระศรีมหาโพธิ์เสื่อมคลายลงไป ไม่ได้รับความนิยมเหมือนครั้งอดีต จึงคงเหลือแต่ชื่อเรียกสืบต่อมา ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ว่า พระพิมลธรรม เป็นเจ้าอาวาสของวัดโพธาราม และจึงเริ่มมีพระราชคณะปกครองตั้งแต่นั้นมา

ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส" แปลว่า "ที่อยู่อันงามของพระพุทธเจ้า"[7] เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 ว่า "วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน" และมีพระราชดำริว่า "ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ"[8]

ภายในพระอารามยังได้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย ส่วนการบูรณปฏิสังขรณ์ในรัชกาลพระองค์นั้น มีการสถาปนาพระมหาเจดีย์อีก 1 องค์ โดยมีความจำเป็นที่ต้องรื้อศาลารายพระมณฑปและพระระเบียง[9]

ต่อมาได้มีบันทึกของนักเดินทางชาวนอร์เวย์ คือ คาร์ล บ็อก (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยา ที่เดินทางเข้ามาสำรวจสภาพภูมิศาสตร์ในสยามเมื่อ พ.ศ. 2424 เขามองว่าวัดโพธิ์เป็นหนึ่งในสามของวัดที่มีความสำคัญของกรุงเทพ (อีกสองวัดคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร) เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า พระระเบียงที่วัดโพธิ์ในช่วงนั้นซึ่งทาสีขาวมีความสกปรกมาก ทำให้เมื่อ พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้กระทรวงโยธาธิการบูรณะ แต่พบว่าต้องใช้เงินถึง 67,000 บาท ในเวลานั้นเงินท้องพระคลังไม่พอ จึงได้ตัดรายการซ่อม และรื้ออาคารที่ไม่สำคัญ อย่างศาลารายถึง 13 หลัง และพระเจดีย์ราย 42 องค์ และไม่ได้มีการสร้างสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เพิ่ม[6]

นอกจากนี้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย[10] ซึ่งสามารถแบ่งพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้ 4 ประเภท ได้แก่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 4 องค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเขตวัดโพธารามเดิม ส่วนที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถนั้น ได้แก่ พระเจดีย์ราย 71 องค์ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวรวม 20 องค์ และพระเจดีย์ทรงปรางค์หรือพระมหาสถูป 4 องค์ รวมทั้งสิ้น 99 องค์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

แผนผังวัดและศิลปกรรม

[แก้]
แผนผังวัดโพธิ์

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามที่มีบริเวณกว้าง ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ เขตพุทธธาวาส และเขตสังฆาวาส โดยมีถนนเชตุพนเป็นเส้นแบ่งเขต ในบริเวณเขตพุทธาวาสซึ่งเป็นบริเวณที่มีสิ่งก่อสร้างสำคัญแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ บริเวณเขตวัดโพธารามเดิม และบริเวณเขตพระอุโบสถ ผังของเขตพุทธธาวาสมีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานตั้งอยู่ตรงกลางมีระเบียงคดล้อมรอบ 2 ชั้น มีวิหารทิศอยู่บนระเบียงดค ซึ่งเปรียบเสมือนพระอุโบสถเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มี เจดีย์ประจำมุมทั้ง 4 แทนทวีปทั้ง 4 ระเบียงคดแทนกำแพงจักรวาล โดยรูปแบบเหล่านี้เป็นการนำรูปแบบผังของวัดในสมัยอยุธยามาปรับใช้ ถัดมาในเขตวัดโพธารามเดิมมีกำแพงกั้นแบ่งระหว่างส่วนเขตวัดโพธารามเดิมและเขตพระอุโบสถ มีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาลเป็นจุดเด่น มีพระมณฑปหอไตรตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางของเขตนี้ มีสวนมิสกวัน และสวนจรเข้ตั้งอยู่ติดกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ และถัดไปมีวิหารพระพุทธไสยยาสน์และศาลาการเปรียญตั้งอยู่ภายนอกสุดในแนวสมมาตรกัน

เขตพระอุโบสถ

[แก้]

