หอเกียรติภูมิรถไฟ
Hall of Railway Heritage | |
![]() ตัวอาคารในปี 2564 มีการติดป้ายว่า พิพิธภัณฑ์การรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ไม่ได้เปิดทำการแต่อย่างใด | |
ก่อตั้ง | 23 ตุลาคม 2532 |
---|---|
ยุติ | 23 ตุลาคม 2555 |
ที่ตั้ง | สวนจตุจักร, เขตจตุจักร, กรุงเทพมหานคร |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 13°48′40″N 100°33′25″E / 13.811056°N 100.556938°E |
ประเภท | พิพิธภัณฑ์รถไฟ |
ผู้ก่อตั้ง | สรรพสิริ วิรยศิริ |
เจ้าของ | ชมรมเรารักรถไฟ (ดำเนินงาน) การรถไฟแห่งประเทศไทย (เจ้าของพื้นที่) |
หอเกียรติภูมิรถไฟ (อังกฤษ: Hall of Railway Heritage) เป็นอดีตพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับรถไฟและการโดยสารรถไฟของประเทศไทย ตั้งอยู่ในสวนจตุจักรติดกับถนนกำแพงเพชร กรุงเทพมหานคร ภายในมีการจัดแสดงรถจักรไอน้ำ โมเดลรถไฟ และรถไฟขนาดจิ๋วพร้อมกับเรื่องราวของระบบรถไฟของไทยและของโลก
ปัจจุบันหอเกียรติภูมิได้ปิดตัวลงแล้ว เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ขอพื้นที่คืนจากชมรมเรารักรถไฟเนื่องจากผิดเงื่อนไขการใช้พื้นที่และการรถไฟจะดำเนินการพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเอง[1]
ประวัติ
[แก้]หอเกียรติภูมิรถไฟ ภายในมีห้องจัดแสดงขนาดใหญ่ที่มีการจัดแสดงเครื่องจักรและอุปกรณ์เก่าแก่เกี่ยวกับรถไฟ บริหารงานโดยชมรมเรารักรถไฟ ซึ่งประกอบไปด้วยหัวรถจักรไอน้ำมากมาย รวมไปถึงรถไฟจำลองและรถไฟจิ๋ว[2]
แต่เดิมตัวอาคารดังกล่าวได้ถูกกำหนดให้เป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟมาแต่เดิมในช่วง 20-30 ปีก่อน โดยภายในอาคารมีการจัดเก็บรถไฟที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก ทั้งหัวรถจักรดีเซลรุ่นต่าง ๆ รวมไปถึงรถจักรไอน้ำ และรถไฟพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ แต่กลับไม่ได้เปิดให้ใช้งานให้เกิดประโยชน์มากนัก[1] จนกระทั่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้น้อมเกล้าถวายที่ดินที่ตั้งอาคารดังกล่าวให้พระราชทานให้กรุงเทพมหานครได้จัดทำสวนสาธารณะ คือสวนจตุจักรในปัจจุบัน แต่ตัวอาคารดังกล่าวที่ติดไปกับที่ดิน กรุงเทพมหานครไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้เนื่องจากเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงถูกปล่อยร้างเอาไว้[1]
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2532[3][4] ชมรมเรารักรถไฟที่ก่อตั้งขึ้นโดย สรรพสิริ วิรยศิริ อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้ขอใช้พื้นที่ดังกล่าวจากการรถไฟฯ โดยเดิมทีจะใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์รถไฟ ตามจุดประสงค์เดิมของอาคาร แต่การรถไฟได้แจ้งมาว่าไม่สามารถใช้งานชื่อนี้ได้ เพราะไม่มีระเบียบรองรับให้ดำเนินการในชื่อนี้โดยเอกชน สรรพสิริจึงได้ยื่นขอใช้งานเฉพาะตัวอาคาร ไม่ได้ใช้ชื่อเดิมด้วย การรถไฟจึงได้ยินยอมให้ใช้งาน โดยมีเงื่อนไข 3 ข้อ[1] ได้แก่
- การรถไฟฯ จะมอบให้เพียงอาคารเปล่า ไม่มีการจ่ายระบบน้ำและไฟให้ เนื่องจากถือว่าอาคารดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการโดยการรถไฟฯ
- ต้องใช้เงินส่วนตัวในการดำเนินการ ห้ามทำการค้าหรือหาประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
