ข้ามไปเนื้อหา

หู จิ่นเทา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หู จิ่นเทา
胡锦涛
หูในปี ค.ศ. 2011
เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
ดำรงตำแหน่ง
15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012
(10 ปี 0 วัน)
ก่อนหน้าเจียง เจ๋อหมิน
ถัดไปสี จิ้นผิง
ประธานาธิบดีจีน
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม ค.ศ. 2003 – 14 มีนาคม ค.ศ. 2013
(9 ปี 364 วัน)
หัวหน้ารัฐบาลเวิน เจียเป่า
รองประธานาธิบดี
ก่อนหน้าเจียง เจ๋อหมิน
ถัดไปสี จิ้นผิง
ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
ดำรงตำแหน่ง
    • คณะกรรมการพรรค:
    19 กันยายน ค.ศ. 2004 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012
    (8 ปี 57 วัน)
    • คณะกรรมการรัฐ:
    13 มีนาคม ค.ศ. 2005 – 14 มีนาคม ค.ศ. 2013
    (8 ปี 1 วัน)
รอง
ก่อนหน้าเจียง เจ๋อหมิน
ถัดไปสี จิ้นผิง
ตำแหน่งอื่น ๆ
เลขาธิการสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
19 ตุลาคม ค.ศ. 1992 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002
(10 ปี 27 วัน)
เลขาธิการเจียง เจ๋อหมิน
ก่อนหน้าเฉียว ฉือ
ถัดไปเจิง ชิ่งหง
รองประธานาธิบดีจีน
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม ค.ศ. 1998 – 15 มีนาคม ค.ศ. 2003
(5 ปี 0 วัน)
ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน
ก่อนหน้าหรง อี้เหริน
ถัดไปเจิง ชิ่งหง
รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
ดำรงตำแหน่ง
    • คณะกรรมการพรรค:
    22 กันยายน ค.ศ. 1999 – 19 กันยายน ค.ศ. 2004
    (4 ปี 363 วัน)
    • คณะกรรมการรัฐ:
    31 ตุลาคม ค.ศ. 1999 – 13 มีนาคม ค.ศ. 2005
    (5 ปี 133 วัน)
ประธานเจียง เจ๋อหมิน
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำทิเบต
ดำรงตำแหน่ง
1 ธันวาคม ค.ศ. 1988 – 1 ธันวาคม ค.ศ. 1992
(4 ปี 0 วัน)
เลขาธิการ
ก่อนหน้าอู่ จิงหฺวา
ถัดไปเฉิน ขุย-ยฺเหวียน
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลกุ้ยโจว
ดำรงตำแหน่ง
8 กรกฎาคม ค.ศ. 1985 – 1 ธันวาคม ค.ศ. 1988
(3 ปี 146 วัน)
เลขาธิการ
ก่อนหน้าจู โฮ่วเจ๋อ
ถัดไปหลิว เจิ้งเวย์
เลขาธิการสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนคนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
14 ธันวาคม ค.ศ. 1984 – 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1985
(207 วัน)
เลขาธิการหู เย่าปัง
ก่อนหน้าหวัง จ้าวกั๋ว
ถัดไปซ่ง เต๋อฝู
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด (1942-12-21) 21 ธันวาคม ค.ศ. 1942 (82 ปี)
ไท่โจว, มณฑลเจียงซู, ระบอบวาง จิงเว่ย์
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน
คู่สมรสหลิว หย่งชิง
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยชิงหฺวา (วท.บ.)
วิชาชีพวิศวกรชลศาสตร์
ลายมือชื่อ
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง
  • 1992–2012: คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง 14, 15, 16, 17
  • 1992–2002: เลขาธิการลำดับที่ 1 สำนักเลขาธิการพรรค ชุดที่ 14, 15
  • 1992–2012: คณะกรมการเมือง ชุดที่ 14, 15, 16, 17
  • 1985–2012: คณะกรรมาธิการกลาง ชุดที่ 12, 13, 14, 15, 16, 17
  • 1982–1985: สมาชิกสำรองของคณะกรรมาธิการกลาง ชุดที่ 12
  • 1988–2013: สภาประชาชนแห่งชาติ ชุดที่ 7, 8, 9, 10, 11

การดำรงตำแหน่งอื่น ๆ

ผู้นำสูงสุดของ
สาธารณรัฐประชาชนจีน

หู จิ่นเทา
"หู จิ่นเทา" ในอักษรจีนตัวย่อ (บน) และตัวเต็ม (ล่าง)
อักษรจีนตัวย่อ胡锦涛
อักษรจีนตัวเต็ม胡錦濤

หู จิ่นเทา (จีน: 胡锦涛; พินอิน: Hú Jǐntāo; เกิด 21 ธันวาคม ค.ศ. 1942) เป็นอดีตนักการเมืองชาวจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2012 ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2013 และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ถึง 2012 เขาเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน องค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดโดยพฤตินัยของประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1992 ถึง 2012 และเป็นผู้นำสูงสุดคนที่ 5 ของจีนตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2012[a]

หูก้าวขึ้นสู่อำนาจผ่านพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลกุ้ยโจว และเขตปกครองตนเองทิเบต ซึ่งการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรงของเขานั้นได้ดึงดูดความสนใจจากระดับสูงสุดของพรรค เขาเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการคนที่ 1 ของสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองประธานาธิบดีภายใต้การนำของเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่ หูเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์คนแรกจากรุ่นที่อายุน้อยกว่าผู้เข้าร่วมสงครามกลางเมืองและการก่อตั้งสาธารณรัฐ ผู้สนับสนุนที่มีอิทธิพลจากรุ่นก่อนได้ให้การส่งเสริมอย่างแข็งขันต่อการก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างรวดเร็วของเขา รวมถึงซ่ง ผิง หู เย่าปัง เติ้ง เสี่ยวผิง และเจียง เจ๋อหมิน[1]

ในระหว่างดำรงตำแหน่ง หูนำนโยบายควบคุมของรัฐกลับมาใช้ในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจที่ได้รับการผ่อนปรนโดยรัฐบาลก่อนหน้าและมีความระมัดระวังในการปฏิรูปการเมือง หูร่วมกับนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เพื่อนร่วมงานของเขา เป็นผู้นำการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องยาวนานเกือบทศวรรษ ซึ่งผลักดันให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก เขามุ่งมั่นที่จะยกระดับความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศผ่านแนวคิดทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา (Scientific Outlook on Development) ซึ่งมุ่งหวังที่จะสร้าง "สังคมนิยมที่กลมกลืน" ที่เจริญรุ่งเรืองและปราศจากความขัดแย้งทางสังคม ภายใต้การนำของเขา ทางการยังปราบปรามการก่อความไม่สงบทางสังคม การประท้วงของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มผู้เห็นต่าง ซึ่งก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง อาทิ ความไม่สงบในทิเบตและการผ่านกฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดน ในด้านนโยบายต่างประเทศ หูสนับสนุนแนวคิดการเติบโตอย่างสันติของจีน โดยมุ่งเน้นการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และใช้วิธีการทางธุรกิจในการดำเนินนโยบายทางการทูต ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของหู อิทธิพลของจีนในแอฟริกา ลาตินอเมริกา และภูมิภาคกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น

หูมีรูปแบบการเป็นผู้นำที่สุภาพและสงวนท่าที วาระการดำรงตำแหน่งของเขาโดดเด่นด้วยภาวะผู้นำร่วมและกฎการปกครองที่อิงฉันทามติ[2] คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้หูเป็นบุคคลลึกลับในสายตาสาธารณชน การบริหารของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการมุ่งเน้นไปที่คตินิยมนักวิชาการเป็นหลัก[3] เมื่อสิ้นสุดวาระหลังดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลา 10 ปี หูได้รับคำชื่นชมจากการที่เขาเลือกเกษียณจากตำแหน่งทั้งหมดโดยสมัครใจ เขาถูกสืบทอดตำแหน่งโดยสี จิ้นผิง หลังเจียง เจ๋อหมิน อดีตประธานาธิบดีถึงแก่อสัญกรรม หูก็กลายเป็นอดีตผู้นำสูงสุดของจีนเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

หู จิ่นเทา เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1942[4] ในอำเภอไท่ มณฑลเจียงซู ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น เป็นทายาทโดยตรงของนายพลหู จงเซี่ยน แห่งราชวงศ์หมิง ผู้มีชื่อเสียงในการต่อสู้กับโจรสลัดญี่ปุ่น[5] ครอบครัวของเขาอพยพย้ายถิ่นฐานจากอำเภอจีซี มณฑลอานฮุย มาสู่ไท่โจวในสมัยรุ่นปู่ของเขา บิดาประกอบธุรกิจค้าชาขนาดเล็กในไท่โจว ส่วนมารดาเป็นครูและต่อมาเสียชีวิตเมื่อเขาอายุได้ 7 ปี และเขาได้รับการเลี้ยงดูโดยป้า บิดาของหูถูกกล่าวโทษและประณามในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เหตุการณ์ดังกล่าว (ประกอบกับภูมิหลังที่ค่อนข้างต่ำต้อยของตนเอง) ดูเหมือนจะมีผลกระทบอย่างมากต่อหู ซึ่งเขาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะล้างมลทินให้บิดา[6]

เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนเมษายน ค.ศ. 1964 ในปีนั้น เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหฺวา หลังศึกษาเกี่ยวกับสถานีพลังงานน้ำศูนย์กลางที่ภาควิชาวิศวกรรมการอนุรักษ์น้ำ เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองที่ชิงหฺวา[7]: 107  ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1965 หูเริ่มทำงานเป็นวิศวกร[8]

ใน ค.ศ. 1968 ระหว่างการก่อสร้างแนวรบที่สาม[9]: 179  หูได้อาสาทำงานในมณฑลกานซู่ และมีส่วนร่วมในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังน้ำหลิวเจียเสีย[10] พร้อมกันนั้นยังบริหารกิจการพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้แก่สำนักงานสาขาของกระทรวงทรัพยากรน้ำและไฟฟ้าประจำท้องถิ่น ตั้งแต่ ค.ศ. 1969 ถึง 1974 เขาทำงานในสำนักงานวิศวกรรมซิโนไฮโดร[11]

ใน ค.ศ. 1970 หูแต่งงานกับนางหลิว หย่งชิง ซึ่งทั้งสองได้พบกันที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวาขณะศึกษาอยู่ ทั้งสองมีบุตรด้วยกันสองคนคือ หู ไห่เฟิง และหู ไห่ชิง ส่วนลูกเขยของพวกเขาชื่อจูเลีย หว่อง และแดเนียล เหมา ต่างจากนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เขาไม่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแบบตัวต่อตัวเลย[12][13] เขาเป็นที่รู้จักกันดีในความชอบกีฬาเทเบิลเทนนิสและการเต้นรำบอลรูม[14] กล่าวกันว่าหูมีความสามารถในการจดจำภาพได้อย่างแม่นยำเสมือนกล้องถ่ายรูป ซึ่งปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงที่เขาศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย[15][16]

อาชีพการเมืองช่วงต้น

[แก้]

ใน ค.ศ. 1973 หูถูกย้ายไปยังแผนกก่อสร้างของมณฑลกานซู่เพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ในปีถัดมาเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคอาวุโส ใน ค.ศ. 1980 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำโครงการ "สี่ทันสมัย" มาใช้ ซึ่งมุ่งหวังที่จะผลิตผู้นำคอมมิวนิสต์ที่ "ปฏิวัติมากขึ้น อายุน้อยลง มีความรู้มากขึ้น และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น" เพื่อตอบสนองต่อการค้นหาสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั่วประเทศนี้ ซ่ง ผิง เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนกานซู่คนที่ 1 (ผู้ว่าการมณฑลกานซู่) ได้ค้นพบหู จิ่นเทาและเลื่อนตำแหน่งให้เขาหลายตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าคณะกรรมการ[17] ลูกศิษย์อีกคนของซ่งอย่างเวิน เจียเป่าก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน

ใน ค.ศ. 1982 หูถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์สาขากานซู่ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสหพันธ์เยาวชนแห่งประเทศจีน[18][1] ซ่ง ผิง ที่ปรึกษาของเขา ถูกย้ายไปปักกิ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงองค์การพรรคคอมมิวนิสต์จีน และทำหน้าที่แนะนำ เสนอชื่อ และเลื่อนตำแหน่งแกนนำระดับสูง ด้วยการสนับสนุนของหู เย่าปัง (ไม่ใช่ญาติกัน) และเติ้ง เสี่ยวผิง หูจึงมั่นใจได้ว่าจะมีอนาคตที่สดใสในพรรค ตามข้อเสนอของซ่ง ผิง ใน ค.ศ. 1982 ทางการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เชิญหูไปปักกิ่งเพื่อเข้าศึกษาที่โรงเรียนพรรคส่วนกลาง[19] ไม่นานหลังจากนั้น เขาถูกย้ายไปปักกิ่งและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ สองปีต่อมา หูถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งถือเป็นผู้นำที่แท้จริงขององค์กร ในระหว่างดำรงตำแหน่งในสันนิบาตเยาวชน หูได้พาหู เย่าปัง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้นไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ หู เย่าปัง เป็นทหารผ่านศึกจากสันนิบาตเยาวชน จึงสามารถรำลึกถึงวัยเยาว์ของเขาองค์กรของหูได้[20]

ผู้นำพรรคในกุ้ยโจว

[แก้]

ใน ค.ศ. 1985 หู เย่าปัง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนผลักดันให้หู จิ่นเทาถูกย้ายไปที่กุ้ยโจวเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑล[21] หูพยายามที่จะปรับปรุงเศรษฐกิจของมณฑลที่ห่างไกลและมีรายงานว่าได้เยี่ยมชมทั้ง 86 อำเภอของมณฑลด้วย[22] ขณะอยู่ในกุ้ยโจว หูระมัดระวังในการปฏิบัติตามคำสั่งของปักกิ่งและมีชื่อเสียงว่าเป็นคน "ไม่เผยข้อมูลส่วนตัว" เขาแทบไม่เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนโยบายต่อสาธารณะเลย[22] ขณะที่โดยทั่วไปแล้วหูมักถูกมองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่คนในท้องถิ่นบางส่วนกลับชอบจู โฮ่วเจ๋อ ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขามากกว่า ใน ค.ศ. 1987 หูจิ่นเทาจัดการประท้วงของนักศึกษาในพื้นที่ควบคู่ไปกับกำแพงประชาธิปไตยอย่างระมัดระวัง ขณะที่การประท้วงที่คล้ายกันในปักกิ่งส่งผลให้หู เย่าปังต้องลาออกโดยถูกบังคับ

ทิเบต

[แก้]

หู เย่าปังถูกกวาดล้างโดยเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1987 เนื่องมาจากแนวโน้ม "เสรีนิยม" ของเขา และการออกจากเวทีการเมืองของเขาถูกมองว่าไม่เป็นผลดีต่อหู จิ่นเทา ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อาวุโสพรรคว่าไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นักปฏิรูปที่ถูกขับออกจากตำแหน่ง[23] ใน ค.ศ. 1988 หู จิ่นเทาถูกย้ายไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคระดับภูมิภาคของเขตปกครองตนเองทิเบต ขณะเดียวกันก็รับบทบาทเป็นกรรมาธิการการเมืองของหน่วยกองทัพปลดปล่อยประชาชนในพื้นที่ สิ่งนี้ทำให้หูกลายเป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งในภูมิภาคอันกว้างใหญ่และไม่สงบแห่งนี้ ชาวทิเบตจำนวนหนึ่งคัดค้านนโยบายของรัฐบาลในภูมิภาคนี้มานานแล้ว ความไม่สงบและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กำลังก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านชาวฮั่นในกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมชาติพันธุ์ทิเบต การปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1987 และเมื่อความไม่สงบมีขนาดใหญ่ขึ้น หูก็ตอบสนองด้วยการส่งตำรวจติดอาวุธประชาชนราว 1,700 นายเข้าไปในลาซาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 เพื่อพยายามเตือนไม่ให้เกิดการจลาจลขึ้นอีก[24] การปะทะที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลให้เกิดการจลาจลรุนแรงในแกนกลางลาซาในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1989 ห้าวันก่อนวันครบรอบ 30 ปีการก่อการกำเริบในทิเบต ค.ศ. 1959[25] สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยังเป็นเรื่องถกเถียงกัน ผู้ก่อจลาจลกล่าวหาว่าตำรวจยิงพวกเขาโดยพลการ และตำรวจอ้างว่าพวกเขาทำไปเพื่อป้องกันตัว นอกจากนี้ ยังมีการคาดเดากันว่าหูชะลอการออกคำสั่งปราบปรามผู้ประท้วงไว้จนกระทั่งดึกดื่น จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจจึงถูกบังคับให้ดำเนินการเนื่องจากสถานการณ์เริ่มเกินการควบคุม ผู้ประท้วงถูกปราบปรามในช่วงเช้าของวันถัดไป และหูขอให้ปักกิ่งประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 8 มีนาคม[26]

บทบาทของหูในการชุมนุมประท้วงและการจลาจลในวันที่ 5 มีนาคมไม่เคยได้รับการชี้แจงอย่างชัดเจน แม้โดยทั่วไปแล้ว หูต้องอนุมัติการใช้กำลังกับผู้ประท้วงอย่างน้อยโดยปริยาย แต่เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเขาออกคำสั่งจริงหรือไม่ตลอดวันที่ 5 มีนาคม[b] นอกจากนี้ จอห์น ทกาซิก ยังกล่าวว่าหูประสานงานกับภูมิภาคทหารเฉิงตูเพื่อให้เตรียมกำลังอย่างเต็มที่เมื่อสถานการณ์ดำเนินไป[24] นักวิเคราะห์การทูตบางคนเชื่อมโยงสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นการใช้กำลังอย่างโหดร้ายของหูกับการปราบปรามนักเคลื่อนไหวและนักศึกษาในจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเกิดขึ้นในอีกสามเดือนต่อมา ไม่ว่าหูจะเป็น "แรงบันดาลใจ" ให้แก่กองทัพปลดปลอยประชาชนในวันที่ 4 มิถุนายนหรือไม่ ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง แต่เป็นที่ชัดเจนว่าการกระทำของหูในลาซาทำให้เขาได้รับความสนใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากผู้นำระดับสูงของพรรค รวมถึงจาก "ผู้นำสูงสุด" เติ้ง เสี่ยวผิง[1] เมื่อรถถังเคลื่อนเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมิน หูเป็นหนึ่งในผู้นำระดับภูมิภาคคนแรกที่ประกาศสนับสนุนรัฐบาลกลางต่อสาธารณะ[24]