เขตพระอุโบสถเป็นเขตที่สถาปนาขึ้นใหม่นอกเขตวัดโพธารามเดิม สร้างตามคติไตรภูมิ โดยให้พระอุโบสถเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และให้เจดีย์ประจำมุมทั้งสี่ เป็นเสมือนทวีปหลักทั้งสี่ มีระเบียงคด 2 ชั้น ล้อมรอบแทนกำแพงจักรวาล มีพระวิหารทิศสร้างคร่อมระเบียงคดทั้ง 2 ชั้น

พระอุโบสถ

[แก้]
พระอุโบสถ

พระอุโบสถในปัจจุบันเป็นอาคารขนาดใหญ่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยรื้อพระอุโบสถเดิมที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ออก มีลักษณะ คือ มีลานประทักษิณมีกำแพงแก้วเตี้ยๆ ล้อมรอบ มีซุ้มเสมาตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว มีซุ้มประตูทางเข้าด้านละ 2 ทาง ส่วนฐานยกสูงมีระเบียงรอบอาคาร มีเสาเฉลียงล้อมรอบทั้งอาคาร เสาเฉลียงมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ จากฐานถึงยอดเสามีการสอบเข้าเล็กน้อย ไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย เพราะเสาลักษณะนี้สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีจึงไม่ต้องมีคันทวย ช่องระหว่างเสาเฉลียงมีพนักระเบียงคั่นรอบอาคาร ช่องพนักระเบียงมีหินอ่อนแกะสลักเป็นประติมากรรมนูนต่ำเล่าเรื่องรามเกียรติ์โดยรอบซึ่งปัจจุบันเริ่มลบเลือนไปมากแล้ว ตัวพระอุโบสถยกสูงขึ้นระพื้นระเบียงอีกชั้นหนึ่ง ภายในมีเสาร่วมในทรงสี่เหลี่ยมทึบตัน เครื่องหลังคาเป็นแบบไทยประเพณีมี ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง มีหลังคาซ้อน 3 ซ้อน มีตับหลังคา 4 ตับ [11] ซุ้มประตูพระอุโบสถเป็นทรงมงกุฏ บานประตูด้านนอกประดับมุกเรื่องรามเกียรติ์ภายในเขียนลายรดน้ำรูปพัดยศพระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญ ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีในกรุงเละหัวเมือง[12]

หน้าบันพระอุโบสถ
[แก้]
หน้าบันพระอุโบสถ

หน้าบันพระอุโบสถเป็นปูนปั้นแกะสลักปิดทองประดับจก ซึ่งแตกต่างจากหน้าบันแบบไทยประเพณีอื่นๆ ในสมัยนั้นที่จะเป็นไม้แกะสลักปิดทอง พื้นหลังหน้าบันติดกระจกสีน้ำเงินแกมเขียว ลวดลายปั้นเป็นลายพรรณพฤกษา เรียกว่า ลายเครือเถาเคล้าก้าน ประกอบด้วยลายดอกไม้ ใบไม้ ก้าน ประดับกระจกสีแดง ขาว เขียว และน้ำเงิน บริเวณกลางหน้าบันมีการทำกรอบสามเหลี่ยมล้อไปกับโครงของหน้าบัน ฐานหน้าบันด้านล่างทำเป็นลายกระจังใต้ฐานกระจังทำปูนปั้นเป็นลายประจำยาม ซึ่งการทำกรอบสามเหลี่ยมในหน้าบันรวมไปถึงการทำลวดลายพรรณพฤกษาทั่วบริเวณหน้าบันนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3[11] ซึ่งปรากฏในอาคารไทยประเพณีอื่นๆ ที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างหรือบูรณะอีกหลายที่ เช่น วัดสุทัศนเทพวราราม วัดอรุณราชวราราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