- ให้ดำเนินการให้สมเกียรติของการรถไฟฯ
จากนั้นชมรมจึงได้ทยอยนำสินทรัพย์ทั้งของส่วนตัว และสมบัติของการรถไฟไทยที่อยู่ในอาคารอยู่แล้วมาดำเนินการซ่อมแซมและจัดแสดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยสมบัติบางชิ้นมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก เช่น รถรางที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้พระราชทานเอาไว้ให้ รถยนต์บางคันที่จัดแสดงเป็น 1 ใน 10 คันแรกของประเทศไทย และบางชิ้นเป็นของชิ้นสุดท้ายที่ยังไม่เคยถูกใช้งานเลย เช่น รถจักรไอน้ำ 1009 ที่ชาวไต้หวันนำมาขอสัมปทานวิ่งในปี พ.ศ. 2506 ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม[1] รวมไปถึงตระเวนเก็บกู้ซากรถไฟที่ถูกทิ้งนำมาคืนสภาพและนำมาจัดแสดง[5]
ช่วงปี พ.ศ. 2551 หอเกียรติภูมิรถไฟเริ่มประสบปัญหาขาดเงินทุนในการดูแล เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง และเงื่อนไขในการห้ามสร้างรายได้ของการรถไฟ และข้อจำกัดอื่น ๆ อีกอาทิ การที่ต้องขนส่งน้ำมาเองจากบ้านมาใช้งานที่อาคารตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการ เนื่องจากอาคารดังกล่าวไม่มีเลขที่ กรุงเทพมหานครและการรถไฟไม่ให้ใช้ระบบน้ำ จึงทำให้ต้องขนส่งน้ำมาเพื่อใช้ดูแลและทำความสะอาดอาคารและสิ่งของจัดแสดงภายในหอเอง ซึ่งขณะนั้นมีแนวคิดว่าหากไม่มีเงินทุนพอที่จะดูแลก็จะตัดสินใจขายรถจักรไอน้ำคันสุดท้ายของประเทศไทยที่ จุลศิริ วิรยศิริ ผู้รับช่วงดูแลหอเกียรติภูมิรถไฟและชมรมเรารักรถไฟครอบครองและจัดแสดงอยู่ในหอ คือ "รถจักรหมายเลข 10089" ที่มีชื่อเรียกว่า "รถดุ๊บ" เพื่อนำมาเป็นเงินทุนในการดูแลหอเกียรติภูมิรถไฟ จัดตั้งเป็นมูลนิธิ และหาคนมาดูแลสานต่อหอดังกล่าว โดยตั้งราคาไว้ที่ 20 ล้านบาทในเวลานั้น[6]
กระทั่งในปี พ.ศ. 2552 การรถไฟได้มีหนังสือมาที่ชมรมเรารักรถไฟเพื่อขออาคารคืน ด้วยข้อกล่าวหา 2 ข้อคือ
- กล่าวหาว่าชมรมพยายามเปลี่ยนชื่อจากที่ใช้อยู่ คือ จากหอเกียรติภูมิรถไฟ เป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟ ซึ่งทางชมรมได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยระบุว่าอาจจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากการเข้าร่วมประชุมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วชมรมได้เสนอให้การรถไฟฯ ได้จัดทำพิพิธภัณฑ์รถไฟขึ้นมา แต่การรถไฟตอบมาว่าติดขัดในด้านงบประมาณ และขอให้เอกชนโดยเฉพาะชมรมช่วยเป็นแกนหลักในการผลักดัน แต่กลับมีหนังสือมาถึงและกล่าวหาว่าชมรมจะสร้างรายได้จากการทำเป็นพิพิธภัณฑ์
- กล่าวหาว่าชมรมสร้างรายได้จากการดำเนินการหอเกียรติภูมิรถไฟ ด้วยการตั้งตู้น้ำดื่ม ซึ่งชมรมขายเพียงน้ำขวดละ 5-10 บาท ของที่ระลึกก็ไม่มีการจัดจำหน่าย
หอเกียรติภูมิรถไฟเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555[7] ซึ่งตรงกับวันปิยมหาราช และดำเนินการขนทรัพย์สินส่วนของชมรมออก เพื่อที่จะส่งมอบพื้นที่คืนให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เนื่องจากการรถไฟฯ ระบุว่ามีโครงการที่จะดำเนินการพิพิธภัณฑ์รถไฟต่อด้วยตัวเองตามหนังสือที่ได้แจ้งมา โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับการรถไฟแห่งประเทศไทยหลายครั้งแล้วแต่หาทางออกร่วมกันไม่ได้ ประกอบกับการดำเนินการหอเกียรติภูมิรถไฟที่ผ่านมา ชมรมได้ใช้งบประมาณของตนเองในการดำเนินงานและจากเงินที่ได้รับบริจาค รวมกันตกปีละประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์มีเงินบริจาคได้เกือบวันละ 1,000 บาท แต่ช่วงหลังมานี้เนื่องจากพิษเศรษฐกิจที่ซบเซาลง บางวันได้เพียง 20 บาทเนื่องจากเป็นการเข้าชมฟรีไม่เก็บค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขของการรถไฟฯ[4]
ข้อกังวล
[แก้]บุตรชายของ สรรพสิริ วิรยศิริ คือ จุลศิริ วิรยศิริ ผู้รับช่วงดูแลชมรมเรารักรถไฟต่อจากบิดา แสดงถึงความกังวลหลังจากต้องปิดตัวหอเกียรติภูมิรถไฟลง ว่าทางหน่วยงานราชการและการรถไฟแทบไม่เคยเห็นคุณค่าของมรดกต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ที่ผ่านมาปล่อยทิ้งไว้จนมีสภาพทรุดโทรม ขาดการดูแลรักษา จนกระทั่งตนได้เข้ามารับช่วงการดูแลหอเกียรติภูมิรถไฟต่อจากบิดา เนื่องจากเป็นความตั้งใจและคำสั่งเสียว่าให้สู้ต่อและอยากผลักดันให้เกิดพิพิธภัณฑ์รถไฟให้ได้ตามความตั้งใจของคุณปู่ คือพระยามหาอำมายาธิบดี (เส็ง วิรยศิริ) ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นราชเลขานุการส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ท่านรักกิจการรถไฟเป็นอย่างมากและเป็นสิ่งที่พระองค์พระราชทานเพื่อนำพาความเจริญมาสู่บ้านเมือง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการรถไฟขาดความใส่ใจในการดูแลมรดกตกทอดเหล่านี้และปล่อยทิ้งตากแดดตากฝนไว้ โดยชมรมอยากเห็นความชัดเจนหลังจากนี้ว่าจะดำเนินการต่อไปหลังจากหอเกียรติภูมิรถไฟส่งมอบพื้นที่คืน[4]
ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ก่อตั้งมูลนิธิพิพิธภัณฑ์รถไฟขึ้นมา และเริ่มต้นเปิดพิพิธภัณฑ์รถไฟขนาดไม่ใหญ่มาก บริเวณด้านหน้าสถานีกรุงเทพ เปิดทำการวันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา 10.00 - 18.00 น.[8] โดยยังไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการบริเวณอาคารเดิมของหอเกียรติภูมิรถไฟแต่อย่างใด
การจัดแสดงในอดีต
[แก้]มีการจัดแสดงเกวียนหลายประเภท รถจักรไอน้ำขนาดเล็ก 2 คันของบริษัทเกียวซานโกเกียว (Kyosan Kogyo) จากปี พ.ศ. 2492 และปี 2502[9] รถจักรดีเซล 2 คัน รวมไปถึงรถไฟห้องสมุด ซึ่งอีกจุดเด่นคือรถไฟโรงพยาบาล ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสั่งไม้สักทองมาจากประเทศบราซิล[10] ส่งไปผลิตและประกอบกับตัวรถไฟในประเทศอังกฤษ[10] และขนส่งทางเรือกลับมายังกรุงเทพมหานครเพื่อใช้งาน โดยรถไฟมีจุดประสงค์เพื่อใช้งานให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนในเมืองและจังหวัดที่อยู่ห่างไกล[10][1] จัดแสดงอยู่ 2 ตู้รถไฟ ได้แก่คันแรก ระบุว่าเป็น "รถ ร.พ." ใช้งานเป็นตู้โรงพยาบาล คันต่อมาระบุว่าเป็น "รถ จ.พ." คือรถจัดเฉพาะพยาบาล ภายนอกเหมือนคันแรก ภายในเป็นรูปแบบของคลินิกตรวจร่างกายแบบฉุกเฉิน และยังมีตู้รถไฟอีกหลายประเภท เช่น รถ จ.ขจก. คือตู้บรรทุกทหารที่จะไปปราบปราบโจรก่อการร้าย และ "รถ จ.ล.ย." คือรถจัดเฉพาะขนลำไย[10]
