วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร | |
---|---|
วัดกัลยาณมิตร มุมมองหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา | |
ชื่อสามัญ | วัดกัลยาณ์, วัดกัลยาณมิตร |
ที่ตั้ง | เลขที่ 371 ซอยอรุณอมรินทร์ 6 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 |
ประเภท | พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร |
นิกาย | เถรวาท มหานิกาย |
สถานีย่อยพระพุทธศาสนา |
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้
ประวัติ
[แก้]เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ต้นสกุลกัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก ได้อุทิศบ้านและที่ดินบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีภิกษุจีนพำนักอยู่ และเรียกกันต่อมาว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2368 และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ด้วยมีพระประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมืองอย่างเช่นวัดพนัญเชิงวรวิหาร
หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอกคืบ สูง 7 วา 2 ศอกคืบ 10 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เสด็จก่อพระฤกษ์เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2380 อยู่ภายในพระวิหารขนาดใหญ่อยู่กลางวัด ตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและพระอุโบสถ
พระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ป่าเลไลย์) ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทาน เป็น 1 ใน 2 วัดของกรุงเทพมหานครที่มีพระประธานของพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ อีกแห่งคืออุโบสถวัดบางขุนเทียนใน ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงพุทธประวัติ และแสดงชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 3 และยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4
หน้าวิหารหลวงเป็นหอระฆังที่เพิ่งสร้างใหม่ เก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย [ต้องการอ้างอิง]
งานศิลปกรรม
[แก้]พระวิหารหลวง
[แก้]เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2380 โดย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เป็นการสร้างทำตามแบบครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่อยู่นอกพระนครสำหรับให้ราษฏรได้สักการะบูชา พระวิหารหลวงจัดเป็นอาคารแบบไทยประเพณี โดยแบบไทยประเพณีคือส่วนหลังคาที่เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง มีเครื่องลำยองประกอบด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง หน้าบันเป็นไม้เเกะสลักประดับกระจกรูปพรรณพฤกษา ส่วนที่พัฒนาแบบพระราชนิยมคือการใช้เสารับน้ำหนักหลังคาทรงเหลี่ยมทึบลบมุมขนาดใหญ่ ไม่ประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย มีเฉลียงรอบอาคาร[1] นับเป็นอาคารเครื่องไม้มุงกระเบื้องที่ใหญ่เเละสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีการสร้างมุขลดทั้งด้านหน้าเเละหลังเพื่อให้อาคารมีสัดส่วนที่สวยงาม ซุ้มประตูเเละหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทยประเพณี เป็นการผสมกันระหว่างซุ้มแบบบรรพเเถลงเเละซุ้มปราสาทยอด บางครั้งเรียกว่า "ซุ้มยอดมงกุฏ" เป็นอีกหนึ่งรูปแบบศิลปกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3[2]
พระพุทธไตรรัตนนายก
