เหตุการณ์ยึดมัสยิดอัลฮะรอม
เหตุการณ์ยึดมัสยิดอัลฮะรอม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ทหารซาอุดีกำลังโจมตีที่ชั้นใต้ดินของมัสยิดอัลฮะรอม ค.ศ. 1979 | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
อัลอิควาน[2] | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
|
| ||||||
กำลัง | |||||||
| ทหาร 300–600 นาย[3] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
|
|
เหตุการณ์ยึดมัสยิดอัลฮะรอม เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ. 1979 เมื่อกลุ่มหัวรุนแรงต้องการที่จะโค่นราชวงศ์ซะอูด ยึดครองมัสยิดอัลฮะรอม ที่มักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มุฮัมมัด อับดุลลอฮ์ อัลเกาะฮ์ตานีได้อ้างว่าตนเป็นมะฮ์ดี (ผู้ฟื้นฟูอิสลาม) แล้วเรียกให้มุสลิมทุกคนเชื่อฟังเขา โดยประมาณสองสัปดาห์ กองกำลังพิเศษของซาอุดีอาระเบียได้รับการสนับสนุนจากกองทัพปากีสถานและฝรั่งเศส[6] แล้วสู้เพื่อยึดมัสยิดกลับคืนมา[7]
เรื่องนี้ทำให้โลกอิสลามตกใจ เพราะมีการยึดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม, นำตัวประกันจากผู้แสวงบุญ และการตายของผู้ก่อการร้าย, กองกำลังรักษาความปลอดภัย และตัวประกันมากกว่าร้อยชีวิต การยึดได้สิ้นสุดลงภายในสองสัปดาห์และมัสยิดได้ถูกทำความสะอาดให้เรียบร้อย[8] อัลเกาะฮ์ตานีถูกฆ่าในระหว่างการจับกุม แต่ญุฮัยมานและผู้ติดตามอีก 67 คนถูกจับแล้วถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ[9]
หลังจากการโจมตี สมเด็จพระราชาธิบดีคอลิด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ทรงตรัสว่าให้เคารพกฎชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) มากกว่าเดิม[10] พระองค์ทรงแนะนำให้อุลามะและนักอนุรักษ์ศาสนาให้มีกำลังใจ และทหารเข้มงวดมากขึ้น[11]
เบื้องหลัง
[แก้]การยึดครองเริ่มโดยญุฮัยมาน อัล-อุตัยบี โดยที่เขาคิดว่า มุฮัมมัด อับดุลเลาะฮ์ อัลเกาะฮ์ตานี ผู้เป็นน้องเขยจะเป็นมะฮ์ดีคนต่อไป ผู้ที่มายังโลกก่อนวันสิ้นโลก ผู้ติดตามได้อธิบายว่า เขาสมควรเป็นมะฮ์ดีคนต่อไปเพราะชื่อของเกาะฮ์ตานีและพ่อของเขาเป็นชื่อเดียวกันกับศาสดามุฮัมมัดและพ่อของเขา และมีรายงานว่า "คนที่มีชื่อของตนเองและพ่อของเขาจะมีชื่อเดียวกันกับมุฮัมหมัดและพ่อของเขา และเขาจะมาจากทางเหนือของมักกะฮ์" เพื่อยืนยันความเชื่อนี้ วันที่โจมตีจึงเป็นวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 ซึ่งเป็นวันเแรกของ ฮ.ศ. 1400 ตามปฏิทินฮิจเราะห์ แล้วมีการเชื่อมโยงไปยังธรรมเนียมของมุญาดิดที่ว่า บุคคลที่จะทำให้อิสลามกลับคืนดั่งเดิมจะมาทุก ๆ ศตวรรษ[12]
การยึดมัสยิด
[แก้]ในช่วงเช้าของวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 เช็คมุฮัมหมัด อัล-สุบายิล อิหม่ามประจำมัสยิดกำลังเตรียมตัวละหมาดพร้อมกับคนประมาณ 50,000 คน ในช่วงประมาณ 5:00 น. เขาถูกขัดจังหวะโดยการปิดตา ประตูถูกปิดทุกบาน และสังหารตำรวจสองนายที่ติดอาวุธกระบองไม้สำหรับตีคนที่ไม่ฟังพวกเขาเท่านั้น[13] จำนวนผู้ก่อการร้ายมี "อย่างน้อย 500 คน"[14] หรือ "สี่ถึงห้าร้อย" และรวมถึงจำนวนเด็กและผู้หญิงบางคนที่เข้าร่วมกองทหารของ อัล-อุตัยบี
หลังจากนั้นผู้ก่อการร้ายได้ปล่อยตัวประกันส่วนใหญ่และขังส่วนที่เหลือในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจัดกองกำลังป้องกันที่ชั้นบนของมัสยิด และคนยิงสไนเปอร์ที่มินาเร็ต ไม่มีใครที่อยู่ข้างนอกรู้ว่ามีตัวประกันกี่คน ทหารกี่นาย และพวกเขาจัดการตั้งทัพอย่างไร
จำนวนผู้เสียชีวิต
[แก้]การต่อสู้ได้ยืดเยื้อไปกว่าสองสัปดาห์ และมีรายงานทางการว่า "มีนักแสวงบุญ, ทหาร และคนเคร่งในลัทธิ 255 ถูกฆ่า" และ "ได้รับบาดเจ็บไป 560 คน ... อย่างไรก็ตาม นักการทูตได้อธิบายว่าอาจมีจำนวนมากกว่านั้น"[15] กำลังทหารเสียชีวิตไป 127 คน และบาดเจ็บไป 451 คน
ผลที่ตามมา
[แก้]ผู้ต้องขัง, การสอบสวน และการประหาร
[แก้]อัล-กอฮ์ตานีถูกฆ่าในระหว่างการจับกุม แต่ญุฮัยมานและผู้ติดตามอีก 67 คนถูกจับแล้วถูกประหารชีวิตโดยการตัดหัว พวกเขาไม่ได้รับการผ่อนปรน พร้อม 7 ข้อหาใหญ่ ดังนี้:
- สร้างความรุนแรงที่มัสยิด อัล-ฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์
- สร้างความรุนแรงในเดือนมุฮัรรอมอันศักดิ์สิทธิ์
- ฆ่าคนมุสลิมและคนอื่น ๆ
- ไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่
- ระงับการละหมาดที่มัสยิด อัล-ฮะรอม
- อ้างตนเองว่าเป็นมะฮ์ดี
- มีข้อหาเกี่ยวกับการฆ่าคนบริสุทธิ์[16][17]
ดูเพิ่ม
[แก้]- ยุทธการบลูสตาร์ ที่หริมันทิรสาหิบ เมืองอมฤตสาร์ ประเทศอินเดีย ค.ศ. 1984
- การยึดมัสยิดลาล
- รายชื่อคนที่อ้างตนเองว่าเป็นมะฮ์ดี
- มัสยิดใหญ่แห่งมักกะฮ์ (มัสยิด อัล-ฮะรอม)
- กบฎอิควาน
- กองกำลังพิเศษของปากีสถาน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Da Lage, Olivier (2006). Géopolitique de l'Arabie Saoudite (ภาษาฝรั่งเศส). Complexe. p. 34. ISBN 2804801217.