พระพุทธเทวปฏิมากร
[แก้]
พระพุทธเทวปฏิมากร

พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า (ปัจจุบันคือ วัดคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กทม.) มาประดิษฐานในพระอุโบสถ พร้อมทั้งถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร” พระพุทธเทวปฏิมากรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งสื่อความหมายว่ารัชกาลที่ 1 ประสงค์ตั้งมั่นแน่วแน่ในคราวการสร้างพระนครว่านี่จะเป็นพระนครอย่างถาวร (ปางสมาธิ สื่อถึงการตั้งจิตมั่นแน่วแน่) ลักษณะพระพุทธรูปปางสมาธิ นั่งขัดสมาธิราบ หล่อด้วยสำริด ลงรักปิดทอง หน้าจักกว้าง 1.3 เมตร สูง 16.5 เมตร ศิลปะอยุธยา พระพักตร์ค่อนข้างเคร่งขรึม ขมวดพระเกษาเล็ก รัสมีเป็นเปลวสูง ฐานชุกชีได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยได้ทำการยกฐานขึ้นสูงเป็นฐาน 3 ชั้น ชั้นล่างสุดมีพระสาวกล้อมรอบ 8 องค์ ชั้นที่ 2 มีพระสาวก 2 องค์ รอบฐานประดับ ยักษ์ ครุฑ เทวดา ล้อมรอบตามแต่ละชั้น[13] ทำให้พระพุทธเทวปฏิมากรตั้งอยู่สูงมากกว่าพระประธานทั่วไป ซึ่งอาจจะมาจากการสร้างให้สมกับสัดส่วนพระอุโบสถที่ขยายใหญ่ขึ้น

พระมหาสถูป
[แก้]
พระพุทธอภิธรรมธระวาสีปริกขาระมหาสถูป

พพระมหาสถูป เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ หรือที่เรียกว่า พระอัคฆีย์เจดีย์ มีจำนวน 4 องค์ ประดิษฐานอยู่ตรงมุมลานพระอุโบสถชั้นนอกทั้ง 4 ด้าน แทนคติมหาทวีปทั้ง 4 ตามคติไตรภูมิ พระมหาสถูปก่อสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เนื่องจากพบภาพลายเส้นวาดโดยนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) ราชทูตชาวอังกฤษที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมาพระมหาสถูปได้รับการบูรณะจนเป็นดังปัจจุบันในสมัยรัชกาลที่ 3 มีลักษณะ คือ มีส่วนฐานเป็นชั้นฐานเขียงล่างสุดถัดขึ้นมาเป็นชุดฐานสิงห์ 3 ชั้น ฐานบัวลูกแก้วอกไก่ 1 ชั้น ถัดขึ้นมาเป็นชั้นเรือนธาตุมีซุ้มจรนำ 4 ด้าน ประดิษฐานเทวรูปท้าวจตุโลกบาลหล่อด้วยดีบุก ลงรักปิดทอง ถัดขึ้นไปเป็นชั้นเชิงบาตรประดับประติมากรรมยักษ์แบกหล่อด้วยดีบุก ลงรักปิดทอง ถัดไปเป็นส่วนยอดประดับใบขนุน กลีบขนุน เป็นลักษณะยอดปรางค์ศิลปะรัตนโกสินทร์ ยอดบนสุดประดับนภศูล โดยพระมหาสถูปทั้ง 4 มีชื่อเรียกที่ต่างกัน[14] ดังนี้

องค์ที่ประดิษฐานด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีนามว่า พระพุทธมังคละกายพันธนามหาสถูป

องค์ที่ประดิษฐานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีนามว่า พระพุทธธรรมจักปวัตะนะปาทุกามหาสถูป

องค์ที่ประดิษฐานด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีนามว่า พระพุทธวิไนยปิฏกะสูจิฆรามหาสถูป

องค์ที่ประดิษฐานด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีนามว่า พระพุทธอภิธรรมธระวาสีปริกขาระมหาสถูป

พระวิหารทิศ

[แก้]
พระวิหารทิศ

พระวิหารทิศทั้ง 4 ตั้งอยู่รอบพระอุโบสถ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แต่เดิมนั้นพระวิหารทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก สร้างมาคร่อมระเบียงคดชั้นนอกและภายในมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น มีเพียงพระวิหารทิศตะวันออกที่สร้างคร่อมระเบียงคดทั้ง 2 ชั้น และภายในแบ่งเป็น 2 ห้อง ต่อมาเมื่อมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้ต่อเติมส่วนวิหารให้คร่อมระเบียงคดทั้ง 2 ชั้น และแบ่งภายในวิหารเป็น 2 ห้องแบบปัจจุบัน ลักษณะพระวิหารเป็นอาคารทรงไทยประเพณี มีมุขโถงด้านหน้าแบบจั่วเปิด หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก หน้าบันของวิหารทิศเหนือ-ใต้ แกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ส่วนหน้าบันของพระวิหารทิศตะวันออก-ตะวันตก แกะสลักเป็นรูปพระลักษมณ์ทรงหนุมาน พื้นหลังเป็นลายกระหนกก้านขด ปลายกระหนกเป็นรูปเทพพนม ซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้ามี 3 ซุ้ม ซุ้มตรงกลางเป็นซุ้มทรงปราสาท ซุ้มประตูด้านข้างทั้ง 2 เป็นซุ้มทรงบรรพแถลงภายในพระวิหารทิศทั้ง 4 นั้นได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมืองต่าง ๆ มาประดิษฐานไว้ โดยแบ่งออกเป็นห้องด้านหน้าและห้องด้านหลัง โดยห้องด้านหน้า คือ ห้องที่หันสู่ทิศต่าง ๆ ส่วนห้องด้านหลังนั้น คือ ห้องที่หันหน้าเข้าสู่พระอุโบสถ โดยพระวิหารทิศแบ่งออกเป็น 4 ทิศ ได้แก่

พระวิหารทิศตะวันออก (ทิศพระโลกนาถ) ที่ห้องด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากวัดเขาอินทร์ เมืองสวรรคโลก ส่วนบริเวณห้องด้านหลังประดิษฐานพระพุทธโลกนาถศาสดาจารย์ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้อัญเชิญมาจากวิหารพระโลกนาถ ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ (ซึ่งทรุดโทรมไม่มากนัก)

พระวิหารทิศตะวันตก (ทิศนาคปรก) ที่ห้องด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธชินศรีมุนีนาถ เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองสุโขทัย โดยได้อัญเชิญมาพร้อมกับพระพุทธชินราช

พระวิหารทิศเหนือ (ทิศป่าเลไลย) ที่ห้องด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธปาลิไลย เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลย ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นใหม่เมื่อครั้งทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ

พระวิหารทิศใต้ (ทิศปัญจวัคคีย์) ที่ห้องด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา ซึ่งอัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัย

พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว
[แก้]
พระเจดีย์หมู่ห้าองค์บนฐานเดียวกัน

พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระเจดีย์ 5 องค์ที่ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน โดยองค์ตรงกลางนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าอีก 4 องค์ที่ล้อมรอบอยู่ ประดิษฐานอยู่ตรงมุมพระวิหารคดทั้ง 4 ด้าน นับรวมได้ 20 องค์ ลักษณะพระเจดีย์ทั้ง 5 องค์นั้นเป็นเจดีย์ทรงเครื่องประดับกระเบื้องเคลือบ เจดีย์องค์กลางมีผังเจดีย์อยู่ในผังย่อมุมไม้ 20 มีฐานเป็นชุดฐานสิงห์ 3 ชั้นซ้อนกัน เจดีย์ที่ล้อมรอบ 4 องค์ มีผังเจดีย์อยู่ในผังย่อมุมไม้สิบสอง มีชุดฐานเป็นฐานสิงห์เพียง 2 ฐาน โดยผังย่อมุมจะย่อมุมไปจนถึงชั้นบัลลังก์ ส่วนยอดมีลักษณะเหมือนกัน คือ ถัดจากส่วนบัลลังก์เป็นบัวคลุ่มเถาซึ่งพัฒนามาจากปล้องไฉน ถัดไปเป็นส่วนปลี ลูกแก้ว ปลียอด ประดับยอดบนสุดด้วยเม็ดน้ำค้าง ภายในพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทุกองค์[15]

พระเจดีย์ราย
[แก้]
เจดีย์ราย ภายนอกรอบระเบียงคด

พระเจดีย์ราย ประดิษฐานอยู่บริเวณโดยรอบของพระระเบียงชั้นนอกมีจำนวนทั้งสิ้น 71 องค์[16] สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเดิมมีพระราชประสงค์ให้เป็นให้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเคลือบสีและศิลาเขียว นับเป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระเจดีย์อื่น ๆ พระเจดีย์รายมีลักษณะ คือ มีชุดฐานเป็นฐานสิงห์ 2 ฐาน ถัดขึ้นเป็นบัวรองรับองค์ระฆัง องค์ระฆัง บัลลังก์ ตามลำดับ โดยอยู่ในผังย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนยอดประกอบด้วยบัวคลุ่มเถาซึ่งพัฒนามาจากปล้องไฉน ถัดไปเป็นส่วนปลี ลูกแก้ว ปลียอด ประดับยอดบนสุดด้วยเม็ดน้ำค้าง พระเจดีย์รายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารนั้น ได้รับยกย่องว่าเป็นพระเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองที่งามที่สุดของยุครัตนโกสินทร์[17]