หูมีอาการป่วยจากระดับความสูงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1990 และเดินทางกลับปักกิ่ง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งต่ออีกสองปี ซึ่งระหว่างนั้นเขาประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปปักกิ่งของเขาถูกมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างในการกลับเข้าสู่ศูนย์กลางทางการเมืองจีน ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเขาป่วยตามที่อ้างหรือไม่[24] มาร์ติน ไซฟ์ จากยูไนเต็ดเพรสอินเตอร์เนชั่นแนล แสดงความเห็นเกี่ยวกับปูตินและหูว่า "ทั้งคู่เป็นผู้ใช้อำนาจนิยมที่เข้มแข็งและมีความสามารถ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์มากมายในการปราบปรามผู้เห็นต่างในระหว่างก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด"[27]

ขึ้นสู่อำนาจ

[แก้]
หู จิ่นเทาในระหว่างการประชุมป้องกันประเทศที่จัดขึ้นที่เพนตากอน พฤษภาคม ค.ศ. 2002

ก่อนเปิดการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 14 ใน ค.ศ. 1992 ผู้นำระดับสูงของพรรค รวมถึงเติ้งและเฉิน ยฺหวิน จะต้องเลือกผู้สมัครเข้าเป็นคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (คสก.) เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายโอนอำนาจจากผู้นำรุ่นที่สอง (เติ้ง, เฉิน, หลี่ เซียนเนี่ยน, หวัง เจิ้น ฯลฯ) ไปยังผู้นำรุ่นที่สาม (เจียง เจ๋อหมิน, หลี่ เผิง, เฉียว ฉือ ฯลฯ) จะเป็นไปอย่างราบรื่น เติ้งยังเสนอให้พิจารณาผู้สมัครคนอื่นสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยควรเป็นคนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีเพื่อเป็นตัวแทนผู้นำรุ่นต่อไป[28] ในฐานะหัวหน้าองค์กร ซ่ง ผิง ได้แนะนำว่าหูเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับผู้มีแนวโน้มจะเป็นผู้นำในอนาคต ผลก็คือ ก่อนวันเกิดครบรอบ 50 ปีของเขาไม่นาน หู จิ่นเทากลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุด (อายุ 49 ปีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1992) ในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองที่มีสมาชิก 7 คน และเป็นหนึ่งในสมาชิก คสก. ที่อายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์เข้ารับอำนาจใน ค.ศ. 1949

ในปี ค.ศ. 1992 หูรับหน้าที่เป็นเลขาธิการสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานประจำวันของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดูแลโรงเรียนพรรคส่วนกลาง ซึ่งสะดวกสำหรับเขาที่จะดึงผู้สนับสนุนของเขาเองจากแกนนำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามา หูยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการทำงานเชิงอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย แม้หูจะถือว่าเป็นทายาทโดยชอบธรรมของเจียง แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าเจียงจะต้องเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ ในช่วงปลาย ค.ศ. 1998 หูส่งเสริมการขบวนการที่ไม่เป็นที่นิยมของเจียงที่เรียกว่า "สามเค้น" ซึ่งได้แก่ "เค้นการศึกษา เค้นการเมือง และเค้นสุขภาพ" โดยได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อส่งเสริมการขบวนการดังกล่าว ใน ค.ศ. 2001 เขาเผยแพร่ทฤษฎีสามตัวแทนของเจียง ซึ่งเจียงหวังว่าจะสามารถยกระดับตัวเองให้เทียบเท่ากับนักทฤษฎีมาร์กซิสต์คนอื่น ๆ[29] ในปี ค.ศ. 1998 หูกลายเป็นรองประธานาธิบดี และเจียงต้องการให้หูมีบทบาทที่กระตือรือร้นมากขึ้นในกิจการต่างประเทศ หูกลายเป็นเสียงสำคัญของจีนในช่วงที่สหรัฐทิ้งระเบิดสถานทูตจีนในเบลเกรดใน ค.ศ. 1999[30]

ผู้นำประเทศ

[แก้]

สืบทอดอำนาจจากเจียง เจ๋อหมิน

[แก้]
หูกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีจีน

วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 หลังการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 16 กรมการเมืองชุดใหม่ที่นำโดยหู จิ่นเทาได้เข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจากเจียง ขณะเดียวกันหูก็ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้นำสูงสุดโดยพฤตินัย นอกจากนี้ เวิน เจียเป่า ยังกลายเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เจียงได้รับเลือกกลับคืนสู่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง หน่วยงานทหารสูงสุด แม้หูจะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการก็ตาม[31] เจียงลาออกจากตำแหน่งประธาน คทก. ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2004 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการสุดท้ายของเขา ภายหลังเจียงก้าวลงจากตำแหน่ง หูก็เข้ารับดำรงตำแหน่งในสามสถาบันหลักของสาธารณรัฐประชาชนจีน ศูนย์รวมอำนาจอย่างเป็นทางการ ได้แก่ พรรค รัฐบาล และกองทัพ

เติ้ง เสี่ยวผิงเคยแต่งตั้งเลขาธิการใหญ่สามคน ซึ่งทั้งหมดถูกวางให้สืบทอดตำแหน่ง และมีบทบาทสำคัญในการขับไล่เลขาธิการใหญ่สองคนออกไป ได้แก่ หู เย่าปังและจ้าว จื่อหยาง เจียง เจ๋อหมิน ผู้ได้รับเลือกเป็นครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากเติ้ง แม้จะยังไม่ชัดเจนก็ตาม และเป็นเลขาธิการคนเดียวในประวัติศาสตร์คอมมิวนิสต์จีนที่ลาออกจากตำแหน่งโดยสมัครใจเมื่อสิ้นสุดวาระ

แม้ว่าเจียงซึ่งขณะนั้นมีอายุ 76 ปี จะก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการและจากคณะกรรมการสามัญกรมการเมืองเพื่อเปิดทางให้กับผู้นำที่อายุน้อยกว่า แต่ก็มีการคาดเดาว่าเจียงจะยังคงมีอิทธิพลอย่างมาก เนื่องจากหูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเซี่ยงไฮ้ที่มีอิทธิพลของเจียง ซึ่งเชื่อว่าสมาชิก 6 ใน 9 คนของคณะกรรมาธิการสามัญที่ทรงอำนาจมีความเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตามการพัฒนาในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่าสมาชิกจำนวนมากได้เปลี่ยนจุดยืนของตน ตัวอย่างเช่น เจิง ชิ่งหง ย้ายจากศิษย์ของเจียงมาทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างสองฝ่าย[32]

หูเป็นคนอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่ในเรื่องการปฏิรูปการเมืองในช่วงดำรงตำแหน่งของเขา[33] ในช่วงต้น ค.ศ. 2006 หูเปิดตัวขบวนการ "แปดเกียรติยศและแปดอัปยศ" เพื่อส่งเสริมทัศนคติที่เสียสละและมีคุณธรรมมากขึ้นในหมู่ประชาชน[1] ในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 17 หูได้รับการเลือกอีกครั้งเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 11 หูได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2007 เขายังได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้ง[34]

นโยบายภายในประเทศ

[แก้]

วิกฤตซาร์ส

[แก้]

วิกฤตครั้งแรกของการเป็นผู้นำของหูเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโรคซาร์สใน ค.ศ. 2003 หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าจีนปกปิดและตอบสนองต่อวิกฤตอย่างล่าช้าในช่วงแรก เขาก็ได้ไล่เจ้าหน้าที่พรรคและรัฐบาลออกหลายราย รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่สนับสนุนเจียง และเมิ่ง เสฺวหนง นายกเทศมนตรีปักกิ่ง ผู้ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นลูกศิษย์ของหู[1]

หูพูดคุยกับประธานาธิบดีบารัก โอบามาของสหรัฐในการประชุมสุดยอด G20 ที่พิตต์สเบิร์กใน ค.ศ. 2009
หูกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐ และอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู บุช ในปักกิ่ง 10 สิงหาคม ค.ศ. 2008

นโยบายเศรษฐกิจ

[แก้]

หูและเวิน เจียเป่าใช้แนวทางปฏิรูปแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น และเริ่มพลิกกลับการปฏิรูปบางส่วนของเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 2005 ผู้สังเกตการณ์สังเกตว่ารัฐบาลใช้นโยบายที่เท่าเทียมกันและนิยมประชานิยมมากขึ้น[35] ฝ่ายบริหารเพิ่มเงินอุดหนุนและควบคุมภาคส่วนการดูแลสุขภาพ[36] เพิ่มเงินทุนสำหรับการศึกษา หยุดการแปรรูป[37] และนำนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมาใช้ ซึ่งนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะเดียวกับสหรัฐที่ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นสามเท่า[38]

