คอลิด อิบน์ อัลวะลีด
คอลิด อิบน์ อัลวะลีด خالد بن الوليد | |
---|---|
เกิด | 585 มักกะฮ์ คาบสมุทรอาหรับ |
เสียชีวิต | พฤษภาคม 642 (57 ปี) ฮอมส์ รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน บิลาด อัช-ชาม ปัจจุบันคือประเทศซีเรีย |
สุสาน | |
รับใช้ | รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน |
แผนก/ | Rashidun army |
ประจำการ | มิถุนายน 632– 638 |
ชั้นยศ | จอมทัพ |
หน่วย | กองกำลังเคลื่อนที่ |
บังคับบัญชา | จอมทัพ (632–634) แม่ทัพทหารราบ (634–638) แม่ทัพของกองกำลังเคลื่อนที่ (634–638) ผู้บัญชาการทหารประจำเมืองอิรัก (633–634) ผู้ว่าราชการเมิองกินนัสริน (637–638) |
อะบู สุไลมาน คอลิด อิบน์ อัลวะลีด อิบน์ อัลมุฆีเราะฮ์ อัลมัคซูมี (<ideonly>แม่แบบ:Ngeonly><de> entation}} <de>; 585–642) รู้จักกันในชื่อ ซัยฟุลลอฮ์ อัลมัสลูล (<ideonly>แม่แบบ:Ngeonly><de> entation}} <de>; ดาบแห่งแสงอรุณของอัลลอฮ์) เป็นผู้ติดตามของมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มีทักษะในการรบและเป็นผู้บัญชาการภายใต้การควบคุมของมุฮัมมัด, อบูบักร์ และอุมัร[1] คอลิดได้สู้รบมากกว่า 100 สนามรบ ในระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์, จักรวรรดิแซสซานิด และกบฏในจักรวรรดิเคาะลีฟะฮ์ในช่วงปี ค.ศ. 632 ถึงปี ค.ศ. 636[2] จนกระทั่งในปีค.ศ. 638 เขาถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร ในระหว่างที่คอลิดเป็นผู้บัญชาการนั้น เขาได้ฐานะเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่ไม่เคยแพ้สงครามของโลก[3][4]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]คอลิดเกิดในปี ค.ศ. 585 ในเมืองมักกะฮ์ พ่อของเขาชื่อวะลีด อิบน์ อัลมุฆีรอ ผู้นำของเผ่าบนูมัคซูม[5] แม่ของเขาชื่อลูบาบะฮ์ อัลซุครอ บินต์ อัลฮาริษ[6]
หลังจากที่เขาเกิด รายงานจากประเพณีชาวกุเรช คอลิดถูกส่งไปยังแม่นมชาวเบดูอินกลางทะเลทราย จนกระทั่งอายุ 5 - 6 ปี เขาถูกนำกลับบ้านที่มักกะฮ์ ในขณะที่ยังเป็นเด็กนั้นเขาเกิดเป็นโรคอีสุกอีใส ซึ่งเขารอดมาได้ แต่ได้ทิ้งร่องรอยบนแก้มซ้ายของเขา[7]
สมัยมุฮัมมัด (ค.ศ. 610–632)
[แก้]ก่อนเข้ารับอิสลาม
[แก้]ไม่มีใครรู้ว่าคอลิดเป็นอย่างไรก่อนที่จะเข้ารับอิสลาม แต่มีรายงานว่าคอลิดไม่ได้เข้าร่วมสงครามบะดัร หลังจากนั้นเขานำชัยชนะให้กับชาวมักกะฮ์ในสงครามอุฮุด (ค.ศ. 625)[8] และสงครามสุดท้ายที่เข้าร่วมกับชาวกุเรชคือสงครามสนามเพลาะในปี ค.ศ. 627[9]
หลังจากสงครามบะดัรคอลิดและฮาชาม อิบน์ วะลีด ไปที่มะดีนะฮ์เพื่อจ่ายค่าไถ่วะลีด อิบน์ วะลีด แต่หลังจากนั้นวะลีดได้กลับมักกะฮ์แล้ว เขาได้หลบหนีไปยังมะดีนะฮ์เพื่อเข้ารับอิสลาม[10]
เข้ารับอิสลาม
[แก้]หลังจากทำสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์ในปีค.ศ. 628 มีรายงานว่าศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวกับวะลีด อิบน์ วะลีดว่า: "คนอย่างคอลิด ไม่สามารถอยู่ห่างจากอิสลามได้นานแน่"[11] วะลีดได้เขียนจดหมายไปยังคอลิดเพื่อเข้ารับอิสลาม คอลิดตัดสินใจเข้ารับอิสลามและได้พูดเรื่องนี้ให้กับอิกริมะฮ์ อิบน์ อบีญะฮัล คอลิดถูกทำร้ายโดยอบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ แต่ถูกอิกริมะฮ์ขวางและพูดว่า: "ระวังให้ดี โอ้ อบูซุฟยาน! ความโกรธของเจ้าอาจจะนำฉันเข้าร่วมกับมุฮัมมัด คอลิดจะนับศาสนาอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ"[12]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 629 คอลิดเริ่มเดินทางไปมะดีนะฮ์ แล้วพบกับอัมร์ อิบน์ อัลอาสและอุสมาน อิบน์ ฏอลฮะฮ์ ที่กำลังไปมะดีนะฮ์เพื่อเข้ารับอิสลามด้วย พวกเขามาถึงมะดีนะฮ์ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 629[13]
คอลิดได้ทักทายมูฮัมหมัดและสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อท่าน มุฮัมมัดจึงกล่าวกับคอลิดว่า:
ฉันแน่ใจว่า...ปัญญาและความหวังของเจ้าทำให้วันหนึ่งต้องรับอิสลามเป็นศาสนาของตนเอง[14]
— ศาสดามุฮัมมัด
การทหารในสมัยมุฮัมมัด
[แก้]ในเดือนกันยายน ค.ศ. 629 ได้มีการเคลื่อนทัพไปรบที่คอสซานิด รัฐประเทศราชของจักรวรรดิโรมันตะวันออก โดยก่อสงครามมุตอะฮ์ซึ่งเป็นสงครามระหว่างชาวมุสลิมและกองทัพของจักรวรรดิไบเซนไทน์ มุฮัมมัดได้ให้ซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์เป็นแม่ทัพ ถ้าซัยด์เสียชีวิต ญะฟัร อิบน์ อบีฏอลิบจึงรับหน้าที่ต่อ ถ้าญะฟัรเสียชีวิต อับดุลลอฮ์ อิบน์ รอวาฮะฮ์จึงรับหน้าที่ต่อ ถ้าทั้งสามถูกฆ่าแล้ว ให้เลือกคนที่เหมาะสมเอง[15] ตอนที่สู้รบนั้น แม่ทัพทั้งสามถูกฆ่าหมดแล้ว พวกเขาจึงเลือกคอลิดมารับหน้าที่นี้ต่อ แล้วสู้รบจนชนะ[16]