เขตวัดโพธาราม (เดิม)

[แก้]

เป็นส่วนของวัดโพธารามเดิมที่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ก่อนการสถาปนาวัดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นส่วนตะวันตกของวัดในปัจจุบันอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล พระมณฑปหอไตร วิหารพระพุทธไสยาส และศาลาการเปรียญ (ซึ่งเป็นพระอุโบสถเดิม ของวัดโพธาราม)

พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล

[แก้]

พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว สถาปัตยกรรมบริเวณซุ้มประตูมีลักษณะเป็นไทยประยุกต์แบบจีน โดยจะมีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละ 1 คู่ องค์พระเจดีนั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ[18]

เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชดาญาณมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ" องค์พระเจดีย์ประด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่พระมหาเจดีย์ ล้อมรอบด้วยพระมหาเจดีย์อีก 3 องค์ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระองค์มีพระประสงค์ทะนุบำรุงวัดพระเชตุพนฯ ทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขนาบข้างกับพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ ดังนั้น จึงเป็นเจดีย์สามองค์เรียงกันจากเหนือจรดใต้ โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ ขนาดและความสูงเหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงสีกระเบื้องที่มาประดับเท่านั้น โดยพระมหาเจดีย์ทางทิศเหนือของพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิธาน" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อพระราชอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนก ซึ่งนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 ส่วนพระมหาเจดีย์ทางทิศใต้ของพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณนั้น ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า "พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 ด้วย

เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์โปรดเกล้าให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย มาจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา โดยองค์พระมหาเจดีย์มีลักษณะที่แตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3 องค์ คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปภายในองค์พระมหาเจดีย์ได้[19] ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม มีนามว่า "พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย" นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4

หลังจากนั้น รัชกาลที่ 4 มีพระราชดำรัสว่า "ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าให้เอาเป็นแบบอย่างที่จำเป็นจะต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาลในวัดพระเชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 รัชกาลแต่แรกนั้นได้เคยทรงเห็นกันทั้ง 4 พระองค์ ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น"[20] ดังนั้น การสร้างพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลจึงได้ยุติลงตั้งแต่นั้นมา

มณฑปหอไตร

[แก้]
หอไตร

หอไตรสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ตั้งอยู่ในระหว่างวิหารพระพุทธไสยาสน์และศาลาการเปรียญ ต่อมาเมื่อมีการบูรณะพระอารามครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงรื้อหอไตรเดิมลงและสร้างใหม่เป็นอาคารทรงมณฑปจตุรมุขเครื่องยอดทรงมงกุฎ ประดับกระเบื้องเคลือบและถ้วยหลากสี ลวดลายงามวิจิตร ซุ้มประตูพระมณฑปเป็นทรงที่ผสมผสานระหว่างซุ้มทรงปราสาทและซุ้มทรงบรรพแถลง เรียกว่า ซุ้มทรงมงกุฏ ซึ่งเป็นซุ้มประตูรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 3 ภายในมีตู้เก็บพระไตรปิฎกทรงจตุรมุข มีศาลาทิศรอบพระมณฑป ผนังภายในศาลาทิศมีภาพจิตรกรรม กำเนิดรามเกียรติ์ ประเพณีรามัญกวนข้าวทิพย์ เป็นต้น ผนังภายนอกมีศิลาจารึกโคลงสุภาษิต เรียกว่า โคลงโลกนิติ ที่ซุ้มประตูทางเข้ามณฑปทั้งสองข้างมียักษ์วัดโพธิ์ ที่มีตำนานเล่าว่าไปรบกับยักษ์วัดแจ้งจนเป็นต้นกำเนิดท่าเตียน[21] เดิมประตูทางเข้ามณฑป มี 4 ประตู แต่ได้รื้อประตูทางด้านทิศตะวันออก ออก 2 ประตูเนื่องจากการสร้างพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งล้ำพื้นที่เข้ามาในพื้นที่พระมณฑป เมื่อดูจากผังวัดพระมณฑปหอไตรจะเป็นจุดศูนย์กลางของเขตวัดโพธารามเดิม

