เบนิโต มุสโสลินี
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
เบนิโต มุสโสลินี | |
---|---|
นายกรัฐมนตรีอิตาลี | |
ดำรงตำแหน่ง 31 ตุลาคม 1922 – 25 กรกฎาคม 1943 | |
กษัตริย์ | พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 |
ก่อนหน้า | หลุยจี ฟาคตา |
ถัดไป | ปีเอโตร บาโดลโย |
ดูเชแห่งสาธารณรัฐสังคมอิตาลี | |
ดำรงตำแหน่ง 23 กันยายน 1943 – 25 เมษายน 1945 | |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
ถัดไป | ยุบเลิกตำแหน่ง |
ดูเชฟาสซิสต์ | |
ดำรงตำแหน่ง 23 มีนาคม 1919 – 25 กรกฎาคม 1943 | |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
ถัดไป | ยุบเลิกตำแหน่ง |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | เบนิโต อามิลกาเร อานเดรอา มุสโสลินี 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1883 โดวีอาดีเปรดัปปีโอ ฟอร์ลิ อิตาลี |
เสียชีวิต | 28 เมษายน ค.ศ. 1945 Giulino di Mezzegra, Como อิตาลี | (61 ปี)
ที่ไว้ศพ | San Cassiano cemetery, เปรดัปปีโอ, ฟอร์ลิ |
เชื้อชาติ | อิตาลี |
ศาสนา | ไม่มี |
พรรคการเมือง | พรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ (1921–1943) |
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | พรรคสังคมนิยมอิตาลี (1901–1914) Italian Fasci of Combat (1919–1921) Fasci of Revolutionary Action (1914–1919) Autonomous Fasci of Revolutionary Action (1914) พรรครีพับลิกันฟาสซิสต์ (1943–1945) |
ความสูง | 5' 6½" (1.69 m) |
คู่สมรส | ราเคเล มุสโสลินี |
บุตร | เบนิโต อัลบิโน มุสโสลินี เอ็ดดา มุสโสลินี วิคตอริโอ มุสโสลินี บรูโน มุสโสลินี โรมาโน มุสโสลินี แอนนา มาเรีย มุสโสลินี |
บุพการี |
|
ญาติ | Ida Dalser มาร์เกริต้า ซาร์ฟาตี้ คลาล่า แปตะชิ |
วิชาชีพ | ผู้เผด็จการ, นักการเมือง, สื่อสารมวลชน, ผู้ประพันธ์บันเทิงคดี, ครู |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | อิตาลี สาธารณรัฐสังคมอิตาลี |
สังกัด | แม่แบบ:Country data กองทัพบกราชอาณาจักรอิตาลี |
ประจำการ | ประจำการ: 1915–1917 |
ยศ | จอมพลอันดับที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิ สิบโท |
หน่วย | กรมทหาร Bersaglieri ที่ 11 |
ผ่านศึก | สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 |
เบนิโต อามิลกาเร อานเดรอา มุสโสลินี (อิตาลี: Benito Amilcare Andrea Mussolini) เป็นนักการเมืองชาวอิตาลีและนักเขียนข่าวที่เป็นผู้นำของพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ เขาได้ขึ้นปกครองอิตาลีในฐานะนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1943 เขาได้กลายเป็นผู้นำประเทศจนกระทั่งปี ค.ศ. 1945 เมื่อเขาได้ทำลายการหลอกลวงของระบอบประชาธิปไตยและสร้างระบอบเผด็จการ
เป็นที่รู้จักกันในฐานะ "อิลดูเช"(ท่านผู้นำ), มุสโสลินีได้เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิฟาสซิสต์อิตาลี[1][2][3] ในปี ค.ศ. 1912 มุสโสลินีได้เป็นสมาชิกชั้นนำของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคสังคมนิยมอิตาลี(PSI)[4] แต่ถูกขับออกจากพรรค PSI จากการสนับสนุนในการเข้าแทรกแซงการทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้คัดค้านต่อจุดยืนของพรรคที่วางตัวเป็นกลาง มุสโสลินีได้รับใช้ในกองทัพบกแห่งราชอาณาจักรอิตาลีในช่วงสงครามจนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บและถูกปลดประจำการในปี ค.ศ. 1917 มุสโสลินีได้กล่าวประณามต่อพรรค PSI มุมมองของเขาในตอนนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ลัทธิชาตินิยมแทนที่จะเป็นลัทธิสังคมนิยมและต่อมาได้ก่อตั้งขบวนการฟาสซิสต์ซึ่งได้ต่อต้านสมภาคนิยม[5] และความขัดแย้งระหว่างชนชั้น แทนที่จะเรียกร้องให้"คณะปฏิวัติชาตินิยม"ได้เอาชนะการแบ่งชนชั้น[6] ภายหลังการเดินขบวนสู่เบอร์ลินในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1922 มุสโสลินีได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลีคนสุดท้องในประวัติศาสตร์อิตาลีจนกระทั่งได้แต่งตั้งให้แก่มัตเตโอ เรนซี ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 2014 ภายหลังจากได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดด้วยตำรวจลับของเขาและการนัดหยุดแรงงานของคนงาน[7] มุสโสลินีและผู้ติดตามของเขาได้รวบรวมอำนาจผ่านหนึ่งในกฎหมายที่เปลี่ยนประเทศให้เป็นระบอบเผด็จการพรรคการเมืองเดียว ภายในห้าปีที่ผ่านมา มุสโสลินีได้จัดตั้งอำนาจเผด็จการด้วยวิธีทั้งทางกฎหมายและวิธีที่ไม่ธรรมดาและต้องการที่จะสร้างรัฐระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ในปี ค.ศ. 1929 มุสโสลินีได้ลงนามสนธิสัญญาลาเตรันกับนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดในช่วงหลายทศวรรษของการสู้รบระหว่างรัฐอิตาลีและพระสันตะปาปาและได้ยอมรับการเป็นรัฐอิสระของนครวาติกัน
ภายหลังวิกฤตการณ์อะบิสซิเนีย ปี ค.ศ. 1935-1936 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานเอธิโอเปียในสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง การรุกรานครั้งนี้ได้ถูกประณามโดยมหาอำนาจตะวันตกและตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิตาลี ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและอิตาลีที่ดีขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนของฮิตเลอร์ในการรุกราน มุสโสลินีได้ยอมรับให้ประเทศออสเตรียอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนี, ได้ลงนามสนธิสัญญาในการร่วมมือกับเยอรมนีและประกาศก่อตั้ง อักษะ โรม-เบอร์ลิน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึง 1939 มุสโสลินีได้ส่งทหารจำนวนมากไปให้การสนับสนุนแก่กองกำลังของฟรังโกในสงครามกลางเมืองเสปน การแทรกแซงอย่างรวดเร็วครั้งนี้ยิ่งทำให้อิตาลีห่างเหินจากฝรั่งเศสและบริเตน มุสโสลินีได้พยายามชะลอสงครามครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป แต่เยอรมนีได้เข้ารุกรานโปแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ส่งผลทำให้มีการประกาศสงครามโดยฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรและจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940-ด้วยฝรั่งเศสพ่ายแพ้และถูกยึดครองใกล้มาถึง—อิตาลีได้เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการโดยเข้าข้างฝ่ายเยอรมัน แม้ว่ามุสโสลินีได้ทราบดีว่าอิตาลีไม่มีขีดความสามารถทางทหารและทรัพยากรในการทำสงครามอันยืดเยื้อกับจักรวรรดิบริติซ[8] เขาเชื่อว่าภายหลังจากการสงบศึกกับฝรั่งเศสที่ใกล้มาถึง อิตาลีอาจจะได้รับดินแดนจากฝรั่งเศส และเขาจะสามารถรวบรวมกองกำลังของเขาในการรุกครั้งใหญ่ในแอฟริกาเหนือ ที่กองกำลังบริติซและเครือจักรภพมีจำนวนมากกว่ากองทัพอิตาลี[9] อย่างไรก็ตาม, รัฐบาลบริติซได้ปฏิเสธที่ยอมรับข้อเสนอเพื่อสันติภาพที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับชัยชนะของฝ่ายอักษะในยุโรปตะวันออกและตะวันตก แผนการสำหรับการรุกรานสหราชอาณาจักรไม่ได้ดำเนินต่อไปและสงครามยังคงดำเนินต่อไป ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเข้าไปยังกรีซ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอิตาลี-กรีซ การรุกรานครั้งนี้ล้มเหลวและหลังจากกรีซได้โจมตีตอบโต้กลับผลักดันอิตาลีกลับไปยังเขตยึดครองแอลเบเนีย การล่มสลายของกรีซและพร้อมกับความปราชัยต่อบริติซในแอฟริกาเหนือทำให้อิตาลีต้องพึ่งพาเยอรมนี
เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเพื่อเข้าร่วมในการรุกรานสหภาพโซเวียตและอิตาลีได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ในปี ค.ศ. 1943 อิตาลีต้องประสบหายนะหลายครั้ง ภายหลังจากนั้นอีก: ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพแดงได้ทำลายกองทัพอิตาลีในรัสเซียอย่างราบคาบ ในเดือนพฤษภาคม, ฝ่ายอักษะถูกขับไล่ออกจากแอฟริกาเหนือ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม, ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกครองเกาะซิซิลี และเมื่อถึงวันที่ 16 ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าการรุกรานในช่วงฤดูร้อนในสหภาพโซเวียตล้มเหลว ด้วยผลที่ตามมา, เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม สภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ได้ลงมติไม่ไว้วางใจต่อมุสโสลินี วันต่อมา กษัตริย์ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้นำคณะรัฐบาลและควบคุมตัวเขาให้อยู่ในความดูแล เพื่อแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนต่อจากเขา มุสโสลินีได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังในการตีโฉบฉวยแกรน์ แซสโซโดยทหารโดดร่มเยอรมันและหน่วยคอมมานโดวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สภายใต้การนำโดยพันตรี Otto-Harald Mors
ภายหลังที่ได้เข้าพบกับอดีตผู้นำเผด็จการที่ได้คอยให้ความช่วยเหลือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ได้ให้มุสโสลินีเข้าไปปกครองในรัฐหุ่นเชิดทางภาคเหนือของอิตาลี สาธารณรัฐสังคมอิตาลี(อิตาลี: Repubblica Sociale Italiana, RSI),[10] เป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐซาโล ในช่วงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ในขณะที่ความพ่ายแพ้ทั้งหมดได้ใกล้เข้าถึง มุสโสลินีและอนุภรรยาของเขา คลาล่า แปตะชิ ได้พยายามหลบหนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์[11] แต่ทั้งคู่ถูกจับกุมโดยพลพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีและถูกประหารชีวิตอย่างรวบรัดโดยชุดทีมยิงเป้า เมื่อวันที่ 28 เมษายน ใกล้กับทะเลสาบโกโม ร่างของเขาถูกนำไปยังเมืองมิลาน ซึ่งที่นั้นได้ถูกแขวนประจานไว้ที่หน้าสถานที่ราชการเพื่อเป็นการยืนยันการตายของเขาแก่สาธารณชน[12]
ช่วงชีวิตต้น
[แก้]มุสโสลินี เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1883 ใน Dovia di Predappio เมืองขนาดเล็กในจังหวัดฟอร์ลีในโรมานญ่า ต่อมา ในช่วงยุคฟาสซิสต์ Predappio ได้ถูกขนานนามว่า "เมืองของดูเช" และฟอร์ลีถูกเรียกว่า "เมืองของดูเช" โดยนักแสวงบุญที่กำลังไปยัง Predappio และฟอร์ลี เพื่อมาดูบ้านเกิดของมุสโสลินี
บิดาของเขาคือ อเลสซานโดร มุสโสลินี เป็นช่างตีเหล็กและนักสังคมนิยม[13] ในขณะที่มารดาของเขา โรซา(นามสกุล มัลโทนี) เป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนซึ่งนับถือคาทอลิกที่เคร่งครัด[14] ด้วยการที่เอนเอียงทางการเมืองของบิดาของเขา มุสโสลินีจึงได้รับการตั้งชื่อว่า เบนิโต ซึ่งมาจากชื่อของประธานาธิบดีแม็กซิกันฝ่ายเสรีนิยม เบนิโต ฮัวเรซ ในขณะที่ชื่อกลางของเขาคือ อานเดรอาและอามิลกาเร ซึ่งเป็นชื่อของนักสังคมนิยมชาวอิตาลีสองคนที่มีนามว่า อานเดรอา คอสตรา และอามิลกาเร ชิปริชอานี[15] ในทางกลับกัน มารดาได้นำเขาเข้าพิธีบัพติศมาตั้งแต่แรกเกิด[14] เบนิโตเป็นลูกคนโตในเหล่าลูกสามคนของพ่อแม่ พี่น้องของเขาคือ อาร์นัลโด และ Edvige [16]
ในช่วงวัยเด็ก มุสโสลินีจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการช่วยเหลือแก่บิดาของเขาในโรงตีเหล็ก[17] มุมมองทางการเมืองช่วงแรกของมุสโสลินีได้รับอิทธิพลอย่างมากมายจากบิดาของเขา ซึ่งได้เทิดทูนต่อบุคคลที่เป็นนักชาตินิยมชาวอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่มีความเอนเอียงไปทางมนุษยนิยม ได้แก่ Carlo Pisacane Giuseppe Mazzini และ Giuseppe Garibaldi[18] ทัศนคติทางการเมืองของบิดาของเขาได้ผสมผสานกับมุมมองของบุคคลที่เป็นฝ่ายอนาธิปไตย เช่น Carlo Cafiero และ Mikhail Bakunin ลัทธิอำนาจนิยมทางทหารของ Garibaldi และลัทธิชาตินิยมของ Mazzini ใน ค.ศ. 1902 ซึ่งเป็นวันครบรอบของการเสียชีวิตของ Garibaldi มุสโสลินีได้กล่าวสุนทรพจน์แก่สาธารณะในการยกย่องแก่ฝ่ายรีพับบลีกันชาตินิยม[19]
มุสโสลินีได้ถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำที่ถูกดำเนินการโดยนักบวชคณะซาเลเซียน[14] เนื่องจากนิสัยที่บึ้งตึง ชอบใช้กำลัง กระดากและหยิ่งผยองของเขา เขามักจะทะเลาะเบาะแว้งกับครูและเพื่อนร่วมโรงเรียน ในช่วงที่มีการโต้แย้งกัน เขาได้ทำร้ายเพื่อร่วมชั้นด้วยมีดพกแบบพับและถูกลงโทษอย่างรุนแรง[14] ภายหลังจากที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใน Forlimpopoli มุสโสลินีได้รับผลการเรียนที่ดี เป็นที่ชื่นชอบจากครูของเขา แม้ว่าจะมีนิสัยที่รุนแรง และมีคุณสมบัติที่จะเป็นครูสอนหนังสือระดับชั้นประถมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1901[14][20]
การย้ายถิ่นไปยังสวิตเซอร์แลนด์และเข้าประจำการทหาร
[แก้]ใน ค.ศ. 1902 มุสโสลินีได้ย้ายถิ่นไปยังสวิตเซอร์แลนด์ สาเหตุอย่างหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าประจำการทหารภาคบังคับ[13] เขาทำงานในช่วงเวลาสั้น ๆ ในฐานะช่างทำหิน ในเจนีวา ฟรีบูร์ และแบร์น แต่ไม่สามารถหางานประจำได้เลย
ในช่วงเวลานี้ เขาได้ศึกษาแนวคิดของนักปรัชญา ฟรีดริช นีทเชอ นักสังคมวิทยา Vilfredo Pareto และนักลัทธิสหการนิยม Georges Sorel ต่อมามุสโสลินีได้เลื่อมใสให้กับนักสังคมนิยมชาวครีสเตียน Charles Péguy และนักลัทธิสหการนิยม Hubert Lagardelle ซึ่งบางส่วนก็เป็นอิทธิพลของเขา การเน้นย้ำของ Sorel ถึงความจำเป็นในการล้มล้างประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมและระบบทุนนิยมที่เสื่อมโทรมด้วยการใช้ความรุนแรง การลงมือโดยตรง การนัดหยุดงานทั่วไป และการใช้ลัทธินีโอ-มาเกียเวลลีที่คอยดึงดูดทางด้านอารมณ์ ทำให้มุสโสลินีเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง
มุสโสลินีได้เริ่มมีบทบาทในขบวนการสังคมนิยมอิตาลีในสวิตเซอร์แลนด์ โดยทำงานในการตีหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า L'Avvenire del Lavoratore ซึ่งจะคอยจัดให้มีการประชุม การกล่าวสุนทรพจน์แก่คนงาน และดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการของสหภาพแรงงานอิตาลีในโลซาน Angelica Balabanoff ได้รายงานว่า ได้แนะนำเขาให้รู้จักกับวลาดีมีร์ เลนิน ซึ่งภายหลังได้วิพากษ์วิจารน์ต่อนักสังคมนิยมอิตาลีที่ได้สูญเสียมุสโสลินีไปจากสาเหตุของพวกเขา ใน ค.ศ. 1903 เขาถูกตำรวจแบร์เนอร์จับกุมด้วยข้อหาให้การสนับสนุนการนัดหยุดงานอย่างรุนแรง ถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์ และถูกส่งตัวกลับไปยังอิตาลี ภายหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวที่นั่น เขาได้กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์ ใน ค.ศ. 1904 ได้ถูกจับกุมอีกครั้งในเจนีวาและถูกขับออกนอกประเทศด้วยข้อหาปลอมแปลงเอกสารของเขา มุสโสลินีจึงกลับไปยังโลซาน ที่ซึ่งเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโลซาน ภาควิชาสังคมศาสตร์ ซึ่งได้ติดตามบทเรียนของ Vilfredo Pareto ใน ค.ศ. 1937 เมื่อเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลี มหาวิทยาลัยโลซานได้มอบปริญญากิตติมศักดิ์แก่มุสโสลนี เนื่องในโอกาศครบรอบ 400 ปี
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1904 มุสโสลินีได้เดินทางกลับอิตาลีเพื่อใช้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมสำหรับการหลีกหนีทหาร การตัดสินลงโทษของเขาในเรื่องนี้ได้หายไปแล้ว เนื่องจากเงื่อนไขในการรับอภัยโทษคือให้เข้าประจำการในกองทัพบก เขาจึงเข้าร่วมในกองทัพน้อย Bersaglieri ในฟอร์ลี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1904 ภายหลังจากเข้ารับราชการทหารเป็นเวลาสองปี (ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1905 ถึง เดือนกันยายน ค.ศ. 1906) เขาจึงกลับไปสอนหนังสือที่โรงเรียน
นักข่าวทางการเมือง ปัญญาชน และนักสังคมนิยม
[แก้]ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1909[21] มุสโสลินีได้ออกจากอิตาลีอีกครั้ง คราวนี้ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคแรงงานในเมืองเทรนโตที่พูดด้วยภาษาอิตาลี ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี(ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอิตาลี) นอกจากนี้ เขายังได้ทำงานในสำนักงานแก่พรรคสังคมนิยมท้องถิ่น และแก้ไขเรียบเรียงหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า L'Avvenire del Lavoratore (อนาคตของกรรมกร) เมื่อกลับมายังอิตาลี เขาใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ในมิลาน และใน ค.ศ. 1910 เขาได้กลับมายังบ้านเกิดที่ฟอร์ลี ซึ่งที่นั้นเขาได้แก้ไขเรียบเรียงหนังสือพิมพ์ประจำสัปดาห์ที่ชื่อว่า Lotta di classe (การต่อสู้ทางชนชั้น)
มุสโสลินีคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนมีปัญญาและถือว่าอ่านเก่ง เขาได้อ่านด้วยความละโมบ ปรัชญาชาวยุโรปที่เขาโปรดปราน รวมทั้ง Sorel นักอนาคตศาสตร์ชาวอิตาลี ฟีลิปโป ตอมมาโซ มารีเนตตี นักสังคมนิยมชาวฝรั่งเศส Gustave Hervé นักอนาธิปไตยชาวอิตาลี Errico Malatesta และนักปรัชญาชาวเยอรมันอย่าง ฟรีดริช เอ็งเงิลส์และคาร์ล มาคส์ ผู้ก่อตั้งลัทธิมากซ์[22][23] มุสโสลินีได้ฝึกอ่านภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมันด้วยตัวเองและแปลข้อความที่ถูกตัดตอนออกมาจากงานเขียนของนิทเชอ โชเพินเฮาเออร์ และคานต์
ในช่วงเวลานี้ เขาได้ตีพิมพ์บทความที่ชื่อว่า "Il Trentino veduto da un Socialista" ("เทรนติโนถูกมองโดยสังคมนิยม") ลงใน "ลา โวเซ่" ซึ่งเป็นวารสารของพวกหัวรุนแรง[24] เขายังได้เขียนบทความเกี่ยวกับวรรณกรรมเยอรมันหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องและหนึ่งในนวนิยายคือ L'amante del Cardinale: Claudia Particella, romanzo storico (The Cardinal's Mistress) นวนิยายเรื่องนี้ เขาได้เขียนร่วมกับ Santi Corvaja และได้ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์ เทรนโต 2 โปโปโล ได้ถูกออกจำหน่ายเป็นงวด ๆ ตั้งแต่ 20 มกราคม ถึง 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1910[25] นวนิยายเรื่องนี้เป็นการต่อต้านศาสนจักรอย่างเจ็บแสบ และหลายปีต่อมาก็ได้ถูกถอดถอนจากการออกจำหน่าย ภายหลังจากที่มุสโสลินีได้ยุติความขัดแย้งกับวาติกัน[13]
เขาได้กลายเป็นหนึ่งในนักสังคมนิยมที่มีความโดดเด่นในอิตาลี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1911 มุสโสลินีได้เข้าร่วมในการก่อจลาจล ซึ่งนำโดยฝ่ายสังคมนิยม เพื่อต่อต้านสงครามในลิเบียของอิตาลี เขาได้กล่าวประณามถึง"การทำสงครามลัทธิจักรวรรดินิยม"ของอิตาลีได้อย่างเจ็บแสบ ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลาห้าเดือน[26] ภายหลังได้รับการปล่อยตัว เขาได้ช่วยเหลือในการขับไล่อีวาโนเอ โบนอมีและ Leonida Bissolati ออกจากพรรคสังคมนิยม เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนเป็น"พวกลัทธิแก้"(revisionist) ซึ่งคอยให้การสนับสุนต่อสงคราม
เขาได้รับรางวัลบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ของพรรคสังคมนิยมที่ชื่อว่า "อวันตี" ภายใต้การนำของเขา ยอดจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นในไม่ช้า จาก 20,000 ฉบับ มาเป็น 100,000 ฉบับ[27] John Gunther ใน ค.ศ. 1940 ได้เรียกเขาว่า "หนึ่งในนักข่าวที่ดีเยี่ยมที่ยังมีชีวิต" มุสโสลินีได้ทำงานเป็นนักรายงานข่าว ในขณะที่เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินขบวนสู่โรม และเขียนข่าวให้แก่ Hearst News Service ถึงปี ค.ศ. 1935[28] มุสโสลินีคุ้นเคยกับวรรณกรรมลัทธิมากซ์อย่างมากในงานเขียนของเขา เขาไม่เพียงแต่จะอ้างอิงจากงานของลัทธิมากซ์ที่มีชื่อเสียง แต่ยังมาจากงานที่ยังดูคลุมเครืออยู่ด้วย[29] ในช่วงเวลานี้ มุสโสลินีได้ถือว่าตัวเขาเองเป็นนักลัทธิมากซ์ และกล่าวยกย่องแก่มาคส์ว่า "เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเหล่าบรรดานักทฤษฏีทั้งหมดของลัทธิสังคมนิยม"[30]
ใน ค.ศ. 1913 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อ Giovanni Hus, il veridico (ยัน ฮุส, ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริง) ซึ่งเป็นชีวประวัติทางประวัติศาสตร์และการเมืองเกี่ยวกับช่วงชีวิตและภารกิจของนักบวชชาวเช็กซึ่งเป็นนักปฏิรูปนามว่า ยัน ฮุส และกลุ่มนักรบผู้ติดตามของเขาคือ ฮุสไซต์ ในช่วงชีวิตนักสังคมนิยมของเขา บางครั้งมุสโสลินีจะใช้นามปากกาว่า "เวโร เอเรติโก"("พวกนอกรีตที่ซื่อสัตย์")[31]
มุสโสลินีได้ปฏิเสธสมภาคนิยม (Egalitarianism) คำสอนหลักของสังคมนิยม[5] เขาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการต่อต้านชาวคริสเตียนของนีทเชอและปฏิเสธของการมีอยู่ของพระเจ้า[32] มุสโสลินีเกิดความรู้สึกว่าสังคมนิยมนั้นขาดความหนักแน่น ในมุมมองของความล้มเหลวของนิยัตินิยมลัทธิมากซ์และลัทธิการปฏิรูปประชาธิปไตยสังคมนิยม และเชื่อว่าแนวคิดของนีทเชอจะทำให้สังคมนิยมนั้นแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิสังคมนิยม งานเขียนของมุสโสลินีในท้ายที่สุด ได้บ่งบอกว่า เขาได้ละทิ้งลัทธิมากซ์และสมภาคนิยม เพื่อสนับสนุนแนวคิด Übermensch (เหนือมนุษย์) ของนีทเชอ และการต่อต้านสมภาคนิยม[32]
ถูกขับออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลี
[แก้]มีสมาชิกพรรคสังคมนิยมจำนวนหนึ่งได้ริเริ่มให้การสนับสนุนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ณ เวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914.[33] เมื่อสงครามได้เริ่มขึ้น นักสังคมนิยมจากชาวออสเตรีย บริติช ฝรั่งเศส และเยอรมันได้ติดตามกระแสชาตินิยมที่เพิ่มพูนมากขึ้นโดยการสนับสนุนของพวกเขาในการเข้าแทรกแซงในสงครามของประเทศ[34] การปะทุของสงครามได้ส่งผลก่อให้เกิดลัทธิชาตินิยมของชาวอิตาลีที่เพิ่มพูนมากขึ้น สงครามได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ หนึ่งในนักชาตินิยมชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่นิยมมากที่สุดซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสงครามคือ Gabriele D'Annunzio ซึ่งได้ส่งเสริมการเรียกร้องดินแดนกลับคืน (irredentism) ของชาวอิตาลี และช่วยในการชักจูงประชาชนชาวอิตาลีเพื่อสนับสนุนการแทรกแซงในสงคราม[35] พรรคเสรีนิยมอิตาลีภายใต้การนำโดย เปาโล โบเซลลี่ ได้ส่งเสริมการแทรกแซงในสงครามโดยอยู่ข้างฝ่ายสัมพันธมิตรและใช้ Società Dante Alighieri เพื่อส่งเสริมชาตินิยมอิตาลี[36][37] นักสังคมนิยมชาวอิตาลีได้ถูกแบ่งแยกระหว่างฝ่ายสนับสนุนสงครามหรือฝ่ายต่อต้านสงคราม[38] ช่วงก่อนที่มุสโสลินีจะเข้ารับตำแหน่งในสงคราม กลุ่มนักปฏิวัติฝ่ายสหการนิยมจำนวนหนึ่งได้ประกาศว่าจะให้การสนับสนุนในการแทรกแซง รวมทั้ง อัลเชสเต เด แอมบริส Filippo Corridoni และ Angelo Oliviero Olivetti[39] พรรคสังคมนิยมอิตาลีได้ยืนกรานที่จะต่อต้านสงคราม ภายหลังจากผู้ประท้วงซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านทหารนั้นถูกสังหาร ส่งผลก่อให้เกิดการนัดหยุดงานทั่วไปที่ถูกเรียกว่า สัปดาห์แดง[40]
ในช่วงแรก มุสโสลินีได้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการสำหรับการยืนกรานของพรรค และในบทความฉบับเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 มุสโสลินีได้เขียนว่า "จมด้วยสงคราม เรายังคงวางตัวเป็นกลาง" เขามองเห็นว่า สงครามคือโอกาส ทั้งสำหรับความทะเยอทะยานของตัวเขาเองเช่นเดียวกับพวกเหล่านักสังคมนิยมและชาวอิตาลี เขาได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกชาตินิยมอิตาลีที่ต่อต้าน-ออสเตรีย ซึ่งเชื่อว่า สงครามได้เปิดโอกาสให้ชาวอิตาลีที่อยู่ภายใต้ออสเตรีย-ฮังการีได้ปลดปล่อยด้วยตัวพวกเขาเองจากการปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ในที่สุด เขาก็ได้ตัดสินใจประกาศในการสนับสนุนสงครามโดยเรียกร้องความต้องการแก่ฝ่ายสังคมนิยมในการโค่นล้มราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นและราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเขาได้กล่าวว่า เคยถูกปราบปรามลัทธิสังคมนิยมมาโดยตลอด[41]
มุสโสลินีได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมต่อตำแหน่งของเขาโดยการกล่าวประณามฝ่ายมหาอำนาจกลางว่าเป็นมหาอำนาจที่เป็นพวกปฏิกิริยา จากที่กำลังใฝ่หาตามแบบจักรวรรดินิยม ต่อต้านเบลเยียมและเซอร์เบีย เช่นเดียวกับในอดีตซึ่งต่อต้านกับเดนมาร์ก ฝรั่งเศส และต่อต้านอิตาลีด้วย เนื่องจากชาวอิตาลีจำนวนนับแสนคนภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค เขาได้โต้แย้งว่า การล่มสลายของราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นและฮาพส์บวร์ค และการปราบปราม "พวกปฏิกิริยา" ในตุรกีจะสร้างเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นกรรมกร ในขณะที่เขาได้ให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายมหาอำนาจภาคี มุสโสลินีได้ตอบสนองต่อธรรมชาติของอนุรักษ์นิยมของพระเจ้าซาร์รัสเซีย โดยระบุว่า การระดมกำลังทหารที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามจะบ่อนทำลายลัทธิอำนาจนิยมของพวกปฏิกิริยารัสเซีย และสงครามจะนำรัสเซียไปสู่การปฏิวัติทางสังคม เขาได้กล่าวว่า สำหรับอิตาลีแล้ว การทำสงครามจะก่อให้เกิดกระบวนการของริซอจิเมนโตอย่างสมบูรณ์โดยการรวบรวมชาวอิตาลีในออสเตรีย-ฮังการีมาเข้าสู่อิตาลี และโดยอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปของอิตาลีได้เข้าร่วมสมาชิกของประเทศชาติอิตาลีในสิ่งที่ควรจะเป็นสงครามระดับชาติครั้งแรกของอิตาลี ดังนั้นเขาจึงกล่าวอ้างว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมากมายมหาศาลที่สงครามจะทำได้ ซึ่งหมายความว่าควรจะให้การสนับสนุนในฐานะสงครามการปฏิวัติ[39]
เมื่อการสนับสนุนในการแทรกแซงของมุสโสลินีได้เพิ่มมากขึ้น เขาได้ขัดแย้งกับนักสังคมนิยมที่เป็นฝ่ายต่อต้านสงคราม เขาได้โจมตีฝ่ายต่อต้านสงครามและกล่าวอ้างว่า ชนชั้นกรรมมาชีพที่ให้การสนับสนุนในสันตินิยมจะแตกต่างจากชนชั้นกรรมมาชีพที่ได้เข้าร่วมกับแนวหน้าของการแทรกแซงที่กำลังเพิ่มมากขึ้นซึ่งกำลังเตรียมความพร้อมในอิตาลีสำหรับสงครามการปฏิวัติ เขาได้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์พรรคสังคมนิยมอิตาลีและลัทธิสังคมนิยมเช่นเดียวกัน จากความล้มเหลวในการยอมรับปัญหาระดับชาติซึ่งได้นำไปสู่การประทุของสงคราม[6] ดังนั้น เขาจึงถูกขับออกจากพรรคสำหรับการสนับสนุนการแทรกแซงของเขา
ข้อความที่ถูกตัดตอนมาต่อไปนี้มาจากรายงานของตำรวจซึ่งถูกจัดทำโดยสารวัตรใหญ่แห่งความั่นคงสาธารณะในมิลาน G. Gasti ได้อธิบายถึงภูมิหลังและจุดยืนของเขาในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้เขาถูกขับออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลี สารวัตรใหญ่ได้เขียนว่า:
ศาสตราจารย์เบนิโต มุสโสลินี อายุ 38 ปี นักปฏิวัติสังคมนิยมซึ่งมีประวัติในกรมตำรวจว่า เป็นครูสอนหนังสือระดับประถมศึกษาซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการสอนหนังสือในโรงเรียนมัธยม อดีตเลขาธิการคนแรกของห้องสำนักทนายความใน เชซานา ฟอร์ลี และเวเวนนา ภายหลังปี ค.ศ. 1912 บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ อวันตี! ซึ่งเขาได้ให้ข้อชี้แนะที่รุนแรงและกำหนดเป้าหมายอย่างไม่หยุดยั้ง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914 ได้พบว่าตัวเขาเองได้ต่อต้านผู้อำนวยการของพรรคสังคมนิยมอิตาลีเพราะเขาให้การสนับสนุนความเป็นกลางอย่างเข้มแข็งในส่วนหนึ่งของอิตาลีในสงครามแห่งชาติเพื่อต่อต้านความเอนเอียงความเป็นกลางอย่างแท้จริง เขาได้ถอนตัวเมื่อวันที่ยี่สิบของเดือนนั้นจากตำแหน่งบรรณาธิการของ อวันตี! จากนั้นในวันที่ 15 ของเดือนพฤศจิกายน [ค.ศ. 1914] หลังจากนั้น เขาได้เริ่มตีพิมพ์คำแถลงข่าวในหนังสือพิมพ์ Il Popolo d'Italia ซึ่งเขาได้ให้การสนับสนุน-ตรงข้ามกับอวันตี และท่ามกลางการโต้เถียงอันขมขืนต่อหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นและผู้สนับสนุนหลัก-วิทยานิพนธืเรื่องของการแทรกแซงของอิตาลีในสงคราม ต่อต้านการทหารของจักรวรรดิมหาอำนาจกลาง ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงถูกกล่าวหาว่าไม่คู่ควรในทางศีลธรรมและทางการเมือง และดังนั้น พรรคจึงได้ตัดสินใจขับเขาออกไป ภายหลังจากนั้นก็ได้ดำเนินการด้วยการรณรงค์อย่างเข้มข้นในนามของการแทรกแซงของอิตาลี การเข้าร่วมขบวนการประท้วงในจัตุรัส และการเขียนบทความที่รุนแรงไว้ใน Il Popolo d'Italia[27]
ในการสรุปของเขา สารวัตรยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า:
เขาเป็นบรรณาธิการในอุดมคติของอวันตี! เพื่อสังคมนิยม ในสายงานนั้น เขาเป็นได้รับการเคารพนับถือและเป็นที่รักอย่างยิ่ง อดีตสหายและผู้ที่ชื่นชอบเขาบางคนยังได้สารภาพว่าไม่มีใครเข้าใจวิธีตีความหมายถึงจิตวิญญาณของชนชั้นกรรมมาชีพได้ดีกว่านี้อีกแล้ว และไม่มีใครสังเกตถึงการละทิ้งความเชื่อของเขาด้วยความเศร้าโศก สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเงิน เขาเป็นผู้สนับสนุนที่แท้จริงและกระตือรือร้น ครั้งแรกของความรอบคอบและความเป็นกลางทางด้านอาวุธและต่อจากนั้นก็ทำสงคราม และเขาไม่มีความเชื่อว่า เขามีความประนีประนอมกับความซื่อตรงส่วนตัวและการเมืองโดยใช้ทุกวิถีทาง—ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากไหนหรือที่ไหนก็ตามที่เขาจะได้รับมัน—เพื่อชดใช้ให้กับหนังสือพิมพ์ของเขา, โครงการของเขาและแนวทางการปฏิบัติของเขา นี่คือแนวทางแรกของเขา มันเป้นการยากที่จะบอกว่าเขามีความเชื่อมั่นในสังคมนิยมมากแค่ไหน(ซึ่งเขาไม่เคยเปิดเผยหรือล้มเลิกโดยส่วนตัวเลย) อาจต้องเสียสละในเส้นทางของข้อตกลงทางการเงินที่ขาดไม่ได้ซึ่งจำเป็นสำหรับความต่อเนื่องของการสู้รบที่ซึ่งเขาได้มีส่วนร่วม ... แต่เป็นการอวดดีว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ... เขาต้องการทำให้ดูเหมือนว่ายังคงเป็นนักสังคมนิยมและเขาก็หลอกตัวเองด้วยการเข้าไปในความคิด นี่คือกรณีหนึ่ง[42]
จุดกำเนิดของลัทธิฟาสซิสต์และประจำการในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
[แก้]ภายหลังจากถูกพรรคสังคมนิยมอิตาลีขับออกมาเพราะการให้สนับสนุนการแทรกแซงของอิตาลี มุสโสลินีได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ได้ยุติการสนับสนุนสำหรับการต่อสู้ทางชนชั้นและเข้าร่วมการสนับสนุนการปฏิวัติชาตินิยมซึ่งเหนือกว่าสายชนชั้น[6] เขาก่อตั้งหนังสือพิมพ์ที่เป็นการแทรกแซงอย่าง Il Popolo d'Italia และ Fascio Rivoluzionario d'Azione Internazionalista ("การปฏิวัติของฟาสเซสเพื่อดำเนินการระหว่างประเทศ") ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914[37] การสนับสนุนชาตินิยมของเขาในการแทรกแซงทำให้สามารถระดมเงินทุนหาได้จากอันซัลโด(บริษัทผลิตอาวุธยุทโธกรณ์) และบริษัทอื่น ๆ เพื่อสร้าง Il Popolo d'Italia เพื่อชักจูงให้นักสังคมนิยมและนักปฏิวัติในการสนับสนุนการทำสงคราม[43] เงินทุนเพิ่มเติมสำหรับฟาสซิสต์ของมุสโสลินีในช่วงสงครามซึ่งมาจากแหล่งของฝรั่งเศส เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1915 แหล่งเงินทุนหลักนี้มาจากฝรั่งเศสซึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากนักสังคมนิยมชาวฝรั่งเศสที่ส่งให้การสนับสนุนไปยังนักสังคมนิยมที่ไม่เห็นด้วยซึ่งต้องการให้อิตาลีเข้าแทรกแซงแก่ฝ่ายฝรั่งเศส[44]
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1914 มุสโสลินีได้กล่าวประณามสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์ จากความล้มเหลวในการยอมรับสงครามทำให้เอกลักษณ์และความจงรักภักดีต่อชาติมีความสำคัญมากกว่าการแบ่งแยกทางชนชั้น[6] เขาได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างเต็มที่ในการกล่าวสุนทรพจน์ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า ประเทศชาติคือเอกลักษณ์ แนวความคิดที่เขาได้ปฏิเสธก่อนเข้าสู่สงคราม ได้บอกว่า:
ชาติไม่ได้หายไปไหน พวกเราเคยเชื่อว่าแนวคิดนี้ทั้งหมดไม่มีสาระ แต่เรากลับเห็นประเทศชาติได้เกิดขึ้นด้วยใจสั่นอย่างแท้จริงต่อหน้าเรา ชนชั้นไม่สามารถทำลายประเทศชาติได้ ชนชั้นได้เปิดเผยตัวเองในฐานะชุดสะสมของผลประโยชน์—แต่ประเทศชาติคือประวัติศาสตร์แห่งความรู้สึก ประเพณี ภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ ชนชั้นสามารถสามารถกลายเป็นส่วนที่สำคัญของประเทศชาตินั้นได้ แต่ชนชั้นหนึ่งไม่สามารถบดบังอีกชนชั้นหนึ่งได้[45]
การต่อสู้ทางชนชั้นเป็นหลักเกณฑ์ที่ไร้สาระ โดยปราศจากผลกระทบและผลลัพธ์ที่ตามมา เมื่อใดก็ตามที่พบผู้คนที่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวในการเข้ากับขอบเขตทางภาษาและเชื้อชาติที่เหมาะสม—ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ ขบวนการทางชนชั้นได้พบว่าตนเองมีความบกพร่องจากบรรยากาศทางประวัติศาสร์ที่เป็นลางร้าย[46]
มุสโสลินียังคงส่งเสริมความต้องการของนักปฏิวัติแนวหน้าระดับหัวกะทิเพื่อเป็นผู้นำทางสังคม เขาไม่ได้ให้การสนับสนุนแนวหน้าของชนชั้นกรรมมาชีพอีกต่อไป แต่เป็นแนวหน้าซึ่งนำโดยผู้คนที่มีพลังและนักปฏิวัติซึ่งมาจากชนชั้นทางสังคมใด ๆ ก็ได้[46] แม้ว่าเขาจะประณามสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์และความขัดแย้งทางชนชั้น แต่เขาก็ได้สานต่อในตอนที่เขาเป็นนักชาติสังคมนิยมและเป็นผู้สนับสนุนมรดกตกทอดของชาติสังคมนิยมในประวัติศาสตร์อิตาลี เช่น Giuseppe Garibaldi Giuseppe Mazzini และ Carlo Pisacane สำหรับพรรคสังคมนิยมอิตาลีและการสนับสนุนสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์ เขากล่าวอ้างว่า ความล้มเหลวของเขาในฐานะสมาชิกของพรคในฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ความเป็นจริงร่วมสมัยซึ่งเผยให้เห็นถึงความสิ้นหวังของสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์ที่ดูล้าหลังและล้มเหลว[47] ความเข้าใจถึงความล้มเหลวของสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์ในการก่อประทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นโดยมุสโสลินีเพียงคนเดียว นักสังคมนิยมที่ให้การสนับสนุนการแทรกแซงคนอื่น ๆ เช่น Filippo Corridoni และ Sergio Panunzio ก็ประณามลัทธิมาร์กซ์แบบคลาสสิกเพื่อให้การสนับสนุนการแทรกแซง[48]
มุมมองทางการเมืองขั้นพื้นฐานและหลักการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของขบวนการทางเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ของมุสโสลินี the Fasci d'Azione Rivoluzionaria ใน ค.ศ. 1914 ที่เรียกพวกเขาว่า ฟาสซิตี(ฟาสซิสต์)[49] ในเวลานี้ พวกฟาสซิสต์ยังไม่มีนโยบายที่มั่นคงมากนักและขบวนการนั้นมีขนาดเล็ก ไร้ประสิทธิภาพในความพยายามจัดตั้งการประชุมหลายครั้ง และถูกก่อกวนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและพวกนักสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์เป็นประจำ[50] ความเป็นศัตรูกันระหว่างผู้แทรกแซง รวมทั้งพวกฟาสซิสต์ปะทะกับพวกนักสังคมนิยมชาวออร์ทอดอกซ์ที่ต่อต้านการแทรกแซงส่งผลทำให้เกิดความรุนแรงระหว่างฟาสซิสต์และสังคมนิยม การต่อต้านและการโจมตีโดยนักปฏิวัติสังคมนิยมที่ต่อต้านการแทรกแซงต่อกรกับพวกฟาสซิสต์และกลุ่มผู้แทรกแซงอื่น ๆนั้นรุนแรงมากขึ้นจนแม้แต่นักประชาธิปไตยสังคมนิยมที่ต่อต้านสงคราม เช่น Anna Kuliscioff ได้กล่าวว่า พรรคสังคมนิยมอิตาลีมาไกลเกินไปในการรณรงค์เพื่อปิดปากเสรีในการพูดของผู้สนับสนุนสงคราม ความเป็นศัตรูกันในช่วงแรกระหว่างพวกฟาสซิสต์และนักปฏิวัติสังคมนิยมได้หลอมรวมกับแนวคิดของมุสโสลินีเกี่ยวกับธรรมชาติของลัทธิฟาสซิสต์เพื่อสนับสนุนความรุนแรงทางการเมือง[51]
มุสโสลินีได้เป็นพันธมิตรกับนักการเมืองที่ต้องการเรียกร้องดินแดนของชาติตนกลับคืนและนักข่าวที่ชื่อว่า Cesare Battisti[27] เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้เริ่มต้นขึ้น มุสโสลินีก็เหมือนกับนักชาตินิยมชาวอิตาลีคนอื่น ๆ หลายคน ที่อาสาสมัครจะเข้าสู้รบในสงคราม แต่เขากลับถูกปฏิเสธเพราะความคิดแบบลัทธิสังคมนิยมอย่างหัวรุนแรงและบอกให้รอการเรียกตัวในการเข้ากำลังพลสำรอง เขาถูกเรียกตัวเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม และเข้ารายงานตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้กับหน่วยรบเดิมของเขา Bersaglieri ภายหลังสองสัปดาห์ในการฝึกซ้อมรบ เขาถูกส่งไปยังแนวหน้าอิซอนโซ ซึ่งเขาได้เข้าร่วมในยุทธการที่อิซอนโซครั้งที่สอง เดือนกันยายน ค.ศ. 1915 หน่วยรบของเขายังได้เข้าร่วมในยุทธการที่อิซอนโซครั้งที่สาม เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915[52]
สารวัตรใหญ่ยังเขียนกล่าวอีกว่า
เขาได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นร้อยตรี "สมควรได้ในสงคราม" การเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ได้ถูกแนะนำ เนื่องจากความประพฤติของเขาเป็นแบบอย่างและการต่อสู้รบอย่างมีประสิทธิภาพ จิตใจของเขาสงบนิ่ง และไม่วิตกกังวลต่อความยากลำบาก ความกระตือรือร้นและความเป็นระเบียบในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ที่ซึ่งเขายังได้เป็นที่หนึ่งในทุกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับแรงงานและความอดทน[27]
ในที่สุด มุสโสลินีก็ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นการได้รับบาดเจ็บในปฏิบัติหน้าที่ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 และได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจนต้องถูกย้ายออกจากแนวหน้าไป[52]
ด้วยประสบการณ์ทางทหารของมุสโสลินีได้ถูกบอกเล่าในผลงานของเขาอย่าง Diario di guerra โดยรวมทั้งหมด เขาใช้เวลาประมาณ 9 เดือนในปฏิบัติหน้าที่การรบ ของการทำสงครามแนวหน้าบนสนามเพลาะ ในช่วงเวลานั้น เขาล้มป่วยเป็นไข้พาราไทฟอยด์[53] การหาผลประโยชน์จากกองทัพทหารของเขาได้ยุติลงใน ค.ศ. 1917 เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะแรงระเบิดจากระเบิดปืนครกตกลงใส่สนามเพลาะที่เขาประจำการอยู่ ในร่างกายของเขามีสะเก็ดระเบิดเหลืออย่างน้อย 40 ชิ้น[53] เขาได้ออกจากโรงพยาบาลในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1917 และกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่ในหนังสือพิมพ์ของเขา Il Popolo d'Italia เขาได้เขียนบทความเชิงบวกเกี่ยวกับกองพันทหารชาวเชโกสโลวักในอิตาลี
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1915 ใน Treviglio เขาได้แต่งงานกับราเคเล กุยดี เพื่อนสาวในชนบท ซึ่งได้ให้กำเนิดบุตรสาวของเขาอย่างเอ็ดดา ที่ฟอร์ลี ใน ค.ศ. 1910 ใน ค.ศ. 1915 เขาได้มีบุตรชายกับ Ida Dalser หญิงสาวที่เกิดใน Sopramonte หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเมืองเทรนโต[20][15][54] เขาได้ยอมรับบุตรชายคนนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1916
เถลิงอำนาจ
[แก้]การก่อตั้งพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์
[แก้]ในช่วงเวลานี้ เขาได้เดินทางกลับจากการรับใช้ในกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยสภาพของการเป็นนักสังคมนิยมของมุสโสลินีนั้นมีเหลืออยู่เล็กน้อย อันที่จริง เขาในตอนนี้มีความเชื่อมั่นว่าลัทธิสังคมนิยมที่เป็นหลักคำสอนนั้นส่วนใหญ่ดูล้มเหลว ใน ค.ศ. 1917 มุสโสลินีเริ่มต้นในการเมืองด้วยความช่วยเหลือจากค่าจ้างรายสัปดาห์จำนวน 100 ปอนด์(เทียบเท่ากับจำนวนเงิน 7100 ปอนด์ ณ ปี ค.ศ. 2020) จากหน่วยความมั่นคงบริติซ(เอ็มไอ5) ที่ได้กักขังผู้ประท้วงที่ต่อต้านสงครามไว้ที่บ้าน และเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อที่สนับสนุนสงคราม ความช่วยเหลือครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเซอร์ ซามูเอล ฮอร์ ในช่วงต้น ค.ศ. 1918 มุสโสลินีได้เรียกร้องขอให้มีชายผู้นึง"ที่มีความโหดเหี้ยมและมีพละกำลังมากพอที่จะทำการกวาดล้าง" เพื่อฟื้นฟูประเทศอิตาลี ภายหลังจากมุสโสลินได้กล่าวว่า เขามีความรู้สึกใน ค.ศ. 1919 "ลัทธิสังคมนิยมซึ่งเป็นหลักคำสอนได้ล้มตายจากไปแล้ว ยังคงเหลือไว้เพียงแต่ความแค้น" เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1919 มุสโสลินีได้ก่อตั้ฟาสซิโอมิลานขึ้นมาใหม่อีกครั้งมาเป็นฟาสซิ อิตาเลียนี ดี คอมแบทติเมนโต(กองหมู่รบอิตาเลียน) ประกอบไปด้วยสมาชิก 200 คน
พื้นฐานทางอุดมการณ์สำหรับลัทธิฟาสซิสต์มาจากแหล่งที่มาหลายแห่ง มุสโสลินีได้ใช้ผลงานของเพลโต Georges Sorel นีทเชอ และแนวคิดทางเศรษฐกิจของ Vilfredo Pareto เพื่อพัฒนาลัทธิฟาสซิสต์ มุสโสลินีได้ชื่นชมบทความที่ชื่อว่า อุตมรัฐ ของเพลโตซึ่งเขามักจะอ่านบ่อย ๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจ อุตมรัฐได้แสดงแนวคิดหลายประการซึ่งลัทธิฟาสซิสต์ได้ให้การส่งเสริม เช่น การปกครองโดยชนชั้นนำที่คอยส่งเสริมรัฐเป็นจุดสิ้นสุด การต่อต้านระบอบประชาธิปไตย การปกป้องระบบชนชั้นและการส่งเสริมการร่วมมือทางชนชั้น การปฏิเสธถึงอสมภาคนิยม การส่งเสริมทางทหารของประเทศชาติโดยการสร้างชนชั้นนักรบ เรียกร้องให้ประชาชนคอยทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ และใช้รัฐในการเข้าแทรกแซงการศึกษาเพื่อส่งเสริมการพัฒนานักรบและผู้ปกครองรัฐในอนาคต เพลโตเป็นนักอุดมคตินิยม มุ่งเป้าเน้นไปที่การบรรลุถึงความยุติธรรมและศีลธรรม ในขณะที่มุสโสลินีและลัทธิฟาสซิสต์คือสัจนิยม โดยมุ่งเน้นไปที่การบรรลุถึงเป้าหมายทางการเมือง
แนวคิดเบื้องหลังของนโยบายต่างประเทศของมุสโสลินีคือแนวคิด สปาซิโอ วิทาเล (พื้นที่อยู่อาศัย) ซึ่งเป็นแนวคิดในลัทธิฟาสซิสต์ที่มีความคล้ายคลึงกับเลเบินส์เราม์ในลัทธิชาติสังคมนิยมของเยอรมัน แนวคิดของสปาซิโอ วิทาเลได้ถูกประกาศเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1919 เมื่อทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกกันว่า จูเลียนมาร์ช เป็นการนิยามใหม่เพื่อให้ปรากฏเป็นแว่นแคว้นที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวซึ่งเคยเป็นของอิตาลีตั้งแต่สมัยจังหวัดอิตาเลียของยุคโรมันโบราณ และกล่าวอ้างว่าเป็นเขตอิทธิพลพิเศษของอิตาลี สิทธิ์ในการก่อตั้งอาณานิคมบนพื้นที่ชาติพันธุ์สโลวีเนียที่อยู่ใกล้เคียงและในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยโดยสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชนชาติที่พัฒนาน้อยกว่านั้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลักฐานที่อิตาลีได้กล่าวอ้างว่า กำลังประสบภาวะการมีจำนวนประชากรที่มากเกินไป
โดยการหยิบยืมแนวคิดที่ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกโดย Enrico Corradini ก่อนปี ค.ศ. 1914 ของความขัดแย้งตามธรรมชาติระหว่างประเทศชาติที่เป็น"ธนาธิปไตย" ตัวอย่างเช่น บริเตน และประเทศชาติที่เป็น"ชนกรรมาชีพ" ตัวอย่างเช่น อิตาลี มุสโสลินีได้กล่าวอ้างว่าปัญหาหลักของอิตาลีคือ ประเทศชาติที่เป็น"ธนาธิปไตย" อย่างบริเตนกำลังขัดขวางการบรรลุแนวคิดสปาซิโอ วิทาเลที่สำคัญซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของอิตาลีนั้นเติบโต มุสโสลินีได้เปรียบเทียบศักยภาพของประเทศในการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยขนาดดินแดน ดังนั้นในมุมมองของเขา ปัญหาความยากจนในอิตาลีจะได้รับการแก้ไขได้ด้วยการบรรลุแนวคิดสปาซิโอ วิทาเลที่สำคัญเท่านั้น
แม้ว่าลัทธิการเหยียดชนชาติทางชีววิทยาจะมีความโดดเด่นในลัทธิฟาสซิสต์น้อยกว่าในลัทธิชาติสังคมนิยม สิทธิ์ตั้งแต่เริ่มต้นของแนวคิดสปาซิโอ วิทาเล ได้มีกระแสของการเหยียดเชื้อชาติที่แข็งแกร่ง มุสโสลินีได้ยืนยันว่า "กฏธรรมชาติ" สำหรับผู้คนที่เข้มแข็งกว่าที่จะควบคุมและครอบงำผู้คนที่ดู"อ่อนด้อยกว่า" เช่น ชนชาติสลาฟที่ดู"ป่าเถื่อน" ของยูโกสลาเวีย เขาได้กล่าวเอาไว้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1920:
เมื่อต้องติดต่อกับชนชาติอย่างชาวสลาฟ—ที่ดูอ่อนด้อยกว่าและป่าเถื่อน—เราไม่ต้องไล่ตามแครอด แต่กลับใช้นโยบายกิ่งไม้ ... พวกเราไม่ควรกลัวเหยื่อรายใหม่นี้ ... ชายแดนอิตาลีควรจะดำเนินผ่านทางช่องเขาแบรนเนอร์, มอนเต เนโวโซ และเทือกเขาแอลป์ดีนาริก ... ข้าพเจ้าจะบอกว่า เราสามารถเสียสละชาวสลาฟที่ดูป่าเถื่อนจำนวน 500,000 คนได้อย่างง่ายดายสำหรับชาวอิตาลี 50,000 คน ...