หลังจากเหตุการณ์ยึดครองมักกะฮ์ในปี ค.ศ. 630 คอลิดได้นำกองทัพไปสู้รบในสงครมฮุนัยน์และฏออิฟ จนชนะการต่อสู้ คอลิดได้รับบาดแผลขนาดใหญ่ในตอนสู้รบ มุฮัมมัดได้มาเยี่ยมเขาแล้วบอกว่าขอให้หายเร็วๆ[17]
เขาได้เข้าร่วมที่ตะบูกภายใต้การนำทัพโดยมุฮัมมัด คอลิดถูกส่งไปที่ดุมาตุลญันดัลพร้อมกับต่อสู้และจับเจ้าชายแห่งดุมาตุลญันดัล พร้อมกับบังคับให้ทำสัญญา[18]
การทหารขณะเป็นผู้บัญชาการ
[แก้]ในเดือนมกราคม ค.ศ. 630 (เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.8)[19]คอลิดถูกส่งให้ไปทำลายเทวรูปอัลอุซซา[20][21] แล้วสังหาร์ผู้หญิงที่มุฮัมมัดบอกว่านั่นคืออัลอุซซา[22]
คอลิดถูกส่งไปที่เผ่าบนูญาดิมะฮ์ให้เข้ารับอิสลาม พวกเขากล่าวว่า ซาบะอฺนา ซาบะอฺนา (เรามาจากสะบาอ์) แต่คอลิดเข้าใจผิด จึงกักขังและทรมานพวกเขาจนอับดุลรอฮ์มาน อิบน์ เอาฟ์ต้องบอกให้หยุด[20][21][23][24][25] มุฮัมมัดรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับการกระทำของเขา แล้วจ่ายสินไหมให้กับคนในครอบครัวที่เสียชีวิตและทรัพยสินที่ถูกทำลาย พร้อมกับพูดว่า: "โอ้อัลลอฮ์ ฉันบริสุทธิ์ (ไม่ได้เกี่ยวข้อง) กับสิ่งที่คอลิด อิบน์ วะลีดทำลงไป!"[26][27][28]
มุฮัมมัดได้ส่งคอลิดไปที่ดุมาตุลญันดัลเพื่อโจมตีปราสาทของเจ้าชายอุกัยดิรที่นับถือศาสนาคริสต์ จนยึดได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 631 (เดือนซุลกิอฺดะฮฺ ฮ.ศ.9) โดยคอลิดได้นำตัวประกันและขู่ว่าถ้าไม่เปิดประตูปราสาทแล้วเขาจะฆ่าตัวประกัน หลังจากนั้นศาสดามุฮัมมัดได้จ่ายค่าไถ่โดยมีอูฐ 2000 ตัว, แกะ 800 ตัว, ชุดเกราะ 400 ชุด, หอก 400 อัน และสัญญาว่าจะจ่ายจิซยะฮ์[29][30][31][32]
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 631 มุฮัมมัดได้ส่งคอลิดไปที่ดุมาตุลญันดัลอีกรอบเพื่อทำลายเทวรูปวัดด์ คอลิดได้ทำลายเทวรูปพร้อมกับสถานที่บูชาและสังหารทุกคนที่ต่อต้านการทำลายเทวรูป[29][30][31][33]
สมัยอบูบักร์ (ค.ศ. 632–634)
[แก้]ครอบครองทั้งคาบสมุทรอาหรับ
[แก้]หลังจากมุฮัมมัดเสียชีวิต เผ่าอาหรับหลายเผ่าได้ก่อกบฏต่อรัฐเคาะลีฟะฮ์ เคาะลีฟะฮ์อบูบักร์ได้ส่งทหารไปปราบกบฎและผู้ละทิ้งศาสนา[34] คอลิดจึงเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่อบูบักร์สั่งให้มีการวางแผนในสงครามริดดะฮ์โดยให้คำแนะนำว่าเขาต้องเป็นแม่ทัพนำชาวมุสลิมไปที่คาบสมุทรอาหรับตอนกลาง บริเวณที่เป็นศูนย์กลางของกบฎ และมีความเสี่ยงที่พวกเขาจะโจมตีมะดีนะฮ์ได้ง่าย[35]
ในช่วงกลางเดือนกันยายน ค.ศ. 632 คอลิดรบชนะตุลัยฮะฮ์[36]หนึ่งในกบฎที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาเพื่อที่จะให้ผู้คนสนับสนุนตนเอง จนอำนาจของตนเองได้หมดลงหลังจากแพ้ในสงครามคอมรา[34] หลังจากนั้นคอลิดได้ไปที่นัคราและกำจัดกบฎจากบนูซาลีมในสงครามนัครา สุดท้ายคอลิดได้ครอบครองทั้งแคว้นหลังจากสงครามซาฟัรโดยสู้รบชนะซัลมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 632[37]
ตอนนี้แคว้นรอบเมืองมะดีนะฮ์เป็นของมุสลิมแล้ว คอลิดจึงนำทัพไปที่แคว้นนัจญ์ ที่มั่นของเผ่าบนูตะมีม. มีหลายพวกที่ยอมพบคอลิดและกฎหมายของเคาะลีฟะฮ์ แต่มาลิก อิบน์ นูวัยเราะฮ์ หัวหน้าเผ่าบนูยัรบูอ์เลี่ยงการติดต่อกับคอลิดและบอกให้ผู้ติดตามแยกย้ายกันหนี โดยที่ครอบครัวของเขาจะหนีไปทางทะเลทราย[38] พร้อมกับประกาศเป็นศัตรูกับรัฐเคาะลีฟะฮ์โดยมีความร่วมมือกับซัจญะฮ์ ผู้หญิงที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดา[39] หลังจากนั้นมาลิกถูกจับพร้อมกับผู้คนของเขา[40] และคอลิดถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ เขาได้ตอบว่า: "นายของเจ้าได้พูดอย่างนี้ นายของเจ้าได้พูดอย่างนั้น" คอลิดจึงประกาศว่ามาลิกเป็นกบฎผู้ละทิ้งศาสนาพร้อมกับประหารชีวิต[41]
หลังจากการเสียชีวิตของมาลิกแล้ว คอลิดได้จับลัยลา บินต์ อัลมินฮัล ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง ทหารของเขาซึ่งรวมไปถึงอบูกอตออะฮ์เชื่อว่าคอลิดฆ่ามาลิกเพื่อเอาภรรยามาเป็นของเขา จนเรื่องนี้ถึงหูของอุมัรที่ปรึกษาของอบูบักร์ แล้วอบูบักรได้เรียกคอลิดให้เข้าพบเพื่ออธิบายว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้[42]
คอลิดได้รบชนะมุซัยลิมะฮ์ คนที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาในสงครามยะมามะฮ์เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 632 มุซัยลีมะฮ์ถูกฆ่าในสนามรบ และเผ่าที่เป็นกบฏก็ถูกทำลายหมดสิ้น[34]