ภาคส่วนรัฐที่มีสิทธิพิเศษเป็นผู้รับหลักจากการลงทุนของรัฐบาล ซึ่งภายใต้การบริหารชุดใหม่ ส่งเสริมให้เกิดผู้ชนะระดับชาติรายใหญ่ขึ้นมา ซึ่งสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ได้[37] ในช่วงบริหารของหู รัฐบาลจีนจัดสรรงบประมาณเพิ่มมากขึ้นสำหรับการควบรวมกิจการรัฐวิสาหกิจ (SOE) โดยให้เงินอุดหนุนจำนวนมหาศาลและสนับสนุนรัฐวิสาหกิจในเรื่องกฎระเบียบ[9]: 217  ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้รัฐวิสาหกิจสามารถเบียดเบียนคู่แข่งภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศได้ [9]: 217  อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งของรัฐวิสาหกิจในจำนวนบริษัททั้งหมดยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงเหลือร้อยละ 5 แม้ส่วนแบ่งในผลผลิตทั้งหมดจะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 26 ก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนก็มีการเสรีมากขึ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็ถูกตรึงไว้ ส่งผลให้ค่าเงินหยวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ ค.ศ. 2005 ถึง 2012[39] การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 ภายใต้การนำของหู ขณะที่เศรษฐกิจแซงหน้าสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น[40][39]

หลังจากเข้ารับตำแหน่ง หูและเวินเสนอให้จัดตั้งสังคมแห่งความกลมเกลียวซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเปลี่ยนรูปแบบของนโยบาย "GDP เป็นแรก สวัสดิการเป็นรอง"[41] พวกเขาเน้นไปที่กลุ่มประชากรจีนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ และได้เดินทางไปเยือนพื้นที่ยากจนของจีนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง โดยมีเป้าหมายที่ระบุว่าต้องการทำความเข้าใจพื้นที่เหล่านี้ให้ดีขึ้น หูและเวิน เจียเป่าพยายามที่จะเปลี่ยนจีนให้ห่างไกลจากนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนและมุ่งไปสู่มุมมองการเติบโตที่สมดุลมากขึ้น รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ในด้านความไม่เท่าเทียมทางสังคมและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสีเขียวในการตัดสินใจด้านบุคลากร อย่างไรก็ตาม กลุ่มของเจียงยังคงควบคุมพื้นที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้ ส่งผลให้มาตรการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคของหูและเวินเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนัก[1]

สื่อมวลชน

[แก้]

ในด้านนโยบายสื่อ หูหารือถึงแนวคิดเรื่อง "การถ่ายทอด" ความเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นคำที่เขาใช้ครั้งแรกในการประชุมกรมการเมืองวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2007[42]: 71  หูกล่าวว่าพรรคควร "คว้าพลังของวาทกรรมออนไลน์ เพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงการสนทนาออนไลน์ เน้นย้ำศิลปะของการ 'เชื่อมโยง' ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างแข็งขัน เพิ่มการรายงานเชิงบวก และส่งเสริมวาทกรรมกระแสหลักเชิงบวก"[42]: 71  ในการอภิปรายออนไลน์ผ่านทางสตรองไชนาฟอรั่ม (Strong China Forum) หูกล่าวว่าจีนควร "เสริมสร้างสื่อดั้งเดิมและสื่อใหม่ของเราและสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ในการถ่ายทอดความเห็นของประชาชน"[42]: 71–72 

ทิเบต

[แก้]

ฮ่องกง

[แก้]
การประท้วงต่อต้านหูในฮ่องกง กรกฎาคม ค.ศ. 2012

นโยบายต่างประเทศ

[แก้]
หูกับผู้นำประเทศบริกส์ (จากซ้าย สิงห์ เมดเวเดฟ รูเซฟ และซูมา) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011
หูในงานเลี้ยงอาหารกลางวันเมื่อ ค.ศ. 2011 ร่วมกับรองประธานาธิบดีโจ ไบเดิน และรัฐมนตรีต่างประเทศฮิลลารี คลินตัน
หูกับนายกรัฐมนตรีมันโมฮัน สิงห์ ของอินเดีย ในการประชุมสุดยอดกลุ่ม 8 ที่ซัปโปโระ ประเทศญี่ปุ่น
การประท้วงต่อต้านหูในระหว่างการเยือนสหรัฐใน ค.ศ. 2011

ภายใต้การนำของหู จีนยังคงดำเนินตามรูปแบบการทูตเพื่อการพัฒนาที่นำมาใช้ในสมัยเติ้ง เสี่ยวผิงและสืบทอดมาโดยเจียง เจ๋อหมิน[43] พฤติกรรมระหว่างประเทศของจีนยังคงเป็นไปตามหลักปฏิบัติและสามารถคาดเดาได้[43] หูให้คำมั่นว่าจีนจะแสวงหาการพัฒนาอย่างสันติในโลกที่มีความกลมเกลียวเพื่อให้แน่ใจกับประชาคมระหว่างประเทศว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะนำเสนอโอกาสและผลประโยชน์มากกว่าความขัดแย้ง[44] คุณลักษณะสำคัญของมุมมองโลกที่กลมเกลียวกันเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ได้แก่ การสร้างและยอมรับโลกที่ประเทศต่าง ๆ มีความแตกต่างในเส้นทางการพัฒนาชาติและระบบการเมือง การอยู่ร่วมกันของอารยธรรมที่หลากหลาย และการปฏิเสธลัทธิฝ่ายเดียวและความทะเยอทะยานในการครอบงำ[45]

ใน ค.ศ. 2006 หูระบุวัตถุประสงค์การพัฒนานโยบายต่างประเทศของจีนไว้ 4 ระยะ ได้แก่ (1) มหาอำนาจเป็นหัวใจสำคัญ (2) ประเทศรอบนอกเป็นลำดับความสำคัญ (3) ประเทศกำลังพัฒนาเป็นรากฐาน และ (4) พหุภาคีเป็นเวที[44]

ใน ค.ศ. 2009 หูเรียกร้องให้มีการสนับสนุนวาระการควบคุมอาวุธในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยเข้าร่วมกับข้อเรียกร้องก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐที่ต้องการให้โลกปลอดอาวุธนิวเคลียร์ [46]

ตลอดการดำรงตำแหน่งของหู ความร่วมมือของจีนกับประเทศโลกใต้ก็เพิ่มมากขึ้น[47]: 79 

เขามุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นซึ่งเขาได้ไปเยือนใน ค.ศ. 2008[48] เขาปรับลดระดับความสัมพันธ์กับรัสเซียเนื่องจากข้อตกลงที่ไม่บรรลุผล[49]

หูเน้นย้ำหลักการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ว่าด้วย "ความรับผิดชอบร่วมกัน" ซึ่งกล่าวว่าจีนจะสร้างคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมของโลก แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์หลักของตนในการดำเนินการดังกล่าว และพันธกรณีของจีนจะต้องขึ้นอยู่กับพันธกรณีของประเทศอื่น ๆ[50] ในการวิเคราะห์ของจ้าว ซุ่ยเชิง นักวิชาการ ภายใต้การนำของหู "จีนยังคงเป็นมหาอำนาจที่กำลังเติบโตอย่างไม่เต็มใจและยอมรับพันธกรณีในระดับโลกและระดับภูมิภาคอย่างเลือกปฏิบัติ"[44]

ไต้หวัน

[แก้]

ในช่วงแรกของการเป็นผู้นำ หูต้องเผชิญหน้ากับผู้นำฝ่ายสนับสนุนเอกราชอย่างประธานาธิบดีเฉิน ฉุยเปี่ยน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอยู่ในสาธารณรัฐจีน เฉินเรียกร้องให้มีการเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ โดยปฏิเสธฉันทามติ ค.ศ. 1992 เฉินและพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ยังคงแสดงเจตจำนงขั้นสุดท้ายในเอกราชของไต้หวันโดยนิตินัย และออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานะทางการเมืองของไต้หวันที่สาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าเป็นการยั่วยุ การตอบสนองเริ่มแรกของหูเป็นการผสมผสานระหว่างแนวทางแบบ "นุ่มนวล" และ "เข้มงวด" ในทางหนึ่ง หูแสดงความยืดหยุ่นในการเจรจาในประเด็นต่าง ๆ มากมายที่ไต้หวันเป็นกังวล กลับกัน เขายังคงปฏิเสธการเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไขและยังคงมุ่งมั่นต่อการรวมประเทศจีนเป็นเป้าหมายสูงสุด แม้หูจะแสดงสัญญาณบางอย่างที่แสดงถึงความยืดหยุ่นมากขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไต้หวันในแถลงการณ์ 17 พฤษภาคม ซึ่งเสนอที่จะพูดถึงปัญหาเรื่อง "พื้นที่อยู่อาศัยระหว่างประเทศ" สำหรับไต้หวัน แต่รัฐบาลของหูยังคงยืนกรานในจุดยืนว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะไม่ยอมทนต่อความพยายามใด ๆ ของรัฐบาลไต้หวันที่จะประกาศเอกราชโดยชอบด้วยกฎหมายจากจีน[51]