ในขณะที่อิตาลียึดครองพื้นที่อดีตจักรวรรดิออสเตรียและฮังการีระหว่างปี ค.ศ. 1918 และ ค.ศ. 1920 ชนสังคม"ชาวสลาฟ"จำนวนห้าร้อยคน (ตัวอย่างเช่น Sokol) และห้องสมุดมีจำนวนน้อยกว่าเล็กน้อย ("ห้องอ่านหนังสือ") ถูกสั่งห้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภายหลังด้วยกฎหมายว่าด้วยสมาคม (ค.ศ. 1925) กฎหมายว่าด้วยการเดินขบวนสาธารณะ (ค.ศ. 1926) และกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ค.ศ. 1926)—การปิดสถานศึกษาแบบคลาสสิคในพาซิน ของโรงเรียนมันธยมในโวโลซกา (ค.ศ. 1918) โรงเรียนระดับชั้นประถมในสโลวีเนียและโครเอเชียจำนวนห้าร้อยแห่งได้ปฏิบัติตาม ส่วนครูสอนหนังสือที่เป็น"ชาวสลาฟ" ถูกบีบบังคับให้เนรเทศไปยังซาร์ดิเนียและทางตอนใต้ของอิตาลี
ในทำนองเดียวกัน มุสโสลินีได้โต้แย้งว่าอิตาลีมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติตามนโยบายจักรวรรดินิยมในแอฟริกา เพราะเขาเห็นว่าคนผิวดำทุกคนล้วนดู"อ่อนด้อยกว่า" กับคนผิวขาว[57] มุสโสลินีได้กล่าวอ้างว่า โลกได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นลำดับชั้นของเชื้อชาติ(แม้จะคิดว่ามันดูสมเหตุสมผลทางวัฒนธรรมมากกว่าเหตุผลทางชีววิทยา) และประวัติศาสตร์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและดินแดนของลัทธิดาร์วินระหว่าง"ฝูงชนเชื้อชาติ"ต่าง ๆ[57] มุสโสลินี—พร้อมกับขบวนการสุพันธุศาสตร์ในสหรัฐ สหราชอาณาจักร และประเทศยุโรปอื่น ๆ และประเทศอาณานิคมของยุโรปต่าง ๆ เช่น บราซิล (เปรียบเทียบกับโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับภัยเหลือง)—แสดงให้เห็นว่า อัตราการเกิดนั้นสูงขึ้นในแอฟริกาและเอเชียถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อ"ชนชาติผิวขาว" และเขามักจะตั้งคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า "คนผิวดำและคนผิวเหลืองเหล่านั้นอยู่ที่ประตูหรือไม่" คำตอบที่ได้รับมาคือ "ใช่เลย! พวกเขาอยู่นั่น" มุสโสลินีเชื่อว่าสหรัฐจะถึงเคราะห์กรรมแล้ว เนื่องจากชาวอเมริกันคนผิวดำมีอัตราการเกิดที่สูงกว่าคนผิวขาว ทำให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่คนผิวดำจะเข้ายึดครองสหรัฐเพื่อลากลงมาอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา[58] ข้อเท็จจริงที่ว่าอิตาลีกำลังประสบภาวะจำนวนประชากรที่มากเกินไปนั้นถูกมองว่าเป็นการพิสูจน์ถึงพลังทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวอิตาลี ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรในการแสวงหาดินแดนอาณานิคมที่มุสโสลินีได้โต้แย้ง—ตามประวัติศาสตร์ขั้นพื้นฐาน—เคยเป็นของอิตาลีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นทายาทของจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากอัตราการเกิดที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นที่อิตาลีสามารถรับรองในอนาคตได้ว่า เมื่อเป็นชาติมหาอำนาจที่จะบรรลุเป้าหมายของสปาซิโอ วิทาเลได้อย่างแน่นอน จากการคำนวณของมุสโสลินี ประชากรอิตาลีต้องมีจำนวนถึง 60 ล้านคนเพื่อให้อิตาลีสามารถต่อสู้รบในสงครามครั้งใหญ่ได้—ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เรียกร้องอย่างไม่หยุดหย่อนแก่สตรีชาวอิตาลีให้กำเนิดบุตรเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะได้ครบตามจำนวนที่ต้องการนั้น[57]
มุสโสลินีและพวกฟาสซิสต์สามารถจัดการทั้งฝ่ายการปฏิวัติและฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้พร้อมกัน[59][60] เพราะสิ่งนี้แตกต่างอย่างมากจากสิ่งอื่นใดในบรรยากาศทางการเมืองในช่วงสมัยนั้น บางครั้งได้ถูกอธิบายโดยนักเขียนบางคนว่าเป็น "หนทางที่สาม"[61] ฟาสซิตี ซึ่งนำโดยคนสนิทใกล้ชิดคนหนึ่งของมุสโสลินี Dino Grandi ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของเหล่าทหารผ่านศึกที่เรียกกันว่า เชิ้ตดำ (หรือ squadristi) โดยมีเป้าหมายในการฟื้นฟูระเบียบสู่ท้องถนนของอิตาลีด้วยมือที่แข็งกร้าว กลุ่มเชิ้ตดำได้ปะทะกับพวกคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม และอนาธิปไตยในการเดินขบวนพาเหรดและการเดินขบวนประท้วง ทุกฝ่ายเหล่านี้ยังได้มีส่วนร่วมในการปะทะกับแต่ละฝ่าย รัฐบาลอิตาลีไม่ค่อยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของกลุ่มเชิ้ตดำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภัยคุกคามที่กำลังคืบคลานเข้ามาและความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์อย่างกว้างขวาง ฟาสซิตีได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาสองปี ซึ่งพวกเขาได้เปลี่ยนมาเป็นพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ที่รัฐสภาในกรุงโรม ใน ค.ศ. 1921 มุสโสลินีได้ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฏรเป็นครั้งแรก[15] ในเวลาเดียวกันนั้น ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1911 ถึง ค.ศ. 1938 มุสโสลินีมีความสัมพันธ์แบบรักใคร่อย่างมากมายกับนักเขียนและนักวิชาการชาวยิวนามว่า Margherita Sarfatti ซึ่งถูกเรียกว่า "มารดาชาวยิวแห่งลัทธิฟาสซิสต์" ในช่วงสมัยนั้น[62]
การเดินขบวนสู่โรม
[แก้]ในคืนระหว่างวันที่ 27 และ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1922 กลุ่มเชิ้ตดำฟาสซิสต์ประมาณ 30,000 คน ได้รวมตัวกันในกรุงโรมเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีฝ่ายเสรีนิยม Luigi Facta ลาออก และแต่งตั้งรัฐบาลฟาสซิสต์ขึ้นมาใหม่ ช่วงเช้าของวันที่ 28 ตุลาคม พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 ซึ่งทรงได้ปฏิบัติตามธรรมนูญอัลแบร์ติโนในการถือครองอำนาจทางทหารสูงสุด ทรงปฏิเสธคำร้องจากรัฐบาลในการประกาศกฏอัยการศึก ซึ่งนำไปสู่การลาออกของ Facta จากนั้นกษัตริย์ได้ทรงมอบอำนาจแก่มุสโสลินี(ซึ่งอยู่ในสำงานใหญ่ของเขาในมิลานในช่วงการเจรจา) โดยทรงรับสั่งให้เขาจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ การตัดสินพระทัยที่ดูขัดแย้งของกษัตริย์ได้ถูกอธิบายโดยนักประวัติศาสตร์ว่า เป็นการผสมผสานระหว่างการหลงผิดและความกลัว มุสโสลินีนั้นมีความสุขด้วยการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในกองทัพและในท่ามกลางชนชั้นนำของอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ในขณะที่กษัตริย์และสถาบันอนุรักษ์นิยมเกรงกลัวว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง และในที่สุดก็คิดไว้แล้วว่าพวกเขาจะสามารถใช้มุสโสลินีเพื่อฟื้นฟูกฎหมายและความสงบเรียบร้อยในประเทศได้ แต่กลับล้มเหลวถึงการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงอันตรายของการวิวัฒนาการระบอบเผด็จการ[63]
ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
[แก้]ในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ปีแรกของการปกครองของมุสโสลินีซึ่งมีลักษณะเฉพาะโดยรัฐบาลผสมของฝ่ายขวาซึ่งประกอบด้วยพวกฟาสซิสต์ ชาตินิยม เสรีนิยม และนักบวชนิกายคาทอลิกสองคนจากพรรคประชาชน ฟาสซิสต์ได้สร้างชนกลุ่มน้อยในรัฐบาลดดั้งเดิมของเขา เป้าหมายภายในประเทศของมุสโสลินีคือการสถาปนารัฐเผด็จการด้วยตัวเขาเองในที่สุดในฐานะผู้นำสูงสุด(อิลดูเช) ข้อความที่ดูเด่นชัดโดยหนังสือพิมพ์ฟาสซิสต์ Il Popolo d'Italia, ซึ่งตอนนี้ได้ถูกแก้ไขเรียบเรียงโดยน้องชายของมุสโสลินี อาร์นัลโด ด้วยเหตุนี้ มุสโสลินจึงได้รับอำนาจเบ็ดเสร็จจากสภานิติบัญญัติเป็นเวลาหนึ่งปี(ซึ่งถูกต้องตามกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญอิตาลีในช่วงเวลานั้น) เขาได้ให้การสนับสนุนการฟื้นฟูอำนาจรัฐอย่างสมบูรณ์ ด้วยการรวมพวกฟาสเช่อิตาเลียนในการสู้รบเข้าสู่กองทัพ(ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1923 ในนามว่า กองทหารอาสาสมัครเพื่อความมั่งคงแห่งชาติ) และความก้าวหน้าในการแยกแยะของพรรคการเมืองกับรัฐ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจสังคม เขาได้ร่างผ่านกฎหมายที่ให้การสนับสนุนความมั่นคั่งให้แก่ชนชั้นอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม(การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน การเปิดเสรีด้านกฎหมายค่าเช่า และการล้มล้างสหภาพแรงงาน)[15]
ใน ค.ศ. 1923 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเข้ารุกรานเกาะคอร์ฟูในช่วงเหตุการณ์คอร์ฟู ในท้ายที่สุด สันนิบาตชาติก็ไร้อำนาจ และกรีซก็ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามการเรียกร้องของอิตาลี
กฎหมายอะแซร์โบ
[แก้]ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 รัฐบาลได้ผ่านการร่างกฎหมายอะแซร์โบ ซึ่งได้เปลี่ยนประเทศอิตาลีให้กลายเป็นเขตเลือกตั้งระดับชาติเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ยังให้เสียงข้างมากจากสองในสามของที่นั่งในรัฐสภาแก่พรรคหรือกลุ่มพรรคกลางเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 25%[64] กฎหมายฉบับนี้ได้มีผลบังคับใช้ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1924 พันธมิตรระดับชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยพวกฟาสซิสต์ ซึ่งส่วนมากเป็นพวกเสรีนิยมเก่าและอื่น ๆ ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 64%
การก่อความรุนแรงของกลุ่มเชิ้ตดำ
[แก้]การลอบสังหารผู้แทนการเลือกตั้งจากสังคมนิยม Giacomo Matteotti ผู้ที่ได้ร้องขอให้มีการเพิกถอนการเลือกตั้งเพราะพบว่าดูผิดปกติ[65] ก่อให้เกิดวิกฤตชั่วครู่ในรัฐบาลมุสโสลินี มุสโสลินีสั่งให้ทำการปกปิด แต่กลับมีพยานพบเห็นว่า รถที่ขนศพของ Matteotti ได้ถูกจอดทิ้งไว้ที่ด้านนอกของบ้านพักของ Matteotti ซึ่งเชื่อมโยงไปถึง Amerigo Dumini กับการฆาตกรรม
ต่อมามุสโสลินีได้ยอมรับว่า ชายเด็ดเดี่ยวเพียงไม่กี่คนจะสามารถเปลี่ยนความคิดเห็นของสาธารณชนและเริ่มที่จะก่อรัฐประหารที่จะกวาดล้างลัทธิฟาสซิสต์ให้หมดไป Dumini ได้ถูกจำคุกเป็นเวลาสองปี เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัว Dumini ถูกตั้งข้อหาว่าไปบอกคนอื่นว่ามุสโสลินีเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเขาก็ต้องถูกคุมขังในเรือนจำต่อไป
พรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ตอบโต้อย่างแผ่วเบาหรือโดยทั่วไปแล้วไม่ได้ตอบสนองอะไร นักสังคมนิยม นักเสรีนิยม และพวกสายกลางจำนวนมากต่างพากันคว่ำบาตรรัฐสภาในการแยกตัวอเวนตินเน โดยคาดหวังจะบีบบังคับให้พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 รับสั่งปลดมุสโสลินีลงจากตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1924 คณะกงสุลของ MVSN ได้เข้าพบกับมุสโสลินีและยื่นคำขาดให้กับเขาว่า: จะกำจัดฝ่ายค้านหรือพวกเขาจะลงมือกันเองโดยไม่มีเขา ด้วยความเกรงกลัวว่าจะเกิดการก่อจลาจลโดยกลุ่มทหารของตนเอง มุสโสลินีจึงตัดสินใจล้มเลิกการเสแสร้งทั้งหมดในการเป็นประชาธิปไตย[66] เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1925, มุสโสลินีได้กล่าวสุนทรพจน์อย่างแข็งกร้าวต่อหน้าห้องประชุมสภา ซึ่งเขาได้ยอมรับว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการก่อความรุนแรงของพวกเชิ้ตดำ(squadristi) (แม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวถึงการลอบสังหาร Matteotti).[67] อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้ยุบหน่วย squadristi จนถึงปี ค.ศ. 1927 .[28]
ฟาสซิสต์อิตาลี
[แก้]นวัตกรรมองค์กร
[แก้]นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน-อเมริกัน Konrad Jarausch ได้โต้แย้งว่า มุสโสลินีเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับชุดกลุ่มผสมผสานของนวัตกรรมทางการเมือง ซึ่งทำให้ลัทธิฟาสซิสต์กลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป ประการแรก เขาได้ก้าวข้ามคำมั่นสัญญาที่ดูคลุมเครือของการสร้างประเทศชาติครั้งใหม่ในอนาคตและพิสูนจ์ให้เห็นว่าขบวนการนี้สามารถยึดอำนาจและดำเนินการปกครองที่ครอบคลุมในส่วนใหญ่ของประเทศตามแนวทางฟาสซิสต์ ประการที่สอง ขบวนการนี้ได้กล่าวอ้างว่าเป็นตัวแทนของชุมชนชาติทั้งหมด ไม่ใช่ส่วนที่ถูกแตกแยกออกมา เช่น ชนชั้นกรรมกรหรือชนชั้นสูง เขาได้พยายามอย่างมากที่จะรวบรวมส่วนหนึ่งของชาวคาทอลิกที่ห่างเหินไปก่อนหน้านี้ เขาได้กำหนดบทบาทสาธารณะสำหรับภาคหลักของชุมชนธุรกิจมากกว่าจะยินยอมให้ดำเนินการอย่างลับ ๆ ประการที่สาม เขาได้พัฒนาลัทธิผู้นำคนเดียวที่มุ่งเน้นความสนใจของสื่อและการอภิปรายระดับชาติเกี่ยวกับบุคลิกภาพของเขาเอง ในฐานะที่เคยเป็นนักข่าว มุสโสลินีได้ถูกพิสูจน์แล้วมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนทุกรูปแบบ รวมทั้งรูปแบบใหม่ เช่น ภาพยนตร์และวิทยุ ประการที่สี่ เขาได้สร้างสมาชิกพรรคจำนวนมาก โดยโครงการฟรีสำหรับเยาวชนชาย เยาวชนหญิง และกลุ่มอื่นต่าง ๆ ที่สามารถระดมพลและติดตามได้ง่ายดายมากขึ้น เขาได้ทำการปิดการก่อตั้งและพรรคทางเลือกทางการเมืองทั้งหมด (แต่ขั้นตอนนี้ไม่ใช่นวัตกรรมแต่อย่างใด) เช่นเดียวกับเผด็จการทุกคน เขาได้ใช้การคุกคามของการก่อความรุนแรงทางวิสามัญอย่างเสรี เช่นเดียวกับการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเชิ้ตดำของเขาเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความหวาดกลัว
รัฐตำรวจ
[แก้]ระหว่าง ค.ศ. 1925 และ ค.ศ. 1927 มุสโสลินีก็ค่อย ๆ รื้อถอนรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมดและจำกัดอำนาจตามแบบแผนของเขาและก่อตั้งรัฐตำรวจ การผ่านร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1925—ช่วงคริสต์มาสอีฟสำหรับประเทศนิกายโรมันคาทอลิกส่วนใหญ่—ได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการของมุสโสลินีจาก"ประธานคณะรัฐมนตรี"มาเป็น"หัวหน้ารัฐบาล" แม้ว่าเขาจะยังถูกเรียกว่า "นายกรัฐมนตรี" จากแหล่งข่าวที่ไม่ใช่ของอิตาลีส่วนใหญ่ เขาไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในรัฐสภาอีกต่อไปและมีเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะสามารถถอดถอนได้ ในขณะที่รัฐธรรมนูญอิตาลีได้ระบุว่า รัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบต่ออธิปไตยเท่านั้น ในทางปฏิบัติ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกครองโดยขัดต่อเจตจำนงของรัฐสภา กฎหมายคริสมาสต์อีฟได้ยุติการปฏิบัติครั้งนี้ และทำให้มุสโสลินีเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่มีอำนาจในการกำหนดวาระประชุมของสภา กฎหมายฉบับนี้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลของมุสโสลินีให้กลายเป็นการปกครองแบบเผด็จการตามกฎหมายโดยพฤตินัย การปกครองตนเองในท้องถิ่นถูกยกเลิก และโพเดสตราได้ถูกแต่งตั้งโดยวุฒิสภาอิตาลีเข้ามาแทนที่นายกเทศมนตรีและสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1926 มุสโสลินีรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารครั้งแรกโดยไวโอเลต กิบสัน หญิงสาวชาวไอริชและบุตรสาวของลอร์ดแอชบอร์น ซึ่งถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ภายหลังจากที่เธอถูกจับกุม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1926 อันเตโอ ซัมโบนี วัยสิบห้าปี พยายามที่จะยิงมุสโสลินีในเมืองโบโลญญา ซัมโบนีจึงถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที มุสโสลินียังรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารที่ล้มเหลวในกรุงโรมโดยผู้นิยมอนาธิปไตย Gino Lucetti และความพยายามตามแผนโดยผู้นิยมอนาธิปไตยชาวอิตาลี Michele Schirru ซึ่งจบลงด้วย Schirru ถูกจับกุมและประหารชีวืต
พรรคการเมืองอื่น ๆ ได้ถูกประกาศว่าผิดกฎหมาย ภายหลังจากความพยายามลอบสังหารของซัมโบนีใน ค.ศ. 1926 แม้ว่าในทางปฏิบัติ อิตาลีจะเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวมาตั้งแต่ ค.ศ. 1925 (ไม่ว่ามาจากการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาในช่วงมกราคมหรือผ่านการร่างกฎหมายช่วงคริสมาสต์อีฟ ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูลที่มา) ในปีเดียวกัน กฎหมายการเลือกตั้งได้ยกเลิกการเลือกตั้งรัฐสภา แต่สภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์กลับเลือกราชื่อผู้สมัครการเพียงรายเดียวที่จะได้รับการอนุมัติจากการลงประชามติ สภาใหญ่ถูกสร้างขึ้นเมื่อห้าปีก่อนในฐานะพรรคการเมือง และถูก"ทำให้เป็นรัฐธรรมนูญ" และกลายเป็นอำนาจสูงสุดตามรัฐธรรมนูญในรัฐ ในเอกสาร สภาใหญ่มีอำนาจที่จะทำให้มุสโสลินีหลุดพ้นจากตำแหน่ง และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเพียงการตรวจสอบต่ออำนาจในทางทฤษฏี อย่างไรก็ตาม มุสโสลินีเท่านั้นที่สามารถเรียกประชุมสภาใหญ่และกำหนดวาระการประชุมได้ เพื่อเข้าควบคุมภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกาะซิซิลี เขาได้แต่งตั้งให้ Cesare Mori เป็นนายอำเภอของเมืองปาแลร์โม โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำจัดพวกมาเฟียให้หมดสิ้น ในโทรเลข มุสโสลินีได้เขียนถึง Mori ว่า:
ด้วยตำแหน่งอันสูงส่งของท่านที่มีเกียรติเปี่ยมล้น อำนาจของรัฐจะต้องมีความเด็ดขาด ข้าพเจ้าขอย้ำว่าต้องเด็ดขาด ซึ่งจะถูกจัดตั้งขึ้นในเกาะซิซิลี หากว่ากฎหมายที่ยังถูกบังคับใช้จะเข้าขัดขวางท่าน เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะเราจะร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่เอง[68]
Mori แทบจะไม่ลังเลเลยที่จะทำการปิดล้อมเมือง, ใช้การทรมาน และจับผู้หญิงและเด็กไว้เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ผู้ต้องสงสัยยอมจำนน วิธีการที่ดูรุนแรงเหล่านี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "นายอำเภอเหล็ก". ใน ค.ศ. 1927,การสอบสวนของ Mori ได้นำไปสู่หลักฐานของการสมรู้ร่วมคิดระหว่างมาเฟียและสถาบันฟาสซิสต์ และเขาถูกปลดออกจากหน้าที่ในระยะยาวในปี ค.ศ. 1924, ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จำนวนการฆาตกรรมในจังหวัดปาแลร์โมได้ลดลงจากจำนวน 200 คน มาเป็น 23 คน มุสโสลินีได้เสนอชื่อ Mori ในการเข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและโฆษณาชวนเชื่อของฟาสซิสต์ได้อ้างว่า พวกมาเฟียได้พ่ายแพ้แล้ว[69]
การเลือกตั้งทั่วไปได้ถูกจัดขึ้นในรูปแบบของการลงประชามติ. โดยครั้งนี้, ประเทศเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์(PNF) เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น รายชื่อที่ถูกส่งไปก่อนหน้านี้ได้ถูกอนุมัติในที่สุดด้วยคะแนนเสียง 98.43%[70]
"กระบวนการสันติภาพแก่ลิเบีย"
[แก้]ใน ค.ศ. 1919 รัฐอิตาลีได้นำการปฏิรูปแบบเสรีนิยมในลิเบียเพื่อที่จะยินยอมให้มีการศึกษาภาษาอาหรับและภาษาเบอร์เบอร์ และยินยอมสำหรับความเป็นไปได้ที่จะทำให้ชาวลิเบียกลายเป็นพลเมืองอิตาลี[71] Giuseppe Volpi ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใน ค.ศ. 1921 ซึ่งถูกสงวนที่ไว้โดยมุสโสลินีและถอดถอนมาตรการทั้งหมดที่ถูกเสนอเพื่อความเท่าเทียมให้กับชาวลิเบีย[71] นโยบายการเข้ายึดที่ดินจากชาวลิเบียเพื่อส่งมอบให้กับอาณานิคมอิตาลีให้มีความแข็งแกร่งขึ้นมาใหม่เพื่อต้านทานจากการต่อต้านของชาวลิเบียภายใต้การนำโดย Omar Mukhtar และในช่วงเวลาต่อมา "กระบวนการสันติภาพแก่ลิเบีย" ระบอบฟาสซิสต์ได้ดำเนินรณรงค์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ถูกออกมาเพื่อสังหารชาวลิเบียจำนวนมากเท่าที่จะเป็นไปได้[72][71] มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเมืองไซรีนิกาถูกกักขังไว้ที่ค่ายกักกันสิบห้าแห่งในปี ค.ศ. 1931 ในขณะที่กองทัพอากาศหลวงอิตาลีได้จัดทำสงครามทางเคมีในการเข้าโจมตีกับชาวเบดูอิน[73] เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1930 จอมพล ปีเอโตร บาโดลโย ได้เขียนจดหมายไปถึง นายพล โรดอลโฟ กราซีอานี ว่า:
สำหรับกลยุทธ์ทั้งหมด มีความจำเป็นเพื่อที่จะสร้างการแบ่งแยกที่สำคัญและชัดเจนระหว่างการควบคุมประชากรและการก่อตัวของพวกกบฏ ข้าพเจ้าไม่ได้ซ่อนมาตรการที่สำคัญและร้ายแรงนี้เลย ซึ่งอาจจะกลายเป็นความย่อยยับของประชากรที่ดูเงียบสงบลง ... แต่ตอนนี้เส้นทางได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และเราต้องดำเนินการให้จบ แม้ว่าประชากรทั้งหมดของเมืองไซเรนีกาจะต้องสูญสิ้น[74]
เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1933 มุสโสลินีได้บอกกับนักการทูต บารอน Pompei Aloisi ว่า ชาวฝรั่งเศสในตูนีเซียได้สร้าง"ความผิดพลาดอย่างน่ากลัว" โดยยอมรับให้มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวตูนีเซีย ซึ่งเขาได้คาดการณ์ว่าจะนำไปสู่ความเสื่อมทรามของฝรั่งเศสที่จะกลายเป็นประเทศของ"พวกลูกผสม" และเพื่อป้องกันสิ่งเดียวกันที่จะเกิดขึ้นกับชาวอิตาลี จึงออกคำสั่งให้กับจอมพลบาโดลโยว่า การแต่งงานต่างเชื้อชาติถือว่าผิดกฎหมายในลิเบีย[75]
นโยบายเศรษฐกิจ