การรุกรานจักรวรรดิเปอร์เชีย
[แก้]หลังจากที่ทำลายกบฏหมดแล้วทั้งคาบสมุทรอาหรับจึงอยู่ภายใต้รัฐเคาะลีฟะฮ์ อบูบักร์ต้องการที่จะขยายอาณาจักร[43] จึงส่งคอลิดไปที่อาณาจักรเปอร์เซียพร้อมกับทหาร 18,000 นาย เพื่อยึดครองเมโสโปเตเมียตอนล่าง (ปัจจุบันคือประเทศอิรัก)[44] โดยก่อนที่จะสู้รบนั้น เขาได้เขียนจดหมายไปยังฝ่ายเปอร์เซียว่า:
จงยอมรับอิสลามแล้วเจ้าจะปลอดภัย หรือจะยอมจ่ายจิซยะฮ์ (ภาษี) คุณและผู้คนของเจ้าจะอยู่ในการป้องกันของเรา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องโทษแต่ตนเองสำหรับผลที่ตามมา เนื่องจากฉันจะเป็นผู้ทำให้เจ้าตายสมกับที่เจ้ามีชีวิต[45]
— คอลิด อิบน์ วะลีด
เขาได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วในสี่สมรภูมิ ได้แก่: สงครามโซ่ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 633; สงครามแม่น้ำ ในช่วงสามสัปดาห์ของเดือนเมษายน ค.ศ. 633; สงครามวาลาจา ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633 และสงครามอุลลัยส์ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633[46] ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633 อัลฮิราเมืองหลวงประจำแคว้นเมโสโปเตเมียตอนล่างตกเป็นของมุสลิม โดยชาวเมืองยอมจ่ายจิซยะฮ์ (ภาษี) และสัญญาว่าจะช่วยฝ่ายมุสลิม[47] หลังจากให้กองทัพพักผ่อนแล้ว คอลิดได้นำกองทัพบุกเมืองอันบาร์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 633 แล้วล้อมเมืองจนกระทั่งพวกเขายอมแพ้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 633[48] แล้วไปทางตอนได้พร้อมกับยึดเมืองอัยนุลตัมร์ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 633[49]
ตอนนี้เกือบทั้งเมโสโปเตเมียตอนล่าง (แคว้นยูเฟรทีสตอนเหนือ) อยู่ภายใต้การควบคุมของคอลิดแล้ว แต่มีจดหมายถึงคอลิดว่าที่ดุมาตุลญันดัล อิยาด อิบน์ คันม์ ถูกล้อมรอบโดยพวกกบฎ คอลิดจึงต้องลงไปจัดการกับกบฎในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 633[46] ในตอนที่เขาคอลิดกำลังกลับไปที่เมโสโปเตเมีย คอลิดได้บอกว่า เขาแอบไปที่มักกะฮ์เพื่อไปทำ ฮัจญ์[50]
ในตอนที่เขากลับมาจากอารเบีย คอลิดได้รู้จากคนสอดแนมว่ามีกองกำลังทหารเปอร์เซียและชาวอาหรับคริสเตียนขนาดใหญ่[46]ประจำค่ายอยู่สี่ที่ในแคว้นยูเฟรติส ได้แก่เมือง ฮานาฟิซ, ซูมัยล์, ซานิย์ และบริเวณที่ทหารมากที่สุดคือเมืองมูซัยยะฮ์ คอลิดจึงพยายามเลี่ยงสงครามแบบประชันชิดกับกองทัพเปอร์เซียและตัดสินใจบุกทำลายค่ายแต่ละค่ายในเวลากลางคืนโดยการแบ่งทหารเป็นสามหน่วย[51] แล้วจัดการกับกองทัพเปอร์เซียตอนกลางคืน โดยเริ่มที่มูซัยยะฮ์, ซานิย์ และซูมัยล์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 633[52]
ชาวมุสลิมชนะชาวเปอร์เซียในการยึดเมโสโปเตเมียตอนล่างและเมืองทีไซฟอน (Ctesiphon) ที่ไม่มีทหารเฝ้าเมืองอยู่ ก่อนที่จะโจมตีเมืองหลวงของเปอร์เซีย คอลิดตัดสินใจว่าต้องจัดการทหารทางทิศใต้และตะวันตก พร้อมกับเคลื่อนทัพไปที่ชายเมืองฟิราซ แล้วรบชนะกองทหารผสมที่มีทหารเปอร์เซีย, ไบเซนไทน์ และอาหรับคริสเตียนพร้อมกับยึดป้อมปราการในสงครามฟิราซ ช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ. 633[53] นี่จึงเป็นสงครามสุดท้ายเพื่อที่ครอบครองเมโสโปเตเมียตอนล่าง
ระหว่างที่อยู่ในอิรัก คอลิดได้ตำแหน่งผู้ว่าราชการทหารในบริเวณที่ครอบครอง[54]
การรุกรานจักรวรรดิไบแซนไทน์
[แก้]หลังจากยึดแคว้นในจักรวรรดิเปอร์เซียได้แล้ว เคาะลีฟะฮ์อบูบักร์จึงมีรับสั่งให้ไปบุกรุกที่ซีเรีย โดยให้มีการแบ่งทหารเป็นสี่ส่วน แต่ละกลุ่มมีจุดหมายที่แตกต่างกัน ส่วนฝั่งไบเซนไทน์ได้รวบรวมทหารจากทุกค่าย[55] สิ่งนี้ทำให้ทหารมุสลิมไม่สามารถเดินแถวไปยึดซีเรียตอนกลางหรือเหนือได้[56]
เส้นทางที่จะไปซีเรียมีสองทาง โดยเส้นทางแรกเป็นทางไปเดามะตุลญันดัล (ปัจจุบันคือ ซะกากา) และอีกทางคือผ่านเมโสโปเตเมียทางเมืองรักกา ตอนนี้ทหารมุสลิมอยู่ที่ซีเรียแล้ว คอลิดจึงเลี่ยงเส้นทางไปเดามะตุลญันดัล เนื่องจากระยะทางไกลและใช้เวลาหลายสัปดาห์ที่จะไปถึงซีเรีย และเลี่ยงเส้นทางผ่านเมโสโปเตเมีย เพราะมีค่ายทหารโรมันอยู่ที่ซีเรียตอนเหนือและเมโสโปเตเมีย[57] คอลิดจึงเลือกทางไปซีเรียโดยผ่านทะเลทรายซีเรีย[58] และสั่งให้เดินขบวนผ่านทะเลทรายโดยไม่ต้องดื่มน้ำเป็นเวลาสองวัน[55] ก่อนที่จะถึงโอเอซิส คอลิดได้บอกให้พวกเขาเก็บน้ำไว้ใช้ในยามจำเป็น แล้วให้อูฐดื่มน้ำทันทีหลังจากไม่ได้ดื่มเป็นเวลานาน โดยอูฐจะเก็บน้ำไว้ในท้องของมัน ซึ่งจะทำให้พวกเขาอาจจะต้องฆ่าอูฐเพื่อที่จะเอาน้ำ ถ้าจำเป็น[58]
