ข้ามไปเนื้อหา

ความแตกแยกระหว่างตีโต-สตาลิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ความแตกแยกระหว่างตีโต-สตาลิน (อังกฤษ: Tito–Stalin Split, รัสเซีย: Тито-Сталин Сплит, เซอร์เบีย-โครเอเชีย:Raskol Tita i Staljina) หรือ ความแตกแยกระหว่าง ยูโกสลาเวีย-โซเวียต เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้นำของ ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต ซึ่งนำไปสู่การขับไล่ของยูโกสลาเวียออกจากองค์การโคมินฟอร์ม (Cominform) ในปี พ.ศ. 2491 นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการโดดเดียวตัวเองของยูโกสลาเวียด้วย ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสหภาพโซเวียตสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2498

โดยโซเวียตได้มองเห็นความแตกแยกของยูโกสลาเวียว่าเป็นการทรยศต่อการช่วยเหลือของโซเวียตต่อยูโกสลาเวีย ทางด้านยูโกสลาเวียและประเทศตะวันตกได้มองเห็นความแตกแยกว่าเป็นการตอกย้ำในความภาคภูมิใจในชาติของตีโตจึงทำให้ไม่ยอมเข้าเป็นบริวารของโซเวียต นักวิชาการในปัจจุบันได้เน้นว่าทำไมสตาลินปฏิเสธแผนแยกตัวของตีโต เนื่องจากการแยกตัวของยูโกสลาเวีย จะทำให้การเข้าแทรกแซงของโซเวียตในแอลเบเนียและกรีซทำได้ยากขึ้น และอาจนำไปสู่การโดดเดียวและการแยกตัวของแอลเบเนีย (ซึ่งได้ถอนตัวออกในปีพ.ศ. 2511) และอาจนำไปสู่การเสื่อมอำนาจในการควบคุมประเทศกลุ่มตะวันออก[1]

จุดเริ่มต้น

[แก้]
ตีโตกับกลุ่มกองโจร,พฤษภาคม พ.ศ. 2487

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยูโกสลาเวียถูกครอบครองโดยฝ่ายอักษะ ได้เกิดกลุ่มต่อต้านหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มกองโจรคอมมิวนิสต์ของยอซีป บรอซ ตีโตซึ่งเป็นกองกำลังต่อต้านใหญ่สุดในยูโกสลาเวีย โดยมีการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตในตอนท้าย สหภาพโซเวียตได้แทรกแซงให้ ตีโต เข้าควบคุมประเทศโดยปี พ.ศ. 2488 จึงทำให้ยูโกสลาเวียเป็นพันธมิตรอันดีต่อโซเวียต บทบาทของตีโต้ ไม่เพียงผู้ปลดปล่อยยูโกสลาเวีย แต่ผู้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของคนในชาติ

แม้ว่าตีโต้อย่างเป็นทางการเป็นพันธมิตรของสตาลิน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองโซเวียตได้นำสายลับแฝงตัวในพรรคยูโกสลาเวียเป็นช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 ส่งผลให้ในการเป็นพันธมิตรเริ่มไม่มั่นคง[2]

หลังจากที่สงครามยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในการผนวกเขตของอิสเตรีย, เช่นเดียวกับเมืองซาดาร์ก้าที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 การผนวกครั้งนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับประชากรสลาฟในภูมิภาค ผู้นำยูโกสลาเวียพยายามผนวกเอสเตเข้ามาในประเทศซึ่งเป็นแคว้นอิสระจัดตั้งโดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตกจึงได้รับการต่อต้านทั้งฝ่ายพันธมิตรตะวันตกและสตาลิน ความขัดแย้งนำไปสู่เหตุการณ์เครื่องบินรบยูโกสลาเวียได้ยิงเครื่องบินขนส่งอเมริกันตก ก่อให้เกิดความขัดแย้งและสตาลิน จาก พ.ศ. 2488-พ.ศ. 2491, มีเครื่องบินสหรัฐอย่างน้อย 4ลำถูกยิงตก[3] สตาลินรู้สึกว่าสหภาพโซเวียตก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพันธมิตรตะวันตกในสงครามเร็ว ๆ นี้หลังจากความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่สอง