หลังจากที่เฉินได้รับเลือกตั้งซ้ำอีกครั้งใน ค.ศ. 2004 รัฐบาลของหูก็เปลี่ยนยุทธวิธี โดยดำเนินนโยบายห้ามติดต่อกับไต้หวัน เนื่องจากเฉินและพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ามีแนวโน้มจะประกาศเอกราช รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับฉันทามติ ค.ศ. 1992 รัฐบาลยังคงเสริมกำลังทางทหารเพื่อต่อต้านไต้หวัน และดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวในการแยกไต้หวันออกจากกันทางการทูต ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 กฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนได้รับการผ่านโดยสภาประชาชนแห่งชาติ โดยทำให้ "วิธีการที่ไม่ใช่สันติ" เป็นทางเลือกในการตอบสนองต่อการประกาศอิสรภาพในไต้หวันอย่างเป็นทางการ

รัฐบาลของหูเพิ่มการติดต่อกับก๊กมินตั๋ง อดีตศัตรูในสงครามกลางเมืองจีน และยังคงเป็นพรรคการเมืองหลักในไต้หวัน[52]: 138  การติดต่อที่เพิ่มมากขึ้นมาถึงจุดสูงสุดในการเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ของแพน-บลู ใน ค.ศ. 2005 รวมถึงการพบปะประวัติศาสตร์ระหว่างหูกับเหลียน จ้าน ประธานก๊กมินตั๋งในขณะนั้น ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2005 นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของผู้นำของทั้งสองฝ่ายนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง[53][54]

วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2008 ก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของหม่า อิงจิ่วได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน และได้รับเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติ หลังจากนั้น หูก็หันไปใช้แนวทางการทูตที่ "นุ่มนวล" มากขึ้นทันทีและเปิดทางให้เกิดการละลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย[55] ตามมาด้วยการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและก๊กมินตั๋ง วันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2008 หูได้พบกับวินเซนต์ เซียว รองประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ ในฐานะประธานมูลนิธิตลาดร่วมข้ามช่องแคบในระหว่างการประชุมฟอรั่มเอเชียปั๋วอ๋าว วันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 หูได้พบกับอู๋ ปั๋วสฺยง ประธานก๊กมินตั๋ง ถือเป็นการประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกํกมินตั๋งในฐานะพรรครัฐบาล ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ หูและอู๋ตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายควรกลับมาเริ่มต้นการเจรจาอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายใต้ฉันทามติ ค.ศ 1992 ซึ่งก็คือ "ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่ามีประเทศจีนเพียงประเทศเดียว แต่เห็นต่างกันในเรื่องคำจำกัดความ" อู๋ยึดมั่นต่อรัฐบาลใหม่ของไต้หวันต่อเอกราชของไต้หวัน ส่วนหูยึดมั่นต่อรัฐบาลของเขาในการแก้ไขข้อกังวลของชาวไต้หวันในเรื่องความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และ "พื้นที่อยู่อาศัยระหว่างประเทศ" โดยให้ความสำคัญกับการให้ไต้หวันเข้าร่วมในองค์การอนามัยโลก

นอกเหนือจากการเจรจาระหว่างพรรคแล้ว ยังมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลโดยพฤตินัยผ่านมูลนิธิแลกเปลี่ยนช่องแคบและสมาคมความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวันในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 ตามฉันทามติ ค.ศ. 1992 โดยการประชุมครั้งแรกจัดขึ้นที่ปักกิ่ง ทั้งหูและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หม่า อิงจิ่ว ต่างเห็นพ้องกันว่า ฉันทามติ ค.ศ. 1992 จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเจรจาระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน วันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2008 หูพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐในขณะนั้น ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้นำจีนคนแรกที่ให้การรับรองฉันทามติ ค.ศ. 1992 อย่างเป็นทางการ[56] ภายหลังการเจรจามานานหลายเดือน ในเดือนธันวาคม ค.ศ 2008 ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะฟื้นฟูความเชื่อมโยงสามประการ ได้แก่ การเปิดเส้นทางไปรษณีย์ การค้า และการเชื่อมโยงทางอากาศโดยตรงระหว่างทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายยังคงราบรื่นดีในช่วงที่หูดำรงตำแหน่ง และการค้าก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งมีการลงนามในข้อตกลงการค้าที่ให้สิทธิพิเศษภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ECFA) ใน ค.ศ. 2010

เปลี่ยนผ่านสู่สี จิ้นผิง

[แก้]

วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ทันทีหลังการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 สี จิ้นผิงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางโดยคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 18 สืบต่อจากหู[57] ในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2013 สีได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสืบต่อจากเขา[58]

หลังเกษียณ

[แก้]

ตั้งแต่เกษียณอายุ หูได้เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2013 หูไปเยี่ยมบ้านบรรพบุรุษของครอบครัวในหวงชาน มณฑลอานฮุย แม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่ได้รับการรายงานโดยสื่อของรัฐ[59] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2014 เขาปรากฏตัวในหูหนาน โดยไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยหูหนานและสถานที่ทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ[60] เขาเข้าร่วมการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017[61] เขายังเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 70 ปีของสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019 และงานฉลองครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2021 ด้วย[62]

การประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20

[แก้]

ในพิธีปิดการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2022 หูซึ่งนั่งอยู่ข้างสี จิ้นผิง ถูกดึงออกจากที่นั่งและเชิญตัวออกจากห้องโถงโดยชายสองคนในชุดสูทและติดป้ายชื่อ[63][64][65] เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการลงคะแนนในวันนั้น ซึ่งหูไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว[66][67] สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการของจีนรายงานว่าหูมีอาการไม่สบาย[68] ขณะที่สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่าหูป่วยจริงหรือไม่หรือนี่เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองโดยเจตนาจากสี[69][70][71] เหตุการณ์นี้ไม่ได้ถูกออกอากาศในประเทศจีนและชื่อของหูและลูกชายของเขาถูกบล็อกโดยผู้ตรวจพิจารณาของจีน[72]

พิธีศพของเจียง เจ๋อหมิน

[แก้]

หลังจากที่เจียง เจ๋อหมิน อดีตผู้นำถึงแก่อสัญกรรม หูได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการจัดงานศพ โดยอยู่ในอันดับที่ 36 จากรายชื่อทั้งหมดกว่า 700 ชื่อ[73] หูปรากฏตัวต่อสาธารณชนพร้อมกับสี จิ้นผิง ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2022 โดยเข้าร่วมพิธีอำลาศพก่อนที่ร่างของเจียงจะถูกฌาปนกิจ ณ สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน[74] เขามาโดยมีผู้ช่วยติดตาม

มรดก

[แก้]

หูเป็นผู้นำในช่วงทศวรรษแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นำพาจีนผ่านพายุวิกฤตการเงินโลกโดยได้รับผลกระทบน้อย และยกระดับสถานะของจีนในเวทีโลกอย่างมาก[75] ความสำเร็จของจีนภายใต้หูรวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของจีนให้ทันสมัย การส่งยานอวกาศที่มีลูกเรือลำแรกของจีน และการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติที่ประสบความสำเร็จสองงาน ได้แก่ โอลิมปิกปักกิ่ง 2008 และเซี่ยงไฮ้เอ็กซ์โป 2010[75] นอกจากนี้ "แนวทางที่อ่อนโยน" ของหูต่อไต้หวัน ซึ่งตรงกับการเลือกตั้งรัฐบาลก๊กมินตั๋งในไทเป ได้ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน การค้าและการติดต่อระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงวาระของหู นโยบายประชานิยมของหูและนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าได้ส่งผลให้มีการยกเลิกภาษีการเกษตรสำหรับเกษตรกร มีนโยบายที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อแรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในเมือง การพัฒนาที่สมดุลมากขึ้นระหว่างภูมิภาคชายฝั่งและพื้นที่ตอนใน การบังคับใช้ค่าจ้างขั้นต่ำในเมือง และการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและราคาไม่แพง หูได้รับการยกย่องในประเทศจากการรับมือกับวิกฤตสาธารณสุขโรคซาร์ส และการขยายการประกันสุขภาพครั้งใหญ่แก่ประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อย[76]

ในด้านนโยบายต่างประเทศ นักวิจารณ์ของหูกล่าวว่ารัฐบาลของเขาแสดงออกถึงอำนาจใหม่ที่ก้าวร้าวเกินไป ประเมินขอบเขตอำนาจของตนสูงเกินจริง และสร้างความโกรธเคืองและความหวาดระแวงแก่ประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ รวมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และญี่ปุ่น นโยบายเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการยั่วยุสหรัฐ[77] นักวิจารณ์ภายในประเทศ รวมถึงชนชั้นนำ ปัญญาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เห็นต่าง ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของรัฐบาลหูและความล้มเหลวในการดำเนินนโยบาย "สังคมนิยมกลมกลืน" ซึ่งเป็นนโยบายหลักของเขา พวกเขาอ้างว่า ตัวอย่างเช่น งบประมาณความมั่นคงภายในของจีนนั้นสูงกว่างบประมาณทางทหารในช่วงที่หูดำรงตำแหน่ง เนื่องจากมีการประท้วงและ "อุบัติการณ์มวลชน" อื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ[78] สัมประสิทธิ์จีนีของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 0.47 ใน ค.ศ. 2010 บ่งชี้ถึงช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนที่อาจไม่ยั่งยืน[75] การที่รัฐบาลของหูไม่สามารถควบคุมช่องว่างความมั่งคั่งได้ และการเน้นย้ำบทบาทของรัฐวิสาหกิจ (SOEs) ในระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าหูพลาดโอกาสสำคัญในการปฏิรูปและปรับโครงสร้าง[79] การสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของหูต่อรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการควบรวมและรวมกิจการ เป็นแนวโน้มที่ยังคงดำเนินต่อไปในรัฐบาลของสี จิ้นผิง[9]: 217 