[แก้]มุสโสลินีได้เปิดตัวโครงการการก่อสร้างทางสาธารณะหลายโครงการและความคิดริเริ่มของรัฐบาลตลอดทั่วทั้งอิตาลีเพื่อต่อสู้กับความล้มเหลวทางเศรษฐกิจหรือระดับการว่างงาน โครงการก่อนหน้านี้ของเขา(และหนึ่งในที่เป็นรู้จักกันอย่างดี) คือ การรบเพื่อข้าวสาลี ซึ่งฟาร์มแห่งใหม่ที่มีจำนวน 5,000 แห่งและเมืองเกษตรกรรมแห่งใหม่ห้าแห่ง(ท่างกลางเมือง Littoria และ Sabaudia) บนที่ดินที่ถูกบุกเบิกโดยการระบายน้ำของพอนติเน มาร์ชีส์ ใน Sabaudia ตัวอย่างเมืองเกษตรกรรมได้ถูกก่อตั้งขึ้นและถูกตั้งชื่อว่า มุสโสลิเนีย แต่พอเวลาผ่านไปนาน ๆ ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น อาร์บอเรีย เมืองนี้เป็นที่แห่งแรกที่มุสโสลินีคาดหวังว่าจะมีการตั้งถิ่นฐานทางเกษตรกรรมใหม่จำนวนนับพันแห่งทั่วประเทศ การรบเพื่อข้าวสาลีได้หันเหทรัพยากรที่มีค่าไปยังผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี ซึ่งห่างไกลจากพืชอื่น ๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เจ้าของที่ดินได้ข้าวสาลีที่เติบโตบนดินที่ไม่เหมาะสมโดยใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหมด และแม้ว่าการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีจะเพิ่มขึ้น ราคาที่สูงขึ้น การบริโภคลดลง และอัตราภาษีศุลกากรสูงได้ถูกกำหนดไว้[76] ภาษีศุลการกรได้ส่งเสริมความไร้ประสิทธิภาพอย่างกว้างขวางและเงินอุดหนุนของรัฐบาลที่มอบให้แก่เกษตรกรได้ผลักดันประเทศให้เป็นหนี้มากยิ่งขึ้น
มุสโสลินียังได้ริเริ่มโครงการ "การสู้รบเพื่อที่ดิน" ซึ่งเป็นนโยบายต่อที่ดินที่ถูกแปรสถาพที่ได้ถูกระบุไว้ใน ค.ศ. 1928 ความคิดริเริ่มนี้ได้ประสบความสำเร็จหลายอย่าง ในขณะที่โครงการต่าง ๆ เช่น การระบายน้ำของพอนติเน มาร์ชีส์ ใน ค.ศ. 1935 สำหรับเกษตรกรรมนั้นดีสำหรับเป้าหมายของการโฆษณาชวนเชื่อ การจัดหางานให้แก่ผู้ว่างงานและอนุญาตให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่ควบคุมเงินอุดหนุน ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ในการสู้รบเพื่อที่ดินก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โครงการนี้ซึ่งไม่สอดคล้องกับการรบเพื่อข้าวสาลี(แปลงที่ดินขนาดเล็กได้ถูกจัดสรรอย่างไม่เหมาะสมสำหรับการผลิตข้าวสาลีขนาดใหญ่) และพอนติเน มาร์ชีส์ก็สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวนามีจำนวนน้อยกว่า 10,000 คนซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานใหม่บนที่ดินที่ได้รับการจัดสรร และความยากจนของชาวนายังคงพุ่งสูงขึ้น ความคิดริเริ่มของการสู้รบเพื่อที่ดินก็ได้ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 1940
ใน ค.ศ. 1930 ใน"คำสอนของลัทธิฟาสซิสต์" เขาเขียนว่า "สิ่งที่เรียกว่าวิกฤตสามารถแก้ไขได้โดยการดำเนินของรัฐและภายในวงโคจรของรัฐเท่านั้น"[77] เขาได้พยายามต่อสู้ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยโดยการนำเสนอริเริ่มโครงการ "ทองคำเพื่อปิตุภูมิ" ส่งเสริมให้ประชาชนทำการบริจาคเครื่องประดับทองคำโดยความสมัครใจให้กับเจ้าหน้าที่ข้าราชการเพื่อแลกกับสายรัดข้อมือเหล็กที่มีการสลักคำว่า "ทองคำเพื่อปิตุภูมิ" แม้แต่ราเคเล มุสโสลินีก็ยังบริจาคแหวนแต่งงานของเธอ ทองคำที่รวบรวมมาได้จะถูกนำไปหลอมและเปลี่ยนกลายเป็นทองคำแท่ง ซึ่งหลังจากนั้นก็นำไปแจกจ่ายให้กับธนาคารแห่งชาติ
การควบคุมธุรกิจของรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนนโยบายของมุสโสลินี ใน ค.ศ. 1935 เขาได้กล่าวอ้างว่า ธุรกิจสามในสี่ส่วนของอิตาลีได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ต่อมาในปีนั้น มุสโสลินีได้ออกพระราชกฤษฏีกาหลายฉบับเพื่อเข้าควบคุมเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น การใช้อำนาจบังคับธนาคาร ธุรกิจ และความเป็นส่วนตัวของพลเมืองเพื่อยอมมอบหุ้นและพันธบัตรที่ถูกออกโดยต่างประเทศทั้งหมดที่ถือครองอยู่ให้กับธนาคารแห่งอิตาลี ใน ค.ศ. 1936 เขาได้กำหนดการควบคุมราคา[78] นอกจากนี้เขายังได้พยายามที่จะเปลี่ยนอิตาลีให้กลายเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง(self-sufficient autarky) ก่อให้เกิดอุปสรรคครั้งใหญ่ทางการค้ากับประเทศส่วนใหญ่ ยกเว้นเพียงประเทศเยอรมนี
ใน ค.ศ. 1943 มุสโสลินีได้เสนอทฤษฏ๊การขัดเกลาทางสังคมทางเศรษฐกิจ
เส้นทางรางรถไฟ
[แก้]มุสโสลินีมีความกระตือรือร้นที่จะได้รับเครดิตสำหรับงานสาธารณะที่สำคัญในอิตาลี โดยเฉพาะระบบรางรถไฟ[79] รายงานของเขาได้ทำการปรับใหม่ของโครงข่ายรางรถไฟทำให้เกิดคำพูดติดปากว่า, "ถ้าพูดในสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับมุสโสลินี เขาจะทำให้รถไฟวิ่งได้ตรงเวลา."[79] Kenneth Roberts, นักข่าวและนักประพันธ์, ได้เขียนใน ค.ศ. 1924 ว่า :
ความแตกต่างระหว่างบริการรางรถไฟของอิตาลีใน ค.ศ. 1919 1920 และ 1921 และบริการที่ได้มาในช่วงปีแรกของระบอบมุสโสลินีแทบไม่น่าเชื่อ รถก็ดูสะอาด พนักงานก็ดูคล่องแคล่งและสุภาพเรียบร้อย, และรถไฟก็ได้มาถึงและออกจากสถานีอย่างตรงเวลา— มาช้าไม่เกินสิบห้านาที, และไม่สายเกินห้านาที; แต่ตรงเวลาแบบเป๊ะ ๆ เลย.[80]
ในความเป็นจริงแล้ว การปรับปรุงระบบรางรถไฟในช่วงหลังสงครามที่เลวร้ายของอิตาลีได้เริ่มขึ้นก่อนที่มุสโสลินีจะเข้ายึดอำนาจ.[79][81] การปรับปรุงยังคงปรากฏอย่างชัดเจนมากกว่าของจริง. Bergen Evans ได้เขียนใน ค.ศ. 1954 ว่า:
ผู้เขียนได้รับการว่าจ้างเป็นผู้เดินเอกสารโดยบริษัททัวร์ Franco-Belgique ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1930,จุดสูงสุดของสมัยรุ่งเรืองของมุสโสลินี, เมื่อทหารองค์รักษ์ฟาสฟิสต์ได้ขึ้นรถไฟทุกขบวนและเต็มใจที่จะบันทึกคำให้การว่าประสิทธิภาพของรถไฟอิตาลีส่วนใหญ่ที่ได้เดินทางไปนั้นไม่ตรงตามตารางเวลา—หรือแค่เกือบ ๆ. ต้องมีจำนวนหลายพันคนที่สามารถให้การสนับสนุนที่จะเป็นพยานครั้งนี้ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่าที่จะตอกย้ำ.[82]
George Seldes ได้เขียนใน ค.ศ. 1936 ว่า แม้ว่ารถไฟรถไฟด่วนที่บรรทุกโดยสารนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป—แต่ก็ไม่เสมอไป—วิ่งตามตารางเวลา, ไม่เหมือนกับสายรางที่เล็กกว่า ซึ่งมีความล้าช้าบ่อยครั้ง,[79] ในขณะที่ Ruth Ben-Ghiat ได้บอกว่า "พวกเขาปรับปรุงสายรางรถไฟที่มีความหมายทางการเมืองสำหรับพวกเขา".[82]
โฆษณาชวนเชื่อและลัทธิบูชาบุคคล
[แก้]สิ่งที่สำคัญมากที่สุดของมุสโสลินีคือการเอาชนะทางจิตใจของประชาชนชาวอิตาลีผ่านการใช้โฆษณาชวนเชื่อ ระบอบการปกครองได้ส่งเสริมลัทธิบูชาบุคคลที่ดูมากเกินไปที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวของมุสโสลินี เขาอวดอ้างว่า ได้จุติลงมาเป็น ยอดเหนือมนุษย์(Übermensch) คนใหม่ของฟาสซิสต์ โดยส่งเสริมสุนทรียศาสตร์ที่ดูขุ่นเคืองของ Machismo (ความเป็นชาย) ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถเสมือนระดับเทพเจ้าของเขา[83] หลายครั้งช่วงหลัง ค.ศ. 1922 มุสโสลินีได้เข้ารับตำแหน่งเป็นการส่วนตัวในฐานะรัฐมตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงอาณานิคม กิจการบรรษัท กระทรวงกลาโหม และงานสาธารณะ บางครั้ง เขาก็ดำรงตำแหน่งถึงเจ็ดกระทรวงพร้อมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวหน้าของพรรคฟาสซิสต์ที่ทรงอำนาจและกองกำลังทหารติดอาวุธประจำท้องถิ่นอย่างหน่วย MVSN หรือ"กลุ่มเชิ้ตดำ" ซึ่งคอยข่มขวัญการต่อต้อนที่กำลังก่อตัวขึ้นในเมืองและจังหวัด ต่อมา เขาก็ได้ก่อตั้งหน่วย OVRA ซึ่งเป็นสถาบันตำรวจลับที่ดำเนินการจากการสนับสนุนของรัฐอย่างเป็นทางการ ด้วยวิธีนี้ เขาก็ประสบความสำเร็จในการรักษาอำนาจไว้ในมือของเขาเองและป้องกันการปรากฏตัวของคู่แข่งใด ๆ
มุสโสลินียังแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองเป็นนักกีฬาที่ดูองอาจเหี้ยมหาญและนักดนตรีที่มีความสามารถ ครูทุกคนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะต้องกล่าวสาบานว่า จะพิทักษ์ปกป้องระบอบฟาสซิสต์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์จะถูกคัดเลือกเป็นการส่วนตัวทั้งหมดโดยมุสโสลินี และมีเพียงผู้ที่อยู่ในความครอบครองของใบรับรองจากพรรคฟาสซิสต์ซึ่งสามารถนำประกอบใช้วารสารศาสตร์ได้ ใบรับรองเหล่านี้ถูกออกมาอย่างลับ ๆ มุสโสลินีจึงได้สร้าพภาพลวงตาของ "เสรีสื่อ" อย่างเชี่ยวชาญ สหภาพการค้ายังถูกริดรอนความเป็นอิสระใด ๆ และถูกรวมเข้ากับสิ่งที่ถูกเรียกว่า ระบบ"บรรษัท" จุดมุ่งหมายนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสมาคมกิลด์ในช่วงยุคกลางและไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ คือ การบรรจุชาวอิตาลีทั้งหมดไว้ในองค์กรหรือบริษัทวิชาชีพต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอย่างลับ ๆ
เงินจำนวนมากมายถูกนำไปใช้กับงานสาธารณะที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนและโครงการอันเกียรติภูมิระหว่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ได้รวมถึงการมอบรางวัลบลูริบบันด์แก่เรือเดินสมุทรที่ชื่อว่า เอ็สเอ็สเร็กซ์ ด้วยการสร้างสถิติการบินด้วยเครื่องบินทะเลที่เร็วที่สุดในโลกอย่าง Macchi M.C.72 และการล่องเรือบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของอิตาโล บัลโบ ซึ่งได้รับการต้อนรับด้วยการประโคมดนตรีอย่างมากมายในสหรัฐ เมื่อลงจอดที่ชิคาโก ใน ค.ศ. 1933
หลักการของคำสอนลัทธิฟาสซิสต์ถูกลงในบทความโดยนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงนามว่า Giovanni Gentile และมุสโสลินีตัวเขาเองซึ่งปรากฏในสารานุกรมภาษาอิตาลี ฉบับ ค.ศ. 1932 มุสโสลินีมักจะสวมบทบาทตัวเองว่าเป็นผู้มีปัญญา และนักประวัติศาสตร์บางคนก็เห็นด้วย[84] กึนเธอร์เรียกเขาว่า เป็น"เผด็จการที่มีการศึกษาดีเยี่ยมที่สุดและซับซ้อนมากที่สุดอย่างง่ายดาย" และเป็นผู้นำระดับชาติเพียงคนเดียวใน ค.ศ. 1940 ซึ่งเป็นปัญญาชน[28] นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันนามว่า Ernst Nolte กล่าวว่า "การสั่งการของเขาในปรัชญาร่วมสมัยและวรรณกรรมทางการเมืองของเขานั้นดีพอ ๆ กับผู้นำทางเมืองร่วมสมัยคนอื่น ๆ ของยุโรป"[85]
วัฒนธรรม
[แก้]เหล่านักชาตินิยมในช่วงปีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งต่างคิดว่าตนเองกำลังต่อสู้กับฝ่ายเสรีนิยมและการครอบงำสถาบันซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี เช่น รัฐบาลของ Giovanni Giolitti รวมทั้งสถาบันการศึกษาแบบดั้งเดิม ด้วยลัทธิอนาคตนิยม ขบวนการการปฏิวัติทางวัฒนธรรมซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวแรงกระตุ้นสำหรับลัทธิฟาสซิสต์ การโต้เถียงสำหรับ "โรงเรียนสำหรับความกล้าหาญทางกายภาพและลัทธิความรักชาติ" ตามที่ฟีลิปโป ตอมมาโซ มารีเนตตีได้กล่าวไว้ใน ค.ศ. 1919 มารีเนตตีได้แสดงดูถูกเหยียดหยามสำหรับ"หลักสูตรภาษาละตินและภาษากรีกโบราณในช่วงยุคสมัยมนุษย์ที่อาศัยอยุ่ในถ้ำและก่อนประวัติศาสตร์ปัจจุบัน" การโต้เถียงเพื่อแทนที่พวกเขาด้วยการฝึกจำลองของเหล่าทหารหน่วยอาร์ดีตี("[ข้อเรียนรู้] เพื่อที่จะรุกคืบด้วยมือและเข่าในแนวหน้าที่มีการยิงปืนกลอย่างกระหน่ำถาโถม เพื่อรอลืมตาสำหรับคานไม้เคลื่อนที่ไปด้านข้างเหนือหัวของพวกเขา เป็นต้น") ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองกำลังปีกยุวชนฟาสซิสต์กลุ่มแรกได้ถูกก่อตั้งขึ้น: Avanguardia Giovanile Fascista (กองแนวหน้ายุวชนฟาสซิสต์) และ Gruppi Universitari Fascisti (กลุ่มมหาวิทยาลัยฟาสซิสต์) ใน ค.ศ. 1922
ภายหลังจากการเดินขบวนสู่โรมซึ่งทำให้มุสโสลินีได้ขึ้นสู่อำนาจ ฟาสซิสต์ได้เริ่มคิดที่จะหาวิธีที่จะทำให้สังคมอิตาลีเป็นการเมือง โดยเน้นไว้ที่การศึกษา มุสโสลินีได้มอบหมายให้อดีตทหารจากหน่วยอาร์ดิตีและอดีตเลขาธิการด้านการศึกษานามว่า Renato Ricci ในการทำภารกิจของ "การปฏิรูปปรับปรุงเยาวชนจากมุมมองทางศีลธรรมและทางกายภาพ" Ricci ได้แสวงหาแรงบันดาลใจกับโรเบิร์ต เบเดน โพเอลล์ ผู้ก่อตั้งกิจการลูกเสือ ซึ่งได้พบกับเขาในประเทศอังกฤษ เช่นเดียวกับศิลปินจากเบาเฮาส์ในประเทศเยอรมนี โอเปร่า เนซิโอนาเล บาลิลาถูกก่อตั้งขึ้นโดยประกาศกฤษฏีกาของมุสโสลินี เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1926 และนำโดย Ricci จากการติดตามมาเป็นเวลาสิบเอ็ดปี รวมทั้งเด็กที่มีอายุระหว่าง 8 ถึง 18 ปี ซึ่งจะถูกจัดประเภทว่า เป็นบาลิลาและอาวันกัวดิสตี
ตามที่มุสโสลินีได้กล่าวไว้ว่า: "การศึกษาฟาสซิสต์คือศีลธรรม กายภาพ สังคม และการทหาร: มุ่งเป้าที่จะสร้างมนุษย์ที่ดูสมบูรณ์และกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวอย่างเต็มตัว ฟาสซิสต์ตามมุมมองของเรา" มุสโสลินีได้จัดโครงสร้างกระบวนการนี้โดยคำนึงถึงด้านอารมณ์ในวัยเด็ก: "วัยเด็กและวัยแรกรุ่นเช่นเดียวกัน ... ไม่สามารถเลี้ยงดูเพียงลำพังโดยการแสดงดนตรี ทฤษฏี และการสอนเชิงนามธรรม ความเป็นจริงที่เราตั้งเป้าจะสอนพวกเขาควรดึงดูดใจพวกเขาเป็นอันดับแรกก่อนในจิตนาการ สู่หัวใจ และต่อมาด้วยจิตใจของพวกเขาเท่านั้น"
"คุณค่าทางการศึกษาที่ถูกกำหนดผ่านการปฏิบัติและตัวอย่าง"มาแทนที่แนวทางที่ถูกกำหนดไว้ ลัทธิฟาสซิสต์ต่อต้านรูปแบบอุดมคตินิยมกับลัทธิเหตุผลนิยมซึ่งเป็นที่แพร่หลาย และใช้โอเปร่า เนซิโอนาเล บาลิลาในอุบายการกำจัดการศึกษาแบบดั้งเดิมโดยการจัดตั้งกลุ่มหมู่และลำดับชั้น เช่นเดียวกับลัทธิบูชาบุคคลของมุสโสลินีเอง
องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของนโยบายวัฒนธรรมฟาสซิสต์คือนิกายโรมันคาทอลิก ใน ค.ศ. 1929 มีการลงนามสนธิสัญญากับวาติกัน ซึ่งเป็นอันยุติของความขัดแย้งมาหลายศตวรรษระหว่างรัฐอิตาลีและตำแหน่งพระสันตะปาปาซึ่งต้องย้อนกลับไปถึงการยึดอำนาจรัฐสันตะปาปาใน ค.ศ. 1870 โดยราชวงศ์ซาวอย ในช่วงระหว่างการรวมชาติอิตาลี สนธิสัญญาลาเตรัน ซึ่งในท้ายสุด รัฐอิตาลีได้รับยอมรับจากคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก และความเป็นอิสระของนครวาติกันได้รับการยอมรับจากรัฐอิตาลี ซึ่งได้รับการชื่มชมอย่างมากมายจากลำดับชั้นคณะสงฆ์นักบวช สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ทรงยกย่องมุสโสลินีว่าเป็น "บุรุษแห่งพรอวิเดนซ์"[86]
สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1929 ได้รวมบทบัญญัติทางกฎหมายโดยที่รัฐบาลอิตาลีจะทำการปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของพระสันตะปาปาด้วยการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด[87] มุสโสลินีได้นำเหล่าบุตรของเขาเข้าพิธิรับบัพติศมาใน ค.ศ. 1923 และตัวเขาเองก็เข้าพิธิรับบัพติศอีกครั้งโดยบาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกใน ค.ศ. 1927[88] ภายหลังปี ค.ศ. 1929 มุสโสลินี พร้อมกับคำสอนถึงการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ได้โน้มน้าวชาวคาทอลิกจำนวนมากในการสนับสนุนเขาอย่างแข็งขัน
นโยบายต่างประเทศ
[แก้]ในนโยบายต่างประเทศ, มุสโสลินีเป็นนักปฏิบัติจริงและฉวยโอกาส. ณ จุดศูนย์กลางของวิสัยทัศน์ของเขาคือความฝันที่จะสร้างจักรวรรดิโรมันขึ้นมาใหม่ในแอฟริกาและคาบสมุทรบอลข่าน, แก้ต่างในสิ่งที่เรียกว่า "ชัยชนะที่พังทลาย" ใน ค.ศ. 1918 ซึ่งถูกกำหนดโดย "ประชาธิปไตยแบบพลูโต" (บริติชและฝรั่งเศส) ได้ทรยศต่อสนธิสัญญาลอนดอนและช่วงชิงสิ่งที่เป็น "สิทธิตามธรรมชาติ" ของอิตาลีซึ่งได้คาดหวังว่าจะมีอำนาจสูงสุดในลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียน[89][90] อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1920 การมอบความอ่อนแอแก่เยอรมนี ปัญหาการฟื้นฟูช่วงหลังสงครามและคำถามของการชดใช้ สถานการณ์ของยุโรปไม่เอื้ออำนวยเกินกว่าจะสนับสนุนแนวทางการปรับปรุงแก้ไขต่อสนธิสัญญาแวร์ซาย. ในปี ค.ศ. 1920, นโยบายต่างประเทศของอิตาลีนั้นมีพื้นฐานมาจากแนวคิดดั้งเดิมของอิตาลีที่ยังคงมีจุดยืนที่ "เท่าเทียมกัน" จากมหาอำนาจหลักทั้งหมดเพื่อใช้เป็น "ตัวกำหนดน้ำหนัก" ซึ่งโดยอำนาจใดก็ตามที่อิตาลีเลือกเพื่อจัดให้อยู่ในแนวเดียวกันกับการเปลี่ยนความสมดุลของอำนาจในยุโรปอย่างเด็ดขาด และราคาของการจัดตำแหน่งดังกล่าวน่าจะสนับสนุนความทะเยอทะยานของอิตาลีในยุโรปและแอฟริกา[91] ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากประชากรศาสตร์ของมุสโสลินีได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เขาจึงดำเนินนโยบายการกำเนิดอย่างไม่หยุดหย่อนซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1924 การให้สนับสนุนหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดเป็นความผิดทางอาญา และใน ค.ศ. 1926 ได้ออกคำสั่งให้ผู้หญิงชาวอิตาลีทุกคนเพิ่มจำนวนเด็กเป็นสองเท่า เมื่อพวกเขามีความเต็มใจที่จะแบกรับภาระเอาไว้[92] สำหรับมุสโสลินี ประชากรชาวอิตาลีจำนวน 40 ล้านคนในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอที่จะต่อสู้รบในสงครามครั้งใหญ่ได้ และเขาจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนประชากรชาวอิตาลีมาอย่างน้อย 60 ล้านคนก่อนที่เขาจะเตรียมความพร้อมสำหรับสงคราม[93]
ในช่วงปีแรกในอำนาจของเขา, มุสโสลินีได้ดำเนินเป็นรัฐบุรุษในทางปฏิบัติ, พยายามที่จะบรรลุข้อได้เปรียบบางประการ แต่ไม่เคยเสี่ยงที่จะทำสงครามกับบริติชและฝรั่งเศส ยกเว้นเพียงแต่การระดมยิงปืนใหญ่และเข้ายึดครองเกาะคอร์ฟู ใน ค.ศ. 1923, ภายหลังจากเหตุการณ์ที่บุคลากรทางทหารอิตาลีซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยสันนิบาตชาติเพื่อยุติข้อพิพาทเขตแดนระหว่างกรีซและแอลเบเนียได้ถูกลอบสังหารโดยพวกโจร; สัญชาติของพวกโจรยังไม่ปรากฏชัดเจน ในช่วงเวลาของเหตุการณ์เกาะคอร์ฟู มุสโสลินีเตรียมความพร้อมที่จะทำสงครามกับบริเตน และมีเพียงการอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังจากผู้นำกองทัพเรืออิตาลี ซึ่งได้โต้แย้งว่ากองทัพเรืออิตาลีไม่อาจทัดเทียมกับราชนาวีบริติชได้ จึงเกลี้ยกล่อมมุสโสลินีให้ยอมรับวิธีการแก้ปัญหาทางการทูตเสีย.[94] ในการกล่าวสุนทรพจน์อย่างลับ ๆ ต่อผู้นำกองทัพอิตาลีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1925 มุสโสลินีได้กล่าวอ้างว่า อิตาลีจำเป็นต้องบรรลุนโยบายสปาซิโอ วิทาเล และด้วยเหตุนี้ เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการเข้าร่วม 'ชายฝั่งทั้งสองของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรอินเดียให้กลายเป็นดินแดนเดียวของอิตาลี"[94] สะท้อนถึงความหมกหมุ่นของเขาอยู่กับประชากรศาสตร์ มุสโสลินีได้กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน อิตาลีมีกำลังคนที่ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะสงครามกับบริติชหรือฝรั่งเศส และช่วงเวลาของการทำสงครามกำลังจะมาถึงในช่วงกลางปี ค.ศ. 1930 เมื่อมสโสลินีคิดคำนวณอัตราการเกิดชาวอิตาลีที่สูง ซึ่งในท้ายสุด จะทำให้อิตาลีมีจำนวนที่จำเป็นเพื่อให้ได้ชัยชนะ .[94] ต่อมามุสโสลินีได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสนธิสัญญาโลคาร์โน ใน ค.ศ. 1925, เป็นการรับประกันเขตชายแดนทางตะวันตกของเยอรมนีซึ่งถูกวาดเส้นเอาไว้ใน ค.ศ. 1919 ใน ค.ศ. 1929, มุสโสลินีได้ออกคำสั่งให้เหล่าคณะเสนาธิการกองทัพบกของเขาให้เริ่มวางแผนสำหรับการเข้ารุกรานต่อฝรั่งเศสและยูโกสลาเวีย.[94] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1932, มุสโสลินีได้ส่งข้อความถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเยอรมนี นายพล ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์ โดยให้ข้อเสนอแนะในการเป็นพันธมิตรระหว่างอิตาลี-เยอรมันเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส ซึ่งข้อเสนอนี้ ชไลเชอร์จะตอบรับอย่างดี แม้ว่าจะมีเงื่อนไขว่า เยอรมนีจำเป็นต้องฟื้นฟูกองทัพซะก่อน[94] ในช่วงปลาย ค.ศ. 1932–ช่วงต้น ค.ศ. 1933, มุสโสลินีได้วางแผนที่จะเข้าโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัวกับทั้งฝรั่งเศสและยูโกสลาเวีย ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1933[94] แผนการทำสงครามของมุสโสลินีใน ค.ศ. 1933 ได้ยุติลง เมื่อเขารับรู้ว่า Deuxième Bureau(สำนักงานที่สองของคณะเสนาธิการกองทัพฝรั่งเศส) ได้ละเมิดหลักเกณฑ์ทางการทหารของอิตาลี และเมื่อฝรั่งเศสได้รับแจ้งเตือนล่วงหน้าถึงแผนการทั้งหมดของอิตาลี จึงเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าโจมตีอิตาลีเช่นเดียวกัน.[94]
ภายหลังจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ, ได้เข้าคุกคามผลประโยชน์ของอิตาลีในออสเตรียและลุ่มน้ำดานูบ มุสโสลินีได้เสนอกติกาสัญญาสี่อำนาจกับบริติช ฝรั่งเศส และเยอรมนีใน ค.ศ.. เมื่อนายกรัฐมนตรีออสเตรียซึ่งเป็น 'ฟาสซิสต์ออสเตรีย' นามว่า Engelbert Dollfuss กับอำนาจแบบเผด็จการได้ถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 โดยฝ่ายสนับสนุนชาติสังคมนิยม, มุสโสลินีได้ข่มขู่เยอรมนีด้วยสงครามในกรณีที่เยอรมันเข้ารุกรานออสเตรีย มุสโสลินีในช่วงเวลานี้ยังคงต่อต้านอย่างเข้มงวดต่อความพยายามใด ๆ ของเยอรมันในการบรรลุอันชลุส และให้การสนับสนุนแนวสเตรซาแบบชั่วคราวในการต่อต้านเยอรมนีใน ค.ศ. 1935
