หนังสือปฐมกาล
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ส่วนหนึ่งของ |
ศาสนาคริสต์ |
---|
สถานีย่อย |
หนังสือปฐมกาล[1] (อังกฤษ: Book of Genesis; ฮีบรู: בראשית; แอราเมอิก: ܣܦܪܐ ܕܒܪܝܬܐ; กรีก: Γένεση) มาจากภาษากรีกว่า “การเกิด” หรือ “ที่มา” เป็นหนังสือที่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโลก มนุษย์ และอิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกไว้ (ซึ่งมีความนัยทางเทววิทยา) ชื่อ "ปฐมกาล" แปลมาจากคำแรกของคัมภีร์ฮีบรูคำว่า בראשית (B'reshit or Bərêšîth) แปลว่า "ในปฐมกาล..." (in the beginning...)[2]
ผู้เขียน
[แก้]หนังสือปฐมกาลเป็นหนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม (โทราห์) และเป็นเล่มแรกในหมวดเบญจบรรณ ชาวยิวเชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียนขึ้น เนื้อหากล่าวถึงประวัติการสร้างโลกของพระยาห์เวห์ จนถึงลำดับลูกหลานของวงศ์วานอิสราเอล และการเข้าสู่อียิปต์ ซึ่งประกอบด้วยเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายดี เช่น อาดัมกับเอวา เรือโนอาห์ หอบาเบล ฯลฯ
สำหรับศาสนายูดาห์ ความสำคัญทางคริสต์ศาสนวิทยาเน้นพันธสัญญา (Covenants) ซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับชาติที่ได้รับเลือก (Chosen People) คือชาวยิว เกี่ยวกับดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) ที่พระเจ้าทรงประทาน สำหรับศาสนาคริสต์ ตีความหมายมาสู่ความเชื่อว่า พระเยซูเปรียบได้กับอาดัมคนใหม่ และพันธสัญญาใหม่เป็น “บทสรุปของพันธสัญญาเดิม”
โครงสร้างของ หนังสือปฐมกาล ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ช่วงต้น (primeval history) (ปฐมกาล 1-11) กับ ลำดับพงศาวลี (biblical Patriarchs) ขณะที่ โครงเรื่องเกี่ยวกับโยเซฟ (บุตรยาโคบ) เป็นเรื่องเล่าต่างหาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าหนังสือปฐมกาลเขียนโดยผู้ไม่ออกนามและมีการแก้ไขระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 5 ก่อนคริสตกาล[3]
เนื้อหาโดยสรุป
[แก้]หนังสือปฐมกาลเริ่มต้นด้วยการทรงสร้างของพระเจ้า ทั้งการสร้างฟ้าสวรรค์ โลก สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาดัมและเอวามนุษย์คู่แรก รวมทั้งการกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของความบาปอันเป็นเหตุให้มนุษย์ถูกขับออกจากสวนเอเดน และหนังสือปฐมกาลก็นำไปสู่เหตุการณ์ที่สำคัญของมนุษยชาติ 2 เหตุการณ์ ได้แก่ การสร้างหอบาเบล และปรากฏการณ์เรือโนอาห์ในเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
ต่อมากล่าวถึง การทรงเรียกอับราฮัม และพันธสัญญาที่ทรงกระทำต่อเขาและภรรยา[4] และยังกล่าวไปถึงรุ่นลูกของอับราฮัม ซึ่งได้แก่ อิสอัค และอิชมาเอล บรรพบุรุษของชนชาติอิสราเอลและปาเลสไตน์ รุ่นหลานของอัมราฮัมได้แก่ยาโคบ ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า อิสราเอล และรุ่นเหลน ได้แก่ โยเซฟ ผู้ซึ่งนำพาอิสราเอลเข้าไปพำนักอยู่ในแผ่นดินอียิปต์
หนังสือปฐมกาลยังกล่าวถึงยุคก่อนหน้าที่ชนชาติอิสราเอลจะเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งอธิบายถึงพื้นฐานแนวความคิดทางด้านชาตินิยม ศาสนา รวมไปถึงประวัติศาสตร์ กฎหมาย และประเพณีต่าง ๆ ของชนชาติยิวอีกด้วย
เนื้อหาโดยย่อ
[แก้]กำเนิดโลก
[แก้]ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสรรพสิ่ง[5] โดยทรงใช้เวลาในการสร้างโลกทั้งสิ้น 6 วัน และทรงใช้เวลาอีก 1 วันเพื่อพักผ่อน จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้ 1 สัปดาห์ มี 7 วัน และกำหนดให้มี 1 วันเป็นวันพักผ่อน ที่มักพบในพระคัมภีร์ว่า "วันสะบาโต" ชาวยิวเคร่งครัดในวันสะบาโตมาก ไม่ทำอะไรในวันนั้น กิจกรรมที่อนุญาตให้ทำในวันนั้นมีจำนวนจำกัดมาก การไม่เคารพวันสะบาโต เสมือนการไม่ยำเกรงพระเจ้าเลยทีเดียว
ลำดับการทรงเนรมิตสร้างโลกของพระเจ้าเป็นดังนี้[6]
- วันที่ 1 ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า[7] ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า[8]
- วันที่ 2 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้น ออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า[9]
- วันที่ 3 พระเจ้าทรงแยกแผ่นดินออกจากแผ่นน้ำ และทรงเรียกแผ่นน้ำนั้นว่า ทะเล ทรงเนรมิตให้เกิดพืช ทั้งผัก หญ้า และต้นไม้นานาชนิด
- วันที่ 4 พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างต่าง ๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี[10] และทรงสร้างดาวต่าง ๆ
- วันที่ 5 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเล และนกในอากาศ และทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก"[11]
- วันที่ 6 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์บนแผ่นดิน ได้แก่ สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า และทรงสร้างมนุษย์ โดยตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด"[12]
- วันที่ 7 ในวันที่เจ็ดก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ (Sabbath) เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างและทรงกระทำ[13]
กำเนิดมนุษย์
[แก้]ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 2[14] กล่าวถึงไว้ว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ บนโลกใบนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงระบายลมปราณให้แก่มนุษย์ด้วย เรามักรู้จักลมปราณที่ว่าในนามของวิญญาณ และนั่นจึงไม่มีความแตกต่างกัน ที่เมื่อร่างกายของมนุษย์สูญสลาย ก็กลับกลายไปเป็นดินเช่นเดิมนั่นเอง เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งโลก เมื่อตายไปก็เป็นดินทั้งนั้น
พระเจ้าทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ซึ่งคาดว่าอาจอยู่ในพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากปฐมกาลได้กล่าวถึงแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติสไว้ ซึ่งในสวนแห่งเอเดนนี้พระเจ้าทรงบัญชาไว้แก่มนุษย์ว่า "ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่"[15]
ในครั้งแรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ผู้ชาย ชื่อ อาดัม ต่อมาทรงเห็นว่าไม่ควรให้มนุษย์อยู่คนเดียว จึงทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้ โดยทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งออกมาขณะอาดัมกำลังหลับ และนำกระดูกซี่โครงนั้นมาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิง ชื่อ เอวา
ความบาป
[แก้]ปฐมบาป เข้ามาในโลกครั้งแรก จากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ของมนุษย์ เอวา ถูกล่อลวงโดยมารในรูปของงู ให้สงสัยในคำสั่งของพระเจ้า และไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ พระเจ้าจึงมอบความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ให้ผู้หญิง นั่นคือการอุ้มท้อง และการคลอดลูก เพื่อเตือนให้มนุษย์ระลึกถึงความเจ็บปวดจากการมีบาป ดังพระดำรัสของพระเจ้า ว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้าและเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า"[16]
อาดัม ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพราะเชื่อเอวา ดังนั้น ผู้ชายจึงถูกลงโทษให้ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ดังที่พระเจ้าทรงตร้สไว้ว่า "เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้าจนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"[17] การไม่เชื่อฟังพระเจ้าของอาดัม และเอวา ทำให้ทั้งสองคนถูกขับออกจากสวนเอเดน ต้องทำมาหาเลี้ยงตนเอง และสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อมาอีกมากมาย
กาลเวลาต่อมาคาอิน (บุตรชายคนโตของอดัมและอีฟ) ได้ทำการสังหารอาเบล (บุตรชายคนเล็กของอดัมและอีฟและน้องชายของตน) จึงถือว่าเป็นการฆาตกรรมครั้งแรกของมนุษย์ พระเจ้าได้ทราบความในภายหลังจึงได้ลงโทษสาปให้คาอินทำไร่การเกษตรไม่ได้และกลายเป็นคนพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก คาอินได้ทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า "โทษที่ได้รับนั้นหนักหนากว่าจะรับได้และเมื่อร่อนเร่ไปในโลกแล้วอาจจะโดนคนอื่นฆ่าตายได้" แต่พระเจ้าได้ทำสัญลักษณ์ไว้ในตัวคาอินว่า "ผู้ใดได้สังหารนายคาอิน ผู้นั้นจะได้รับโทษทัณฑ์ถึงเจ็ดเท่า" หลังจากนั้นคาอินได้เดินทางไปยังเมืองโนดทางด้านทิศตะวันออกของเอเดน สร้างเมืองและให้กำเนิดทายาทเป็นเวลาต่อมา
ในปฐมกาลช่วงถัดมา ลำดับถึงพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาต่อเรื่อยมา น่าสังเกตว่า ยิ่งมนุษย์ห่างไกลพระเจ้ามากขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็ยิ่งสั้นลงไปด้วยเช่นกัน ตามหลักพระคัมภีร์แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน เพราะเราต่างสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันทั้งสิ้น
เรือโนอาห์
[แก้]เมื่อมนุษย์ห่างจากพระเจ้า ความบาปต่าง ๆ ก็ครอบงำมนุษย์มากขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายเสมอไป จึงทรงดำริว่า จะกวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศด้วย[18]
แต่ด้วยทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยของเขา และดำเนินกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงบอกเหตุการณ์น้ำท่วมโลกให้โนอาห์ทราบ พร้อมทั้งทรงมอบแผนผังรูปแบบเรือที่ใช้ในการช่วยชีวิตของโนอาห์ให้รอดพ้นจากการถูกล้างโลกในครั้งนั้น เป็นที่มาของ เรือโนอาห์ นั่นเอง เนื่องจากตามพระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้โนอาห์นำสิ่งมีชีวิตบนโลกขึ้นไปบนเรือด้วยอย่างละคู่ พระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร โนอาห์ก็ทำตามนั้นทุกประการ[19]
เมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกให้โนอาห์ขึ้นไปอยู่บนเรือ และทรงบันดาลให้ฝนตก 40 วัน 40 คืนติดต่อกัน และทรงปิดตาน้ำทั้งหมด จนน้ำท่วมโลก ผู้คน สัตว์ และพืชทุกชนิดที่อาศัยบนโลกก็เสียชีวิตไปทั้งสิ้น และทรงให้น้ำท่วมโลกอยู่เป็นเวลาถึง 150 วัน[20]
ภายหลัง เมื่อพระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์ จึงทรงทำให้น้ำลดลง โดยใช้เวลาประมาณ 150 ว้น เมื่อน้ำลดลงแล้วโนอาห์ และครอบครัวจึงกลับมาอาศัยอยู่บนแผ่นดินตามปกติ พระเจ้าทรงอวยพระพรให้แก่โนอาห์ และมอบบัญญัติบางประการ เช่น "ห้ามกินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน"[21] ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชาวยุโรปไม่รับประทานเลือด นอกจากนี้พระเจ้ายังทรงมีพันธสัญญาแก่โนอาห์ว่า "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป...เราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก"[22] ฉะนั้นตราบใดที่ยังเห็นรุ้งกินน้ำ ก็เป็นเหมือนคำสัญญาของพระเจ้าว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก (ทั้งใบ) อีก[23]
หอบาเบล
[แก้]หอบาเบล เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน[24] ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน[25]
การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น[26]
คำว่า "บาเบล" ที่ใช้ตั้งชื่อหอคอยนี้ มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู ที่แปลว่า วุ่นวาย นั่นเอง[27] และจากการสร้างหอบาเบล ทำให้มีพระธรรมข้อที่น่าประทับใจที่คริสตชนมักใช้ให้กำลังใจกัน กล่าวไว้ว่า แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดูสิ คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียวหมด มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่พวกเขาจะทำ และบัดนี้ไม่มีอะไรยับยั้งทุกสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำ"[28]
กำเนิดอิสราเอล
[แก้]ภายหลังจากยุคของโนอาห์อีกหลายลำดับ ทายาทชื่อ อับราฮัม ซึ่งยำเกรงพระเจ้า และอธิษฐานต่อพระองค์เป็นประจำ พระเจ้าตรัสกับอับราฮัม ให้อพยพครอบครัวไปยังดินแดนที่พระเจ้าประทานให้ เป็นที่ซึ่งน้ำดินดี อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งอวยพรให้พงษ์พันธุ์ของอับราฮัมเป็นพงษ์พันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นภรรยาของอับราฮัมเป็นหมัน
อับราฮัมได้ย้ายออกจากเมือง เดินทางไปตามที่พระเจ้าทรงนำ และผ่านไปยังเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา โดยโลทหลานชายของอับราฮัมที่เดินทางมาด้วย ได้ตั้งหลักแหล่งที่เมืองโสโดมนี้ แต่ต่อมาเมืองนั้นก็ถูกพระเจ้าลงโทษโดยให้กลายเป็นเกลือทั้งเมือง (รวมทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ) ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าปัจจุบันทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลตาย คือที่ตั้งของเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา ในอดีตนั่นเอง
ภรรยาของอับราฮัมชื่อ นางซาราห์ ซึ่งเดิมทีนางเป็นหมัน เมื่ออับราฮัมอายุได้ 99 ปี พระเจ้าทรงให้พันธสัญญาว่า อับราฮัมจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่ นางซาราห์จึงยกนางฮาร์กา สาวใช้ ให้เป็นภรรยาของอับราฮัม นางฮาร์กาตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อ อิชมาเอล เมื่ออิชมาเอลอายุได้ 13 ปี นางซาราห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายชื่อ อิสอัค ในระหว่างนั้นมีเหตุให้อับราฮัมต้องขับไล่นางฮาการ์และอิชมาเอลออกจากครอบครัวไป ส่วนอิสอัคได้รับการเลี้ยงดูจากบิดา จนเติบใหญ่และมีบุตรชาย ชื่อยาโคบ ซึ่งภายหลังได้รับฉายาใหม่ว่า อิสราเอล และเป็นที่มาของชื่อประเทศอิสราเอลในทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่าชาวยิวทุกเผ่าล้วนเป็นลูกหลานของยาโคบ
ยาโคบ หรือ อิสราเอล มีบุตรชายทั้งสิ้น 12 คน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการแบ่งเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลออกเป็น 12 เผ่า และ โยเซฟ บุตรชายคนสุดท้องของ ยาโคบ เป็นบุคคลที่ช่วยให้ชาวอิสราเอลสามารถหนีภัยแล้งไปพำนักอยู่ในประเทศอียิปต์ และก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในภายหลัง ซึ่งได้บันทึกไว้ในหนังสืออพยพ
มุมมองของศาสนาคริสต์ต่อหนังสือปฐมกาล
[แก้]ในคริสตจักรยุคแรก มุ่งเน้นการศึกษาหนังสือปฐมกาลในเชิงทฤษฎีที่อ้างอิงอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของชาวยิว ผู้เขียนพระวรสารนักบุญยอห์น ได้ใช้รูปแบบเปรียบเทียบระหว่างหนังสือปฐมกาล บทที่ 1 และพระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 1 โดยเปรียบพระลักษณะพระเจ้า มุ่งถึงการนำเสนอความเป็นตรีเอกภาพของพระเจ้ามากขึ้น โดยใช้คำว่า "พระวาทะ" (Word) รวมเข้ากับคำว่า "พระเจ้า" ดังกล่าวไว้ว่า "ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า"[29]
ศาสนาคริสต์ ได้นำเสนอความแตกต่างจากศาสนายูดาห์มากขึ้น เมื่อมีการนำเสนอภาพของพระเยซู ที่ทรงเป็นเสมือน อาดัม ที่ถูกส่งลงมาบังเกิดใหม่ เพื่อไถ่ความบาปให้แก่มนุษยชาติ และคริสตจักรก็เปรียบเสมือนเรือโนอาห์ที่ช่วยให้มนุษย์ผู้ชอบธรรมได้รับความรอด จากการรับบัพติสมา และพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัมที่ทรงอวยพระพรแก่ลูกหลานที่สืบเชื้อสายของอับราฮัมโดยสายเลือด กลับกลายเป็นลูกหลานของอับราฮัมที่สืบเชื้อสายโดยความเชื่อที่มีต่อองค์พระเยซู
นอกจากนี้ ยังมีภาพเปรียบเทียบในหนังสือปฐมกาล ที่ปรากฏชาย 3 คนเพื่อแจ้งข่าวการเกิดของอิสอัค แก่อับราฮัม[30] กับโหราจารย์ 3 คนที่แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซู[31] อีกด้วย
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
มุมมองของศาสนาอิสลามต่อหนังสือปฐมกาล
[แก้]ในคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์ไบเบิล มีทั้งส่วนที่เหมือน และส่วนที่แตกต่างกัน โดยพื้นฐานทั้งสองมีโครงเริ่มแรกเหมือนกัน โดยเนื้อหาในแง่ประวัติศาสตร์นั้น พระคัมภีร์ในทั้งสองศาสนามีความสอดคล้องกันตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก การสร้างมนุษย์ ความบาป เรือโนอาห์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลก เรื่องราวของอับราฮัม การทำนายฝันของโยเซฟ จนกระทั่งโมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ในมุมมองของคัมภีร์อัลกุรอานมองว่าหนังสือปฐมกาลมีความคลาดเคลื่อนของเนื้อหา ที่แตกต่างในหลายประเด็น และคัมภีร์อัลกุรอานค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องของกฎบัญญัติสูงมาก
ตัวอย่างของเนื้อหาส่วนที่มีความแตกต่าง
[แก้]- เรื่องเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เนื้อหาคัมภีร์ทั้งสองศาสนากล่าวเหมือนกันว่าเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก (แม้มีคริสต์ศาสนิกชนบางกลุ่มความเชื่อ ไม่เชื่อเช่นนั้นก็ตาม) ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า ภรรยา (วาอิละฮฺ) และบุตรชาย (กันอาน) ของโนอาห์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมขึ้นเรือและเสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมโลก[32] ซึ่งในพระธรรมปฐมกาลในคัมภีร์ไบเบิลนั้น ได้นับบุตรชายทั้งสามคนของโนอาห์ขึ้นไปบนเรือทั้งสิ้น[33][34][35]
- เรื่องราวของโลท (ลูฎ) ในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงโลทน้อยมาก ในขณะที่ในคัมภีร์อัลกุรอาน จัดให้โลท อยู่ในหมวดหมู่อัครสาวกและผู้พยากรณ์เหมือนกับอับราฮัม (อิบรอฮีม) ลุงของเขา แต่อ้างถึงฐานะในหมวดหมู่ดังกล่าวจากคัมภีร์โทราห์ของศาสนายูดาห์ คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าภรรยาของโลทได้ติดตามโลทออกจากเมืองโสโดม และได้หันหลังกลับไปมองเมืองนั้น จึงถูกสาปให้เป็นเสาเกลือ[36] แต่ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า ภรรยาของโลท เมื่อได้ยินเสียงกึกก้องของการลงโทษ นางได้เหลียวหลังไปดูหมู่บ้านของพวกนาง ทันใดนั้นก้อนหินก็หล่นลงมาฆ่านางตายทันที[37]
- การถวายบุตรแด่พระเจ้า ของอับราฮัม ในคัมภีร์อัลกุรอานเชื่อว่าบุตรที่ถูกถวายแด่พระเจ้าคืออิชมาเอล และเชื่อว่าอิชมาเอล คือ บุตรหัวปี ซึ่งบุตรทั้งสองคนเป็นผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมเหมือนกัน อิสอัค (อิสฮัค) และลูกหลานได้รับมรดก และรับพันธสัญญาของพระเจ้ามีบุตรหลานมากมายเป็นศาสดาพยากรณ์ เช่นเดียวกับที่ทางสายอิชมาเอลที่มีมุฮัมมัดเป็นศาสดาในยุคหลัง ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลนั้น อิสอัคเป็นบุตรที่พระเจ้าให้นำไปถวาย[38] และพระเจ้าได้ตั้งพันธสัญญาขึ้นต่ออับราฮัม ว่าเชื้อสายของเขา (อิสอัค ผู้เป็นบุตรหัวปีของนางซาราห์ภรรยาหลวง) จะเป็นต้นเชื้อสายของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง (ทางศาสนาคริสต์เล็งถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์)[39][40] และกล่าวถึงการอวยพรของพระเจ้าต่อเชื้อสายของอับราฮัมทางฝั่งอิชมาเอล (บุตรหัวปีของนางฮาการ์ทาสรับใช้ของนางซาราห์) ว่า "ดูเถิด เราได้อวยพรเขาและจะกระทำให้เขามีลูกดกทวีมากขึ้นอุดมบริบูรณ์อย่างยิ่ง เขาจะให้กำเนิดเจ้านายสิบสององค์และเราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง"
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก
[แก้]บนพื้นฐานของหนังสือปฐมกาลศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ ต่างยึดเอาหนังสือปฐมกาล และหนังสือเล่มต่อ ๆ มาเป็นเครื่องช่วยในการคำนวณอายุเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏตามหลักฐานของพระคัมภีร์ เชื่อว่าโลกนี้ถูกสร้างเมื่อ 4 พันปีก่อนคริสตกาล (the beginning of the 4th millennium BC.) โดยนับตั้งแต่วันเริ่มแรกสร้างโลกของพระเจ้า การกำเนิดอาดัม และเอวา และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ และวันแรกของการสร้างโลกที่คำนวณด้วยวิธีการนี้ ที่เป็นที่ยอมรับและกล่าวอ้างถึงมากที่สุด คือเวลา 9 โมงเช้า ของวันที่ 23 เดือนตุลาคม เมื่อ 4004 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งบิช๊อป เจมส์ ยูเซอร์ (Anglican Bishop James Ussher) เป็นผู้คำนวณขึ้น
แต่การคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว ก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้นอย่างมาก รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีโดยส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ยอมรับการคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และชีววิทยา ล้วนแล้วแต่ไม่สอดคล้องกับผลการคำนวณดังกล่าว เนื่องจากหลักฐานบางอย่างระบุอายุของโลกไว้กว่า 4 พันล้านปีด้วยซ้ำไป ประเด็นอายุของโลกจึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างศาสนศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบัน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ หนังสือปฐมกาล, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ "biblestudytools.net". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-03-21.
- ↑ โดยประมาณ พัฒนาการของคณะผู้เชี่ยวชาญพระคริสตธรรมพิจารณาช่วงเวลาในปฐมกาลและเบญจบรรณ มีขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20, "Source Analysis" เก็บถาวร 2001-02-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Barry Bandstra, วิทยาลัย Hope, มิชิแกน.
- ↑ หนังสือปฐมกาล 22:3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ webinspirer.com
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:1-2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:4-5, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:7-8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:14, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 1:26, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 2:2-3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล บทที่ 2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 2-16-17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 3:16, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 3:19, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 6:5-7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 6:9-22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 7:1-24, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 9:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 9:11-13, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล บทที่ 8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 11:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 11:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 11:6-9, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล บทที่ 11, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 11:6, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ พระวรสารนักบุญยอห์น 1:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล บทที่ 8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ พระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ฮูด 11:40-43
- ↑ หนังสือปฐมกาล 9:18-19, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ จดหมายของนักบุญเปโตร ฉบับที่ 1 3:20, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ จดหมายของนักบุญเปโตร ฉบับที่ 2 2:5, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 19:26, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ฮูด 11:81[1]
- ↑ หนังสือปฐมกาล 22:1-11, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 17:7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ พระวรสารนักบุญมัทธิว 1:1-17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
ก่อนหน้า - |
หนังสือปฐมกาล คัมภีร์ฮีบรู / พันธสัญญาเดิมของศาสนาคริสต์ |
ถัดไป หนังสืออพยพ |