- ↑ Lacey 2009, p. 13.
- ↑ "THE SIEGE AT MECCA". 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2016. สืบค้นเมื่อ October 17, 2018.
- ↑ "Pierre Tristam, "1979 Seizure of the Grand Mosque in Mecca", About.com". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 1 November 2011.
- ↑ Riyadh (10 January 1980). "63 Zealots beheaded for seizing Mosque". Pittsburgh Post-Gazette. สืบค้นเมื่อ 12 November 2010.
- ↑ "How Did the Seizure of the Mosque and Mecca Influence al-Qaeda?". สืบค้นเมื่อ 14 November 2017.
- ↑ Miller, Flagg (2015). The Audacious Ascetic: What the Bin Laden Tapes Reveal About Al-Qa'ida. Oxford University Press. ISBN 9780190613396.
Not since the tenth century had such a maverick crew occupied Islam's holiest sanctuary, and for nearly two weeks Saudi Special Forces assisted by Pakistani and French commandos fought pitched battles to reclaim the compound.
- ↑ Benjamin, The Age of Sacred Terror (2002) p. 90
- ↑ Mackey, Sandra. The Saudis: Inside the Desert Kingdom. Updated Edition. Norton Paperback. W.W. Norton and Company, New York. 2002 (first edition: 1987). ISBN 0-393-32417-6 pbk., p. 234.
- ↑ [1] Wright, Sacred Rage, (2001), p. 155
- ↑ Lacey, Robert (2009). Inside the Kingdom : Kings, Clerics, Modernists, Terrorists, and the Struggle for Saudi Arabia. Viking. p. 48.
`Those old men actually believed that the Mosque disaster was God's punishment to us because we were publishing women's photographs in the newspapers, says a princess, one of Khaled's nieces. The worrying thing is that the king [Khaled] probably believed that as well . . Khaled had come to agree with the sheikhs. Foreign influences and bida'a were the problem. The solution to the religious upheaval was simple--more religion.
- ↑ Benjamin, The Age of Sacred Terror, (2002) p. 90
- ↑ Wright, Looming Tower, (2006), p. 101 – softcover
- ↑ 1979 Makkah – Grand Mosque aka Holy Mosque, Global Security
- ↑ Wright, Robin B., 1948| Sacred Rage: The Wrath of Militant Islam| Simon & Schuster| c 2001, p. 148
- ↑ Commins, David (2009). The Wahhabi Mission and Saudi Arabia. I.B.Tauris. p. 168.
- ↑ Salame, Ghassan (1987). "Islam and politics in Saudi Arabia". Arab Studies Quarterly. ix (3): 321.
บรรณานุกรม
[แก้]- Aburish, Said K., The Rise, Corruption, and Coming Fall of the House of Saud, St. Martin's (1996)
- Benjamin, Daniel, The Age of Sacred Terror by Daniel Benjamin and Steven Simon, New York : Random House, (c2002)
- Fair, C. Christine and Sumit Ganguly, "Treading on Hallowed Ground: Counterinsurgency Operations in Sacred Spaces", Oxford University Press (2008)
- Hassner, Ron E., "War on Sacred Grounds", Cornell University Press (2009) ISBN 978-0-8014-4806-5978-0-8014-4806-5
- Kechichian, Joseph A., "The Role of the Ulama in the Politics of an Islamic State: The Case of Saudi Arabia", International Journal of Middle East Studies, 18 (1986), 53–71.
- Trofimov, Yaroslav, The Siege of Mecca: The Forgotten Uprising in Islam's Holiest Shrine and the Birth of Al Qaeda, Doubleday (2007) ISBN 0-385-51925-70-385-51925-7 (Also softcover – Anchor, ISBN 0-307-27773-90-307-27773-9)
- Wright, Robin B., Sacred Rage : The Wrath of Militant Islam, Simon & Schuster (2001)
- Wright, Lawrence, The Looming Tower: Al Qaeda and the Road to 9/11, New York : Knopf (2006) ISBN 978-0-375-41486-2978-0-375-41486-2 (Also softcover – New York : Vintage, ISBN 978-1-4000-3084-2978-1-4000-3084-2)