แม้ว่ามุสโสลินีจะถูกกักขังสำหรับการต่อต้านสงครามอิตาลี-ตุรกีในแอฟริกาในฐานะ "โรคสั่นเพ้อเหตุชาตินิยม" และ "สงครามพิชิตที่น่าสังเวช",[28] ภายหลังวิกฤตกาณณ์อะบิสซิเนีย ค.ศ. 1935–1936, ในสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง อิตาลีเข้ารุกรานเอธิโอเปีย ภายหลังจากเหตุการณ์ชายแดนซึ่งเกิดขึ้นมาจากการผนวกของอิตาลีเหนือการวาดเส้นแบ่งเขตชายแดนที่ไม่ชัดเจนระหว่างเอธิโอเปียและอิตาเลียน โซมาลิแลนด์ นักประวัติศาสตร์ยังคงแบ่งแยกเกี่ยวกับเหตุผลสำหรับการโจมตีเอธิโอเปียใน ค.ศ. 1935 นักประวัติศาสตร์ชาวอิตาลีบางคน เช่น Franco Catalano และ Giorgio Rochat ได้กล่าวอ้างว่า การบุกครองครั้งนี้เป็นการกระทำของลัทธิจักรวรรดินิยมทางสังคม โดยยืนยันว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ทำลายชื่อเสียงศักดิ์ศรีของมุสโสลินีอย่างรุนแรง และเขาต้องการสงครามกับต่างประเทศเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน[95] นักประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ เช่น Pietro Pastorelli ได้โต้แย้งว่า การบุกครองครั้งนี้เป็นการเปิดฉากในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการการขยายอาณาเขตเพื่อให้อิตาลีกลายเป็นมหาอำนาจหลักในพื้นที่ทะเลแดงและตะวันออกกลาง[95] มีการตีความทางสายกลางได้ถูกนำเสนอโดยนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน MacGregor Knox ได้กล่าวอ้างว่า สงครามเริ่มต้นด้วยเหตุผลทั้งต่างประเทศและภายในประเทศ โดยทั้งสองอย่างเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายอาณาเขตระยะยาวของมุสโสลินีและความตั้งใจที่จะทำให้มุสโสลินีได้รับชัยชนะนโยบายต่างประเทศที่ยอมให้เขาผลักดันระบบฟาสซิสต์ไปในทิศทางที่รุนแรงมากขึ้นที่บ้านเกิด[95] กองทัพอิตาลีมีความได้เปรียบเหนือกว่ากองทัพอะบิสซิเนีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอำนาจเหนือน่านฟ้า และในไม่ช้าพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ จักรพรรดิฮัยเลอ ซึลลาเซทรงถูกบีบบังคับให้หลบหนีออกนอกประเทศ พร้อมกับอิตาลีได้เข้าสู่อาดดิสอาบาบา ซึ่งเป็นเมืองหลวง เพื่อประกาศว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1936 ทำให้เอธิโอเปียกลายเป็นส่วนหนึ่งของแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี[96]
ด้วยความมั่นใจว่าจะได้รับการปล่อยมือจากนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ปีแยร์ ลาวาล และแน่นอนว่าบริติซและฝรั่งเศสจะยอมให้อภัย เพราะการต่อต้านของเขาต่อลัทธิแก้ของฮิตเลอร์ภายในแนวสเตรซา มุสโสลินีได้รับด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสันนิบาตชาติอย่างน่ารังเกียจซึ่งถูกบังคับใช้กับอิตาลีโดยความคิดริเริ่มของลอนดอนและปารีส[97] ในมุมมองของมุสโสลินี การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการกระทำอย่างน่าไหว้หลังหลอกโดยปกติ ซึ่งดำเนินการโดยการทำลายอำนาจจักรวรรดิซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการขยายอาณาเขตตามธรรมชาติของประเทศที่มีอายุน้อยกว่าและยากจนดังเช่นอิตาลี[98] อันที่จริง แม้ว่าฝรั่งเศสและบริติซจะเข้ามาก่อตั้งอาณานิคมในแอฟริกาแล้วก็ตาม แต่ลัทธิอาณานิคมในทวีปแอฟริกาได้สิ้นสุดลงเมื่อการเริ่มต้นของศตวรรษที่ยี่สิบ อารมณ์ความรู้สึกระหว่างประเทศตอนนี้ได้ต่อต้านการขยายอาณานิคมและการกระทำของอิตาลีได้ถูกประณาม นอกจากนี้ อิตาลียังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ได้ใช้แก๊สมัสตาร์ดและฟอสจีนในการกำจัดศัตรู และยังใช้เป็นวิธีการที่ไม่อดทนต่อการรบแบบกองโจรของข้าศึกอีกด้วย ซึ่งได้รับการอนุมัติจากมุสโสลินี[96] ระหว่างปี ค.ศ. 1936 และ ค.ศ. 1941 ในช่วงปฏิบัติการเพื่อ"ทำให้สงบ" ต่อเอธิโอเปีย อิตาลีได้ทำการสังหารพลเรือนชาวเอธิโอเปียไปนับแสนคน และมีคาดคะเนว่า ได้ทำการสังหารประมาณ 7% ของประชากรชาวเอธิโอเปียทั้งหมด[99] มุสโสลินีได้ออกคำสั่งให้จอมพล โรดอลโฟ กราซีอานี "ทำการริเริ่มและดำเนินนโยบายอย่างเป็นระบบต่อการก่อการร้าย และการทำลายล้างต่อพวกกบฏและประชากรในการสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา หากปราศจากนโยบายสิบตาต่อหนึ่ง พวกเราคงไม่สามารถรักษาบาดแผลนี้ได้ในเวลาที่เหมาะสม"[100] มุสโสลินีได้ออกคำสั่งเป็นการส่วนตัวแก่กราซีอานีว่า ให้ทำการประหารชีวิตผู้ชายที่มีอายุเกิน 18 ปีทั้งหมดในหนึ่งเมืองและในหนึ่งเขต โดยสั่งว่า "นักโทษ ผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเขา และผู้ที่ต้องสงสัยจะถูกประหารชีวิต" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "การชำระบัญชีอย่างทีละน้อย ๆ" ของประชากร[100] มีความเชื่อกันว่าคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์เป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวเอธิโอเปียลุกขึ้นมาต่อต้าน มุสโสลินีจึงออกคำสั่งให้นักบวชและคณะสงฆ์นิกายออร์ทอดอกซ์กลายเป็นเป้าหมายในการล้างแค้นจากการโจมตีแบบกองโจร[100] มุสโสลินีได้ประกาศใช้กฎหมายดีกรี 880 ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาชญากรรมที่มีบทลงโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลาห้าปี เนื่องจากมุสโสลินีได้ชี้แจ้งเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการให้ทหารและเจ้าหน้าที่ทางการของเขาในเอธิโอเปียมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวชาวเอธิโอเปียไม่ว่ากรณีใด ๆ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าความสัมพันธ์หลากเชื้อชาติจะทำให้คนของเขาอาจจะสังหารชาวเอธิโอเปียได้น้อยลง[100] มุสโสลินีโปรดปราณนโยบายที่โหดเหี้ยม ส่วนหนึ่งเพราะเขาเชื่อว่าเอธิโอเปียไม่ใช่ประเทศชาติเพราะคนผิวดำงี่เง่าเกินกว่าจะมีจิตสำนึกความรักชาติ และดังนั้น พวกกองโจรก็เป็นเพียงแค่ "โจร"[101] อีกเหตุผลหนึ่งเพราะมุสโสลินีกำลังวางที่จะนำชาวอาณานิคมอิตาลีจำนวนล้านคนเข้ามายังเอธิโอเปีย และเขามีความจำเป็นจะต้องสังหารประชากรชาวเอธิโอเปียส่วนมากเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับชาวอาณานิคมอิตาลีเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำในลิเบีย[101]
การคว่ำบาตรอิตาลีได้ถูกใช้โดยมุสโสลินีเพื่อเป็นข้ออ้างในการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1936 มุสโสลินีได้กล่าวกับเอกอัครราชทูตเยอรมนีนามว่า Ulrich von Hassell ว่า: "ถ้าออสเตรียกลายเป็นรัฐบริวารของเยอรมัน ในทางปฏิบัติแล้ว เขาก็จะไม่คัดค้านเลย"[102] โดยยอมรับว่าออสเตรียอยู่ในเขตอิทธิพลของเยอรมัน มุสโสลินีได้ขจัดปัญหาหลักในความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลี-เยอรมัน[102]
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาออสเตรีย-เยอรมัน ซึ่งออสเตรียได้ประกาศตนเองว่าเป็น "รัฐเยอรมัน" ซึ่งนโยบายต่างประเทศจะสอดคล้องกับเบอร์ลิน และยอมให้พวกสนับสนุนนาซีได้เข้าสู่คณะรัฐมนตรีออสเตรีย[102] มุสโสลินีได้ใช้ความกดดันอย่างหนักกับนายกรัฐมนตรีออสเตรีย ควร์ท ชุชนิค เพื่อลงนามในสนธิสัญญาเพื่อปรับแก้ไขความสัมพันธ์ของเขากับฮิตเลอร์ ภายหลังจากการคว่ำบาตรอิตาลีได้ยุติลงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1936 ฝรั่งเศสได้พยายามอย่างหนักในการรื้อฟื้นแนวสเตรซา โดยแสดงให้เห็นในสิ่งที่ซัลลิแวนเรียกว่า "เกือบที่จะต้องอัปยศอดสูในการตัดสินใจเพื่อรักษาอิตาลีไว้ในฐานะพันธมิตร" ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1937 บริติชลงนามใน"ข้อตกลงสุภาพบุรุษ"กับมุสโสลินีโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะจำกัดการแทรกแซงของอิตาลีในสเปน และถูกมองโดยสำนักงานต่างประเทศของบริติชว่าเป็นก้าวแรกสู่การสร้างพันธมิตรระหว่างอังกฤษ-อิตาลี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 บริติชและอิตาลีได้ลงนามข้อตกลงอีสเตอร์ ซึ่งบริติชให้คำมั่นสัญญาว่าจะยอมรับว่าชาวเอธิโอเปียเป็นชาวอิตาลีเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับอิตาลีทำการถอนตัวออกจากสงครามกลางเมืองสเปน สำนักงานต่างประเทศเข้าใจว่า สงครามกลางเมืองสเปนนั่นที่จะดึงดูดโรมและเบอร์ลินให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าหากมุสโสลินีสามารถชักจูงให้ถอนตัวจากสเปนได้ จากนั้นเขาก็จะกลับมาอยู่ข้างฝ่ายพันธมิตร เพื่อที่จะนำมุสโสลินีออกจากสเปน บริติชพร้อมที่จะจ่ายราคาดังกล่าว เช่น การยอมรับพระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 เป็นจักรพรรดิแห่งเอธิโอเปีย นักประวัติศาตร์ชาวอเมริกันนามว่า แบร์รี ซัลลิแวน ได้เขียนว่า ทั้งบริติชและฝรั่งเศสต้องการอย่างมากในการทอดไมตรีกับอิตาลีเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการคว่ำบาตรของสันนิบาตชาติ และกล่าวว่า "มุสโสลินีเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับฮิตเลอร์ มากกว่าที่จะถูกบีบบังคับ..."
สะท้อนถึงนโยบายต่างประเทศที่สนับสนุนเยอรมนีครั้งใหม่ เมื่อ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1936, มุสโสลินีได้ตกลงที่จะจัดตั้งอักษะ โรม-เบอร์ลิน ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยข้อตกลงความร่วมมือกับนาซีเยอรมนีและลงนามในกรุงเบอร์ลิน นอกจากนี้ การพิชิตเอธิโอเปียนั้นได้สูญเสียชีวิตชาวอิตาลีจำนวน 12,000 คน และจำนวนอีก 4,000 ถึง 5,000 คน ที่เป็นชาวลิเบีย ชาวเอริเทรีย และชาวโซมาลิสซึ่งต่อสู้รบในการประจำการของอิตาลี[103] มุสโสลินีเชื่อว่าการพิชิตเอธิโอเปียจะมีค่าใช้จ่ายจำนวน 4 ถึง 6 พันล้านลีเล่ แต่ต้นทุนที่แท้จริงของการบุกครองซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นจำนวนเงิน 33.5 พันล้านลีเล่.[103] ต้นทุนทางเศรษฐกิจของการพิชิตได้ปรากฏว่า อิตาลีต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างท่วมท้น และทำให้ความพยายามอย่างจริงจังของอิตาลีในการปรับปรุงกองทัพให้มีความทันสมัยต้องช้าลง เนื่องจากเงินงบประมาณที่มุสโสลินีได้จัดสรรไว้สำหรับความทันสมัยทางการทหารกลับถูกนำไปใช้สำหรับการพิชิตเอธิโอเปีย บางอย่างที่ได้ช่วยให้ผลักดันมุสโสลินีไปยังเยอรมนี[104] เพื่อช่วยปกปิดก้อนหนึ้มหาศาลที่กำลังประสบอยู่ในช่วงสงครามเอธิโอเปีย มุสโสลินีได้ลดค่าเงินลีเล่ลง 40% ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936[103] นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการยึดครองเอธิโอเปียทำให้กองคลังอิตาลีต้องสูญเสียเงินไปอีก 21.1 พันล้านลีเล่ ระหว่างปี ค.ศ. 1936 และ ค.ศ. 1940[103] มีส่วนเพิ่มเติมคือ อิตาลีต้องสูญเสียทหารจำนวน 4,000 นาย ซึ่งเสียชีวิตในการรบจากสงครามกลางเมืองสเปน ในขณะที่การเข้าแทรกแซงของอิตาลีในสเปนทำให้อิตาลีต้องเสียค่าใช้จ่ายไปอีก 12 ถึง 14 พันล้านลีเล่ ในปี ค.ศ. 1938 และ ค.ศ. 1939 รัฐบาลอิตาลีได้เก็บภาษีเป็นจำนวนเงิน 39.9 พันล้านลีเล่ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของอิตาลีทั้งหมดมีมูลค่า 153 พันล้านลีเล่ ซึ่งหมายความว่าสงครามเอธิโอเปียและสเปนได้ทำให้เกิดความเสียหายที่จะทำให้เศรษฐกิจของอิตาลีทรุดโทรมลง[103] มีเพียง 28% ของงบประมาณทางการทหารทั้งหมดของอิตาลี ระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1939 ได้ถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงกองทัพให้มีความทันสมัย ส่วนที่เหลือทั้งหมดถูกนำไปใช้โดยสงครามของมุสโสลินี ซึ่งนำไปสู่อำนาจทางการทหารของอิตาลีลดลงอย่างรวดเร็ว[105] ระหว่างปี ค.ศ. 1935 และ ค.ศ. 1939 สงครามของมุสโสลินีทำให้อิตาลีต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นมูลค่าถึง 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นผลรวมที่เป็นสัดส่วนยิ่งเป็นภาระมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอิตาลีเป็นประเทศที่ยากจนเช่นนี้[103] ช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1930 เป็นช่วงเวลาแห่งความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีทางทหาร และซัลลิแวนได้เขียนว่า มุสโสลินีได้เลือกผิดเวลาในการต่อสู้ของเขาในสงครามเอธิโอเปียและสเปน[103] ในเวลาเดียวกันกับกองทัพอิตาลีกำลังตกอยู่ภายใต้มหาอำนาจอื่น ๆ การแข่งขันเสริมสร้างอาวุธอย่างเต็มรูปแบบได้ปะทุขึ้น โดยเยอรมนี บริติช และฝรั่งเศส ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกองทัพของพวกเขา เมื่อช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1930 กำลังก้าวหน้า สถานการณ์ที่มุสโสลินีได้ยอมรับเป็นการส่วนตัวว่า ขีดจำกัดอย่างหนักหน่วงต่อความสามารถของอิตาลีในการสู้รบในสงครามครั้งใหญ่ด้วยตัวเองนั้น และด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีมหาอำนาจที่เป็นพันธมิตรเพื่อทดแทนความล้าหลังของกองทัพอิตาลีที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น[106]
ตั้งแต่ ค.ศ. 1936 ถึง ค.ศ. 1939 มุสโสลินีได้ให้การสนับสนุนทางทหารจำนวนมากมายแก่กลุ่มแห่งชาติในสงครามกลางเมืองสเปน การเข้าแทรกแซงอย่างแข็งขันในฝ่ายฟรังโกทำให้อิตาลีต้องตีตัวออกห่างจากฝรั่งเศสและบริติซมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมุสโสลินีกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์จึงใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และเขาเลือกที่จะยอมรับการผนวกออสเตรียของเยอรมันใน ค.ศ. 1938 ตามมาด้วยการแบ่งแยกดินแดนเชโกสโลวาเกียใน ค.ศ. 1939 ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1938 ในช่วงระหว่างการมาเยือนอิตาลีของฮิตเลอร์ มุสโสลินีได้บอกกับฟือเรอ์ว่าอิตาลีและฝรั่งเศสเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสู้รบกันบน"ด้านตรงข้ามของรั้วแนวกั้น" ที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองสเปน และแนวสเตรซานั่น"ได้ตายและถูกฝังเสียแล้ว"[107] ในการประชุมมิวนิก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1938 มุสโสลินียังคงวางท่าทางในการดำเนินวางตัวเป็นกลางเพื่อสันติภาพยุโรป ในขณะที่ได้ช่วยเหลือนาซีเยอรมนีทำการผนวกซูเดเทินลันท์ ข้อตกลงอักษะกับเยอรมันใน ค.ศ. 1936 ซึ่งมีความเข้มแข็งมากขึ้นโดยการลงนามกติกาสัญญาเหล็ก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 ซึ่งได้เชื่อมโยงระหว่างฟาสซิสต์อิตาลีและนาซีเยอรมนีเข้าด้วยกันในพันธมิตรทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
สมาชิกของทีไอจีอาร์ กลุ่มพลพรรคชาวสโลวีเนีย ได้วางแผนที่จะสังหารมุสโสลินีในโคบาริด แต่ความพยายามของพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ
สงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]การรวมตัวของพายุ
[แก้]ในช่วงปลาย ค.ศ. 1930 ความหลงใหลในประชากรศาสตร์ของมุสโสลินีทำให้เขาได้สรุปว่าบริติชและฝรั่งเศสได้สูญสิ้นอำนาจแล้ว และเยอรมนีและอิตาลีจะกำหนดให้ปกครองยุโรปโดยปราศจากเหตุผลอื่น ๆ ใด นอกจากความแข็งแกร่งทางประชากรของพวกเขา[108] มุสโสลินีได้ยืนยันความเชื่อของเขาว่าอัตราการเกิดที่กำลังลดลงในฝรั่งเศสนั้น"น่ากลัวอย่างแท้จริง" และจักวรรดิบริติชถึงคราวเคราะห์เพราะหนึ่งในสี่ของประชากรบริติชมากกว่าห้าสิบ[108] ด้วยเหจุนี้ มุสโสลินีจึงเชื่อว่าการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีดีกว่าการเป็นแนวร่วมกับบริติชและฝรั่งเศส เนื่องจากสมควรที่จะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายที่เข้มแข็งมากกว่าฝ่ายที่อ่อนแอ.[109] มุสโสลินีได้มองเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นการต่อสู้ทางสัมคมแบบดาร์วิน ระหว่างประเทศที่ "แข็งแกร่ง" กับอัตราการเกิดที่สูงซึ่งถูกกำหนดให้ทำลายประเทศที่ "อ่อนแอ" กับอัตราการเกิดที่ต่ำ มุสโสลินีเชื่อว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ "อ่อนแอและแก่" เนื่องจากอัตราการตายรายสัปดาห์ของฝรั่งเศสเกินกว่าอัตราการเกิดอยู่ที่ 2,000 คน และเขาไม่สนใจที่จะเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส.[110]
นั่นคือขนาดของความเชื่อของมุสโสลินีว่าเป็นโชคชะตาของอิตาลีที่จะปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื่องจากอัตราการเกิดของอิตาลีนั่นสูง เมื่อเขาได้ละเลยการวางแผนอย่างจริงจังไปมากและการเตรียมการที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามกับมหาอำนาจตะวันตก ข้อโต้แย้งเพียงข้อเดียวที่ทำให้มุสโสลินีไม่ได้เป็นแนวร่วมเดียวกับเบอร์ลินอย่างเต็มตัวคือการตระหนักรู้ถึงความไม่พร้อมทางเศรษฐกิจและการทหารของอิตาลี ซึ่งหมายความว่า เขาจะต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการฟื้นฟูกองทัพ และความต้องการของเขาที่จะใช้ข้อตกลงอีสเตอร์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 เพื่อที่จะแยกบริติชออกห่างจากฝรั่งเศส การเป็นพันธมิตรทางทหารกับเยอรมนีซึ่งตรงข้ามกับพันธมิตรทางการเมืองที่ดูหละหลวมกว่าที่มีอยู่แล้วกับไรช์ภายใต้กติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น(ซึ่งไม่มีข้อผูกมัดทางทหาร) น่าจะยุติโอกาสใด ๆ ของบริติชในการบรรลุผลของข้อตกลงอีสเตอร์ ข้อตกลงอีสเตอร์มีจุดมุ่งหมายโดยมุสโสลินีเพื่อยอมให้อิตาลีเข้าจัดการฝรั่งเศสโดยลำงโดยแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างบริติช-อิตาลีอย่างเพียงพอ เมื่อลอนดอนน่าจะยังคงวางตัวเป็นกลางในกรณีที่เกิดสงครามฝรั่งเศส-อิตาลี(มุสโสลินีได้ร่างออกแบบจักรวรรดิต่อตูนีเซีย และบางครั้งก็ได้รับการสนับสนุนในประเทศนั้น) ในทางกลับกัน ข้อตกลงอีสเตอร์มีจุดมุ่งหมายโดยบริติซที่จะทำให้อิตาลีออกห่างจากเยอรมนี
เคานต์ กาลีซโซ ชิอาโน ลูกเขยของมุสโสลินีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้สรุปวัตถุประสงค์นโยบายต่างประเทศของระบอบเผด็จการเกี่ยวกับฝรั่งเศส ซึ่งบันทึกลงในอนุทินประจำวันของเขา เมื่อวัน 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938: จิบูตีน่าจะได้ปกครองร่วมกับฝรั่งเศส "ตูนีเซียที่มีระบอบการปกครองที่คล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย คอร์ซิกา เป็นของอิตาลีและไม่เคยเป็นของฝรั่งเศส และดังนั้นภายใต้การควบคุมโดยตรงของเรา ชายแดนที่แม่น้ำวาร์" สำหรับซาวอย ซึ่งไม่ได้เป็น"ทางประวัติศาสตร์หรือทางภูมิศาสตร์ของอิตาลี" มุสโสลินีได้กล่าวอ้างว่าเขาแทบไม่สนใจมันเลย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 มุสโสลินีได้เชิญเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส André François-Poncet เพื่อเข้าร่วมการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฏรอิตาลี ในช่วงระหว่างที่สมาชิกผู้แทนได้รวมตัวกันตามคิวของเขา เริ่มแสดงด้วยการตะโกนเสียงอย่างกึกก้องต่อฝรั่งเศสว่า อิตาลีสมควรที่จะผนวก"ตูนิส นิส คอร์ซิกา ซาวอย" ซึ่งตามมาด้วยสมาชิกผู้แทนได้เดินขบวนไปตามถนนพร้อมกับชูถือป้ายเรียกร้องให้ฝรั่งเศสส่งมอบดินแดนตูนีเซีย ซาวอย และคอร์ซิกาให้แก่อิตาลี นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เอดัวร์ เอรโอต์ ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของอิตาลีเรื่องการส่งมอบดินแดนโดยทันที และส่วนใหญ่ในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1938-39 ฝรั่งเศสและอิตาลีเกือบที่จะทำสงคราม
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 นายกรัฐมนตรีบริติช เนวิล เชมเบอร์ลิน ได้มาเยือนกรุงโรม ในช่วงระหว่างการมาเยือน มุสโสลินีได้เรียนรู้ว่า แม้แต่บริติชต้องการมีความสัมพันธ์อันดีกับอิตาลีอย่างมาก และเตรียมความพร้อมที่จะทำข้อตกลงยินยอม ซึ่งจะไม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสทั้งหมดเพื่อคิดถึงผลประโยชน์ของความสัมพันธ์บริติช-อิตาลีที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ มุสโสลินีมีความสนใจมากขึ้นในข้อเสนอของเยอรมันในการเป็นพันธมิตรทางทหาร ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1938 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 มุสโสลินีได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าสภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ ในช่วงระหว่างที่เขาได้ประกาศถึงความเชื่อของตนว่า อำนาจของรัฐคือ "ได้สัดส่วนกับตำแหน่งทางทะเล" และอิตาลีเป็น"นักโทษในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอิตาลียิ่งมีจำนวนประชากรและทรงอำนาจมากเท่าไหร่ นักโทษเหล่านั้นก็จะต้องทนทุกข์ทรมาณจากการถูกจองจำมากขึ้นเท่านั้น รั้วกั้นของเรือนจำแห่งนี้คือคอร์ซิกา ตูนีเซีย มอลตา ไซปรัส: ผู้คุมเรือนจำแห่งนี้คือยิบรอลตาร์และคลองสุเอซ"
