ความแตกแยกระหว่างตีโต-สตาลิน
ความแตกแยกระหว่างตีโต-สตาลิน (อังกฤษ: Tito–Stalin Split, รัสเซีย: Тито-Сталин Сплит, เซอร์เบีย-โครเอเชีย:Raskol Tita i Staljina) หรือ ความแตกแยกระหว่าง ยูโกสลาเวีย-โซเวียต เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้นำของ ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต ซึ่งนำไปสู่การขับไล่ของยูโกสลาเวียออกจากองค์การโคมินฟอร์ม (Cominform) ในปี พ.ศ. 2491 นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการโดดเดียวตัวเองของยูโกสลาเวียด้วย ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสหภาพโซเวียตสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2498
โดยโซเวียตได้มองเห็นความแตกแยกของยูโกสลาเวียว่าเป็นการทรยศต่อการช่วยเหลือของโซเวียตต่อยูโกสลาเวีย ทางด้านยูโกสลาเวียและประเทศตะวันตกได้มองเห็นความแตกแยกว่าเป็นการตอกย้ำในความภาคภูมิใจในชาติของตีโตจึงทำให้ไม่ยอมเข้าเป็นบริวารของโซเวียต นักวิชาการในปัจจุบันได้เน้นว่าทำไมสตาลินปฏิเสธแผนแยกตัวของตีโต เนื่องจากการแยกตัวของยูโกสลาเวีย จะทำให้การเข้าแทรกแซงของโซเวียตในแอลเบเนียและกรีซทำได้ยากขึ้น และอาจนำไปสู่การโดดเดียวและการแยกตัวของแอลเบเนีย (ซึ่งได้ถอนตัวออกในปีพ.ศ. 2511) และอาจนำไปสู่การเสื่อมอำนาจในการควบคุมประเทศกลุ่มตะวันออก[1]
จุดเริ่มต้น
[แก้]กลุ่มตะวันออก |
---|
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยูโกสลาเวียถูกครอบครองโดยฝ่ายอักษะ ได้เกิดกลุ่มต่อต้านหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มกองโจรคอมมิวนิสต์ของยอซีป บรอซ ตีโตซึ่งเป็นกองกำลังต่อต้านใหญ่สุดในยูโกสลาเวีย โดยมีการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตในตอนท้าย สหภาพโซเวียตได้แทรกแซงให้ ตีโต เข้าควบคุมประเทศโดยปี พ.ศ. 2488 จึงทำให้ยูโกสลาเวียเป็นพันธมิตรอันดีต่อโซเวียต บทบาทของตีโต้ ไม่เพียงผู้ปลดปล่อยยูโกสลาเวีย แต่ผู้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของคนในชาติ
แม้ว่าตีโต้อย่างเป็นทางการเป็นพันธมิตรของสตาลิน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองโซเวียตได้นำสายลับแฝงตัวในพรรคยูโกสลาเวียเป็นช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 ส่งผลให้ในการเป็นพันธมิตรเริ่มไม่มั่นคง[2]
หลังจากที่สงครามยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในการผนวกเขตของอิสเตรีย, เช่นเดียวกับเมืองซาดาร์ก้าที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 การผนวกครั้งนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับประชากรสลาฟในภูมิภาค ผู้นำยูโกสลาเวียพยายามผนวกเอสเตเข้ามาในประเทศซึ่งเป็นแคว้นอิสระจัดตั้งโดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตกจึงได้รับการต่อต้านทั้งฝ่ายพันธมิตรตะวันตกและสตาลิน ความขัดแย้งนำไปสู่เหตุการณ์เครื่องบินรบยูโกสลาเวียได้ยิงเครื่องบินขนส่งอเมริกันตก ก่อให้เกิดความขัดแย้งและสตาลิน จาก พ.ศ. 2488-พ.ศ. 2491, มีเครื่องบินสหรัฐอย่างน้อย 4ลำถูกยิงตก[3] สตาลินรู้สึกว่าสหภาพโซเวียตก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพันธมิตรตะวันตกในสงครามเร็ว ๆ นี้หลังจากความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่สอง
นอกจากนี้ตีโต้ ได้สนับสนุนคอมมิวนิสต์กรีซในสงครามกลางเมืองกรีซ ขณะที่สตาลินรักษาระยะห่างจากการสนับสนุนตามความตกลงอัตราส่วนร้อย(Percentages agreement) ที่ทำกับวินสตัน เชอร์ชิลที่จะไม่เข้าแทรกแซงทางการเมืองในกรีซ ตีโต้วางแผนที่จะสร้างรัฐคอมมิวนิสต์อิสระร่วมกับแอลเบเนีย กรีซและบัลแกเรียในออกจากการควบคุมของโซเวียต ซึ่งสตาลินไม่สามารถทนต่อภัยคุกคามนี้ได้[4]