รถจักรไอน้ำที่โดดเด่น คือรถจักรไอน้ำ หมายเลข 10089 แบบ 0-4-0T แนร์โรว์เกจ สร้างขึ้นโดยบริษัทกียวซานโกเกียว สร้างขึ้นเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนจะยุติการผลิดเนื่องจากพ้นสมัยการใช้รถจักรไอน้ำ โดยตัวรถยังไม่ผ่านการใช้งานเลยจากการถอดออกดูตรวจสอบ คาดว่าจะถูกจัดซื้อมาใช้งานโดยบริษัทโรงงานน้ำตาลในการใช้ขนอ้อยป้อนเข้าสู่โรงงาน แต่เมื่อขนย้ายมาจนถึงท่าเรือวัดพระยาไกรโรงงานได้ใช้การขนส่งผ่านรถยนต์แทน ทำให้หัวรถจักรดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้ในโกดังและไม่เคยถูกใช้งานจนถึงปัจจุบันที่ถูกนำมาจัดแสดง[10][11]
รถจักรไอน้ำอีกคันได้รับสมยาว่า ผู้ปิดทองหลังพระของการรถไฟ ชื่อว่ารถจักรไอน้ำ "สูงเนิน" ที่รับหน้าที่การขนน้ำและตัดฟืนจากป่าหัวหวายมาให้กับขบวนรถไฟลากจูงด้วยรถจักรไอน้ำที่ใช้งานที่สถานีสูงเนิน ตั้งอยู่กลางดงพญาไฟในอดีต[10]
หอเกียรติภูมิยานยานต์ พีระ-เจ้าดาราทอง
[แก้]นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงรถยนต์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่นรถ "เฟี๊ยตโทโปลิโน่" ที่เหมือนกันกับรถยนต์พระที่นั่งของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ รถ "ดัทสันบลูเบิร์ด" ที่ได้ฉายาว่า "แท็กซี่เลือดไทย" เพราะเป็นรถยนต์ที่สร้างในประเทศไทยเป็นคันแรก รวมไปถึงซากเครื่องบินจริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2[10]
อนาคต
[แก้]ชมรมมีแผนจะดำเนินงานการอนุรักษ์รถไฟต่อไป โดยจะขนย้ายทรัพย์สินและไปใช้ที่ดินและอาคารที่ได้รับการบริจาค จากบริษัท ทองสมบูรณ์คลับ จำกัด ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาต่อไป[3] โดยการทำงานร่วมกันกับ โดม สุขวงศ์ และ ปราจิน เอี่ยมลำเนา[4]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 "ปิดตำนาน 'หอเกียรติภูมิรถไฟ' ประวัติศาสตร์ที่จะสูญสลายของรถไฟไทย". mgronline.com. 2011-06-22.
- ↑ "Bangkok:Hall of Railway Heritage". Thailand Guidebook. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 17, 2008. สืบค้นเมื่อ September 2, 2008.
- ↑ 3.0 3.1 ""ผมยอมเป็นคนโง่ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นคนเลวในชั่วชีวิต" คำสัญญาของ สรรพสิริ วิรยศิริ". สารคดี (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 "เปิดใจ'จุลศิริ วิรยศิริ'ในวันไร้หอเกียรติภูมิรถไฟ". posttoday. 2012-10-24.
- ↑ "หอเกียรติภูมิรถไฟ | ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย". db.sac.or.th.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "บทความ รางชีวิต จุลศิรา วิรยศิริ ผู้ชายหัวใจรถไฟ". kapook.com. 2008-07-01.
- ↑ Richard Barrow: Railway Museum in Bangkok to Open for the Last Time Today.
- ↑ พุทซาคำ, สุวิชา (2021-03-17). "มูลนิธิพิพิธภัณฑ์รถไฟ มิวเซียมจิ๋วหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพ ที่รวมสิ่งสนุกของรถไฟไทย". The Cloud.
- ↑ The Last Steam Trains of Bangkok. Where to See Amazing Steam Engines in Bangkok.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 ""หอเกียรติภูมิรถไฟ" ของดีที่ซ่อนอยู่ในสวนจตุจักร". m.mgronline.com.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Review หอเกียรติภูมิรถไฟ เก็บถาวร 2017-04-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.