แนวทางใหม่นี้โดยปราศจากเสียงวิจารณ์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1939 ในช่วงการประชุมที่สภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ อิตาโล บัลโบได้กล่าวหามุสโสลินีว่าเป็น"การเลียรองเท้าบูทของฮิตเลอร์" ได้ทำลายนโยบายต่างประเทศที่ให้การสนับสนุนเยอรมนีของดูเชซึ่งเป็นการนำพาอิตาลีไปสู่หายนะ และเป็นที่สะดุดตาถึง "การเปิดช่องทางเข้าหาบริติช" ยังคงมีอยู่ และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าอิตาลีจะต้องมาเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี[111] แม้ว่าเจอราชิ(เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฟาสซิสต์) หลายคน เช่น บัลโบ จะไม่กระตือรือร้นต่อความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเบอร์ลิน การควบคุมเครื่องกลไลของนโยบายต่างประเทศของมุสโสลินีซึ่งหมายความว่าความขัดแย้งนี้นับได้เพียงเล็กน้อย[111] มุสโสลินีมีตำแหน่งผู้นำภายในพรรคฟาสซิสต์ แต่เขาไม่ได้ครอบงำเอาไว้ทั้งหมด ในขณะที่การโจมตีกล่าวหาของบัลโบต่อมุสโสลินีว่า เป็น"การเลียรองเท้าบูทของฮิตเลอร์" และข้อเรียกร้องของเขาคือ "การเปิดช่องทางเข้าหาบริติช" ได้ถูกติดตามในที่ประชุมสภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ร่วมกับสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกนามว่า Aristotle Kallis ได้กล่าวว่า การแสดงตอบโต้อย่าง"ค่อนข้างจำกัด"ของมุสโสลินี—พรรคนาซีไม่มีอะไรมาเทียบเท่าสภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์และมันเป็นความน่าเหลือเชื่อว่าหนึ่งในเกาไลเทอร์ของฮิตเลอร์จะโจมตีเขาในลักษณะเดียวกันกับเจอราชิอย่างบัลโบที่กล่าววิพากษ์วิจารณ์มุสโสลินี[111] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1939 มุสโสลินีได้ออกคำสั่งให้อิตาลีบุกครองแอลเบเนีย อิตาลีสามารถเอาชนะแอลเบเนียได้ภายในห้าวัน ได้บีบบังคับให้พระเจ้าซ็อกที่ 1 ทรงลี้ภัยออกนอกประเทศและจัดตั้งช่วงเวลาของแอลเบเนียภายใต้การปกครองของอิตาลี จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 ฝ่ายอักษะยังไม่ได้เป็นอย่างทางการทั้งหมด แต่ในช่วงเดือนนั้น กติกาสัญญาเหล็กได้ถูกลงนามโดยสรุปใจความว่า "มิตรภาพและการเป็นพันธมิตรกัน" ระหว่างเยอรมนีและอิตาลี ซึ่งถูกลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของแต่ละฝ่าย[112] กติกาสัญญาเหล็กเป็นพันธมิตรทางทหารแบบเชิงรุกและเชิงป้องกัน แม้ว่ามุสโสลินีจะลงนามในสนธิสัญญาก็ต่อเมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากฝ่ายเยอรมันว่าจะไม่มีสงครามในอีกสามปีข้างหน้า พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 แห่งอิตาลีทรงระมัดระวังในกติกาสัญญาฉบับนี้ โดยทรงให้การสนับสนุนพันธมิตรเดิมของอิตาลีอย่างฝรั่งเศส และทรงเกรงกลัวต่อผลกระทบของพันธมิตรทางทหารแบบก้าวร้าว ซึ่งหมายความว่าการจำนนต่อการควบคุมเหนือคำถามของสงครามและสันติภาพต่อฮิตเลอร์[113]
ฮิตเลอร์มีความตั้งใจที่จะบุกครองโปแลนด์ แม้ว่าชิอาโนจะกล่าวเตือนว่าการกระทำเหล่านี้จะนำไปสู่การทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฮิตเลอร์ได้ปฏิเสธความคิดเห็นของชิอาโน โดยคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า บริติชและประเทศตะวันตกจะยอมถอยออกไป และเขาได้ให้ข้อเสนอว่า อิตาลีควรจะทำการบุกครองยูโกสลาเวีย[114] ข้อเสนอนี้กลับดึงดูดใจต่อมุสโสลินี แต่ในช่วงเวลาของสงครามโลกกลายเป็นความหายนะสำหรับอิตาลี เนื่องจากสถานการณ์ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากก่อตั้งจักรวรรดิอิตาลีนั้นยังดูเบาบางเกินไป ที่สำคัญมากกว่านั้น พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 ทรงมีพระราชประสงค์ต่อการวางตัวเป็นกลางในข้อพิพาท[114] ดังนั้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ด้วยการบุกครองโปแลนด์ของเยอรมันทำให้เกิดการตอบโต้ของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสด้วยการประกาศสงครามกับเยอรมนี อิตาลียังไม่ได้เข้าไปพัวพันในความขัดแย้งครั้งนี้[114] อย่างไรก็ตาม เมื่อเยอรมันได้กักขังเหล่าศาสตราจารย์จำนวน 183 คนจากมหาวิทยาลันจากีลโลเนียนในเมืองกรากุฟ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 มุสโสลินีได้เข้าแทรกแซงเป็นการส่วนตัวกับฮิตเลอร์เพื่อต่อต้านการกระทำครั้งนี้ ซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยชาวโปแลนด์จำนวน 101 คน[115]
ประกาศสงคราม
[แก้]เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้น ชิอาโนและไวเคานต์ฮาลิแฟกซ์กำลังสนทนาทางโทรศัพท์อย่างลับ ๆ บริติชต้องการให้อิตาลีเข้าข้างฝ่ายพวกตนในการต่อต้านเยอรมนีดังเช่นในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับมีความคิดเห็นในการพุ่งเป้าโจมตีอิตาลีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากพวกเขาอยากจะเข้าโจมตีอิตาลีในลิเบีย ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ฝรั่งเศสได้ทำการเหวี่ยงฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง โดยเสนอในการหารือปัญหาต่าง ๆ กับอิตาลี แต่ฝรั่งเศสยังไม่เต็มใจที่จะหารือเกี่ยวกับดินแดนจากคอร์ซิกา นิส และซาวอย มุสโสลินียังไม่ได้ให้คำตอบ[114] ปลัดกระทรวงการผลิตสงครามของมุสโสลินี Carlo Favagrossa ได้ประเมินคาดการณ์ว่าอิตาลียังไม่พร้อมสำหรับปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่จนถึง ค.ศ. 1942 เนื่องจากเขตภาคอุตสาหรรมที่ค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปตะวันตก[116] ในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ประกาศว่า: "ตราบใดที่ดูเชยังมีชีวิตอยู่ เราได้วางใจว่า อิตาลีจะโฉบฉวยทุกโอกาศเพื่อบรรลุเป้าหมายจักรวรรดินิยม"[114]
ด้วยความเชื่อมั่นว่าสงครามใกล้จะยุติลงในไม่ช้า ด้วยชัยชนะของเยอรมนีที่กำลังมองเห็นไปถึงจุดนั้น มุสโสลินีจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่สงครามกับฝ่ายอักษะ ดังนั้น อิตาลีจึงประกาศสงครามกับบริติชและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 มุสโสลินีได้ถือว่าการทำสงครามกับบริติชและฝรั่งเศสเป็นการต่อสู้การเอาชีวิตรอดระหว่างอุดมการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์—ลัทธิฟาสซิสต์และ"ระบอบประชาธิปไตยแบบพวกเศรษฐีทรงอำนาจและกลุ่มปฏิกิริยาของตะวันตก"—ได้อธิบายถึงสงครามครั้งนี้ว่า "เป็นการต่อสู้ของผู้คนวัยหนุ่มสาวและเจริญพันธุ์กับคนที่เป็นหมันที่กำลังเคลื่อนที่ไปยังตะวันตกดิน มันเป็นการต่อสู้ระหว่างสองศตวรรษและสองแนวคิด" และ "การพัฒนาเชิงตรรกะของการปฏิวัติของเรา"[117]
อิตาลีได้เข้าร่วมกับเยอรมันในยุทธการที่ฝรั่งเศส ต่อสู้รบกับแนวป้อมปราการบนเทือกเขาแอลป์ในบริเวณชายแดน สิบเอ็ดวันต่อมา ฝรั่งเศสและเยอรมนีได้ลงนามการสงบศึก รวมทั้งการควบคุมฝรั่งเศสของอิตาลีซึ่งส่วนใหญ่ของเมืองนิส และมณฑลทางตะวันอกเฉียงใต้อื่น ๆ[118] มุสโสลินีได้วางแผนที่รวบรวมกองทัพอิตาลีเพื่อเข้าโจมตีครั้งใหญ่ต่อจักรวรรดิบริตชในแอฟริกาและตะวันออกกลาง เป็นที่รู้จักกันคือ "สงครามคู่ขนาน" โดยคาดกาณณ์ว่า บริติชกำลังจะล่มสลายในเขตสงครามยุโรป อิตาลีเข้ารุกรานอียิปต์และการทิ้งระเบิดปาเลสไตน์ในอาณัติ และเข้าโจมตีบริติชในดินแดนอาณานิคมอย่างซูดาน เคนยา และบริติชโซมาลิแลนด์ (ในสิ่งที่จะกลายเป็นที่รู้จักกันคือ การทัพแอฟริกาตะวันออก)[119] บริติชโซมาลิแลนด์ถูกพิชิตและกลายเป็นส่วนหนึ่งของแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1940 และจากนั้นอิตาลีก็เข้ารุกคืบในซูดานและเคนยาด้วยความสำเร็จช่วงแรก[120] รัฐบาลบริติชปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอเพื่อสันติภาพที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับชัยชนะของฝ่ายอักษะในยุโรป แผนการสำหรับการบุกครองสหราชอาณาจักรยังไม่คืบหน้าและสงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป
หนทางสู่ความปราชัย
[แก้]ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 กองทัพที่สิบของอิตาลีซึ่งถูกบัญชาการโดยนายพล โรดอลโฟ กราซีอานี และก้าวข้ามจากอิตาเลียนลิเบียไปยังอียิปต์ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพบริติช สิ่งนี้จะกลายเป็นการทัพทะเลทรายตะวันตก การรุกได้ประสบความสำเร็จ แต่อิตาลีต้องหยุดชะงักลงที่ Sidi Barrani เพื่อรอคอยระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งเสบียงตามมาให้ทัน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีได้ส่งกองบินอิตาเลียนไปยังเบลเยียม ซึ่งได้เข้าร่วมในเดอะบลิตซ์จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1941[121] ในเดือนตุลาคม มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเข้าไปยังกรีซ โดยการเริ่มต้นสงครามกรีซ-อิตาลี กองทัพอากาศหลวงของบริติชได้เข้าขัดขวางการบุกครองของอิตลีและยอมให้กรีซทำการผลักดันอิตาลีให้กลับไปยังแอลเบเนีย แต่การรุกตอบโต้กลับกรีซในอิตาเลียนแอลเบเนียได้ยุติลงด้วยหนทางตัน[122]
เหตุการณ์ในแอฟริกาได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อต้นปี ค.ศ. 1941 ในปฏิบัติการเข็มทิศได้บีบบังคับให้อิตาลีล่าถอยกลับไปยังลิเบีย ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองทัพบกอิตาลี[123] นอกจากนี้ในการทัพแอฟริกาตะวันออก การโจมตีได้เกิดขึ้นกับกองทัพอิตาลี แม้จะถูกต่อต้านบ้าง แต่พวกเขาก็ถูกกดดันอย่างหนักในยุทธการที่เคเรน และการป้องกันของอิตาลีเริ่มที่จะพังทลายลงด้วยความปราชัยครั้งสุดท้ายในยุทธการที่กอนดาร์ ในการกล่าวปราศัยต่อสาธารณชนชาวอิตาลีเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว มุสโสลินีได้เปิดเผยอย่างเต็มที่เกี่ยวกับสถานการณ์ โดยกล่าวว่า "เราเรียกขนมปังก็ขนมปัง ไวน์ก็คือไวน์ และเมื่อข้าศึกได้รับชัยชนะการรบ มันไร้ประโยชน์และน่าขบขันในการแสวงหา เนื่องจากชาวบริติซกระทำในหน้าซื่อใจคด เพื่อที่จะปฏิเสธหรือลดทอนลง"[124] ส่วนหนึ่งของความคิดเห็นของเขาเกี่ยวข้องกับความสำเร็จก่อนหน้านี้ที่อิตาลีมีในแอฟริกา ก่อนที่จะพบกับความพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในภายหลัง ด้วยความเสี่ยงอันตรายจากการสูญเสียการควบคุมดินแดนทั้งหมดของอิตาลีในแอฟริกาเหนือ จนในที่สุด เยอรมนีจึงส่งกองทัพน้อยแอฟริกาไปให้การสนับสนุนแก่อิตาลี ในขณะเดียวกัน ปฏิบัติการมาริต้าจึงเกิดขึ้นในยูโกสลาเวียเพื่อยุติสงครามกรีซ-อิตาลี ส่งผลทำให้ฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะและเข้ายึดครองกรีซโดยอิตาลีและเยอรมนี[ต้องการอ้างอิง] ด้วยการบุกครองยูโกสลาเวียและคาบสมุทรบอลข่านของฝ่ายอักษะ อิตาลีได้ผนวกรวมเข้ากับลูบลิยานา แดลเมเชีย และมอนเตเนโกร และก่อตั้งรัฐหุ่นเชิดแห่งโครเอเชียและรัฐเฮลเลนิก
นายพล Mario Robotti ผู้บัญชาการแห่งกองทัพอิตาลีที่ 11 ในสโลวีเนียและโครเอเชีย ได้ออกคำสั่งที่ได้รับมาโดยตรงจากมุสโสลินีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942: "ข้าพเจ้าไม่ขัดแย้งกับชาวสโลวีเนียทั้งหมด(ซิก) ซึ่งถูกกักขังและถูกแทนที่โดยชาวอิตาลี กล่าวอีกนัยคือ เราควรดำเนินการเพื่อให้การรับรองว่า เขตพรมแดนทางการเมืองและชาติพันธุ์นั้นตรงกัน"[125]
มุสโสลินีได้เรียนรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการบาร์บาร็อสซาเป็นครั้งแรก ภายหลังจากการบุกครองสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 และฮิตเลอร์ไม่ได้ขอให้เขามีส่วนร่วมด้วย[126] มุสโสลินีได้ริเริ่มในการออกคำสั่งให้กองทัพน้อยแห่งกองทัพบกอิตาลีมุ่งหน้าสู่แนวรบด้านตะวันออก ซึ่งเขาคาดหวังว่าอิตาลีอาจได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายเพื่อฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของระบอบฟาสซิสต์ ซึ่งได้รับความเสียหายจากความพ่ายแพ้ในกรีซและแอฟริกาเหนือ[ต้องการอ้างอิง] เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1941 เขาได้ตรวจสอบหน่วยรบเป็นครั้งแรกที่เมืองเวโรนา ซึ่งถูกใช้เป็นฐานยิงขีปนาวุธเข้าใส่รัสเซีย[127] มุสโสลินีได้บอกแก่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ว่าสิ่งที่เขากังวลเพียงอย่างเดียวคือ เยอรมนีอาจจะเอาชนะโซเวียตได้ก่อนที่อิตาลีจะไปถึง[128] ในการเข้าพบกับฮิตเลอร์ในเดือนสิงหาคม มุสโสลินีได้เสนอแนะและฮิตเลอร์ก็ยอมรับในการส่งทหารชาวอิตาลีเพิ่มเติมในการสู้รบกับสหภาพโซเวียต[129] อิตาลีได้รับความสูญเสียอย่างหนักในแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งการรบในครั้งนี้ไม่เป็นที่นิยมอย่างมากมาย เนื่องจากมุมมองอย่างกว้างขวางว่า นี่ไม่ใช่การสู้รบของอิตาลี ซึ่งได้ทำลายศักดิ์ศรีของมุสโสลินีกับประชาชนชนชาวอิตาลี[129] ภายหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ของญี่ปุ่น เขาได้ประกาศสงครามกับสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941[130][131] หลักฐานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการตอบสนองของมุสโสลินีต่อการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์มาจากอนุทินของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอย่างชิอาโน:
โทรศัพท์ช่วงตอนกลางคืนจากริบเบินทร็อพ. เขาเกิดความดีใจอย่างสุด ๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่นโจมตีต่ออเมริกา. เขาดูมีความสุขอย่างมากซะจนข้าพเจ้ามีความสุขไปกับเขาด้วย แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ค่อยแน่ใจถึงผลประโยชน์ช่วงสุดท้ายในสิ่งที่จะเกิดขึ้น. สิ่งหนึ่งที่มั่นใจแล้วในตอนนี้ อเมริกาจะเข้าสู่ความขัดแย้งและความขัดแย้งครั้งจะกินเวลายาวนานจนเธอสามารถรับรู้ถึงอำนาจที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดของเธอ ช่วงเช้านี้ ข้าพเจ้าได้ทูลเรื่องนี้ต่อกษัตริย์ซึ่งทรงพอพระทัยต่อเหตุการณ์นี้. พระองค์ลงเอยด้วยการยอมรับว่าในระยะยาว ข้าพเจ้าอาจะพูดถูก มุสโสลินีก็มีความสุขเช่นกัน เป็นเวลามายาวนานแล้วที่เขาโปรดปราณการอธิบายที่ดูชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและฝ่ายอักษะ[132]
ภายหลังจากการล่มสลายของวิชีฝรั่งเศสและกรณีอันตอน อิตาลีเข้ายึดครองดินแดนฝรั่งเศสอย่างคอร์ซิกา และตูนีเซีย กองทัพอิตาลียังได้รับชัยชนะจากผู้ก่อการกำเริบในยูโกสลาเวียและในมอนเตเนโกร และกองทัพอิตาลี-เยอรมันได้เข้ายึดครองพื้นที่บางส่วนของอียิปต์ซึ่งบริติชถือครองเพื่อพลักดันให้ไปยังอัลอะละมัยน์ ภายหลังจากที่พวกเขาได้รับชัยชนะที่กาซาลา
แม้ว่ามุสโสลินีจะตระหนักดีว่า ทรัพยากรของอิตาลีกำลังลดน้อยลงจากการทัพใน ค.ศ. 1930 นั้นไม่พร้อมสำหรับการทำสงครามระยะยาว เขาเลือกที่จะคงอยู่ในความขัดแย้งโดยไม่ละทิ้งดินแดนที่ยึดครองมาได้และความทะเยอทะยานของจักรวรรดิฟาสซิสต์[133]
ถูกปลดและจับกุม
[แก้]ใน ค.ศ. 1943 ตำแหน่งทางการทหารของอิตาลีไม่สามารถป้องกันได้ กองทัพฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ในการทัพตูนีเซียในช่วงต้น ค.ศ. 1943 อิตาลีก็ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่บนแนวรบด้านตะวันออกเช่นกัน การบุกครองเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตรได้นำพาสงครามเข้าใกล้กับหน้าประตูบ้านของประเทศมากยิ่งขึ้น[134] แนวรบบนบ้านเกิดอิตาลียังอยู่ในสภาพที่ไม่ดี เนื่องจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ได้รับความเสียหาย โรงงานอุตสาหกรรมทั่วทั้งอิตาลีต้องหยุดชะงักลงเกือบทั้งหมดเพราะวัตถุดิบ เช่น ถ่านหินและน้ำมัน นั้นเกิดภาวะขาดแคลน นอกจากนี้ อาหารก็ยังเกิดภาวะขาดแคลนแบบเรื้อรัง และอาหารที่มีอยู่ก็ถูกวางขายในราคาที่แทบจะเกือบถูกริบทรัพย์ได้เลย เครื่องโฆษณาชวนเชื่อที่ใช้กันอย่างแพร่หลายของมุสโสลินีได้สูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชนไปจนหมดสิ้นแล้ว ประชากรชาวอิตาลีจำนวนมากหันเข้าหาวิทยุวาติกันหรือวิทยุลอนดอนเพื่อรับฟังรายงานข่าวที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1943 ด้วยคลื่นกระแสของการนัดหยุดงานของแรงงานในภาคเหนือของอุตสาหกรรม—การนัดหยุดงานขนาดใหญ่เป็นครั้งแรงนับตั้งแต่ ค.ศ. 1925[134] นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม โรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญบางแห่งในมิลานและตูรินได้หยุดการผลิตเพื่อประกันเงินให้ความช่วยเหลือในการอพยพสำหรับครอบครัวแรงงาน การมีอยู่ของเยอรมันในอิตาลีได้เปลี่ยนความคิดเห็นของสาธารณชนอย่างรวดเร็วต่อมุสโสลินี ตัวอย่างเช่น เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกครองซิซิลี ประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นได้ต้อนรับพวกเขาในฐานะผู้ปลดปล่อย[135]
มุสโสลินีเกรงกลัวว่าด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในแอฟริกาเหนือ กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจะข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเข้าโจมตีอิตาลี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 ในขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาประชิดตูนีเซีย มุสโสลินีได้เรียกร้องให้ฮิตเลอร์หย่าศึกกับสหภาพโซเวียต และส่งกองทัพเยอรมันไปทางตะวันตกเพื่อป้องกันต่อการบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้คาดการณ์เอาไว้ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกที่เกาะซิซิลี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 และภายในไม่กี่วันก็เป้นที่ประจักษ์แล้วว่า กองทัพอิตาลีใกล้จะย่อยยับแล้ว สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เรียกมุสโสลินีไปเข้าประชุมที่เฟลเตร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 ในช่วงเวลานี้ มุสโสลินีรู้สึกสั่นคลอนจากความเครียดที่เขาไม่สามารถทนต่อคุยโวโอ้อวดของฮิตเลอร์ได้อีกต่อไป อารมณ์ของเขากลับมืดมนมากยิ่งขึ้น เมื่อในวันเดียวกัน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดที่กรุงโรม—เป็นครั้งแรกที่เมืองหลวงได้ตกเป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิดของฝ่ายข้าศึก[136] คราวนี้ได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สงครามกำลังจะพ่ายแพ้ แต่มุสโสลินีก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจากพันธมิตรเยอรมันได้เลย[137]
เมื่อมาถึงจุดนี้ สมาชิกที่สำคัญบางคนของรัฐบาลมุสโสลินีได้หันมาต่อต้านเขา ในท่ามกลางพวกเขาก็มีกรันดีและชิอาโน เพื่อนร่วมงานหลายคนของเขาใกล้จะก่อจลาจลอย่างเต็มที่ และมุสโสลินีได้ถูกบีบบังคับให้เรียกประชุมสภาใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 นี่เป็นการประชุมครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่เริ่มต้นของสงคราม เมื่อเขาได้ประกาศว่าเยอรมันกำลังคิดที่จะลงมาทางใต้เพื่อมาขับไล่ฝ่ายสัมพันธฒิตรให้ออกจากอิตาลี กรันดีได้กล่าวโจมตีเขาอย่างรุนแรง[10] กรันดีได้ดำเนินลงมติในการกราบทูลต่อกษัตริย์เพื่อให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่— ซึ่งลงเอยด้วยการลงคะแนนเสียงในการไม่ไว้วางใจในมุสโสลินี ด้วยผลลัพธ์คะแนนเสียงคือ 19-8[134] มุสโสลินีได้แสดงท่าทางที่มองเห็นได้เพียงเล็กน้อย แม้ว่าสิ่งนี้จะมอบอำนาจอย่างเต็มที่แก่กษัตริย์ในการปลดออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขาได้ถามกรันดีในการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่การเคลื่อนไหวนี้น่าจะหยุดยั้งจุดจบของลัทธิฟาสซิสต์ การลงคะแนนเสียงครั้งนี้แม้ว่าจะมีนัยสำคัญ แต่ก็ไม่ได้มีผลตามกฎหมาย เนื่องจากตามกฎหมายแล้ว นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการกระทำของเขาต่อกษัตริย์เท่านั้น และมีเพียงกษัตริย์เท่านั้นที่จะสามารถปลดเขาได้[137]