นโยบายที่เข้มงวดต่อการทุจริตของหูมีผลลัพธ์ทั้งในด้านบวกและด้านลบ แม้จะมีความพยายามบ้างในการเพิ่มความโปร่งใสในการใช้จ่ายของหน่วยงานราชการและข้าราชการ แต่ปัญหาเชิงระบบที่ฝังรากลึกที่เป็นสาเหตุของการเติบโตของการทุจริตยังคงไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันกับกองทัพในไม่ช้าหลังจากหูพ้นจากตำแหน่งแสดงให้เห็นว่าหูไม่สามารถจัดการกับผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกในกองทัพได้ ในสุนทรพจน์อำลาของเขาเองในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 18 หูเน้นย้ำว่าการทุจริตที่ไม่ถูกควบคุมจะทำลายพรรคและประเทศอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น การที่รัฐบาลของหูยังคงยืนหยัดในการตรวจพิจารณาและจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากองค์การสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลตะวันตก[75] ขณะที่ศิลปินและนักเขียนภายในประเทศก็ตำหนิการเพิ่มข้อจำกัดการแสดงออกทางวัฒนธรรมในช่วงวาระของหู แม้ว่าในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งของเขา หูจะพยายามบุกเบิกรูปแบบของ "ประชาธิปไตยในพรรค" ที่เรียกร้องให้สมาชิกระดับล่างมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดนโยบายและเลือกผู้นำ แต่ก็มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อโครงสร้างการปกครองและกระบวนการตัดสินใจของพรรค[78] การที่เขาให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยในพรรคส่งผลให้เกิดระบบรายงานการทำงานของกรมการเมืองและการเชิญชวนสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางประมาณ 200 คนให้ลงคะแนนเสียงแบบไม่มีผลผูกพันสำหรับผู้สมัครกรมการเมือง[80]: 67 

การตัดสินใจโดยฉันทามติกลายเป็นเอกลักษณ์ของสมัยหู หูไม่เคยเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด ไม่ได้ปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก และมักถูกมองว่าเป็นเพียงคนแรกในบรรดาผู้เท่าเทียมกันกับเพื่อนร่วมคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของเขา บางคนเรียกภูมิทัศน์ทางการเมืองของจีนในสมัยของหูว่าเป็น "เก้ามังกรปราบน้ำ" (九龙治水) นั่นคือสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองทั้งเก้าคนต่างปกครองเขตอำนาจของตนเอง นอกจากนี้ หูไม่เพียงต้องเผชิญกับกลุ่มผลประโยชน์พิเศษและกลุ่มการเมืองจำนวนมากภายในพรรค แต่ความสามารถของเขาในการดำเนินโครงการที่สอดประสานกันยังถูกจำกัดด้วยอิทธิพลของเจียง เจ๋อหมิน อดีตผู้นำอีกด้วย[81] ด้วยเหตุนี้ จึงมีการถกเถียงกันว่าหูมีอำนาจส่วนตัวมากน้อยเพียงใดในการสร้างการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบของระบบที่เขาทำงานอยู่ หูได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและผู้สร้างฉันทามติที่มีประสิทธิภาพ[75] หูได้รับคำชมเชยสำหรับการลงจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายทหารโดยมอบตำแหน่งให้แก่สี จิ้นผิง ผู้สืบทอดของเขา และในขณะเดียวกันก็สละตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคด้วย การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงกลุ่มผู้มีอำนาจและเจียง เจ๋อหมินว่าผู้อาวุโสควรเกษียณตามระเบียบและไม่ควรแทรกแซงกิจการของผู้สืบทอดอำนาจของตน[82]

จุดยืนทางการเมือง

[แก้]

ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา

[แก้]

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองชี้ให้เห็นว่าหูสร้างความแตกต่างจากผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขาทั้งในนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ ปรัชญาการเมืองของหูในช่วงที่เขาเป็นผู้นำนั้นสรุปได้ด้วยคำขวัญสามประการ ได้แก่ "สังคมนิยมที่กลมกลืน" ในประเทศ และ "การพัฒนาอย่างสันติ" ในระดับนานาชาติ โดยประการแรกได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแสวงหาชุดวิธีแก้แบบบูรณาการสำหรับปัญหาทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม และตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการเมืองอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไปในวงใน[41] ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาถูกบรรจุลงในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐธรรมนูญของประเทศใน ค.ศ. 2007 และ 2008 ตามลำดับ บทบาทของพรรคได้เปลี่ยนแปลงไป จากพรรคปฏิวัติไปสู่พรรครัฐบาล ตามที่เติ้ง เสี่ยวผิงกำหนดและเจียง เจ๋อหมินนำไปปฏิบัติ ในช่วงดำรงตำแหน่งของเขา เขาสานต่อนโยบายการปรับปรุงพรรคให้ทันสมัยโดยเน้นย้ำถึง "ความก้าวหน้า" ของพรรคควบคู่ไปกับการเพิ่มความโปร่งใสในการปกครอง

จากปรัชญาเหล่านี้ในมุมมองของหู สิ่งที่ปรากฏออกมาคือประเทศที่มีแนวทางที่เป็นระบบต่อโครงสร้างและการพัฒนาชาติ ซึ่งผสมผสานการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบพลวัต ตลาดเสรีที่ขับเคลื่อนด้วยภาค "นอกภาครัฐ" ที่แข็งแกร่ง (กล่าวคือ ภาคเอกชน) การควบคุมการเมืองและสื่ออย่างเข้มงวด เสรีภาพส่วนบุคคลแต่ไม่ใช่เสรีภาพทางการเมือง ความห่วงใยต่อสวัสดิการของพลเมืองทุกคน การตรัสรู้ทางวัฒนธรรม และแนวทางเชิงประสานพลังต่อประเด็นทางสังคมที่หลากหลาย (ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา) ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่ "สังคมนิยมที่กลมกลืน" ในวิสัยทัศน์ของหู ในมุมมองของรัฐบาลจีน ปรัชญาเหล่านี้ ซึ่งได้สร้าง "รูปแบบการปกครองแบบจีน" ใหม่ขึ้นมา ทำหน้าที่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมายแทน "รูปแบบประชาธิปไตย" ของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา คำพูดของหูที่ว่า "สังคมนิยมที่กลมกลืนควรมีลักษณะเด่นคือ ประชาธิปไตย หลักนิติธรรม ความเสมอภาค ความยุติธรรม ความจริงใจ ความเป็นมิตร และความมีชีวิตชีวา"[41] เขากล่าวว่าสังคมดังกล่าวจะเปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้กับความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของผู้คน ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถแบ่งปันความมั่งคั่งทางสังคมที่เกิดจากการปฏิรูปและการพัฒนา และสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างประชาชนกับรัฐบาล หูยังเน้นย้ำว่าชุมชนศาสนาต่าง ๆ สามารถช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ภายใต้เป้าหมายของการ "สร้างสังคมสังคมนิยมที่กลมกลืน"[83]

ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่าจุดเริ่มต้นทางการเมืองของกลยุทธ์การพัฒนาแบบคาร์บอนต่ำมาจากทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาของหู แม้การสนับสนุนอุตสาหกรรมในด้านนี้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วก่อนที่หูจะกำหนดทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาก็ตาม[84]: 23 

การวิพากษ์วิจารณ์จากชาติตะวันตกที่มีต่อหู โดยเฉพาะในประเด็นสิทธิมนุษยชน เผยให้เห็นถึงความอ่อนไหวเป็นพิเศษของเขาต่อเสถียรภาพทางสังคม แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับการมุ่งมั่นใหม่ของเขาที่จะแก้ไขปัญหาทางสังคมที่หลากหลายของจีน[41] วาระการปฏิบัติจริงและไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ของหูมีค่านิยมหลักสองประการ ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพทางสังคมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และการธำรงรักษาวัฒนธรรมจีนเพื่อเสริมสร้างอธิปไตยของชาติ ในเรื่องนโยบายภายในประเทศ เขาดูเหมือนจะต้องการให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลการทำงานและการประชุมต่อประชาชนมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักข่าวของจีนได้เผยแพร่รายละเอียดการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองหลายครั้ง เขายังยกเลิกงานกิจกรรมตามธรรมเนียมหลายอย่าง เช่น พิธีส่งและต้อนรับผู้นำจีนอย่างเอิกเกริกเมื่อเดินทางเยือนต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำจีนภายใต้หูยังให้ความสำคัญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนและการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างพื้นที่ภายในประเทศและภูมิภาคชายฝั่ง ทั้งพรรคและรัฐดูเหมือนจะเปลี่ยนจากการให้นิยามการพัฒนาที่เน้นการเติบโตของ GDP เพียงอย่างเดียวไปสู่นิยามที่รวมถึงความเท่าเทียมทางสังคมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย[51]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 หูได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญที่โรงเรียนพรรคส่วนกลางที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งอำนาจและปรัชญาชี้นำของเขา ในการกล่าวสุนทรพจน์ หูใช้โทนเสียงแบบประชานิยมอย่างมากเพื่อดึงดูดชาวจีนทั่วไป โดยกล่าวถึงความท้าทายล่าสุดที่จีนกำลังเผชิญอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้ นอกจากนี้ หูยังกล่าวถึงความจำเป็นในการ “เพิ่มประชาธิปไตย” ในประเทศ[85]