วิหารพระพุทธไสยาส

[แก้]
วิหารพระพุทธไสยาสน์

วิหารพระพุทธไสยาส[22] สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวที่โปรดฯ ให้ขยายพระอารามออกมาทางทิศเหนือ (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดความสูงเท่ากับพระอุโบสถแต่มีด้านยาวที่ยาวกว่า เครื่องหลังคาเป็นแบบไทยประเพณีมีเครื่องลำยองประกอบไปด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง หลังคาซ้อน 3 ซ้อน มีตับหลังคา 4 ตับ เสารับหลังคาเป็นเสาขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมทึบตันไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบของเสาที่นิยมใช้ในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นปูนปั้น ปิดทองประดับกระจกรูปพรรณพฤกษาทั่วทั้งหน้าบันซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มประตู-หน้าต่าง ประดับลวดลายอย่างเทศ ภายในบริเวณผนังของวิหารนั้น ด้านบนมีภาพเขียนสีเรื่อง มหาวงศ์ และผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพสีเกี่ยวกับพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่านและอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่าน อยู่ด้วย[23]

พระพุทธไสยาสน์
[แก้]
พระพุทธไสยาสน์

เป็นพระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ ประดิษฐานในพระวิหารพระพุทธไสยยาสน์ เป็นพระนอนที่มีขนาดยาวเป็นอันดับสามของประเทศไทย คือยาวถึงสองเส้นสามวา, รองลงมาจากพระนอนจักรสีห์ (ยาวสามเส้น สามวา สองศอก หนึ่งคืบ เจ็ดนิ้ว) และพระนอนวัดขุนอินทประมูล (ยาวสองเส้นห้าวา) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามทั้งวัด โดยก่อสร้างองค์พระขึ้นก่อนแล้วสร้างพระวิหารครอบภายหลัง องค์พระพุทธรูปก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทองทั้งองค์ พระบาทของพระพุทธไสยาสแต่ละข้าง กว้าง 1.5 เมตร ยาว 5 เมตร มีภาพมงคล 108 ประการ เป็นลวดลายประดับมุก ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ ภาพมงคลแต่ละอย่างจะอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยภาพกงจักร ซึ่งอยู่ตรงกลางพระบาท ทั้งสองข้างมีภาพเหมือนกัน โดยลวดลายของมงคล 108 ประการนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน[23][24]

ศาลาการเปรียญ

[แก้]
ศาลาการเปรียญ

เดิมเป็นพระอุโบสถของวัดโพธารามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังการสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนแล้ว จึงได้ลดฐานะเป็นศาลาการเปรียญ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยภายในมี "พระพุทธศาสดา" ประดิษฐานเป็นพระประธาน เดิมเป็นอาคารก่อด้วยไม้มีใต้ถุนต่อมาได้บูรณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีหลังคาซ้อน 3 ซ้อน มีตับหลังคา 4 ตับ มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ตรงกลางเป็นซุ้มวิมานทรงปราสาท 3 ยอด ภายในประดับเทวดาถือพระขรรค์ ฉากหลังแกะสลักเป็นลายกระหนกก้านขดปลายกระหนกเป็นรูปเทพพนม พื้นหลังประดับกระจกสีเงิน บริเวณคอสองภายนอกอาคารมีภาพจิตรกรรมรูปนรกขุมต่างๆ และเปรต ๑๒ จำพวก[25] ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นทรงบรรพแถง บริเวณกลางมุงโถงด้านหลังทิษตะวันออกมีซุ้มจรนำทรงบรรพแถลงประดิษฐานพระพุทธรูปปางเปิดโลก นอกจากนี้ภายในยังมีธรรมมาสน์ทรงบุษบกศิลปะอยุธยาที่มีความวิจิตรสวยงามตั้งอยู่บริเวณประตูกลางด้านหน้าตรงข้ามกับพระประธาน

ประติมากรรมอื่น ๆ

[แก้]

นอกจาก อาคาร พระวิหาร พระเจดีย์ต่าง ๆ แล้ววัดโพธิ์ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิเช่น

ยักษ์วัดโพธิ์

[แก้]
ยักษ์วัดโพธิ์บริเวณซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป

ยักษ์วัดโพธิ์นั้นตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์[24]นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา[26]