แม้ว่าจะถูกกล่าวประณามอย่างรุนแรง มุสโสลินีก็กลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นตามปกติ เขาถูกกล่าวหาว่ามองเห็นสภาใหญ่เป็นเพียงแค่คณะที่ปรึกษาเท่านั้นและไม่คิดว่าการลงคะแนนเสียงจะมีผลบังคับใช้ที่สำคัญแต่อย่างใด[134] ช่วงบ่าย เวลา 17:00 น. พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลทรงเรียกตัวเขาให้มาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง ซึ่งทรงตัดสินพระทัยที่จะขับไล่มุสโสลินี อย่างไรก็ตาม ดูเชยังไม่รับทราบถึงพระราชประสงค์ของกษัตริย์ ซึ่งอยู่ในสถานที่ในการคุ้มกันและอาคารรัฐบาลถูกรายล้อมไปด้วยคาราบินีเอรีจำนวน 200 นาย เมื่อมุสโสลินีพยายามจะกราบทูลต่อกษัตริย์เกี่ยวกับการประชุมของสภาใหญ่ พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลทรงตรัสแทรกกับเขา และทรงรับสั่งให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งอย่างทางหาร แม้ว่าจะเป็นการยืนยันว่าเขาจะต้องหลุดออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม[134] ภายหลังจากที่มุสโสลินีออกมาจากพระราชวัง เขาก็ถูกจับกุมโดยคาราบินีเอรีตามพระราชบัญชาของกษัตริย์ ตำรวจได้นำตัวมุสโสลินีขึ้นรถพยาบาลของกาชาดโดยไม่ระบุถึงจุดหมายปลายทาง และยืนยันกับเขาว่าพวกเขาทำเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง[138] ในช่วงเวลานี้ ความไม่พอใจต่อมุสโสลินีได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนเมื่อมีการประกาศข่าวถึงการล่มสลายของเขาทางวิทยุ ก็ไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด ประชาชนก็ชื่นชมยินดีเพราะพวกเขาเชื่อว่าจุดจบของมุสโสลินีหมายถึงจุดจบของสงคราม[134] กษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้จอมพล ปีเอโตร บาโดลโย เป็นนายกรัฐตรีเข้ามาแทนที่ต่อจากมุสโสลินี
ในความพยายามเพื่อที่จะปกปิดตำแหน่งของเขาจากเยอรมัน มุสโสลินีถูกย้ายไปยังบริเวณรอบ: ครั้งแรกที่พอนซา จากนั้นก็ไปที่ลา มัดดาเลนา ก่อนที่จะคุมขังเขาไว้ที่กัมโป อิมเพอราโตเร รีสอร์ทบนภูเขาในอาบรุซโซ ที่ซึ่งเขาถูกโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง บาโดลโยยังคงแสดงความภักดีต่อเยอรมนี และประกาศว่าอิตาลีจะต่อสู้รบเคียงข้างฝ่ายอักษะต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาได้ยุบพรรคฟาสซิสต์ได้เพียงสองวันภายหลังจากเข้ารับตำแหน่ง และเริ่มการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1943 บาโดลโยได้ตกลงที่จะลงนามการสงบศึกระหว่างกองทัพอิตาลีและกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร การแถลงข่าวได้เพียงห้าวันต่อมาทำให้อิตาลีตกอยู่ในความโกลาหล กองกำลังทหารเยอรมันได้เข้ายึดการควบคุมในปฏิบัติการอัคเซ เมื่อเยอรมันได้เข้ามาประชิดกรุงโรม บาโดลโยและกษัตริย์ได้หลบหนีพร้อมกับผู้ประสานงานหลักของพวกเขาไปยังอะพิวเลีย โดยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับทิ้งกองทัพอิตาลีไว้โดยไม่ได้รับคำสั่ง[139] ภายหลังช่วงเวลาของความโกลาหล พวกเขาได้จัดตั้งรัฐบาลในมอลตา และในที่สุดก็ประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1943 ทหารอิตาลีหลายพันนายได้เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อต่อสู้รบกับเยอรมัน ส่วนมากถูกทอดทิ้งหรือยอมจำนนต่อเยอรมัน บางส่วนก็ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนข้างและเข้าร่วมกับเยอรมัน รัฐบาลบาโดลโยได้ทำข้อตกลงในการสงบศึกทางการเมืองกับพลพรรคฝ่ายซ้ายที่มีอำนาจเหนือกว่าเพื่อผลประโยชน์ของอิตาลีและเพื่อขจัดดินแดนของนาซี[140]
สาธารณรัฐสังคมอิตาลี(สาธารณรัฐ"ซาโล")
[แก้]เพียงสองเดือนหลังมุสโสลินีถูกปลดและจับกุม เขาได้รับความช่วยเหลือจากที่คุมขังของเขาที่โรงแรมกัมโป อิมเพอราโตเรในการตีโฉบฉวยแกรน์ แซสโซ เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1943 โดยหน่วยรบพิเศษของฟัลเชียร์มเยเกอร์(ทหารพลร่ม) และหน่วยคอมมานโดของหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สภายใต้การนำโดยพลตรีออทโท-ฮารัลด์ มอร์ส กับออทโท สกอร์เซนี ซึ่งก็ปรากฏตัวมาให้เห็น[138] การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ได้ช่วยชีวิตมุสโสลินีจากการส่งมอบตัวไปยังฝ่ายสัมพันธมิตรตามข้อตกลงของการสงบศึก[140] ฮิตเลอร์ได้มีแผนที่จะจับกุมกษัตริย์ มกุฎราชกุมารอุมแบร์โต บาโดลโย และส่วนที่เหลือของรัฐบาลและฟื้นฟูมุสโสลินีขึ้นสู่อำนาจในกรุงโรม แต่การหลบหนีของรัฐบาลไปยังทางใต้ทำให้แผนการดังกล่าวไม่อาจที่จะดำเนินต่อไปได้[136]
สามวันหลังจากที่เขาได้รับความช่วยเหลือในการตีโฉบฉวยแกรน์ แซสโซ มุสโสลนีได้ถูกนำตัวไปยังเยอรมนีเพื่อเข้าพบกับฮิตเลอร์ในรัสแทนแบร์กที่กองบัญชาการใหญ่ปรัสเซียตะวันออกของเขา แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ต้องตกตะลึงอย่างเต็มตากับภาพลักษณฺ์ที่ดูไม่เรียบร้อยและสภาพซูบผอมของมุสโสลินี รวมทั้งความดื้อรั้นเพื่อที่จะไล่ล่าคนในกรุงโรมที่ทำการโค่นล้มเขา ความรู้สึกว่าเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะลดขอบเขตการปราบปรามของนาซี มุสโสลินีได้ตกลงที่จัดตั้งระบอบการปกครองใหม่ สาธารณรัฐสังคมอิตาลี(อิตาลี: Repubblica Sociale Italiana, RSI),[10] เป็นที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า สาธารณรัฐซาโล เพราะการปกครองจากเมืองซาโลที่เขาได้จัดตั้งอยู่ได้เพียง 11 วัน ภายหลังที่เขาได้รับความช่วยเหลือโดยเยอรมัน ระบอบการปกครองใหม่ของมุสโสลินีได้เผชิญกับการสูญเสียดินแดนมากมาย: นอกเหนือจากการสูญเสียดินแดนอิตาลีจากการยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตรและรัฐบาลบาโดลโย จังหวัดของโบลซาโน เบลลูโน และเทรนโนได้อยู่ภายใต้การบริหารปกครองของเยอรมันในเขตปฏิบัติการของเยอรมันในเชิงเขาอัลไพน์ ในขณะที่จังหวัดของอูดิเน โกริเซีย ตรีเยสเต โพลา(ปัจจุบันคือ พูลา) ฟียูเม(ปัจจุบันคือ รีเยกา) ลูบลิยานา(ลูเบียนาในภาษาอิตาลี) ถูกรวมเข้ากับเขตปฏิบัติการของเยอรมันในฝั่งทะเลอาเดรียติค
นอกจากนี้ กองทัพเยอรมันได้เข้ายึดครองแคว้นดัลเมเชี่ยนของสปลิต(สปาลาโต)และโคเตอร์(กัตตาโร) ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมโดยระบอบฟาสซิสต์โครเอเชีย ดินแดนที่ได้รับมาของอิตาลีในกรีซและแอลเบเนียก็ยังสูญเสียให้กับเยอรมนี ยกเว้นเพียงหมู่เกาะทะเลอีเจียนของอิตาลี ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การปกครองเพียงในนามของ RSI มุสโสลินีได้ค้ดค้านการลดทอนดินแดนของรัฐอิตาลีและกล่าวกับเพื่อนร่วมงานของเขาว่า:
ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อจะสละดินแดนของรัฐแม้แต่ตารางเมตร เราจะกลับไปทำสงครามเพื่อสิ่งนี้ และเราจะก่อกบฏต่อใครก็ตามสำหรับครั้งนี้ ที่ใดที่ธงชาติอิตาลีโบกสะบัด ธงชาติอิตาลีจะกลับมา และที่แห่งนั้นจะไม่มีการลดธงลง บัดนี้ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว จะไม่มีใครลดมันลงได้ ข้าพเจ้าได้กล่าวสิ่งนี้กับท่านฟือเรอร์[141]
มุสโสลินีได้อาศัยอยู่ที่การ์ญาบนทะเลสาบการ์ดาในลอมบาร์ดีได้ประมาณหนึ่งปีครึ่ง แม้ว่าจะยืนยันในที่สาธารณะว่าเขาได้ควบคุมอย่างสมบูรณ์ แต่เขารู้ดีว่าเขาเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองหุ่นเชิดภายใต้การคุ้มครองจากเยอรมันผู้ปลดปล่อยของเขา—สำหรับความตั้งใจและจุดประสงค์ทั้งหมด เกาไลเทอร์แห่งลอมบาร์ดี อันที่จริงแล้ว เขาได้อาศัยอยู่ภายใต้การกักตัวภายในบ้านของหน่วยเอ็สเอ็ส ซึ่งได้จำกัดการสื่อสารและการเดินทางของเขา เขาได้บอกกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งว่า น่าจะส่งเขาไปยังค่ายกักกันดีกว่าจะอยู่ในสถานะหุ่นเชิด
ภายหลังจากการยอมจำนนต่อแรงกดดันของฮิตเลอร์และพวกฟาสซิสต์ผู้จงรักภักดีที่เหลืออยู่ซึ่งได้ก่อตั้งรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐซาโล มุสโสลินีได้ช่วยเหลือในการจัดเตรียมการประหารชีวิตเหล่าผู้นำฟาสซิสต์บางคนซึ่งได้ทรยศหักหลังเขาในการประชุมครั้งสุดท้ายของสภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ หนึ่งในนั้นคือ กาลีซโซ ชิอาโน ผู้เป็นลูกเขยของเขา ในฐานะประมุขแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมอิตาลี มุสโสลินีได้ใช้เวลาส่วนใหญ่เขียนบันทึกความทรงจำของเขา นอกเหนือจากงานเขียนอัตชีวประวัติของเขาใน ค.ศ. 1928 งานเขียนเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมและตีพิมพ์โดย Da Capo Press ในชื่อเรื่องว่า ความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของข้าพเจ้า ในการให้บทสัมภาษณ์ เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 โดย Madeleine Mollier เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยพลพรรคอิตาลี เขาได้กล่าวอย่างราบเรียบว่า "เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่น่าสนใจ ตอนนี้ ข้าพเจ้าเป็นมากกว่าซากศพ" เขายังได้กล่าวต่อว่า:
ใช่แล้ว คุณผู้หญิง ข้าพเจ้าจบสิ้นแล้ว ดาวของข้าพเจ้าได้ตกหล่นแล้ว ข้าพเจ้าไม่หลงเหลือการต่อสู้อยู่ในตัวข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าทำงานและข้าพเจ้าได้พยายาม แต่กลับรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องขบขัน... ข้าพเจ้ากำลังรอจุดจบของโศกนาฏกรรม และ—แปลกแยกจากทุกสิ่ง—ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นนักแสดงอีกต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชมคนสุดท้าย[142]
อสัญกรรม
[แก้]เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 กองกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังรุกเข้าสู่ภาคเหนือของอิตาลีและการล่มสลายของสาธารณรัฐซาโลก็ใกล้มาถึงแล้ว มุสโสลินีและคลาล่า แปตะชิ อนุภรรยาของเขาได้ออกเดินทางไปยังสวิตเซอร์แลนด์ โดยตั้งใจว่าจะขึ้นเครื่องบินและหลบหนีไปยังสเปน สองวันต่อมา เมื่อวันที่ 27 เมษายน พวกเขาต้องหยุดชะงักใกล้กับหมู่บ้านดอนโก(ทะเลสาบโคโม) โดยพลพรรคคอมมิวนิสต์นามว่า วาเลริโอและเบลลินี และถูกระบุตัวโดยเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการทางการเมือง (คอมมิสซาร์) แห่งพลพรรคที่ 52 กองทัพน้อยการิบัลดี Urbano Lazzaro ในช่วงเวลานั้น พี่ชายของแปตะชิซึ่งอาศัยอยู่ในกงสุลสเปน ภายหลังจากความพยายามหลายครั้งซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในการพาพวกเขาจากทะเลสาบโคโมมายังเมซเซกรา พวกเขาใช้เวลาคืนสุดท้ายในบ้านของครอบครัวเดอ มาเรีย
เมื่อข่าวได้แพร่กระจายของการจับกุม โทรเลขหลายฉบับได้มาถึงกองบัญชาการคณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติจากทางเหนือของอิตาลี(CLNAI) จากสำนักบริการด้านยุทธศาสตร์(OSS) ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองเซียนาโดยร้องขอให้ส่งมอบตัวมุสโสลินีมาอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังสหประชาชาติ อันที่จริง มาตรา 9 ของการสงบศึกที่ถูกลงนามในเกาะมอลตาโดยไอเซนฮาวด์และจอมพลอิตาลี ปีเอโตร บาโดลโย เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1943 โดยได้กำหนดอย่างชัดเจนว่า: "เบนิโต มุสโสลินี พรรคพวกฟาสซิสต์และทุกคนที่ต้องสงสัยว่าได้ก่ออาชญากรรมสงครามหรืออาชญากรรมในลักษณะเดียวกัน ที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะถูกจัดส่งโดยสหประชาชาติ และซึ่งในตอนนี้หรือในอนาคตที่อยู่ในดินแดนที่ถูกควบคุมโดยกองบัญชาการกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรหรือรัฐบาลอิตาลี จะถูกจับกุมและส่งมอบตัวให้กับกองกำลังสหประชาชาติโดยทันที"
วันต่อมา มุสโสลินีและแปตะชิซึ่งทั้งสองถูกยิงประหารชีวิตอย่างเร่งรัด พร้อมกับสมาชิกส่วนใหญ่ของขบวนผู้ติดตาม 15 คน ส่วนมากจะเป็นรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ทางการของสาธารณรัฐสังคมอิตาลี การยิงปืนได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กของ Giulino di Mezzegra และถูกดำเนินการโดยหัวหน้าพลพรรคที่ใช้นามแฝงว่า Colonnello Valerio ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่มีใครทราบ แต่ตามธรรมเนียมแล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็น วอลเตอร์ ออดิซิโอ ผู้ที่กล่าวอ้างอยู่เสมอว่า เป็นผู้ดำเนินการประหารชีวิต แม้ว่าพลพรรคอีกกลุ่มหนึ่งได้บอกข้อมูลที่ดูขัดแย้งว่า Colonnello Valerio คือ Luigi Longo ต่อมาภายหลังได้เป็นผู้นำนักการเมืองฝ่ายคอมมิวนิสต์ในอิตาลีช่วงหลังสงคราม มุสโสลินีถูกสังหารเมื่อสองวันก่อนที่ฮิตเลอร์และเอฟา เบราน์ ภรรยาของเขาจะกระทำอัตวินิบาตกรรม สาธารณรัฐสังคมอิตาลีนั้นอยู่รอดมาได้เพียงสี่วันก่อนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของมุสโสลินี โรดอลโฟ กราซีอานี จอมพลชาวอิตาลีเพียงคนเดียวที่ยังคงจงรักภักดีต่อลัทธิฟาสซิสต์ ภายหลังปี ค.ศ. 1943–ได้ยอมจำนนในส่วนที่เหลืออยู่ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
ศพของมุสโสลินี
[แก้]เมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1945 ศพของมุสโสลินีและแปตะชิ และฟาสซิสต์คนอื่น ๆ ที่ถูกประหารชีวิตได้ถูกบรรจุไว้ในรถตู้และเคลื่อนที่ลงไปทางใต้สู่มิลาน เวลา 3 นาฬิกา(ตีสาม) ศพถูกกองทิ้งไว้บนพื้นใน Piazzale Loreto เก่า บริเวณลานสาธารณะแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "Piazza Quindici Martiri"(บริเวณลานสาธารณะของมรณะสักขี 15 คน) เพื่อเป็นเกียรติแก่พลพรรคอิตาลีสิบห้าคนที่ถูกประหารชีวิตได้ไม่นานในที่แห่งนั้น[143]
ภายหลังจากถูกถีบและถุยน้ำลายใส่ ศพเหล่านั้นก็ถูกนำไปแขวนประจานโดยห้อยลงจากหลังคาปั๊มน้ำมันเอสโซ่[144] นอกจากนี้ยังถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจากเบื้องล่างโดยพลเรือน สิ่งนี้ทำทั้งเป็นการสร้างความท้อใจแก่พวกฟาสซิสต์คนใดที่ยังสู้รบต่อไปและเป็นการล้างแค้นสำหรับการแขวนคอพลพรรคจำนวนมากในสถานที่เดียวกันโดยผู้มีอำนาจฝ่ายอักษะ ศพของผู้นำที่ถูกปลดจากอำนาจถูกทั้งเยาะเย้ยและกระทำย่ำยี ฟาสซิสต์ที่จงรักภักดีผู้นึงนามว่า อคีล สตาราเซ ถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิต และถูกพามายัง Piazzale Loreto และโชว์ให้เห็นถึงศพของมุสโสลินี สตาราเซ เคยกล่าวถึงมุสโสลินีว่า "เขาคือพระเจ้า"[145] เขาได้ทำความเคารพในสิ่งที่ผู้นำของเขาหลงเหลืออยู่ก่อนที่เขาจะถูกยิงเป้า ศพของสตาราเซถูกนำไปแขวนไว้ข้าง ๆ ศพของมุสโสลินีในเวลาต่อมา
ภายหลังการอสัญกรรมของเขาและศพถูกนำไปประจานในมิลาน มุสโสลินีถูกฝังในหลุมศพไม่มีป้ายในสุสานมูโซสโค ทางตอนเหนือของเมือง ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ค.ศ. 1946 ศพของเขาถูกค้นพบและขุดขึ้นมาโดยโดมินิโก เลชชิซิ และนีโอ-ฟาสซิสต์อีกสองคน ด้วยหละหลวมไปหลายเดือน—และสาเหตุของความวิตกกังวลอย่างมากต่อระบอบประชาธิปไตยอิตาลีครั้งใหม่—ในที่สุด ศพของมุสโสลินีก็ "ถูกยึดกลับคืนมา"ในเดือนสิงหาคม ซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในหีบขนาดเล็กที่ Certosa di Pavia นอกเมืองมิลาน บาทหลวงสองคนจากคณะฟรันซิสกันถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าทำการปกปิดศพในเวลาต่อมา แม้ว่าจะมีการสืบสวนเพิ่มเติมซึ่งพบว่า มีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา ด้วยความไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร ทางการจึงได้เก็บศพเอาไว้ในบริเวณสถานที่ที่ถูกลืมของเมืองเป็นเวลาสิบปี ก่อนที่จะยินยอมให้มีการฝังศพอีกครั้งที่เปรดัปปีโอในโรมานญ่า บ้านเกิดของเขา Adone Zoli นายกรัฐมนตรีอิตาลีคนปัจจุบันได้ติดต่อกับดอนน่า ราเคเล ภรรยาม่ายของจอมเผด็จการ เพื่อบอกกับเธอว่าเขากำลังจะส่งคืนซากศพ เนื่องจากเขาจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายขวาจัดในรัฐสภา รวมทั้งเลชชิซิ ในเปรดัปปีโอ จอมเผด็จการได้ถูกฝังไว้ในห้องใต้ดิน(เกียรติภายหลังมรณกรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะมอบให้แก่มุสโสลินี) หลุมศพของเขาถูกขนาบข้างด้วยสัญลักษณ์ฟาสเซสที่ถูกทำขึ้นด้วยหินอ่อน รูปปั้นใบหน้าที่ถูกทำขึ้นด้วยหินอ่อนตามอุดมคติของเขาที่ถูกวางไว้เหนือหลุมศพ[146]
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ภรรยาคนแรกของมุสโสลินีคือ Ida Dalser, ซึ่งเขาได้แต่งงานใน Trento ใน ค.ศ. 1914. ทั้งสองได้มีบุตรในปีต่อมาและตั้งชื่อให้กับเขาว่า เบนนิโต อัลบิโน มุสโสลินี (ค.ศ. 1915–1942). ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1915, มุสโสลินีได้แต่งงานกับราเคเล กุยดี, ซึ่งเป็นอนุภรรยาของเขามาตั้งแต่ ค.ศ. 1910 เนื่องจากการขึ้นสู่ตำแหน่งทาการเมืองที่กำลังจะมาถึง ข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งแรกของเขาถูกปกปิดเป็นความลับ และทั้งภรรยาคนแรกและลูกชายของเขาถูกข่มเหงในเวลาต่อมา.[54] กับราเคเล, มุสโสลินีมีลูกสาวสองคน, เอ็ดดา (ค.ศ. 1910–1995) และแอนนา มาเรีย (ค.ศ. 1929–1968), ซึ่งในเวลาต่อมา เธอได้แต่งงานกับ Nando Pucci Negri ในราเวนนา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1960; และมีบุตรชายสามคน: วิตโตรีโอ (ค.ศ. 1916–1997), บรูโน (ค.ศ. 1918–1941) และ โรมาโน (ค.ศ. 1927–2006). มุสโสลินีมีอนุภรรยาหลายคน, ท่ามกลางในหมู่พวกเธอจะมี Margherita Sarfatti และเพื่อนสนิทคนสุดท้ายของเขาอย่างคลาล่า แปตะชิ. มุสโสลินีเคยประสบเจอกับเรื่องเชิงชู้สาวกับผู้หญิงที่เป็นผู้สนับสนุนมาหลายครั้ง ตามจากการรายงานโดยนักเขียนชีวประวัติของเขานามว่า Nicholas Farrell[147]
การถูกคุมขังอาจเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของโรคกลัวในที่แคบของมุสโสลินี. เขาปฏิเสธไม่ยอมเข้าไปในบลู กรอทโท(ถ้ำทะเลบนชายฝั่งของกาปรี), และต้องการห้องขนาดใหญ่เป็นกรณีพิเศษ เช่น สำนักงานของเขามีขนาด 18*12*12 เมตร (60*40*40 ฟุต) ใน Palazzo Venezia.[28]
นอกเหนือจากภาษาอิตาลีท้องถิ่น, มุสโสลินีสามารถพูดภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมันอย่างน่าสงสัย (ความรู้สึกภาคภูมิใจของเขาซึ่งหมายความว่าเขาไม่เคยใช้ล่ามแปลภาษาเยอรมัน). สิ่งนีดูโดดเด่นในการประชุมมิวนิก,เพราะไม่มีผู้นำชาติอื่นใด ๆ พูดอย่างอื่นนอกจากภาษาท้องถิ่นของพวกเขา; มุสโสลินีได้ถูกอธิบายว่า เป็น"หัวหน้านักล่าม"อย่างมีประสิทธิภาพในที่ประชุม.[148]
มุมมองทางศาสนา
[แก้]อเทวนิยมและต่อต้านศาสนจักร
[แก้]มุสโสลินีได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่นับถือนิกายคาทอลิกอย่างเคร่งครัด[149] และส่วนบิดาเป็นพวกต่อต้านนักบวช[150] โรซา แม่ของเขาได้นำเขาเข้าพิธีบัพติศมาในศาสนจักรโรมันคาทอลิก และนำลูกชายของเธอเข้าโบสถ์เพื่อรับใช้บาทหลวงทุกวันอาทิตย์ ส่วนบิดาของเขาไม่เคยสนใจเลย[149] มุสโสลินีได้เห็นว่าเวลาของเขาที่อยู่ในโรงเรียนประจำทางศาสนาคือการลงทัณฑ์ เปรียบเสมือนเป็นการตกนรก และ"ครั้งหนึ่ง เขาได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพิธีมิสซาตอนเช้าและถูกใช้กำลังบังคับในลากไปที่นั่น"[151]
มุสโสลินีกลายเป็นพวกต่อต้านนักบวชเช่นเดียวกับบิดาของเขา สมัยวัยหนุ่ม เขาได้"ประกาศตนเองว่าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า[152] และความพยายามหลายครั้งที่ทำให้ผู้ฟังต้องตกตะลึงโดยการเรียกร้องให้พระเจ้ามาเอาชีวิตของเขาไป"[150] เขามีความเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่มีพระเจ้า และประวัติของพระเยซูเป็นความโง่เขลาและบ้าคลั่ง เขาได้ถือว่าศาสนาเป็นโรคป่วยทางจิต และกล่าวหาว่า ศาสนาคริสต์ส่งเสริมให้มีการจำยอมสละและขี้ขลาด มุสโสลินีมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หลังจากที่ได้ยินเรื่องคำสาปของฟาโรห์ เขาก็สั่งให้มีการถอดถอนมันมี่อียิปต์ที่เขารับเป็นของขวัญออกจาก Palazzo Chigi ทันที[28]
มุสโสลินีเป็นผู้เลื่อมใสต่อฟรีดริช นีทเชอ จากการอ้างอิงของ Denis Mack Smith "ในนีทเชอ เขาพบว่ามีเหตุผลของการทำสงครามครูเสดของเขาในต่อกรกับคุณงามความดีของความอ่อนน้อมถ่อมตน การจำยอมสละ การกุศล และคุณธรรมของชาวคริสเตียน"[153] เขาให้ความสำคัญกับแนวคิดเหนือมนุษย์ของนีทเชอ "ผู้ที่เห็นแก่ตัวอันสูดสุดที่ท้าทายพระเจ้าและฝูงชน ที่ดูหมิ่นสมภาคนิยมและประชาธิปไตย ที่มีความเชื่อในผู้ที่อ่อนแอกว่าที่จะปีนข้ามกำแพงและผลักดันพวกเขา หากไปได้ไม่เร็วพอ"[153] ในวันเกิดครบรอบ 60 ปีของเขา มุสโสลินีได้รับของขวัญจากฮิตเลอร์เป็นหนังสือที่เป็นผลงานของนีทเชอครบชุดยี่สิบสี่เล่ม[154]
มุสโสลินีได้กล่าวโจมตีอย่างเผ็ดร้อนต่อศาสนาคริสต์และศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งเขามาพร้อมกับคำพูดปลุกปั่นเกี่ยวกับการถวายตัวของเจ้าภาพและเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ระหว่างพระคริสต์และมารีย์ชาวมักดาลา เขาได้กล่าวประณามสังคมนิยมที่อดทนต่อศาสนา หรือผู้ที่นำบุตรมาเข้าพิธีบัพติศมา และเรียกร้องให้นักสังคมนิยมที่ยอมรับการแต่งงานทางศาสนาจะต้องถูกขับออกจากพรรค เขาได้กล่าวประณามศาสนจักรคาทอลิกจาก"ลัทธิอำนาจนิยมและปฏิเสธที่จะยินยอนให้มีเสรีภาพในความคิด ..." หนังสือพิมพ์ของมุสโสลินีอย่าง La Lotta di Classe ได้รายงานว่า จุดยืนของบรรณาธิการนั้นในการต่อต้านคริสเตียน[155]
สนธิสัญญาลาเตรัน