[แก้]พระพุทธรูปในพระวิหารหลวงเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอกคืบ (11.75 เมตร) สูง 7 วา 2 ศอกคืบ 10 นิ้ว (15.45 เมตร) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จก่อพระฤกษ์ด้วยพระองค์เองเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2380 เมื่อเเรกสร้างคนทั่วไปเรีนกว่า พระโต หรือ หลวงพ่อโต ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถวายพระนาม "พระพุทธไตรรัตนนายก" เเต่ชาวจีนเรียก ซำปอกง หรือ ซำปอฮุดกง เป็นที่เคารพบูชาของคนจีนอย่างมาก ลักษณะของพระพุทธไตรรัตนนายกเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ พระวรกายเพรียวบาง พระพักตร์ค่อนขข้างกลมกึ่งรูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง เส้นขอบเปลือกพระเนตรพระขนงป้ายเป็นแผ่น พระเนตรเปิดเเละมองตรง พระนาสิกค่อนข้างเล็กเเละโด่ง พระโอษฐ์เล็ก แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เส้นพระโอษฐ์โค้งเล็กน้อยเกือบเป็นเส้นตรง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่อยู่กึ่งกลางพระวรกาย ลักษณะการแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยเช่นนี้ทำให้สีพระพักตร์คล้ายกับหุ่นละคร หรือเรียกว่า "พระพักตร์อย่างหุ่น"[3]
พระอุโบสถ
[แก้]สร้างขึ้นราว พ.ศ.2478 โดยตั้งอยู่บริเวณที่เป็นบ้านเดิมของเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เป็นอาคารแบบพระราชนิยมไทยผสมจีน โครงสร้างอาคารใช้เสาสี่เหลี่ยมทึบไม่ย่อมุมรับน้ำหนักหลังคา มีเฉลียงรอบอาคาร การใช้เสาที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมทึบที่มีขนาดใหญ่ทำให้สามารถรับน้ำหนักส่วนหลังคาได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ไม่มีคันทวยเเละบัวหัวเสา หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูนไม่มีเครื่องลำยอง[4] ซุ้มประตูหน้าต่างทำลวดลายเป็นลายอย่างเทศใบรูปแบบเดียวกัน พื้นกรอบประตูหน้าต่างประดับด้วยกระจกเกรียบสีน้ำเงินปั้นลวดลายอย่างเทศลงรักปิดทอง เป็นลายก้าน ใบ ออกช่อดอกอย่างศิลปกรรมตะวันตก หน้าบันกรอบซุ้มประตูเป็นกรอบวงกลมที่ตรงกลางประดับรูปดอกไม้พื้นประดับกระจกเกรียบสีแดง ซึ่งมีลักษณะลวดลายเหมือนกับกรอบรูปในศิลปะตะวันตก[5]
หน้าบัน
[แก้]หน้าบันพระอุโบสถเป็นหน้าบันแบบพระราชนิยมคือ เป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูนไม่มีเครื่องลำยอง ลักษณะหน้าบันของพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตรมีลักษณะคือ เหมือนจะทำเป็นหน้าบันแบบ 2 ชั้น เเต่ภายในหน้าบันกลับประดับลวดลายต่อเนื่องไม่มีขอบแบ่งชั้นหน้าบันออกจากกัน วัดอื่นที่ทำหน้าบันแบบพระราชนิยมลักษณะเช่นนี้เช่น วัดโปรดเกศเชษฐาราม วัดไพชยนต์พลเสพ สันนิษฐานว่าเป็นลักษณะหน้าบันของวัดแบบพระราชนิยมที่เจ้านายหรือขุนนางเป็นผู้สร้างเเละอุทิศถวายรัชกาลที่ 3 รายละเอียดของหน้าบันมีการเเบ่งเป็นแถบของกรอบหน้าบันส่วนกรอบปิดพื้นด้วยกระเบื้องสีแดง ประดับด้วยกระเบื้องเป็นลายดอกไม้ ใบไม้ ส่วนของด้านในปิดพื้นด้วยกระเบื้องสีเหลืองอ่อน ผูกลวดลายเป็นลายก้านแยก ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องถ้วย ส่วนกลางของหน้าบันแทรกรูปนก 2 ตัวที่หันหน้าเข้าหากันแต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สมมาตรกัน[6]
พระประธานในพระอุโบสถ
[แก้]พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ เป็น 1 ใน 2 วัดของกรุงเทพมหานครที่มีพระประธานของพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ อีกแห่งคือพระประธานในอุโบสถวัดบางขุนเทียนใน พระประธานในพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตรสร้างขึ้นโดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หล่อด้วยสำริด มีความสูงตั้งเเต่พระบาทถึงพระเกตุ 5.65 เมตร มีลักษณะห้อยพระบาทวางพระหัตถ์ไว้บนพระชานุ พระหัตถ์ขวาหงายขึ้นเพื่อรับของถวาย มีประติมากรรมช้างหมอบถวายน้ำเเละลิงถวายรวงผึ้งอยู่ด้านหน้า ลักษณะพระพุทธรูปเป็นแบบที่นิยมสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ มีลักษณะพระพัตร์แบบอย่างหุ่น พระโอษฐ์เล็ก สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่อยู่กึ่งกลางพระวรกาย[7]
ศาลาการเปรียญ