รูปปั้นฤๅษีดัดตน

[แก้]
ประติมากรรมฤาษีดัดตน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม พระองค์ทรงได้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปวิทยาการของกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ รวมทั้ง ได้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ ไว้ด้วย ซึ่งจำนวนของรูปปั้นฤๅษีดัดตนที่สร้างในรัชกาลที่ 1 นั้น ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ต่อมาในรัชกาลที่ 3 ได้หล่อรูปปั้นฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ รวม 80 ท่า โดยใช้สังกะสีและดีบุก แทนการใช้ดินที่เสื่อมสภาพได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการแต่งโคลงสี่สุภาพเพื่อบรรยายสรรพคุณท่าต่างของฤๅษีดัดตนทั้ง 80 บทด้วย เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายรูปปั้น รวมทั้งมีการลักลอบเอารูปปั้นไปขายบางส่วน ดังนั้น รูปปั้นที่อยู่ภายในวัดโพธิ์จึงมีเหลือเพียง 24 ท่าเท่านั้น[27][28]

ลำดับอธิบดีสงฆ์

[แก้]

นับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร มีอธิบดีสงฆ์(เจ้าอาวาส) และผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ดังนี้[29]

ลำดับที่ รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ หมายเหตุ
1 สมเด็จพระพนรัตน์ พ.ศ. 2325 พ.ศ. 2356
2 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พ.ศ. 2356 พ.ศ. 2396
3 พระพิมลธรรม (ยิ้ม) พ.ศ. 2400 พ.ศ. 2412
4 สมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) พ.ศ. 2415 พ.ศ. 2419
5 พระพิมลธรรม (อ้น) พ.ศ. 2421 พ.ศ. 2432
6 หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) พ.ศ. 2434 พ.ศ. 2443
7 พระอุบาฬีคุณูปมาจารย์ (ปาน) พ.ศ. 2443 พ.ศ. 2447
8 พระธรรมเจดีย์ (แก้ว) พ.ศ. 2448 14 ตุลาคม พ.ศ. 2451
9 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม ธมฺมสโร) พ.ศ. 2453 พ.ศ. 2484
10 สมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) พ.ศ. 2484 พ.ศ. 2490
11 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2516
12 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (กมล กมโล) พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2520
ว่าง พระธรรมเสนานี (ฟุ้ง ปุณฺณโก) 14 สิงหาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2520 ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส
13 พระวิสุทธาธิบดี (สง่า ปภสฺสโร) พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2534
14 พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร) พ.ศ. 2534 พ.ศ. 2557
15 พระธรรมรัตนากร (สีนวล ปญฺญาวชิโร) พ.ศ. 2557 พ.ศ. 2564
ว่าง พระเทพวชิรโมลี (ทองใบ ปุญฺญภาโส) 7 มีนาคม พ.ศ. 2564 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส
16 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร) พ.ศ. 2564 - ปัจจุบัน

การศึกษา

[แก้]

มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย

[แก้]

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย โดยเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาแขนงต่าง ๆ จารึกลงบนศิลาจารึกหรือแผ่นศิลา รวมทั้งได้ปั้นฤๅษีดัดตน ประดับไว้ภายในบริเวณวัด ซึ่งอาจจะแบ่งความรู้ต่าง ๆ ออกได้เป็น 8 หมวด ได้แก่ หมวดประวัติการสร้างวัดพระเชตุพนฯ หมวดตำรายาแพทย์แผนโบราณ หมวดอนามัย หมวดประเพณี หมวดวรรณคดีไทย หมวดสุภาษิต หมวดทำเนียบ (จารึกหัวเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) และหมวดพระพุทธศาสนา[19] โดยเมื่อเทียบในปัจจุบันอาจจะแบ่งออกเป็นคณะต่าง ๆ ดังนี้ คณะประวัติศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ (ไม่เป็นทางการ)[30]

โรงเรียนภายในวัด

[แก้]
  • โรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา สังกัดคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
  • โรงเรียนวัดพระเชตุพน เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 - ประถมศึกษาปีที่ 6

ในวัดมีบริการนวดโดยหมอนวดซึ่งศาลานวดจะอยู่ทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถ

อ้างอิง

[แก้]
  1. "การอ่านชื่อพระอารามหลวง". สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. 2558. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  2. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงธรรมการ แผนกกรมสังฆการี เรื่อง จัดระเบียบพระอารามหลวง เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ ก, ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๒๘๙
  3. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-19. สืบค้นเมื่อ 2008-04-16.
  4. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม, ก้าวไปในบุญ :เสริมมงคลไหว้พระ ๙ วัด เก็บถาวร 2007-04-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, กุมภาพันธ์ 2548
  5. Global Market Information Database, Tourist Attractions - World, 10 Apr 2008
  6. 6.0 6.1 สาวินี ลีมีโชค. "กรณีศึกษา วัดพระเชตุพลวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" (PDF). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
  7. 7.0 7.1 กรณิศ รัตนามหัทธนะ. "ตุ๊กตาหน้าวัด". เดอะคลาวด์.
  8. พจนานุกรมวิสามานยนามไทย : วัด วัง ถนน สะพาน ป้อม เก็บถาวร 2014-03-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, หน้า 86-87, จากเว็บไซต์ราชบัณฑิตยสถาน
  9. วัชรี วัชรสินธุ์, (2534) การศึกษาการออกแบบสถาปัตยกรรม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม. มหาวิทยาลัยศิลปากร,:ม.ป.ท.
  10. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม, ก้าวไปในบุญ :เสริมมงคลไหว้พระ ๙ วัด เก็บถาวร 2007-04-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, กุมภาพันธ์ 2548
  11. 11.0 11.1 ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 127-129
  12. พระมหาสุรพล ชิตญาโณ, พันธุ์ศักดิ์ จักกะพาก, บรรจบไมตรีจิตต์. (2542). โบสถ์วัดโพธิ์. กรุงเทพ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 44
  13. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2566). คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. 119-120
  14. พระมหาสถูป กำแพงแก้ว จาก เว็บไซต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
  15. พระเจดีย์สี่รัชกาล พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว พระเจดีย์ราย จาก เว็บไซต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
  16. พระเจดีย์สี่รัชกาล พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว พระเจดีย์ราย จาก เว็บไซต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
  17. วัชรี วัชรสินธุ์, วัดพระเชตุพน มัชฌิมประเทศอันวิเศษในชมพูทวีป, สำนักพิมพ์มติชน,กันยายน 2548 ISBN 974-323-476-4
  18. ผู้จัดการออนไลน์, ดูของดี ที่ "วัดโพธิ์" เก็บถาวร 2007-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 21 มกราคม 2548
  19. 19.0 19.1 ผู้จัดการออนไลน์, วัดสุทัศน์[ลิงก์เสีย], 17 ธันวาคม 2545
  20. ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ 15 (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 25 ถึง 27) , องค์การค้าของคุรุสภา, 2507
  21. พระมณฑป (หอไตรจตุรมุข), วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร, www.watpho.com
  22. ปัจจุบันทางวัดใช้ว่า "พระพุทธไสยาส" (ไม่มี น์) ตามมติของสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) โดยให้เหตุผลว่า คำว่า "ไสยาส" แปลว่า นอน ส่วนคำว่า ไสยาสน์ มาจาก ไสยา + อาสน แปลว่า นอนและนั่ง
  23. 23.0 23.1 พระพุทธไสยาส
  24. 24.0 24.1 ผู้จัดการออนไลน์,เที่ยว"วัดโพธิ์" สัมผัสวัดเก่า ในมุมมองใหม่ เก็บถาวร 2005-12-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 29 มกราคม 2548
  25. ศาลาการเปรียญ จาก เว็บไซต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
  26. ผู้จัดการออนไลน์, เที่ยว"ท่าเตียน"ชุมชนเก่าแก่คู่วัดโพธิ์ เก็บถาวร 2012-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 19 กันยายน 2549
  27. เขาฤๅษีดัดตน
  28. การนวดตามแบบท่าฤๅษีดัดตน
  29. อดีตเจ้าอาวาส, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
  30. พิพิธพาเพลินมหาวิทยาลัยวัดโพธิ์ เก็บถาวร 2007-07-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

หนังสือและบทความ

[แก้]
  • ทวีศักดิ์ เผือกสม. หยดเลือด จารึก และแท่นพิมพ์: ว่าด้วยความรู้/ความจริงของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411. กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561. ISBN 9786169313823

เว็บไซต์

[แก้]

13°44′47″N 100°29′36″E / 13.746519°N 100.493338°E / 13.746519; 100.493338