การชี้นำทางศีลธรรม

[แก้]

เพื่อตอบสนองต่อปัญหาทางสังคมจำนวนมากในประเทศจีน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2006 หู จิ่นเทาได้ประกาศ "แปดเกียรติยศ และแปดอัปยศ" เป็นชุดจรรยาบรรณที่ประชาชนชาวจีนควรปฏิบัติตาม และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเผยแพร่ข้อความดังกล่าวไปยังเยาวชน[86] ประกอบด้วยบทกวีแปดบรรทัดที่สรุปว่าพลเมืองที่ดีควรถือสิ่งใดเป็นเกียรติและควรถือสิ่งใดเป็นความอัปยศ แนวทางนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขเชิงอุดมการณ์ของหู จิ่นเทาเพื่อรับมือกับปัญหาการขาดศีลธรรมที่รับรู้ได้ว่าเพิ่มขึ้นในประเทศจีนหลังจากการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนนำมาซึ่งคนรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นการหารายได้และอำนาจเป็นหลักขณะที่โครงสร้างทางสังคมเปราะบางลงเรื่อย ๆ[87]

ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมักสร้างคุณูปการของตนเองต่อทฤษฎีมากซ์–เลนิน มีการถกเถียงกันว่าสิ่งที่หูทำนั้นเป็นคุณูปการต่อทฤษฎีมากซ์–เลนินหรือไม่ แต่การตอบรับจากประชาชนจีนโดยทั่วไปอยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม มีการส่งเสริมแนวคิดของเขาอย่างแพร่หลาย เช่น ในโปสเตอร์ในห้องเรียน ป้ายตามท้องถนน และป้ายแสดงผลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเตรียมการสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 และงานเอ็กซ์โป 2010 ในเซี่ยงไฮ้ แนวคิดของหูต่างจากแนวคิดของผู้นำคนก่อน ๆ เช่น "สามตัวแทน" ของเจียงเจ๋อหมิน "ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง" และ "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ความต่างหลักคือการที่หูเน้นการกำหนดมาตรฐานทางศีลธรรม แทนที่จะกำหนดเป้าหมายทางสังคมหรือเศรษฐกิจ[88]

ภาพลักษณ์สาธารณะ

[แก้]

นิตยสารนิวส์วีกจัดให้หูเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับ 2 ของโลกใน ค.ศ. 2009 โดยกล่าวถึงเขาว่าเป็น "ผู้อยู่เบื้องหลังเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนเร็วที่สุดในโลก"[89] ในปีเดียวกันนั้น ฟอบส์ยังจัดให้เขาเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกอีกด้วย[90] หูได้รับการเสนอชื่อให้เป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2010 จากนิตยสารฟอบส์ [91] หูถูกจัดอยู่ในรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลประจำปีของนิตยสารไทม์ถึง 4 ครั้ง (ค.ศ. 2004, 2005, 2007 และ 2008) ใน ค.ศ. 2010 นักข่าวไร้พรมแดน องค์กรไม่แสวงผลกำไรและองค์กรนอกภาครัฐระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล ได้รวมหูไว้ในรายชื่อนักล่าเสรีภาพสื่อ[92]