อย่างไรก็ตามโลกยังคงเห็นทั้งสองประเทศยังเป็นพันธมิตร นี้เห็นได้ชัดในการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่หนึ่งในปี พ.ศ. 2490 ที่โซเวียตเห็นด้วยกับการที่ตั้งสำนักงานใหญ่โคมินฟอร์มในเบลเกรด แต่ทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้ข้อพิพาทระหว่างสองประเทศดีขึ้น
การเดินทางไปยังกรุงมอสโก
[แก้]ความตึงเครียดที่นำไปสู่การแยกที่ดีที่สุดมีหลายสาเหตุหลายแห่งซึ่งในท้ายที่สุดจะเชื่อมโยงกับการมุ่งเน้นในระดับภูมิภาคของตีโต้และเขาปฏิเสธที่จะยอมรับมอสโกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ ตีโต้ได้นำกองกำลังเข้าแอลเบเนียเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งในกรีซจากการแพร่กระจายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน (รวมยูโกสลาเวีย) ดำเนินการโดยไม่ปรึกษาโซเวียตยิ่งทำให้สตาลินโกรธมากขึ้น
สตาลินก็ยังโกรธแค้นตีโต้ยิ่งขึ้นในเรื่องยูโกสลาเวียที่จะผสานร่วมกับบัลแกเรีย ความคิดที่เขาตกลงกันในทางทฤษฎี แต่ที่ยังเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องให้คำปรึกษาโซเวียตก่อน[5] สตาลินเรียกสองของเจ้าหน้าที่ของตีโต้ Milovan ĐilasและEdvard Kardelj, ไปมอสโกเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อันเป็นผลมาจากการเจรจา Đilasและ Kardelj เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างยูโกสลาเวียกับสหภาพโซเวียตได้มาถึงจุดจบแล้ว
การแลกเปลี่ยนจดหมาย
[แก้]ระหว่างการเดินทางไปยังกรุงมอสโกและการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต (CPSU) และพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย (CPY) ได้แลกเปลี่ยนจดหมายรายละเอียดความคับข้องใจของพวกเขา จดหมายฉบับที่แรกของพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2491 ได้กล่าวหาว่า ยูโกสลาเวียใส่ร้ายป้ายสี สังคมนิยมโซเวียต ว่า"การปฏิวัติสังคมนิยมในสหภาพโซเวียตได้หยุดลงแล้ว"[6]นอกจากนี้ยังอ้างว่าพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าที่จะนำประเทศไปสู่สังคมนิยม
วันที่ 13 เมษายน พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของข้อกล่าวหาของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย กล่าวว่า "ไม่ว่าเราแต่ละคนรักแผ่นดินสังคมนิยมหรือโซเวียต ในกรณีใดก็ตามอย่างน้อยเขาต้องรักประเทศของตัวเอง."[7]คำตอบจากโซเวียตในวันที่ 4 พฤษภาคม ได้ตำหนิ พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย สำหรับความล้มเหลวที่จะยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดของตน และความภาคภูมิใจมากเกินไปของชัยชนะเหนือเยอรมัน ยืนยันว่ากองทัพแดงได้ช่วยพวกเขา"ให้พ้นจากการถูกทำลาย"
การตอบสนองของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ในวันที่ 17 พฤษภาคม ตอบสนองอย่างรวดเร็วมีความพยายามที่จะไม่ให้ความสำคํญแก่โซเวียตในช่วงการปลดปล่อยยูโกสลาเวียและบอกว่าเรื่องนี้ถูกตัดสินในที่ประชุมของการโคมินฟอร์มที่จะจัดขึ้นที่มิถุนายน
การประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง
[แก้]ตีโต้ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง ยูโกสลาเวียกลัวว่าก็จะถูกโจมตีอย่างเปิดเผย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ประเทศสมาชิกอื่น ๆได้โหวตไล่ ยูโกสลาเวียจากโคมินฟอร์มโดยอ้าง "เป็นพวกชาตินิยม" ของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ในที่ประชุมได้เตือนยูโกสลาเวียว่าความคิดชาตินิยมจะนำกลับไปสู่เส้นทางระบอบทุนนิยม