นอกจากนี้ตีโต้ ได้สนับสนุนคอมมิวนิสต์กรีซในสงครามกลางเมืองกรีซ ขณะที่สตาลินรักษาระยะห่างจากการสนับสนุนตามความตกลงอัตราส่วนร้อย(Percentages agreement) ที่ทำกับวินสตัน เชอร์ชิลที่จะไม่เข้าแทรกแซงทางการเมืองในกรีซ ตีโต้วางแผนที่จะสร้างรัฐคอมมิวนิสต์อิสระร่วมกับแอลเบเนีย กรีซและบัลแกเรียในออกจากการควบคุมของโซเวียต ซึ่งสตาลินไม่สามารถทนต่อภัยคุกคามนี้ได้[4]

อย่างไรก็ตามโลกยังคงเห็นทั้งสองประเทศยังเป็นพันธมิตร นี้เห็นได้ชัดในการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่หนึ่งในปี พ.ศ. 2490 ที่โซเวียตเห็นด้วยกับการที่ตั้งสำนักงานใหญ่โคมินฟอร์มในเบลเกรด แต่ทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้ข้อพิพาทระหว่างสองประเทศดีขึ้น

การเดินทางไปยังกรุงมอสโก

[แก้]

ความตึงเครียดที่นำไปสู่การแยกที่ดีที่สุดมีหลายสาเหตุหลายแห่งซึ่งในท้ายที่สุดจะเชื่อมโยงกับการมุ่งเน้นในระดับภูมิภาคของตีโต้และเขาปฏิเสธที่จะยอมรับมอสโกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ ตีโต้ได้นำกองกำลังเข้าแอลเบเนียเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งในกรีซจากการแพร่กระจายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน (รวมยูโกสลาเวีย) ดำเนินการโดยไม่ปรึกษาโซเวียตยิ่งทำให้สตาลินโกรธมากขึ้น

สตาลินก็ยังโกรธแค้นตีโต้ยิ่งขึ้นในเรื่องยูโกสลาเวียที่จะผสานร่วมกับบัลแกเรีย ความคิดที่เขาตกลงกันในทางทฤษฎี แต่ที่ยังเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องให้คำปรึกษาโซเวียตก่อน[5] สตาลินเรียกสองของเจ้าหน้าที่ของตีโต้ Milovan ĐilasและEdvard Kardelj, ไปมอสโกเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อันเป็นผลมาจากการเจรจา Đilasและ Kardelj เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างยูโกสลาเวียกับสหภาพโซเวียตได้มาถึงจุดจบแล้ว

การแลกเปลี่ยนจดหมาย

[แก้]

ระหว่างการเดินทางไปยังกรุงมอสโกและการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต (CPSU) และพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย (CPY) ได้แลกเปลี่ยนจดหมายรายละเอียดความคับข้องใจของพวกเขา จดหมายฉบับที่แรกของพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2491 ได้กล่าวหาว่า ยูโกสลาเวียใส่ร้ายป้ายสี สังคมนิยมโซเวียต ว่า"การปฏิวัติสังคมนิยมในสหภาพโซเวียตได้หยุดลงแล้ว"[6]นอกจากนี้ยังอ้างว่าพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าที่จะนำประเทศไปสู่สังคมนิยม

วันที่ 13 เมษายน พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของข้อกล่าวหาของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย กล่าวว่า "ไม่ว่าเราแต่ละคนรักแผ่นดินสังคมนิยมหรือโซเวียต ในกรณีใดก็ตามอย่างน้อยเขาต้องรักประเทศของตัวเอง."[7]คำตอบจากโซเวียตในวันที่ 4 พฤษภาคม ได้ตำหนิ พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย สำหรับความล้มเหลวที่จะยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดของตน และความภาคภูมิใจมากเกินไปของชัยชนะเหนือเยอรมัน ยืนยันว่ากองทัพแดงได้ช่วยพวกเขา"ให้พ้นจากการถูกทำลาย"

การตอบสนองของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ในวันที่ 17 พฤษภาคม ตอบสนองอย่างรวดเร็วมีความพยายามที่จะไม่ให้ความสำคํญแก่โซเวียตในช่วงการปลดปล่อยยูโกสลาเวียและบอกว่าเรื่องนี้ถูกตัดสินในที่ประชุมของการโคมินฟอร์มที่จะจัดขึ้นที่มิถุนายน

การประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง

[แก้]

ตีโต้ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมองค์การโคมินฟอร์มครั้งที่สอง ยูโกสลาเวียกลัวว่าก็จะถูกโจมตีอย่างเปิดเผย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ประเทศสมาชิกอื่น ๆได้โหวตไล่ ยูโกสลาเวียจากโคมินฟอร์มโดยอ้าง "เป็นพวกชาตินิยม" ของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย ในที่ประชุมได้เตือนยูโกสลาเวียว่าความคิดชาตินิยมจะนำกลับไปสู่เส้นทางระบอบทุนนิยม