คอลิดเข้าไปที่ซีเรียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 634 แล้วยึดเมืองซาวา อะรัก, ปัลมิยรา, อัลซุคนะฮ์ และสู้รบเพื่อยึดครองเมืองอัลกอรยาตัยน์ และฮุววาริน หลังจากนั้นจึงไปต่อที่บัสรา เมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนซีเรีย-อารเบียและเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรคอสซานิด ประเทศราชของจักรวรรดิไบเซนไทน์ตะวันออก เขาข้ามเมืองดามัสกัสโดยการข้ามทางภูเขาเพื่อจะไปที่มะราจ อัลราฮาต เพื่อสู้กับพวกคอสซานิด[59]
เมื่อข่าวมาถึงคอลิดแล้ว อบูอุบัยดะฮ์จึงสั่งให้ชูรฮาบิล อิบน์ ฮาซานา หนึ่งในสี่แม่ทัพไปโจมตีเมืองบัสราโดยมีทหาร 4,000 นาย โดยที่ทหารไบเซนไทน์และอาหรับคริสเตียนไม่สามารถต้านทานได้[60] และยึดเมืองได้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 634 ทำให้ราชวงศ์คอสซานิดต้องถึงจุดจบ[61] หลังจากยึดเมืองบัสราได้แล้ว คอลิดจึงนำทหารทั้งหมดไปที่อัจนาดัยน์แล้วสู้กับทหารไบเซนไทน์ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 634[62]
หลังจากทหารไบเซนไทน์พ่ายแพ้ในสงครามอัจนาดัยน์ คอลิดตัดสินใจยึดเมืองดามัสกัส ที่ยึดมั่นของทหารไบเซนไทน์ ในขณะเดียวกันที่ดามัสกัส โทมัส ลูกเขยของจักรพรรดิเฮราคลิอุส กำลังเสริมการป้องกันในเมือง[63] รู้ว่าคอลิดกำลังมาที่นี่ เขาจึงเขียนจดหมายไปยังจักรพรรดิเฮราคลิอุสเพื่อต้องการทหารเพิ่ม และที่มากกว่านั้น เขาต้องการที่จะหยุดการเดินทางของคอลิดโดยนำกองทัพออกไปรบ พร้อมกับแบ่งไปที่เมืองยากูซาและมาราจ อัส-ซัฟฟารในวันที่ 19 สิงหาคม.[64] โดยขณะเดียวกัน กองทัพของเฮราคลีอุสได้มาถึงดามัสกัสในวันที่ 20 สิงหาคม คอลิดจึงแยกกองทัพโดยให้ส่วนหนึ่งไปทางตอนใต้ (ทางไปปาเลสไตน์) ,ตอนเหนือ (ทางไปดามัสกัส-เอมีซา) และกองทัพเล็กๆ ไปที่ดามัสกัส ทหารของจักรพรรดิเฮราคลิอุสได้รู้เรื่องนี้แล้วเดินทางไปทางของคอลิดแล้วก่อสงครามที่ซานิตา อัลอุกอบ ซึ่งอยู่ห่างจากดามัสกัสไป 30 กม.[65]
คอลิดจึงสู้และยึดครองซีเรียในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 634 หลังจากล้อมเมืองไป 30 วัน มีรายงานว่า ยุทธวิธีครั้งนี้อาจจใช้เวลาประมาณ 4 - 6 เดือน[66] จักรพรรดิเฮราคลีอุสได้ข่าวมาว่าเมืองซีเรียถูกยึดแล้ว จึงเหลือแค่เมืองแอนติออกในเอมีซา หลังจากสู้รบแล้ว คอลิดจึงใช้ทางลัดที่ไม่รู้จักเพื่อที่จะสู้รบกับกองทัพต่อ[67] โดยอยู่ห่างจากดามัสกัสทางตอนเหนือไป 150 กม. ในขณะเดียวกัน อบูบักร์เสียชีวิตในระหว่างสงครามดามัสกัส แล้วอุมัรกลายเป็นเคาะลีฟะฮ์คนต่อไป
สมัยอุมัร (634–642)
[แก้]ถอดถอนจากการเป็นจอมทัพ
[แก้]หลังจากอบูบักร์เสียชีวิตในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 634 จึงทำให้อุมัร ลูกพี่ลูกน้องของคอลิด เป็นเคาะลีฟะฮ์คนต่อไป[58] สิ่งแรกที่อุมัรทำนั้นคือย้ายคอลิดออกจากผู้บัญชาการทางทหารสูงสุดให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพของรัฐเคาะลีฟะฮ์อัรรอชีดีนและให้อบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัลญัรรอฮ์ทำหน้าที่นี้แทน[66] คอลิดเริ่มที่จะไม่เชื่ออุมัร (เนื่องจากเขาไม่เคยแพ้สงครามใดๆ ทั้งสิ้น) อุมัรจึงบอกว่า:"ฉันไม่ได้ถอดถอนคอลิดเพราะความโกรธของฉันหรือความไม่ซื่อสัตย์จากเขา แต่เหตุผลที่ฉันถอดถอนเพราะฉันต้องการให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่ให้ชัยชนะให้กับพวกเรา"[68]
ครอบครองซีเรียตอนกลาง
[แก้]หลังจากที่อบูอุบัยดะฮ์เป็นจอมทัพแล้ว เขาจึงส่งกองทัพเล็กไปที่อบูอัลกุดส์ (ปัจจุบันคือเมืองอับลา) โดยอยู่ใกล้เมืองซาเล่ประมาณ 50 กม. ทางตะวันออกของเบรุต เพื่อทำลายป้อมทหารในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 634 พร้อมกับได้ทรัพย์สินและนักโทษโรมันอีกร้อยคน[69]
ตอนนี้ซีเรียตอนกลางถูกครอบครอง และเส้นทางเชื่อมระหว่างซีเรียตอนเหนือกับปาเลสไตน์ถูกตัดขาดแล้ว อบูอุบัยดะฮ์จึงนำกองทัพไปที่ฟะฮัล (เปลลา) ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล500 ft (150 m) และเป็นที่กองทหารและผู้รอดชีวิตจากสงครามอัจนาดัยน์ของไบเซนไทน์อาศัยอยู่[70] แล้ววางแผนข้ามแม่น้ำจอร์แดนในบริเวณที่พวกเขาขวางกั้นน้ำ แล้วสู้รบจนชนะกองทัพไบเซนไทน์ในคืนวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 635[58]