[แก้]ศาลาการเปรียญ บางตำราเรียกพระวิหารน้อย มีลักษณะอาคารเเละขนาดแบบเดียวกับพระอุโบสถทุกประการคือ เป็นอาคารเเบบพระราชนิยมไทยผสมจีน โครงสร้างอาคารใช้เสาสี่เหลี่ยมทึบไม่ย่อมุมรับน้ำหนักหลังคา มีเฉลียงรอบอาคาร การใช้เสาที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมทึบที่มีขนาดใหญ่ทำให้สามารถรับน้ำหนักส่วนหลังคาได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ไม่มีคันทวยเเละบัวหัวเสา หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูนไม่มีเครื่องลำยอง จุดเเต่งต่างของศาลาการเปรียญที่แตกต่างจากพระอุโบสถ คือสีบนกรอบหน้าบันที่จะเป็นสีเหลืองอ่อนเหมือนกันทั้งหน้าบันแต่สีบนกรอบหน้าบันของพระอุโบสถจะมีลักษณะสีแดง ซุ้มประตูเเละซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้มที่ตกเเต่งประดับลวดลายอย่างเทศเช่นเดียวกับพระอุโบสถ[8]
หน้าบัน
[แก้]หน้าบันของศาลาการเปรียญมีลักษณะคล้ายกับหน้าบันพระอุโบสถเกือบทุกประการคือ เหมือนจะทำเป็นหน้าบันแบบ 2 ชั้น เเต่ภายในหน้าบันกลับประดับลวดลายต่อเนื่องไม่มีขอบแบ่งชั้นหน้าบันออกจากกัน จุดแตกต่างของหน้าบันพระอุโบสถเเละศาลาการเปรียญอยู่ตรงที่รายละเอียดของหน้าบันตรงกรอบของหน้าบันศาลาการเปรียญที่จะลงพื้นกระเบื้องสีเหลืองอ่อนเหมือนกันทั้งหน้าบัน แต่สีบนกรอบหน้าบันของพระอุโบสถจะมีลักษณะสีแดง ลวดลายบนกรอบหน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเป็นลายดอกไม้ ใบไม้ ส่วนของด้านใน ผูกลวดลายเป็นลายก้านแยก ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องถ้วย ส่วนกลางของหน้าบันแทรกรูปนก 2 ตัวยืนซ้อนกันและหันหน้าเข้าหากันแต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สมมาตรกันคล้ายกับหน้าบันพระอุโบสถ
พระประธานในศาลาการเปรียญ
[แก้]เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อจากสำริดขนาดใหญ่ ลักษณะทางพุทธศิลป์จัดเป็นศิลปะสุโขทัยที่ได้รับการแปลงพระพักตร์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 กล่าวคือ ส่วนองค์พระพุทธรูปเป็นแบบสุโขทัยที่มีพระวรกายบอบบาง พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก สังฆาฏิแผ่นเล็กปลายแยดเป็นสองชายคล้ายเขี้ยวตะขาบ และพระหัตถ์ยาวไม่เสมอกันแบบสุโขทัยหมวดใหญ่[9] พระพักตร์เป็นแบบที่นิยมสร้างใหม่ในรัชกาลที่ 3 คือ พระพักตร์ค่อนข้างกลมกึ่งไข่ ขมวดพระเกษาเล็ก มีพระรัสมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระเนตรเปิดเเละมองตรง พระนาสิกค่อนข้างเล็กเเละโด่ง พระโอษฐ์เล็กแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เส้นพระโอษฐ์โค้งเล็กน้อยเกือบเป็นเส้นตรง เรียกว่า "พระพักตร์อย่างหุ่น"
ลำดับเจ้าอาวาส
[แก้]ลำดับ | เจ้าอาวาส[10] | วาระ (พ.ศ.) |
---|---|---|
1 | พระพิมลธรรม (พร) | 2379 – 2385 |
2 | พระญาณรังษี (สิน) | 2385 – 2394 |
3 | พระธรรมเจดีย์ (เนียม) | 2394 – 2426 |
4 | พระปริยัติบัณฑิต (ครุฑ) | 2426 – 2436 |
5 | พระวิเชียรคุณาธาร (โสตถิ์) | 2436 – 2437 |
6 | พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (เปีย จนฺทสิริ) | 2438 – 2464 |
7 | พระวินัยกิจโกศล (ตรี จนฺทสโร) | 2464 – 2489 |
8 | พระราชปริยัติ (สุวรรณ โฆสโก) | 2492 – 2528 |
9 | พระราชสังวรวิมล (พร ยโสธโร) | 2529 – 2542 |
10 | พระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ) | 2545 – ปัจจุบัน |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 612
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 613
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 614-615
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 615-616
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 619
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 616-618
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 620-621
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 623
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 624
- ↑ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
- วัดกัลยาณมิตร นำชมกรุงรัตนโกสินทร์, สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ. 2525, หน้า 251-259.
ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์