หลังจากทีโคมินฟอร์มไล่ยูโกสลาเวียออกสหภาพโซเวียตเรียกร้องให้ประเทศบริวารตัดความสัมพันธ์กับยูโกสลาเวียทำให้ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตอย่างสาธารณรัฐประชาชนแอลเบเนีย,สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์และอีกกลายประเทศที่นิยมโซเวียตได้ตัดความสัมพันธ์กับยูโกสลาเวีย และพยายามกวาดล้างฝ่ายที่นิยมยูโกสลาเวียออกจากพรรคในกลุ่มตะวันออก

เหตุการณ์หลังจากนั้น

[แก้]
แผนที่แสดงให้ถึงการแยกตัวของยูโกสลาเวียจากกลุ่มตะวันออก

หลังจากขับไล่ยูโกสลาเวียจากสมาคมระหว่างประเทศของรัฐสังคมนิยมหรือ โคมินฟอร์ม ตีโต้ก็ตอบโต้ด้วยการไล่และปราบปรามผู้ที่ได้รับการสนับสนุนที่เรียกว่า "โคมินฟอร์มมิสท์"[8] หลายคนถูกส่งไปยังค่ายกูลักที่ Goli Otok[9] และในระหว่างปี พ.ศ. 2491-พ.ศ. 2495 สหภาพโซเวียตได้รับการสนับสนุนพันธมิตรในการทำสงครามกับยูโกสลาเวีย

ต่อมาได้เกิดยูโกสลาเวียได้มีความคิดทางคอมมิวนิสต์ใหม่ที่เรียกว่า "ลักธิตีโต้" ตามแนวทาง"เป็นสังคมนิยม แต่มีความเป็นอิสระ"และ"ชาตินิยมสังคมนิยม" โซเวียตประณามว่าป็นความเชื่อที่ผิดทั่วผู้นำคอมมิวนิสต์ยุโรปตะวันออกที่ต้องสงสัยว่าแนวโน้มตีโต้เหมือนถูกไล่ออกจากองค์ประกอบที่สนับสนุนจากมอสโก[10]

คลายความแตกแยก

[แก้]

หลังจากการตายของสตาลินและการผ่อนคลายของนีกีตา ครุชชอฟ ตีโต้และยูโกสลาเวียสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐสังคมนิยมอีกครั้ง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศไม่เคยถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ยูโกสลาเวียจะยังคงใช้หลักสูตรอิสระในการเมืองโลกหลบหลีกอิทธิพลของทั้งสองทิศตะวันตกและทิศตะวันออก กองทัพของยูโกสลาเวียยังต้องรักษาแผนป้องกันอย่างเป็นทางการต่อต้านการรุกรานของนาโต้และต่อต้านการรุกรานสนธิสัญญาวอร์ซอ

นโยบายเหินห่างจากสหภาพโซเวียตของตีโต้จึงทำให้ยูโกสลาเวียได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาผ่านแผนมาร์แชลล์เช่นเดียวกับกลุ่มขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งยูโกสลาเวียได้ก่อตั้งขึ้น[11]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Jeronim Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence." Journal of Cold War Studies (Spring 2007) 9#2 pp: 32-63
  2. Richard West, Tito (1994)
  3. Air victories of Yugoslav Air Force
  4. Jeronim Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence." Journal of Cold War Studies (Spring 2007) 9#2 pp: 32-63
  5. Perovic, "The Tito–Stalin Split: A Reassessment in Light of New Evidence."
  6. Stephen Clissold, ed. Yugoslavia and the Soviet Union, 1939-1973: A Documentary Survey (1975) p 172
  7. Dennison Rusinow (1978). The Yugoslav Experiment 1948-1974. U. of California Press. p. 28.
  8. Paul Garde, Vie et mort de la Yougoslavie, Fayard, Paris, 2000, p. 91
  9. Paul Garde, Vie et mort de la Yougoslavie, Fayard, Paris, 2000, p. 91
  10. Alec Nove (2005). Stalinism and After: The Road to Gorbachev. Routledge. p. 97.
  11. John R. Lampe , Russell O. Prickett, Ljubisa S. Adamovic (1990). Yugoslav-American economic relations since World War II. Duke University Press Books. p. 47. ISBN 0-8223-1061-9.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)