สงครามยัรมูก
[แก้]ขณะเดียวกัน จักรพรรดิเฮราคลีอุสทรงแต่งตั้งกองทัพเพื่อยึดซีเรียกลับมาอีกครั้ง โดยใช้เส้นทางที่เลี่ยงทหารมุสลิมในช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 636[71] ต่อมา คอลิดเริ่มห่วงว่าทหารมุสลิมอาจถูกแยกและกำจัดโดยง่าย จึงแนะนำให้อบูอุบัยดะฮ์รวมกองทัพมุสลิมให้เป็นหนึ่ง เพื่อรับมือกับกองทัพไบเซนไทน์[72]
อบูอบัยดะฮ์สั่งให้ทหารมุสลิมในซีเรียทั้งหมดให้เคลื่อนตัวไปที่ญาบิยะฮ์ตามคำแนะนำของคอลิด[73] ซึ่งทำให้แผนของเฮราคลีอุสล้มเหลว เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับชาวมุสลิม ซึ่งอาจจะทำให้กองทัพของพระองค์ถูกทำลายได้
อบูอบัยดะฮ์สั่งให้กองทัพมุสลิมเรียงตัวตามพื้นที่ราบของแม่น้ำยัรมูก ซึ่งจะทำเป็นแหล่งผลิตหญ้าและน้ำได้ดีและสามารถใช้ทหารม้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น[74] พร้อมให้ทุกคนทำตามคำสั่งของคอลิด[75]
ณ วันที่ 15 สิงหาคม สงครามยัรมูกได้เกิดขึ้นและกินเวลาไป 6 วัน โดยที่ฝ่ายไบเซนไทน์พ่ายแพ้อย่างหนัก[76]
ครอบครองเมืองเยรูซาเลม
[แก้]ในขณะที่ทหารไบเซนไทน์กำลังสับสนอยู่นั้น ชาวมุสลิมสามารถยึดเมืองยัรมูคได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงไปทางตอนใต้เพื่อยึดเมืองเยรูซาเลม ที่ซึ่งทหารไบเซนไทน์หลบภัยมาอยู่ที่นี่[77] จึงมีสงครามอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นชาวเมืองจึงยอมแพ้แต่ต้องให้เคาะลีฟะฮ์มาที่นี่ด้วยตนเอง อัมร์ อิบน์ อัลอาสจึงแนะนำคอลิดให้รับสั่งเคาะลีฟะฮ์มาที่นี่ ดังนั้นอุมัรจึงมาที่นี่แล้วชาวเมืองยอมให้ครอบครองเยรูซาเลมในเดือนเมษายน ค.ศ. 637[78]
ครอบครองซีเรียตอนเหนือ
[แก้]ตอนนี้เมืองเอมีซาอยู่ในกำมือแล้ว อบูอุบัยดะฮ์และคอลิดจึงนำทัพไปที่กอดีซียะฮ์ เป็นบริเวณที่ทหารไบเซนไทน์ป้องกันอานาโตเลีย บ้านเกิดของจักรพรรดิเฮราคลีอุส, อาร์มีเนียและเมืองแอนติออก อบูอุบัยดะฮ์ได้ส่งคอลิดไปที่กินนัสริน[79] โดยที่ป้อมมีทหารกรีกภายใต้คำสั่งแม่ทัพเมนาส โดยที่เขามีแผนที่จะทำลายทหารของคอลิดก่อนที่พวกเขาจะรวมตัวกันที่ฮาซิรที่ห่างออกไป 5 กม. ทางตะวันออกของกินนัสริน แต่กลับพ่ายแพ้ในสงครามฮาซิร[80]
อบูอุบัยดะฮ์ได้เข้าร่วมกับคอลิดหลังจากชนะสงครามที่กินนัสรินในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 637 จึงทำให้ทางตอนเหนือของกินนัสรินเหมาะที่จะเดินทัพไปยึดเมืองอะเลปโปจากไบเซนไทน์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 637[81]
ก่อนที่จะยกทัพไปแอนติออก คอลิดและอบูอุบัยดะฮ์ตัดสินใจแยกเมืองรอบๆ อานาโตเลีย โดยการยึดฐานทัพที่ตั้งไว้รอบๆ ทางไปแอนติออก และมีสงครามเกิดขึ้นโดยที่นักรบชาวแอนติออกได้ตั้งทัพอยู่ใกล้แม่น้ำโอรอนเตส โดยรู้จักในชื่อสงครามสะพานเหล็ก[82]
อบูอุบัยดะฮ์ได้ส่งคอลิดให้ไปทางเหนือ ในขณะที่เขาไปทางใต้แล้วยึดเมืองลัซเกีย, ญับลา, ทาร์ทุส และชายทะเลของเทือกเขาแอนตี-เลบานอนตะวันตก ส่วนคอลิดได้บุกรุกที่แม่น้ำเกอเซอ (เกอเซอเลอมาก) ในอานาโตเลีย แต่จักรพรรดิเฮราคลีอุสได้หนีออกจากแอนติออก แล้วไปที่เอเดสซาก่อนที่ชาวมุสลิมจะมาถึง พร้อมกับจัดกองทัพไว้ที่ญาซีรา และอาร์มีเนีย จากนั้นจึงไปที่คอนสแตนติโนเปิลโดยเกือบที่จะถูกคอลิดจับได้ หลังจากที่เขาได้ยึดเมืองมาราชแล้วไปทางตอนใต้ไปที่มันบิจ[83] จักรพรรดิเฮราคลีอุสทรงใช้ทางภูเขาแล้วผ่านกำแพงซิลิเซียนพร้อมกับตรัสว่า:
ลาก่อน แล้วลาลับให้กับซีเรีย จังหวัดของข้าได้ตกไปยังน้ำมือของศัตรูแล้ว ...โอ้ซีเรีย – แผ่นดินที่สวยงามที่กำลังตกอยู่ในกำมือของศัตรู[84]
— จักรพรรดิเฮราคลีอุส
การต่อสู้ในอาร์มีเนียและอานาโตเลีย
[แก้]อุมัรได้สั่งให้ไปยึดเมืองญาซีรา โดยทำสำเร็จในช่วงปลายฤดูร้อน ปีค.ศ. 638 หลังจากยึดเมืองญาซีราแล้ว อบูอุบัยดะฮ์ได้ส่งคอลิดและอิยาด อิบน์ กันม์ไปยึดครองบริเวณทางเหนือของญาซิรา[85] โดยพวกเคลื่อนทัพไปอย่างอิสระ และยึดเมืองเอเดสซา อะมิดา (ดิยาบาเกิร), มาลาเตีย พร้อมบุกรุกไปถึงอาร์มีเนียของไบเซนไทน์, แคว้นอะรารัต และอานาโตเลียตอนกลาง เฮราคลีอุสได้ทิ้งป้อมทั้งหมดที่อยู่ระหว่างแอนติออกกับทาร์ทุส เพื่อสร้างเขตกันชนระหว่างบริเวณที่ชาวมุสลิมควบคุมและเขตอานาโตเลีย[86]
ตอนนั้นเองอุมัรได้กล่าวไว้ว่า: "ฉันหวังว่าเราจะมีกำแพงไฟระหว่างเรากับชาวโรมัน นั่นจะทำให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้ และเราก็ไปต่อไม่ได้เช่นกัน"[87]
ถูกถอดถอนจากการเป็นทหาร
[แก้]ตอนนี้ คอลิด เป็นโด่งดังและมีคนชื่นชอบเขามาก สำหรับชาวมุสลิมแล้ว เขาคือวีรบุรุษของชาติ[88] และรู้จักกันในสมญานามว่า ซัยฟุลลอฮ์ ("ดาบของอัลลอฮ์")
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากยึดเมืองมาราช (คาฮ์รามามันมาราช)ในฤดูใบไม้ร่วงปีค.ศ. 638 โดยมีคนแต่งกวีให้กับคอลิดพร้อมกับรับเงินจำนวน 10,000 ดิรฮัมจากเขา โดยเงินนี้ได้มาจากกองคลังของเคาะลีฟะฮ์[89]
อุมัรได้พูดกับอบูอุบัยดะฮ์ว่าคอลิดนำเงินมาจากไหนให้นักกวีคนนั้น: เป็นเงินจากกระเป๋าของเขาหรือของกองคลัง? ถ้าเขาบอกว่าใช้เงินของกองคลัง เขาจะมีความผิดฐานไม่ซื่อสัตย์[90] ถ้าบอกว่าใข้เงินในกระเป๋าของเขา ก็มีความผิดฐานฟุ่มเฟือย แต่ถ้าไม่ใข่ทั้งคู่เขาสมควรถูกปลดแล้วให้อบูอุบัยดะฮ์ทำหน้าที่นี้แทน[91]
คอลิดได้ไปที่กินนัสรีนและกล่าวลากับกองทหารเคลื่อนที่ของเขาแล้วไปที่มะดีนะฮ์เพื่อไปพบกับอุมัร พร้อมกับอธิบายว่าเขาทำอะไรผิด อุมัรจึงกล่าวคำสรรเสริญให้กับเขาว่า: "เจ้าได้ทำแล้ว และไม่มีชายคนใดเคยทำได้มาก่อน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทำ นั่นเป็นสิ่งที่อัลลออ์กำหนด..."[92]
หลังจากนั้นอุมัรได้อธิบายให้เข้าใจว่า:
ฉันไม่ได้ถอดถอนคอลิดเพราะความโกรธของฉันหรือความไม่ซื่อสัตย์จากเขา แต่เพราะผู้คนได้สรรเสริญเขา และฉันจึงกลัวว่าผู้คนคนจะพึ่งพาเขา ฉันต้องการให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่ให้ชัยชนะให้กับพวกเรา และแผ่นดินจะได้ไม่มีผู้หวังร้ายแน่นอน[93]
— เคาะลีฟะฮ์อุมัร
และด้วยเหตุนี้เองทำให้ความสำเร็จทางทหารของคอลิดได้มาถึงจุดจบ
เสียชีวิต
[แก้]หลังจากถูกถอดถอนออกจากการเป็นทหารมา 4 ปี คอลิดก็เสียชีวิตและถูกฝังที่เอมีซาในปีค.ศ. 642 ปัจจุบันสุสานของเขาอยู่ในมัสยิดคอลิด อิบนุ วะลีด ป้ายสุสานของคอลิดแสดงรายชื่อสงครามมากกว่า 50 ครั้งโดยที่เขาไม่เคยแพ้ (ไม่รวมสงครามย่อยๆ)[94] มีรายงานว่าเขาต้องการที่จะเสียชีวิตในฐานะผู้พลีชีพในสงคราม แต่ได้รับความผิดหวังเมื่อเขารู้ว่าจะต้องเสียชีวิตบนเตียงนอน[95] คอลิดจึงรู้สึกเศร้าเสียใจ แล้วพูดว่า:
ข้าได้เข้ารบหลายครั้ง เพื่อที่จะเป็นผู้พลีชีพ ร่างกายของข้าไม่มีรอยจุด, แผลเป็น และรอยแผลที่เกิดจากหอกหรือดาบเลย และตอนนี้ข้าต้องนอนตายเหมือนกับอูฐแก่...[96]
— คอลิด อิบน์ วะลีด
เมื่อเห็นเขารู้สึกเศร้า เพื่อนของคอลิดจึงบอกว่า:
เจ้าต้องเข้าใจนะ โอ้คอลิด เมื่อศาสนทูตของอัลลอฮ์ (มุฮัมมัด) ขอความสันติจงมีแด่ท่าน ได้ให้สมญานามเจ้าว่า ซัยฟุลลอฮฺ และท่านกำหนดไว้ว่าเจ้าจะไม่แพ้สมรภูมิใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเจ้าถูกฆ่าโดยผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว นั่นหมายความว่าดาบของอัลลอฮ์ได้ถูกทำลายลงโดยศัตรูของอัลลอฮ์; และนั่นไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น[97]
— เพื่อนเก่าของคอลิด
นี่คือคำพูดที่พูดไว้แค่วันเดียวก่อนที่คอลิดจะเสียชีวิต อุมัรได้ร้องไห้หนักมากและกล่าวว่า:
ขอให้พระองค์ทรงเมตตาเจ้า อบู สุไลมาน (คอลิด) สิ่งที่เจ้าทำตอนนี้ดีกว่าสิ่งที่เจ้ามีในวันนี้ ตอนนี้เจ้าอยู่กับองค์อัลลอฮ์แล้ว...[98]
— อุมัร อิบน์ คอฏฏอบ
ครอบครัว
[แก้]คอลิดมีภรรยาและลูกหลายคน รายชื่อด้านล่างนี้คือลูกที่มีในบันทึกทางประวัติศาสตร์
- ลูกชายของวะลีด ได้แก่:
- ฮิชาม อิบน์ วะลีด
- วะลีด อิบน์ วะลีด
- อัมมาระฮ์ อิบน์ วะลีด
- อับดุลชาม อิบน์ วะลีด[7]
- ลูกสาวของวะลีด ได้แก่:
- ฟัคตะฮ์ บินต์ วะลีด
- ฟาติมะฮ์ บินต์ วะลีด[7]
- นาจิยะฮ์ บินต์ อัลวะลีด (เป็นข้อโต้เถียง)[ต้องการอ้างอิง]
ไม่มีใครรู้ว่าคอลิดมีลูกกี่คน แต่มีอยู่สามคนที่ถูกกล่าวในประวัติศาสตร์ ได้แก่:
- สุไลมาน อิบน์ วะลีด
- อับดุลเรมาน อิบน์ วะลีด
- มุฮาญิร อิบน์ วะลีด[99]
สุไลมาน ลูกชายที่แก่ที่สุดของคอลิดถูกฆ่าในอียิปต์[99] แต่มีบางรายงานเขียนว่าเขาถูกฆ่าในสงครามดิยาร์บากิรในปี ค.ศ. 639[100] มุฮาญิร อิบน์ วะลีดเสียชีวิตในสงครามซิฟฟิน และอับดุลเรมาน อิบน์ วะลีดยังคงเป็นผู้ว่าราชการเมืองเอมีซาในสมัยเคาะลีฟะฮ์อุสมาน แล้วเข้าร่วมสงครามซิฟฟินโดยเป็นหนึ่งในแม่ทัพของมุอาวิยะฮ์ที่ 1, เข้าร่วมยึดคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 674 อับดุลเรมาน อิบน์ วะลีด จึงกลายเป็นคนที่จะเป็นกษัตริย์คนต่อไป แต่มีรายงานว่าเขาโดนวางยาพิษของมุอาวิยะฮ์[99] เพราะว่าเขาต้องการให้ยะซีดที่ 1 ลูกชายของเขาเป็นกษัตริย์คนต่อไปแทน[99]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Khalid ibn al-Walid, Encyclopædia Britannica. Retrieved. 17 October 2006.
- ↑ Akram 2004, p. 496
- ↑ Akram 2004, p. 499
- ↑ Alkhateeb, Firas (2017). Lost Islamic History: Reclaiming Muslim Civilisation from the Past (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. p. 43. ISBN 9781849046893.
- ↑ Akram 2004, p. 2
- ↑ Muhammad ibn Saad, Tabaqat vol. 8. Translated by Bewley, A. (1995). The Women of Madina pp. 195-196. London: Ta-Ha Publishers.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Akram 2004, p. 3
- ↑ Weston 2008, p. 41
- ↑ Akram 2004, p. 70
- ↑ Akram 2004, p. 14
- ↑ Akram 2004, p. 75
- ↑ Al-Waqidi & 8th century, p. 321
- ↑ Walton 2003, p. 208
- ↑ Ghadanfar, Mahmood Ahmad (2001). The Commanders of Muslim Army (ภาษาอังกฤษ). Darussalam Publishers. p. 31.
- ↑ Nicolle 2009, p. 22
- ↑ Akram 2004, p. 80
- ↑ Ghadanfar, Mahmood Ahmad (2001). The Commanders of Muslim Army (ภาษาอังกฤษ). Darussalam Publishers. p. 42.
- ↑ Akram 2004, p. 128
- ↑ "List of Battles of Muhammad". Military.hawarey.org. 28 ตุลาคม 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2011.
- ↑ 20.0 20.1 The sealed nectar, By S.R. Al-Mubarakpuri, Pg256. Books.google.co.uk. มกราคม 2002. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2011.
- ↑ 21.0 21.1 ""He sent Khalid bin Al-Waleed in Ramadan 8 A.H", Witness-Pioneer.com". Witness-pioneer.org. 16 กันยายน 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2011. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2011.
- ↑ The life of Mahomet and history of Islam, Volume 4, By Sir William Muir, Pg 135 See bottom, Notes section
- ↑ The life of Mahomet and history of Islam, Volume 4, By Sir William Muir, Pg 135. Books.google.co.uk. 1861. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2011.
- ↑ Ibn Ishaq, Sirat Rasul Allah (Life of Muhammad), trans. Guillaume, Oxford 1955, pp. 561–562
- ↑ al-Tabari, Victory of Islam, trans. Fishbein, Albany 1997, pp. 188 ff.
- ↑ In the Footsteps of the Prophet:Lessons from the Life of Muhammad, By Tariq Ramadan Page 179 [1]
- ↑ Tafsir Ibn Kathir all 10 volumes By IslamKotob Page
- ↑ The Meaning And Explanation Of The Glorious Qur’an (Vol 2) 2nd Edition By Muhammad Saed Abdul-Rahman Page 241 [2]
- ↑ 29.0 29.1 Abu Khalil, Shawqi (1 มีนาคม 2004). Atlas of the Prophet's biography: places, nations, landmarks. Dar-us-Salam. p. 239. ISBN 978-9960-897-71-4.
- ↑ 30.0 30.1 Abū Khalīl, Shawqī (2003). Atlas of the Quran. Dar-us-Salam. p. 244. ISBN 978-9960-897-54-7.
- ↑ 31.0 31.1 Rahman al-Mubarakpuri, Saifur (2005), The Sealed Nectar, Darussalam Publications, p. 277
- ↑ Muir, William (10 สิงหาคม 2003). Life of Mahomet. Kessinger Publishing Co. p. 458. ISBN 978-0-7661-7741-3. A full online version of it is available here [3][ลิงก์เสีย]
- ↑ Muir, William (10 สิงหาคม 2003). Life of Mahomet. Kessinger Publishing Co. p. 458. ISBN 978-0-7661-7741-3.
- ↑ 34.0 34.1 34.2 Nicolle 2009, p. 25
- ↑ Akram 2004, p. 167
- ↑ Walton 2003, p. 17
- ↑ Akram 2004, p. 178
- ↑ Al-Tabari 915, pp. 501–502
- ↑ Al-Tabari 915, p. 496
- ↑ Al-Tabari 915, p. 502
- ↑ Tabari: Vol. 2, Page no: 5
- ↑ Akram 2004, p. 183
- ↑ Akram 2004, p. 188
- ↑ Morony 2005, p. 223
- ↑ History of the World, Volume IV [Book XII. The Mohammedan Ascendency], page 463, by John Clark Ridpath, LL.D. 1910.
- ↑ 46.0 46.1 46.2 Morony 2005, p. 224
- ↑ Morony 2005, p. 233
- ↑ Morony 2005, p. 192
- ↑ Jaques 2007, p. 18 harvnb error: multiple targets (2×): CITEREFJaques2007 (help)
- ↑ Akram 2004, p. 215
- ↑ Akram 2004, p. 217
- ↑ Morony 2005, p. 225
- ↑ Morony 2005, p. 230
- ↑ Morony 2005, p. 149
- ↑ 55.0 55.1 Allenby 2003, p. 68
- ↑ Gil 1997, p. 40
- ↑ Akram 2004, p. 267
- ↑ 58.0 58.1 58.2 58.3 Gil 1997, p. 43
- ↑ Gil 1997, p. 41
- ↑ Akram 2004, p. 270
- ↑ Jaques 2007, p. 155 harvnb error: multiple targets (2×): CITEREFJaques2007 (help)
- ↑ Jaques 2007, p. 20 harvnb error: multiple targets (2×): CITEREFJaques2007 (help)
- ↑ Nicolle 1994, p. 58
- ↑ Jaques 2007, p. 636 harvnb error: multiple targets (2×): CITEREFJaques2007 (help)
- ↑ Nicolle 1994, p. 57
- ↑ 66.0 66.1 Walton 2003, p. 28
- ↑ Nicolle 1994, p. 59
- ↑ Allenby 2003, p. 70
- ↑ Akram 2004, p. 305
- ↑ Nicolle 1994, p. 52
- ↑ Akram 2004, p. 409
- ↑ Gil 1997, p. 45
- ↑ Weston 2008, p. 50
- ↑ Nicolle 1994, p. 63
- ↑ Walton 2003, p. 29
- ↑ Walton 2003, p. 30
- ↑ Gil 1997, p. 51
- ↑ Gil 1997, p. 53
- ↑ Nicolle 1994, p. 84
- ↑ Akram 2004, p. 429
- ↑ Jaques 2007, p. 28 harvnb error: multiple targets (2×): CITEREFJaques2007 (help)
- ↑ Akram 2004, p. 445
- ↑ Haykal 1990, p. 145
- ↑ Akram 2004, p. 448
- ↑ Haykal 1990, p. 146
- ↑ Haykal 1990, pp. 146–47
- ↑ Haykal 1990, p. 147
- ↑ Weston 2008, p. 43
- ↑ Gil 1997, p. 49
- ↑ Akram 2004, p. 481
- ↑ Weston 2008, p. 45
- ↑ Akram 2004, p. 487
- ↑ Akram 2004, p. 488
- ↑ Akram 2004, p. 501
- ↑ Akram 2004, p. 494
- ↑ Ibn Qutaybah & 9th century, p. 267
- ↑ Akram 2004, p. 303
- ↑ Muhammad Khalid, Khalid (2004). Men Aroud The Messenger (ภาษาอังกฤษ). Islamic Book Service. p. 128. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 ตุลาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2018.
- ↑ 99.0 99.1 99.2 99.3 Akram 2004, p. 497
- ↑ Ring and Salkin, 1996, p.193.
บรรณานุกรม
[แก้]ข้อมูลปฐมภูมิ
[แก้]- Al-Baladhuri, Ahmad ibn Yahya (9th century), Kitab Futuh al-Buldan
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - Al-Tabari, Muhammad ibn Jarir al-Tabari (915), History of the Prophets and Kings
- Al-Waqidi, Abu Abdullah Muhammad Ibn Umar (8th century), Fatuh al Sham (Conquest of Syria)
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - Dionysius Telmaharensis (774), Chronicle of Pseudo-Dionysius of Tell-Mahre
- Ibn Hisham, Abd al-Malik bin Hisham (9th century), As-Sirah an-Nabawiyyah (Biography of Prophet Muhammad)
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - Ibn Ishaq (750), Sirah Rasul Allah
- Ibn Qutaybah, Abdullaah bin Muslim (9th century), ‘Uyūn al-Akhbār (In history)
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - The Maronite Chronicles, 664
- Palmer, Andrew; Brock, Sebastian P; Hoyland, Robert (637 & 819), "Chronicles of 637 and 819", West-Syrian Chronicles, ISBN 9780853232384
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - Khalid Bin Waleed, Sword of Allah, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มกราคม 2013
ข้อมูลทุติยภูมิ
[แก้]- Akram, Agha Ibrahim (2004), The Sword of Allah: Khalid bin al-Waleed – His Life and Campaigns, Oxford University Press, ISBN 0-19-597714-9
- Allenby, Viscount (2003), Conquerors of Palestine Through Forty Centuries, Kessinger Publishing, ISBN 0-7661-3984-0
- Eggenberger, David (1985), An encyclopedia of battles: accounts of over 1,560 battles from 1479 B.C. to the present, Courier Dover Publications, ISBN 0-486-24913-1
- Haykal, Muḥammad Ḥusayn (1990), Al-Faruq, 'Umar, Dār al-Maʻārif Publishers, ISBN 977-02-3092-8
- Gil, Moshe (1997), A history of Palestine, 634–1099, Cambridge University Press, ISBN 0-521-59984-9
- Harkavy, Robert E (2001), Warfare and the Third World, Palgrave Macmillan, ISBN 0-312-24012-0
- Hoyland, Robert G. (1997), Seeing Islam as Others Saw It, Darwin Press, ISBN 0-87850-125-8, OCLC 36884186
- Jaques, Tony (2007), Dictionary of Battles and Sieges: A-E, Greenwood Publishing Group, ISBN 0-313-33537-0
- Jaques, Tony (2007), Dictionary of Battles and Sieges:F-O, Greenwood Publishing Group, ISBN 0-313-33538-9
- Jandora, John W. (1986), "Developments in Islamic Warfare: The Early Conquests", Studia Islamica, Maisonneuve & Larose (64): 101–113, JSTOR 1596048
- Kaegi, Walter Emil (1995), Byzantium and the Early Islamic Conquests, Cambridge University Press, ISBN 0-521-48455-3
- Malik, S. K. (1968), Khalid bin Walid: the general of Islam: a study in Khalid's generalship, Ferozsons publishers, Lahore
- Morony, Michael G. (2005), Iraq After the Muslim Conquest, Gorgias Press LLC, ISBN 1-59333-315-3
- Nicolle, David (1994), Yarmuk 636 A.D.: The Muslim Conquest of Syria #31, Osprey Publishing, ISBN 1-85532-414-8
- Nicolle, David (2009), The Great Islamic Conquests AD 632–750, Osprey Publishing, ISBN 1-84603-273-3
- Palmer, Andrew (1993), The Seventh Century in the West-Syrian Chronicles, Liverpool University Press, ISBN 0-85323-238-5
- Pratt, Fletcher (2000), The Battles That Changed History, Courier Dover Publications, ISBN 0-486-41129-X
- Ring, Trudy; Salkin, Robert M. (1994). International Dictionary of Historic Places. Taylor & Francis. ISBN 1-884964-03-6.
- Walton, Mark W. (2003), Islam at war: a history, Greenwood Publishing Group, ISBN 0-275-98101-0
- Weston, Mark (2008), Prophets and Princes: Saudi Arabia from Muhammad to the Present, John Wiley and Sons, ISBN 0-470-18257-1