หลังจากทีโคมินฟอร์มไล่ยูโกสลาเวียออกสหภาพโซเวียตเรียกร้องให้ประเทศบริวารตัดความสัมพันธ์กับยูโกสลาเวียทำให้ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตอย่างสาธารณรัฐประชาชนแอลเบเนีย,สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์และอีกกลายประเทศที่นิยมโซเวียตได้ตัดความสัมพันธ์กับยูโกสลาเวีย และพยายามกวาดล้างฝ่ายที่นิยมยูโกสลาเวียออกจากพรรคในกลุ่มตะวันออก
เหตุการณ์หลังจากนั้น
[แก้]หลังจากขับไล่ยูโกสลาเวียจากสมาคมระหว่างประเทศของรัฐสังคมนิยมหรือ โคมินฟอร์ม ตีโต้ก็ตอบโต้ด้วยการไล่และปราบปรามผู้ที่ได้รับการสนับสนุนที่เรียกว่า "โคมินฟอร์มมิสท์"[8] หลายคนถูกส่งไปยังค่ายกูลักที่ Goli Otok[9] และในระหว่างปี พ.ศ. 2491-พ.ศ. 2495 สหภาพโซเวียตได้รับการสนับสนุนพันธมิตรในการทำสงครามกับยูโกสลาเวีย
ต่อมาได้เกิดยูโกสลาเวียได้มีความคิดทางคอมมิวนิสต์ใหม่ที่เรียกว่า "ลักธิตีโต้" ตามแนวทาง"เป็นสังคมนิยม แต่มีความเป็นอิสระ"และ"ชาตินิยมสังคมนิยม" โซเวียตประณามว่าป็นความเชื่อที่ผิดทั่วผู้นำคอมมิวนิสต์ยุโรปตะวันออกที่ต้องสงสัยว่าแนวโน้มตีโต้เหมือนถูกไล่ออกจากองค์ประกอบที่สนับสนุนจากมอสโก[10]
คลายความแตกแยก
[แก้]หลังจากการตายของสตาลินและการผ่อนคลายของนีกีตา ครุชชอฟ ตีโต้และยูโกสลาเวียสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐสังคมนิยมอีกครั้ง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศไม่เคยถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ยูโกสลาเวียจะยังคงใช้หลักสูตรอิสระในการเมืองโลกหลบหลีกอิทธิพลของทั้งสองทิศตะวันตกและทิศตะวันออก กองทัพของยูโกสลาเวียยังต้องรักษาแผนป้องกันอย่างเป็นทางการต่อต้านการรุกรานของนาโต้และต่อต้านการรุกรานสนธิสัญญาวอร์ซอ
นโยบายเหินห่างจากสหภาพโซเวียตของตีโต้จึงทำให้ยูโกสลาเวียได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาผ่านแผนมาร์แชลล์เช่นเดียวกับกลุ่มขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งยูโกสลาเวียได้ก่อตั้งขึ้น[11]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Jeronim Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence." Journal of Cold War Studies (Spring 2007) 9#2 pp: 32-63
- ↑ Richard West, Tito (1994)
- ↑ Air victories of Yugoslav Air Force
- ↑ Jeronim Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence." Journal of Cold War Studies (Spring 2007) 9#2 pp: 32-63
- ↑ Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence."
- ↑ Stephen Clissold, ed. Yugoslavia and the Soviet Union, 1939-1973: A Documentary Survey (1975) p 172
- ↑ Dennison Rusinow (1978). The Yugoslav Experiment 1948-1974. U. of California Press. p. 28.
- ↑ Paul Garde, Vie et mort de la Yougoslavie, Fayard, Paris, 2000, p. 91
- ↑ Paul Garde, Vie et mort de la Yougoslavie, Fayard, Paris, 2000, p. 91
- ↑ Alec Nove (2005). Stalinism and After: The Road to Gorbachev. Routledge. p. 97.
- ↑ John R. Lampe , Russell O. Prickett, Ljubisa S. Adamovic (1990). Yugoslav-American economic relations since World War II. Duke University Press Books. p. 47. ISBN 0-8223-1061-9.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)