รางวัลและเกียรติยศ

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 Ewing, Richard Daniel (20 มีนาคม 2003). "Hu Jintao: The Making of a Chinese General Secretary". The China Quarterly. 173: 17–34. doi:10.1017/S0009443903000032. S2CID 154666535. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2022.
  2. Elegant, Simon (4 ตุลาคม 2007). "In China, Hu is the Man to See". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  3. Brown, Kerry (10 กรกฎาคม 2011). "Chinese leadership: The challenge in 2012". East Asia Forum Quarterly. 3 (2): 4–5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2011.
  4. "Lìshǐ shàng de jīntiān – Guójiā zhǔxí Hú Jǐntāo chūshēng" [历史上的今天]国家主席胡锦涛出生 [Today in History – President Hu Jintao Was Born] (ภาษาจีน). Xinhua News Agency. 21 ธันวาคม 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 มกราคม 2018. สืบค้นเมื่อ 29 มกราคม 2018. 1942年12月21日,中华人民共和国国家主席胡锦涛出生。 [On 21 December 1942, President Hu Jintao of the People's Republic of China was born.]
  5. Liu, Melinda (5 พฤษภาคม 2002). "The Man In Jiang's Shadow". Newsweek (ภาษาอังกฤษ).
  6. Havely, Joe (19 ตุลาคม 2007). "Getting to know Hu". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2010. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2009.
  7. Doyon, Jérôme (2023). Rejuvenating Communism: Youth Organizations and Elite Renewal in Post-Mao China. University of Michigan Press. doi:10.3998/mpub.12291596. ISBN 978-0-472-90294-1.
  8. "Hu Jintao". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2010.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
  10. "临夏旅游" [Linxia Tourism]. Linxia Hui Autonomous Prefecture Tourist Board. 2003. pp. 26–27.. No ISBN
  11. Nathan & Gilley, p. 79
  12. Brown, Kerry (15 ตุลาคม 2010). "China's leader Hu Jintao leads a country in ferment". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2017. สืบค้นเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2017.
  13. Schell, Orville (19 ธันวาคม 2007). "Hu Jintao". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มกราคม 2017. สืบค้นเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2017.
  14. "Hu Jintao". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2017. สืบค้นเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2017.
  15. "Asia-Pacific | Profile: Hu Jintao". BBC News. 16 กันยายน 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มกราคม 2010. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  16. Wo-Lap Lam, Willy (2006). Chinese politics in the Hu Jintao era: new leaders, new challenges. M.E. Sharpe. p. 5. ISBN 978-0-7656-1773-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2020.
  17. Nathan & Gilley, p. 40
  18. "Hu Jintao". People's Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2010.
  19. Nathan & Gilley, p. 42
  20. People's Daily Bio
  21. Sisci, Francesco (9 พฤศจิกายน 2005). "Democracy with Chinese characteristics". Asia Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008.{{cite news}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  22. 22.0 22.1 Lam, Willy Wo-Lap (2006). Chinese Politics in the Hu Jintao Era. ME Sharpe. p. 31. ISBN 0-7656-1773-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2020.
  23. Lam, 8
  24. 24.0 24.1 24.2 24.3 Tkacik, John (29 เมษายน 2002). "Who's Hu? Assessing China's Heir Apparent: Hu Jintao". The Heritage Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2010.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  25. Lam, 9
  26. 26.0 26.1 Lam, p. 9
  27. Wo-Lap., Lam, Willy (2006). Chinese politics in the Hu Jintao era : new leaders, new challenges. Armonk, N.Y.: M.E. Sharpe. pp. 31. ISBN 9780765617743. OCLC 608483173. QUOTE: "Both are tough and able authoritarians who had extensive experience of repressing dissent on their rise to the top."
  28. Nathan & Gilley, pp.42-43
  29. Nathan & Gilley, p. 84
  30. 资料:1999年5月9日胡锦涛就我驻南使馆遭袭击发表讲话 [Source: Hu Jintao delivered a speech on the attack on the Chinese Embassy in Yugoslavia on May 9, 1999] (ภาษาChinese (China)). Sina Corp. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มกราคม 2019. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2019.
  31. 豪, 陳世 (2015). 胡錦濤與江澤民的權力分配與權力互動(2003.11-2004.9) (วิทยานิพนธ์ Master's Thesis) (ภาษาจีน). 淡江大學. doi:10.6846/tku.2015.00333. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2020. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2020.
  32. Wu, Zhong (7 กุมภาพันธ์ 2007). "Power in China: Through a glass, darkly". Asia Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 กรกฎาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2008.{{cite news}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  33. Luard, Tim (11 มกราคม 2005). "China's leader shows his stripes". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  34. "Hu Jintao reelected Chinese president". China Daily. Xinhua News Agency. 15 มีนาคม 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2023.
  35. Naughton 2008, p. 129
  36. Ramzy, Austin (9 เมษายน 2009). "China's New Healthcare Could Cover Millions More". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2023.
  37. 37.0 37.1 Scissors, Derek (พฤษภาคม–มิถุนายน 2009). "Deng Undone: The Costs of Halting Market Reform in China". Foreign Affairs. 88 (3). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2014.
  38. Chovanec, Patrick (8 June 2009). "China's Real Estate Riddle" เก็บถาวร 14 มิถุนายน 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Far East Economic Review. Retrieved 13 March 2010.
  39. 39.0 39.1 Orlik, Tom (16 พฤศจิกายน 2012). "Charting China's Economy: 10 Years Under Hu". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2023.
  40. "China overtakes Japan as world's second-biggest economy". BBC News. 14 กุมภาพันธ์ 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 สิงหาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2023.
  41. 41.0 41.1 41.2 41.3 "Kuhn, Robert Lawrence: Hu's Political Philosophies" (PDF). Esnips.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 มีนาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  42. 42.0 42.1 42.2 Wang, Frances Yaping (2024). The Art of State Persuasion: China's Strategic Use of Media in Interstate Disputes. Oxford University Press. ISBN 9780197757512.
  43. 43.0 43.1 Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 11. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  44. 44.0 44.1 44.2 Zhao, Suisheng (2022). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 51. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  45. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 75. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2023.
  46. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 237. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2023.
  47. Garlick, Jeremy (2024). Advantage China: Agent of Change in an Era of Global Disruption. Bloomsbury Academic. ISBN 978-1-350-25231-8.
  48. Spencer, Richard (6 พฤษภาคม 2008). "China's President Hu Jintao visits Japan". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  49. Pei, Minxin. "Chinese Foreign Policy After Hu". thediplomat.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มีนาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2020.
  50. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 76. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2023.
  51. 51.0 51.1 Zhao Suisheng, "Chinese foreign policy under Hu Jintao: The struggle between low-profile policy and diplomatic activism." Hague Journal of Diplomacy 5.4 (2010): 357-378.
  52. Hammond, Ken (2023). China's Revolution and the Quest for a Socialist Future. New York, NY: 1804 Books. ISBN 9781736850084.
  53. Sisci, Francesco (5 เมษายน 2005). "Strange cross-Taiwan Strait bedfellows". Asia Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008.{{cite news}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  54. Zhong, Wu (29 มีนาคม 2005). "KMT makes China return in historic trip to ease tensions". The Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มิถุนายน 2008. สืบค้นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2008.
  55. Sisci, Francesco (28 มิถุนายน 2006). "Hu Jintao and the new China". Asia Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008.{{cite news}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  56. "Chinese, U.S. presidents hold telephone talks on Taiwan, Tibet". Xinhuanet. 27 มีนาคม 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008.
  57. "China Confirms Leadership Change". BBC News. 17 พฤศจิกายน 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2012.
  58. Demick, Barbara (13 มีนาคม 2013). "China's Xi Jinping formally assumes title of president". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2013.
  59. Boehler, Patrick (13 กันยายน 2013). "Social media records rare public appearance of former president Hu Jintao". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2023.
  60. Chen, Andrea (10 เมษายน 2014). "Retired president Hu Jintao makes rare public appearance in Hunan". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2023.
  61. Choi, Chi-yuk (18 ตุลาคม 2017). "Long time no see: elder statesmen make rare public appearance at China's top table". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2023.
  62. Mai, Jun (1 กรกฎาคม 2021). "China's Communist Party sticks to the script on a day for young and old". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2023.
  63. Graham-Harrison, Emma; Davidson, Helen (22 ตุลาคม 2022). "Former Chinese president Hu Jintao unexpectedly led out of party congress". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  64. "Hu Jintao escorted out of China party congress". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 22 ตุลาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  65. Areddy, James T. "Hu Jintao's Exit from China's Party Congress Causes a Stir". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  66. "二十大闭幕 大会表决通过中委中纪委报告及党章修正案 - RTHK". Radio Television Hong Kong (ภาษาจีน). 22 ตุลาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  67. 李, 宗芳 (22 ตุลาคม 2022). "影/中共20大/閉幕表決胡錦濤中場離席 依舊不見江澤民出席 | 中天新聞網". CTi News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  68. McDonell, Stephen (22 ตุลาคม 2022). "Hu Jintao: The mysterious exit of China's former leader from party congress". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  69. Palmer, James (22 ตุลาคม 2022). "What the Hell Just Happened to Hu Jintao?". Foreign Policy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  70. "Was Hu Jintao's removal from China's 20th party congress suspicious or not?". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). 28 ตุลาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2022.
  71. "Xi Jinping has surrounded himself with loyalists". The Economist. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2022.
  72. "Hu Jintao argued about official papers before being escorted out of congress". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 25 ตุลาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2022.
  73. "江泽民遗体北京八宝山火化 习近平胡锦涛等到场送别" [Jiang Zemin's Body Cremated in Babaoshan, Beijing, Xi Jinping, Hu Jintao and Other Officials Attended the Farewell]. Zaobao. 5 ธันวาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2022.
  74. "江泽民遗体北京八宝山火化 习近平胡锦涛等到场送别" [Jiang Zemin's Body Cremated in Babaoshan, Beijing, Xi Jinping, Hu Jintao and Other Officials Attended the Farewell]. Zaobao. 5 ธันวาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2022.
  75. 75.0 75.1 75.2 75.3 75.4 Li, Cheng; Eve Cary (20 ธันวาคม 2011). "The Last Year of Hu's Leadership: Hu's to Blame?". Jamestown Foundation: China Brief. 11 (23). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2012.
  76. Wang, Lei (16 มีนาคม 2015). 胡锦涛时代遗患 为官不为遭炮轰. Duowei News (ภาษาจีนตัวย่อ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2015.
  77. "America in the Asia-Pacific: We're back". The Economist. 19 พฤศจิกายน 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 มกราคม 2012. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2012.
  78. 78.0 78.1 Wines, Michael (17 กรกฎาคม 2012). "As China Talks of Change, Fear Rises on the Risks". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2012.
  79. Johnson, Ian; Keith Bradshear (8 พฤศจิกายน 2012). "On Way Out, China's Leader Offers Praise for the Status Quo". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2012. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2012.
  80. Tsang, Steve; Cheung, Olivia (2024). The Political Thought of Xi Jinping. Oxford University Press. ISBN 9780197689363.
  81. Zhang, Guangzhao (21 ธันวาคม 2012). 公正评价胡锦涛的十年. Financial Times Chinese (ภาษาจีนตัวย่อ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2015.
  82. Jia, Qi. 如何正确评价胡锦涛裸退的历史意义 [How to correctly evaluate the historical significance of Hu Jintao's complete resignation]. Duowei News (ภาษาจีนตัวย่อ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2015.
  83. "China". Berkley Center for Religion, Peace, and World Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2011. See drop-down essay on "An Era of Opening"
  84. Lewis, Joanna I. (2023). Cooperating for the Climate: Learning from International Partnerships in China's Clean Energy Sector. Cambridge, Massachusetts: The MIT Press. ISBN 978-0-262-54482-5.
  85. Zhou, Kate Xiao. Democratization in China, Korea and Southeast Asia?: Local and National Perspectives (Politics in Asia). Routledge; 1 edition.
  86. 胡锦涛关于“八荣八耻”的论述 [Hu Jintao regarding 'The eight honors and eight shames'] (ภาษาจีนตัวย่อ). Sohu. 20 มีนาคม 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มกราคม 2009. สืบค้นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2008.
  87. Alice Miller, "Hu Jintao and the sixth Plenum." China Leadership Monitor 20 (2007): 1-12. online เก็บถาวร 29 กันยายน 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  88. Guoxin Xing, "Hu Jintao's Political Thinking and Legitimacy Building: A Post-Marxist Perspective." Asian Affairs 36.4 (2009): 213-226.
  89. "The NEWSWEEK 50: Chinese President Hu Jintao". Newsweek. 5 มกราคม 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 มีนาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  90. Noer, Michael; Perlroth, Nicole (11 พฤศจิกายน 2009). "The World's Most Powerful People". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2009. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2010.
  91. Perlroth, Nicole (3 พฤศจิกายน 2010). "The Most Powerful People On Earth". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 เมษายน 2019. สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2010.
  92. "Reporters Without Borders puts Russia's Putin, China's Hu on list of press 'predators'". Fox News. Associated Press. 3 พฤษภาคม 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2023.
  93. "胡锦涛会见哥自由党领导人". Yunnan Provincial Library (ภาษาจีน). Beijing: People's Daily (ตีพิมพ์ 21 มกราคม 1991). 23 มกราคม 1997. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  94. Xinhua News Agency. 卡斯特罗表示古巴钦佩传奇和革命的中国 [Castro says Cuba admires legendary and revolutionary China]. news.sina.com.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  95. "阿卜杜拉二世会见胡锦涛 胡锦涛离约旦抵塞浦路斯". People's Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2004. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2022.
  96. "圆满结束马达加斯加之行开始对加纳访问 胡锦涛副主席抵达阿克拉 (附图片)". People's Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มกราคม 2004. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2022.
  97. "President Hu presented Pakistan's highest civilian award". China Daily. Reuters. 24 พฤศจิกายน 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  98. "胡锦涛访问秘鲁接受十字勋章[组图]". news.ifeng.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 กรกฎาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2022.
  99. "Г.Бердымухамедов одарил Ху Цзиньтао раритетным орденом "Первый Президент Туркменистана Великий Сапармурат Туркменбаши"". centrasia.ru. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 เมษายน 2017. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2021.
  100. Yanukovych, Viktor (31 สิงหาคม 2010). "Про нагородження орденом князя Ярослава Мудрого". Verkhovna Rada of Ukraine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2021.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]


ก่อนหน้า หู จิ่นเทา ถัดไป
เจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
(15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012)
สี จิ้นผิง
เจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน
(15 มีนาคม ค.ศ. 2003 - 14 มีนาคม ค.ศ. 2013)
สี จิ้นผิง


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน