ข้ามไปเนื้อหา

ชาวกฺ๋อง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กฺ๋อง/โอกฺ๋อง
ประชากรทั้งหมด
600 คน (พ.ศ. 2547)[1]
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ
สุพรรณบุรี · อุทัยธานี · กาญจนบุรี
ประเทศไทย ประเทศไทย
ภาษา
ภาษาลาวครั่ง · ไทย · กะเหรี่ยง
ส่วนน้อยพูดภาษากฺ๋อง[1]
ศาสนา
พุทธ

ชาวกฺ๋อง หรือ โอกฺ๋อง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดเล็กที่พบในเขตจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และอุทัยธานี มีประชากรราว 600 คน ชนกลุ่มนี้เรียกตัวเองและภาษาพูดว่า กฺ๋อง แต่คนภายนอกอาจเรียกชนกลุ่มนี้ว่า ละว้า หรือ ลัวะ เอกสารเก่าเรียก ละว้าเมืองกาญจนบุรี[2] ซึ่งเป็นคนละชาติพันธุ์กันด้วยความเข้าใจผิด เพราะชาวละว้าหรือลัวะเป็นชาติพันธุ์จากตระกูลภาษามอญ-เขมร ขณะที่ชาวกฺ๋องเป็นชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต[3] เชื่อกันว่าถิ่นฐานเดิมของชาวกฺ๋องอยู่ในประเทศพม่า แต่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว ปัจจุบันมีชาวกฺ๋องจำนวนไม่มากที่ยังพูดภาษาดั้งเดิมของตนเอง เพราะส่วนใหญ่หันไปพูดภาษาอื่น ผู้ที่สามารถใช้ภาษาดั้งเดิมของตนได้จะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป

ประวัติ

[แก้]

ประวัติของชาวกฺ๋องไม่ปรากฏแน่ชัดนัก เข้าใจว่าเดิมตั้งถิ่นฐานบริเวณชายแดนไทย-พม่า และถูกกองทัพไทยกวาดต้อนเข้าไปแถบลุ่มแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อยเมื่อราว 200 ปีก่อน มีถิ่นฐานหลักที่บ้านหนองปรือ ตำบลนาสวน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนกระจายตัวไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านละว้าวังควาย (ภาษากฺ๋องเรียก กะบี) ตำบลวังยาว และบ้านกกเชียง ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนจะอพยพไปอำเภอบ้านไร่และห้วยคต จังหวัดอุทัยธานีอีกจำนวนหนึ่ง[1][4] บ้างก็ว่ากฺ๋องที่บ้านละว้าในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบรรพบุรุษของชาวกฺ๋องบ้านละว้าคอกควาย อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี[5]

ในวรรณกรรม ขุนช้างขุนแผน ซึ่งถูกแต่งโดยกวีหลายท่านช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินอยู่ในเมืองสุพรรณบุรีเป็นหลัก โดยในตอนขุนช้างตามนางวันทอง ซึ่งสันนิษฐานว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง มีเนื้อหาที่ขุนแผนพานางวันทองเข้าไปในเขตแดนของละว้า ดังปรากฏความตอนหนึ่งว่า[3]

ครั้นถึงเชิงเขาเข้าเขตไร่ เห็นรอยถางกว้างใกล้ไพรระหง
ที่ตีนเขาเหล่าบ้านละว้าวง พาวันทองน้องตรงเข้าไร่แตง
พวกละว้าพากันปลูกมันเผือก รั้วเรือกหลายชั้นกั้นหลายแห่ง
ที่ยอดเขาล้วนเหล่าไร่ฟักแฟง มะเขือพริกกล้วยแห้งมะแว้งเครือ
พวกละว้าป่าเถินเดินตามกัน สาวสาวทั้งนั้นล้วนใส่เสื้อ
ทาขมิ้นเหลืองจ้อยลอยผิวเนื้อ เป็นชาติเชื้อชาวป่าพนาลี

ใน นิราศสุพรรณ อันเป็นผลงานวรรณกรรมของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2379 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึง "ละว้า" เมื่อคราวที่เขาตามหาปรอทในเมืองสุพรรณบุรี ความว่า[3]

สาวสาวเหล่าลูกลว้า น่าชม
ยิ้มย่องผ่องผิวสม ผูกเกล้า
คิ้วตาน่านวลสม เสมอฮ่าม งามเอย
แค่งทู่หูเจาะเจ้า จึ่งต้องหมองศรี ฯ
นิราศสุพรรณ โดย สุนทรภู่

จากวรรณกรรมทั้งสองเรื่อง แสดงให้เห็นว่า ชาวไทยสยามรับรู้ถึงการมีอยู่ของชางกฺ๋องในนามชาวละว้า มาไม่ต่ำกว่า 200 ปีมาแล้ว[3]

จากการศึกษาของมยุรี ถาวรพัฒน์ เมื่อ พ.ศ. 2540 ระบุถึงชุมชนของชาวกฺ๋องไว้ เรียงตามจำนวนประชากร ดังนี้[6]

ลำดับ หมู่บ้าน จังหวัด จำนวนหลังคาเรือน (หลัง) ประชากร (คน)
1. บ้านห้วยเข้ สุพรรณบุรี 54 หลัง 183 คน
2. บ้านคอกควาย อุทัยธานี 29 หลัง 129 คน
3. บ้านกกเชียง สุพรรณบุรี 20 หลัง 104 คน
4. บ้านวังควาย 14 หลัง 78 คน
5. บ้านคลองแห้ง อุทัยธานี 3 หลัง 13 คน

ปัจจุบันชาวกฺ๋องจำนวนมากสมรสข้ามชาติพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะที่บ้านกกเชียงในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีชาวลาวครั่ง คนอีสาน และไทยสยามอพยพมาอาศัยเป็นจำนวนมากตั้งแต่ พ.ศ. 2480–2500 ชาวกฺ๋องจำนวนไม่น้อยสามารถพูดภาษาลาวครั่งได้[1][6] ขณะที่ชาวกฺ๋องในจังหวัดกาญจนบุรีจะสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวกะเหรี่ยงและมอญ[7] ในงานเขียน ชาติวงศ์วิทยา เขียนใน พ.ศ. 2509 ระบุว่ามีหมู่บ้านขนาดเล็กหลายแห่งตามลำน้ำแควน้อยและแม่กลองที่คนในชุมชนสืบเชื้อสายจากชาวกฺ๋องหากแต่กลมกลืนคนไทยในท้องถิ่นไปแล้ว มีเพียงกลุ่มชนบางส่วนเท่านั้นที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และเครื่องแต่งกายที่ต่างออกไปจากคนไทยในท้องถิ่น[2] หลังการสร้างเขื่อนในอำเภอศรีสวัสดิ์และสังขละบุรีเมื่อ พ.ศ. 2534 ทำให้ชาวกฺ๋องจำต้องโยกย้ายจากถิ่นฐานเดิมไปตั้งหลักแหล่งใหม่ร่วมกับชาติพันธุ์อื่น ๆ[8] ใน พ.ศ. 2564 ที่หมู่บ้านกกเชียงเหลือชาวกฺ๋องแท้ ๆ เพียงสี่ครอบครัว จำนวนไม่เกิน 20 คน[4]

ภาษา

[แก้]

ชาวกฺ๋องมีภาษาพูดของตนเอง อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต กลุ่มภาษาพม่า-โลโล แต่ไม่มีภาษาเขียน[4] ศัพท์แสงบางคำของภาษากฺ๋องที่บ้านกกเชียงจะมีการหยิบยืมคำจากภาษาไทยและลาว เช่น การนับเลข เพราะชาวกฺ๋องจะมีเฉพาะหลักหน่วยและหลักสิบ พอหลักร้อยเป็นต้นไปจะใช้ภาษาไทยแทน[4] หลังเกิดโรคระบาดที่ทำให้จำนวนชาวกฺ๋องลดจำนวนลง ประกอบกับการเข้ามาของชนต่างถิ่น และการสร้างโรงเรียนสอนภาษาไทยที่ทำให้ชาวกฺ๋องอ่านออกเขียนได้ จำนวนผู้ใช้ภาษาดั้งเดิมก็ลดจำนวนลงทุกปี[1][5] ชาวกฺ๋องรุ่นใหม่พูดภาษาดั้งเดิมไม่ได้ บางส่วนก็กระดากอายที่จะพูด บ้างก็เกรงว่าจะถูกดูแคลนว่าล้าหลัง[1][4] ขณะที่ชาวกฺ๋องในจังหวัดกาญจนบุรีเลิกใช้ภาษากฺ๋องเพื่อการสื่อสารมาหลายทศวรรษแล้ว ส่วนใหญ่จะหันไปพูดภาษาไทยหรือกะเหรี่ยงแทน[8]

ใน พ.ศ. 2562 องค์กรยูเนสโกจัดให้ภาษากฺ๋องเป็นภาษาใกล้สูญ[9]

ศาสนา

[แก้]

เดิมชาวกฺ๋องนับถือผี แต่ปัจจุบันชาวกฺ๋องนับถือศาสนาพุทธ มีวัดประจำชุมชนสำหรับประกอบศาสนพิธี[4] แต่ไม่นิยมบูชาพระพุทธรูปหรือพระเครื่อง[6] เคยมีมิชชันนารีเข้าไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์กับชาวกฺ๋องแต่ไม่ประสบความสำเร็จ[1] ทั้งนี้ชาวกฺ๋องยังคงความเชื่อในการไหว้ผีหมู่บ้าน (พีกังเฮเคีย) ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้จะมี จาจ้ำ คือ เจ้าจ้ำ ซึ่งรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมลาว เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณมาประกอบพิธี[4] นอกจากนี้ยังมีพิธีเรียกขวัญ (เก๊กเคีย) ต้องใช้หมอทำขวัญมาประกอบพิธีเมื่อมีคนเจ็บป่วยหรือไม่สบาย และมีการเล่นผีกระด้ง สำหรับเสี่ยงทาย อย่างเดียวกับวัฒนธรรมมอญ[1]

ในอดีตชาวกฺ๋องจะฝังศพในป่าช้า โดยใช้วิธีเสี่ยงทายโดยใช้ไข่ แต่ปัจจุบันนิยมฌาปนกิจศพตามธรรมเนียมศาสนาพุทธ[6]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 "โอก๋อง". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-06. สืบค้นเมื่อ 6 ธันวาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  2. 2.0 2.1 ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร กองบัญชาการปราบปรามคอมมิวนิสต์ (2509). ชาติวงศ์วิทยา ว่าด้วยชนชาติเผ่าต่าง ๆ ในประเทศไทย (PDF). พระนคร: อักษรเจริญทัศน์. p. 33-34.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 ธีรวัฒน์ รังแก้ว (1 พฤศจิกายน 2564). "เยือนถิ่นละว้าบ้านกกเชียง จ.สุพรรณบุรี ฟื้นฟู 'พิพิธภัณฑ์มีชีวิต' ที่กำลังจะหมดลมหายใจ !!". สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 ธีรวัฒน์ รังแก้ว (1 พฤศจิกายน 2564). "เยือนถิ่นละว้าบ้านกกเชียง จ.สุพรรณบุรี ฟื้นฟู 'พิพิธภัณฑ์มีชีวิต' ที่กำลังจะหมดลมหายใจ !!". สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. สืบค้นเมื่อ 6 ธันวาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. 5.0 5.1 บัวฉัฐ วัดแย้ม. "กฺ๋อง". คลังข้อมูลดิจิทัลของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 มยุรี ถาวรพัฒน์ (2540). "สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ก๊อง (อุก๋อง)". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. Bradley, David (1989). Dying to be Thai: Ugong in western Thailand. La Trobe Working Papers in Linguistics 2:19-28.
  8. 8.0 8.1 Wright, Sue; Audra Phillips; Brian Migliazza; Paulette Hopple; and Tom Tehan. 1991. SIL Working Summary of Loloish Languages in Thailand. m.s.
  9. "มากกว่า 20 ภาษาในไทยเสี่ยงเป็น "ภาษาสาบสูญ" จากข้อมูลยูเนสโก". ประชาไท. 23 กรกฎาคม 2562. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)