[แก้]แม้ว่าจะมีกล่าวโจมตีในลักษณะดังกล่าว มุสโสลินีก็ได้พยายามที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยการเอาใจชาวคาทอลิกส่วนใหญ่ในอิตาลี ในปี ค.ศ. 1924 มุสโสลินีได้มองเห็นว่าลูกสามคนของเขาได้เข้าร่วมทำพิธีศีลมหาสนิท ใน ค.ศ. 1925 เขายอมรับให้นักบวชได้ทำพิธีแต่งงานทางศาสนาให้กับตัวเขาเองและราเคเล ซึ่งเขาเคยแต่งงานในพิธีแบบพลเรือน เมื่อ 10 ปีก่อน[156] เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 เขาได้ลงนามในข้อตกลงและสนธิสัญญากับศาสนจักรโรมันคาทอลิก[157] ภายใต้สนธิสัญญาลาเตรัน นครวาติกันได้รับสถานะเป็นรัฐเอกราชและอยู่ภายใต้กฎหมายของศาสนจักร—แทนที่จะเป็นกฎหมายของอิตาลี—และศาสนาคาทอลิกได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสนาประจำชาติของอิตาลี[158] ศาสนจักรยังได้รับอำนาจในการยินยอมให้มีการแต่งงานกลับคืนมา ศาสนานิกายคาทอลิกสามารถสอนหนังสือได้ในโรงเรียนมัธยมทุกแห่ง การคุมกำเนิดและองค์กรฟรีเมนสันถูกสั่งห้าม และคณะสงฆ์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐและได้รับการยกเว้นภาษี[159][160] สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ทรงกล่าวยกย่องมุสโสลินี และหนังสือพิมพ์คาทอลิกอย่างเป็นทางการได้เขียนพาดหัวข่าวว่า "อิตาลีได้ตอบแทนแก่พระเจ้า และพระเจ้าทรงประทานแก่อิตาลีแล้ว"[161][162]
ภายหลังจากการประนีประนอมครั้งนี้ เขาได้กล่าวอ้างว่า ศาสนจักรได้อยู่ภายใต้บัญชาของรัฐ และ"อ้างอิงถึงนิกายคาทอลิกว่า ณ จุดกำเนิด นิกายขนาดย่อยที่แผ่ขจายอกไปนอกปาเลสไตน์เพียงเพราะถูกทาบทามในการเข้าสู่ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน"[157] ภายหลังข้อตกลง "เขาได้ยึดหนังสือคาทอลิกหลายฉบับในอีกสามเดือนต่อมามากกว่าในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา"[157] มีการรายงานว่า มุสโสลินีเกือบที่จะถูกตัดขาดจากคริสตจักรคาทอลกในช่วงเวลานั้น[157]
มุสโสลินีได้ทำการปรับความเข้าใจกับสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ต่อสาธารณชนใน ค.ศ. 1932 แต่"กลับสั่งให้นำรูปภาพถ่ายของเขาออกจากหนังสือพิพม์ทุกฉบับที่เป็นภาพการคุกเข่าหรือแสดงความเคารพต่อสมเด็จพระสันตะปาปา" เขาต้องการชักจูงชาวคาทอลิกว่า "ลัทธิฟาสซิสต์คือชาวคาทอลิกและเขาเองก็เป็นผู้ศรัทธาที่ใช้เวลาในแต่ละวันในการสวดมนต์อธิษฐาน"[157] สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตรัสถึงมุสโสลินีว่า "เป็นชายที่ถูกส่งมาโดยความเมตตาของพระเจ้า"[155][157] ถึงแม้ว่ามุสโสลินีจะพยายามทำตัวเป็นผู้เคร่งศาสนา ตามคำสั่งของพรรคการเมืองของเขา คำสรรพนามที่อ้างอิงถึงเขาว่า "จะต้องเขียนด้วยอักษรตัวใหญ่ดั่งเช่นอ้างอิงถึงพระเจ้า"[157]
ในปี ค.ศ. 1938 มุสโสลินีได้เริ่มยืนยันถึงการต่อต้านอำนาจศาสนจักรอีกครั้ง บางครั้งก็เรียกตัวเขาเองว่า "ผู้ไร้ศรัทธาโดยสิ้นเชิง" และเคยบอกกับคณะรัฐมนตรีของเขาว่า "ศาสนาอิสลามอาจจะเป็นศาสนาที่มีประสิทธิภาพมากกว่าศาสนาคริสต์ซะอีก" และกล่าวว่า "ตำแหน่งพระสันตะปาปาเป็นเนื้องอกร้ายในร่างกายของอิตาลี และต้องกำจัดทิ้งภายในคราวเดียว เพราะในกรุงโรมนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับพระสันตปาปาและตัวเขาเอง"[163] เขาได้กล่าวปฏิเสธต่อสาธารณชนจากคำแถลงการณ์ถึงการต่อต้านอำนาจศาสนจักรเหล่านี้ แต่ยังคงกล่าวคำแถลงการณ์ที่คล้ายกันเป็นการส่วนตัว[ต้องการอ้างอิง]
ภายหลังจากที่เขาหมดอำนาจใน ค.ศ. 1943 มุสโสลินีได้เริ่มพูดถึง"เกี่ยวกับพระเจ้าและภาระหน้าที่ของมโนธรรมมากขึ้น" แม้ว่า"เขาจะคงยังมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยสำหรับพระนักบวชและศีลศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักร"[164] เขายังเริ่มวาดภาพที่คล้ายคลึงระหว่างเขากับพระเยซูคริสต์[164] ราเคเล ผู้เป็นภรรยาม่ายของมุสโสลินี ได้กล่าวว่า สามีของเธอยังคง"เป็นผู้ไม่นับถือศาสนาโดยแท้จริงจวบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต"[165] มุสโสลินีได้ถูกทำพิธีศพในโบสถ์คาทอลิกใน ค.ศ. 1957[166]
มุมมองของมุสโสลินีต่อลัทธิต่อต้านชาวยิวและเชื้อชาติ
[แก้]แม้ว่าในช่วงแรก มุสโสลินีจะเมินเฉยต่อลัทธิการเหยียดเชื้อชาติทางชีววิทยา แต่เขาก็ยังมีความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงในคุณลักษณะของชาติและได้กล่าวถึงลักษณะโดยทั่วไปหลายประการของชาวยิว อย่างไรก็ตาม มุสโสลินีได้ถือว่าชาวยิวเชื้อสายอิตาลีเป็นชาวอิตาลี ข้อคิดเห็นของมุสโสลินีต่อชาวยิวในช่วงปลาย ค.ศ. 1910 และช่วงแรก ค.ศ. 1920 มักจะไม่สอดคล้องกันและเหมาะสมกับช่วงเวลามากกว่าที่จะสะท้อนกับความเชื่อที่แท้จริงในพวกเขา มุสโสลินีได้กล่าวประณามการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ต่อ"การล้างแค้นของชาวยิว" ต่อศาสนาคริสต์ด้วยคำพูดว่า "การแข่งขันไม่ทรยศหักหลังเชื้อชาติ ... ลัทธิบอลเชวิคกำลังได้รับการปกป้องโดยเศรษฐยาธิปไตยระหว่างประเทศ นั่นคือสัจธรรมที่แท้จริง" นอกจากนี้ เขายังยืนยันว่า 80% ของผู้นำโซเวียตเป็นชาวยิว[167] แต่ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ได้โต้แย้งกับตัวเขาเองด้วยคำพูดที่ว่า "ลัทธิบอลเชวิคนั้นไม่ใช่ปรากฏการณ์ของชาวยิวอย่างที่ผู้คนเชื่อถือ ความจริงก็คือลัทธิบอลเชวิคกำลังนำไปสู่ความพินาศย่อยยับของชาวยิวในยุโรปตะวันออก"[168]
ในช่วงต้น ค.ศ. 1920 มุสโสลินีกล่าวว่า ลัทธิฟาสซิสต์ไม่เคยหยิบยกถึง"ปัญหาชาวยิว" และในบทความที่เขาเขียนซึ่งได้กล่าวว่า "อิตาลีไม่ได้รับรู้ถึงลัทธิต่อต้านชาวยิวและเราเชื่อว่ามันจะไม่มีวันรู้เลย" และได้ถูกอธิบายโดยละเอียดว่า "เราหวังว่าชาวยิวเชื้อสายอิตาลีจะยังคงมีเหตุผลเพียงพอเพื่อไม่ทำให้เกิดลัทธิต่อต้านชาวยิวในประเทศเดียวที่ซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง"[169] ใน ปี ค.ศ. 1932 มุสโสลินีในช่วงระหว่างการสนทนากับ Emil Ludwig ได้อธิบายว่า การต่อต้านชาวยิว คือ "รองชาวเยอรมัน" และกล่าวว่า "'ไม่มีปัญหาชาวยิว'ในอิตาลีและไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศเดียวที่มีระบบการปกครองที่ดี"[170] หลายครั้งหลายหน มุสโสลินีได้พูดเชิงบวกกับชาวยิวและขบวนการไซออนิสต์[171] แม้ว่าลัทธิฟาสซิสต์จะยังคงเกิดข้อสงสัยในลัทธิไซออนิสต์ ภายหลังจากพรรคฟาสซิสต์ขึ้นสู่อำนาจ[172] ใน ค.ศ. 1934 มุสโสลินีได้สนับสนุนการก่อตั่งโรงเรียนนายเรือเบตาร์ในชีวีตาเวกเกียเพื่อฝึกสอนนักเรียนนายเรือชาวไซออนิสต์ภายใต้การควบคุมของ Ze'ev Jabotinsky ซึ่งได้โต้แย้งว่า รัฐยิวจะอยู่ในความสนใจของอิตาลี[173] จนกระทั่ง ค.ศ. 1938 มุสโสลินีได้ปฏิเสธต่อผู้ใดก็ตามที่มีลัทธิต่อต้านยิวภายในพรรคฟาสซิสต์[171]
ความสัมพันธ์ระหว่างมุสโสลินีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นความสัมพันธ์ที่ดูจะขัดแย้งกันเองตั้งแต่แรก ในขณะที่ฮิตเลอร์ได้อ้างว่า มุสโสลินีเป็นผู้ทรงอิทธิพลและแสดงความชื่นชมยินดีอย่างมากที่เด่นชัดเป็นการส่วนตัวต่อเขา มุสโสลินีให้ความนับถือฮิตเลอร์เพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากพวกนาซีมีสหายและพันธมิตรของเขาอย่าง Engelbert Dollfuss ซึ่งเป็นเผด็จการแห่งฟาสซิสต์ออสเตรีย ได้ถูกสังหารในปี ค.ศ. 1934
ด้วยการลอบสังหาร Dollfuss มุสโสลินีได้พยายามที่จะตีตัวออกห่างจากฮิตเลอร์ โดยให้ปฏิเสธส่วนใหญ่ของลัทธิการเหยียดเชื้อชาติ(โดยเฉพาะลัทธิชาวนอร์ดิกและลัทธิเจอร์มานิก) และลัทธิการต่อต้านชาวยิวที่ได้ให้การสนับสนุนโดยชาวเยอรมันหัวรุนแรง ในช่วงเวลานี้ มุสโสลินีได้ปฏิเสธลัทธิการเหยียดเชื้อชาติทางชีววิทยา อย่างน้อยก็ในความสำนึกคิดของนาซี และแทนที่ในการให้ความสำคัญถึง "การทำให้เป็นอิตาลี" ส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิอิตาลีที่เขาต้องการจะสร้างขึ้น เขาได้ประกาศว่าแนวคิดของสุพันธุศาสตร์และแนวคิดเกี่ยวกับการถือชาติพันธุ์ที่น่าสงสัยของชาวอารยันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อกล่าวถึงรัฐกฤษฎีกาของนาซีว่า ประชาชนชาวเยอรมันจะต้องถือหนังสือพาสปอร์ตที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่ระบุถึงเชื้อชาติอารยันหรือชาวยิว ใน ค.ศ. 1934 มุสโสลินีได้ประหลาดใจว่าพวกเขาจะกำหนดสมาชิกใน"เชื้อชาติเจอร์มานิก" ได้อย่างไร:
แต่เชื้อชาติไหนล่ะ? มีเชื้อชาติชาวเยอรมันหรือไม่? มันเคยมีอยู่จริงไหม? มันจะเคยมีอยู่หรือไม่? ความเป็นจริง เรื่องปรัมปรา หรือเรื่องหลอกลวงของนักทฤษฏี?
ถ้างั้น เราได้ตอบว่า เชื้อชาติเจอร์มานิกนั้นไม่มีอยู่จริง ขบวนการต่าง ๆ ความอยากรู้อยากเห็น เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ไม่ได้มีอยู่จริง เราไม่ได้บอกอย่างงั้น นักวิทยาศาสตร์ต่างหากที่พูด ฮิตเลอร์เองก็พูดอย่างนั้น
เมื่อนักข่าวชาวเยอรมันเชื้อสายยิว Emil Ludwig ได้ถามถึงมุมมองของเขาเกี่ยวกับเชื้อชาติ มุสโสลินีได้เปล่งเสียงอุทานว่า:
เชื้อชาติ! มันเป็นความรู้สึกต่างหาก ไม่ใช่ความจริง:เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อย คือความรู้สึก ไม่มีอะไรที่จะทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่า เชื้อชาติทางชีววิทยาที่บริสุทธิ์จะสามารถแสดงให้เห็นว่ามีอยู่จริงในทุกวันนี้ น่าตลกขบขันพอ ซึ่งไม่เคยมีใครประกาศในการเป็น "ขุนนาง" ของเชื้อชาติทิวโทนิกคือตัวเขาเองที่เป็นชาวทิวทัน Gobineau เป็นชาวฝรั่งเศส (ฮุสตัน สจ๊วต) Chamberlain เป็นชาวอังกฤษ Woltmann เป็นชาวยิว Lapouge ก็ชาวฝรั่งเศสอีกคน
ในการกล่าวคำปราศัยที่บารี เขาได้เน้นย้ำถึงทัศนคติของเขาที่มีต่ออุดมกาณ์เยอรมันด้วยชนชาติผู้ปกครอง:
ประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่สามสิบ ทำให้เรามองเห็นด้วยความเวทนาอย่างสุดอนาถถึงหลักคำสอนบางประการซึ่งได้ถูกสั่งสอนไปไกล้พ้นจากเทือกเขาแอลป์โดยลูกหลานของผู้ไร้การศึกษาเหล่านั้น เมื่อกรุงโรมมีคนอย่างซีซาร์ เวอร์จิล และเอากุสตุส
แม้ว่าลัทธิฟาสซิสต์อิตาลีจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งทางเชื้อชาติ ตั้งแต่ ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1934 อุดมการณ์ของลัทธิฟาสซิสต์อิตาลีไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อชุมชมชาวอิตาลี-ยิว: มุสโสลินีได้ยอมรับว่า มีกลุ่มชุมชนขนาดเล็กได้อาศัยอยู่ตั้งแต่"สมัยกษัตริย์แห่งโรม" และสมควร"ที่จะไม่ถูกรบกวน" มีชาวยิวบางคนที่อยู่ในพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ เช่น Ettore Ovazza ซึ่งใน ค.ศ. 1935 ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ยิวฟาสซิสต์ที่ชื่อว่า La Nostra Bandiera ("ธงของเรา")[174]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
มรดกตกทอด
[แก้]ครอบครัว
[แก้]ครอบครัวมุสโสลินีนั้นมีผู้รอดชีวิตโดยภรรยาของเขา ราเคเล มุสโสลินี ลูกชายสองคนอย่างวิตโตริโอและโรมาโน มุสโสลินีและลูกสาวของเขาอย่างเอ็ดดา(เป็นภรรยาหม้ายของเคานต์ชิอาโน) และแอนนา มาเรีย บุตรชายคนที่สาม บรูโน ได้เสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก ในขณะที่ขับเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่น Piaggio P.108 ในภารกิจทดสอบ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1941 บุตรชายคนโตของเขา เบนิโต อัลบิโน มุสโสลินี ซึ่งกำเนิดจากภรรยาอีกคนคือ Ida Dalser ถูกสั่งห้ามประกาศว่ามุสโสลินีเป็นบิดาของเขา และใน ค.ศ. 1935 เขาถูกบังคับให้ลี้ภัยในมิลาน ที่นั่นเขาจึงถูกสังหาร เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ภายหลังจากถูกฉีดยากระตุ้นทำให้อาการโคม่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า[54] อเลสซานดรา มุสโสลินี ลูกสาวของโรมาโน มุสโสลินี บุตรชายคนที่สี่ของเบนิโต มุสโสลินี และภรรยานามว่า แอนนา มาเรีย ซีโคโลเน่ น้องสาวของโซเฟีย ลอเรน เป็นสมาชิกรัฐสภายุโรปสำหรับขบวนการทางเลือกสังคมของฝ่ายขวาจัด ตัวแทนในสภาล่างของอิตาลีและทำหน้าที่ในวุฒิสภาในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคฟอร์ซา อิตาเลียของซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี
ลัทธินีโอ-ฟาสซิสต์
[แก้]แม้ว่าพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์จะถูกประกาศว่าเป็นพรรคที่ผิดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญของอิตาลีภายหลังสงคราม ผู้รับช่วงต่อจำนวนหนึ่งของพรรคนีโอ-ฟาสซิสต์ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อสืบทอดมรดกตกทอดเอาไว้ ในอดีต พรรคนีโอ-ฟาสซิสต์ขนาดใหญ่ที่สุดคือขบวนการสังคมอิตาเลียน (Movimento Sociale Italiano) ซึ่งถูกยุบใน ค.ศ. 1995 และถูกแทนที่โดยพันธมิตรแห่งชาติ พรรคอนุรักษ์นิยมที่ทำตัวเหินห่างจากลัทธิฟาสซิสต์(ผู้ก่อตั้งคือ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ Gianfranco Fini ได้ประกาศในช่วงการเยือนอิสราเอลอย่างเป็นทางการว่า ลัทธิฟาสซิสต์ "เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง")[175] พันธมิตรแห่งชาติ และพรรคนีโอฟาสซิสต์จำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันใน ค.ศ. 2009 เพื่อก่อตั้งพรรคประชาชนเสรีในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรี ซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี ซึ่งในที่สุดก็ถูกยุบไป ภายหลังจากพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2013 ใน ค.ศ. 2012 อดีตสมาชิกของพันธมิตรแห่งชาติหลายคนได้เข้าร่วมภราดรภาพแห่งอิตาลี
ภาพลักษณ์
[แก้]ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 การออกเสียงลงคะแนนที่ถูกจัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัย Demos & Pi พบว่า มีผู้สัมภาษณ์ทั้งหมด 1,014 คน ซึ่งมีจำนวน 19% ของผู้ลงคะแนนผ่างทางสเปกตัมทางการเมืองของอิตาลีนั้นมีความคิดเห็น"เชิงบวกหรือบวกอย่างมาก"ต่อมุสโสลินี 60% แสดงให้เห็นถึงการมองเขา"เชิงลบ" และ 21% ซึ่งไม่มีความคิดเห็นแต่อย่างใด[176]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
[แก้]- พ.ศ. 2470 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[177]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Hakim, Joy (1995). A History of Us: War, Peace and all that Jazz. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-509514-6.
- ↑ "BBC - History - Historic Figures: Benito Mussolini (1883-1945)". bbc.co.uk.
- ↑ "Mussolini founds the Fascist party – Mar 23, 1919". HISTORY.com.
- ↑ Anthony James Gregor (1979). Young Mussolini and the Intellectual Origins of Fascism. University of California Press. ISBN 978-0520037991.
- ↑ 5.0 5.1 Simonetta Falasca-Zamponi (1997). Fascist Spectacle: The Aesthetics of Power in Mussolini's Italy. U of California Press. p. 45.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Gregor 1979, p. 191.
- ↑ Haugen, pp. 9, 71
- ↑ MacGregor Knox. Mussolini unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. Edition of 1999. Cambridge, England, UK: Cambridge University Press, 1999. Pp. 122–123.
- ↑ MacGregor Knox. Mussolini unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. Edition of 1999. Cambridge, England, UK: Cambridge University Press, 1999. Pp. 122–127.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Moseley 2004.
- ↑ Viganò, Marino (2001), "Un'analisi accurata della presunta fuga in Svizzera", Nuova Storia Contemporanea (ภาษาอิตาลี), 3
- ↑ "1945: Italian partisans kill Mussolini". BBC News. 28 April 1945. สืบค้นเมื่อ 17 October 2011.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Charles F. Delzel, บ.ก. (1970). Mediterranean Fascism 1919–1945. Harper Rowe. p. 3.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 14.4 Gentile, Emilio (2012). "Mussolini, Benito". Dizionario Biografico degli Italiani (ภาษาอิตาลี). Vol. 77. Istituto dell'Enciclopedia Italiana.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 Collins, M. E.; Henry, Gráinne; Tonge, Stephen (2004). "Chapter 2". Living history 2: A Complete Course for Junior Certificate (New ed.). Dublin: Educational Company of Ireland. ISBN 978-1-84536-028-3.
- ↑ "Alessandro Mussolini 1854". GeneAll.net. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2019. สืบค้นเมื่อ 10 August 2014.
- ↑ De Felice, Renzo (1965). Mussolini. Il Rivoluzionario (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi. p. 11.
- ↑ Gregor 1979, p. 29.
- ↑ Gregor 1979, p. 31.
- ↑ 20.0 20.1 "Benito Mussolini". Grolier.com. 8 January 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2008.
- ↑ Georg Scheuer: Mussolinis langer Schatten. Marsch auf Rom im Nadelstreif. Köln 1996, S. 21.
- ↑ Denis Mack Smith, Mussolini; A biography (1982) pp. 9–13
- ↑ R.J.B. Bosworth, Mussolini (2002) pp. 55–68
- ↑ Margherita G. Sarfatti, The Life of Benito Mussolini p. 156
- ↑ taken from WorldCat's entry for this book's title.
- ↑ Charles F. Delzel, ed., Mediterranean Fascism 1919–1945 (1970) p. 3
- ↑ 27.0 27.1 27.2 27.3 Delzel, ed., Mediterranean Fascism 1919–1945 p. 4
- ↑ 28.0 28.1 28.2 28.3 28.4 28.5 Gunther, John (1940). Inside Europe. New York: Harper & Brothers. pp. 236–37, 239–41, 243, 245–49.
- ↑ Anthony James Gregor, Young Mussolini and the Intellectual Origins of Fascism, pp. 41–42
- ↑ Denis Mack Smith, Mussolini: A Biography, (1983), p. 7
- ↑ Bosworth, Mussolini (2002) p. 86
- ↑ 32.0 32.1 Golomb 2002, p. 249.
- ↑ Tucker 2005, p. 1001.
- ↑ Tucker 2005, p. 884.
- ↑ Tucker 2005, p. 335.
- ↑ Tucker 2005, p. 219.
- ↑ 37.0 37.1 Tucker 2005, p. 826.
- ↑ Tucker 2005, p. 209.
- ↑ 39.0 39.1 Gregor 1979, p. 189.
- ↑ Tucker 2005, p. 596.
- ↑ Emil Ludwig. Nine Etched from Life. Ayer Company Publishers, 1934 (original), 1969. p. 321.
- ↑ Mediterranean Fascism 1919–1945 Edited by Charles F. Delzel, Harper Rowe 1970, p. 6.
- ↑ Denis Mack Smith. 1997. Modern Italy: A Political History. Ann Arbor: The University of Michigan Press. p. 284.
- ↑ Gregor 1979, p. 200.
- ↑ Gregor 1979, pp. 191–92.
- ↑ 46.0 46.1 Gregor 1979, p. 192.
- ↑ Gregor 1979, p. 193.
- ↑ Gregor 1979, p. 195.
- ↑ Gregor 1979, pp. 193, 195.
- ↑ Gregor 1979, pp. 195–96.
- ↑ Gregor 1979, p. 196.
- ↑ 52.0 52.1 Schindler, John R. (2001). Isonzo: the Forgotten Sacrifice of the Great War. Westport, Conn.: Prager. pp. 88–89, 103, 200–201.
- ↑ 53.0 53.1 Mussolini: A Study in Power, Ivone Kirkpatrick, Hawthorne Books, 1964. ISBN 0-8371-8400-2
- ↑ 54.0 54.1 54.2 Owen, Richard (13 January 2005). "Power-mad Mussolini sacrificed wife and son". The Times. UK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2011. สืบค้นเมื่อ 14 May 2009.
- ↑ Sestani, Armando, บ.ก. (10 February 2012). "Il confine orientale: una terra, molti esodi" [The Eastern Border: One Land, Multiple Exoduses] (PDF). I profugi istriani, dalmati e fiumani a Lucca [The Istrian, Dalmatian and Rijeka Refugees in Lucca] (ภาษาอิตาลี). Instituto storico della Resistenca e dell'Età Contemporanea in Provincia di Lucca. pp. 12–13.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Pirjevec, Jože (2008). "The Strategy of the Occupiers" (PDF). Resistance, Suffering, Hope: The Slovene Partisan Movement 1941–1945. p. 27. ISBN 978-961-6681-02-5. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 April 2013. สืบค้นเมื่อ 30 October 2012.
- ↑ 57.0 57.1 57.2 Kallis 2002, p. 52.
- ↑ Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 21.
- ↑ Roland Sarti (8 January 2008). "Fascist Modernization in Italy: Traditional or Revolutionary". The American Historical Review. 75 (4): 1029–45. doi:10.2307/1852268. JSTOR 1852268.
- ↑ "Mussolini's Italy". Appstate.edu. 8 January 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 April 2008.
- ↑ Macdonald, Hamish (1999). Mussolini and Italian Fascism. Nelson Thornes. ISBN 978-0-7487-3386-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
- ↑ "Ha'aretz Newspaper, Israel, 'The Jewish Mother of Fascism". Haaretz. Israel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 June 2008. สืบค้นเมื่อ 13 March 2009.
- ↑ Lyttelton, Adrian (2009). The Seizure of Power: Fascism in Italy, 1919–1929. New York: Routledge. pp. 75–77. ISBN 978-0-415-55394-0.
- ↑ Boffa, Federico (1 February 2004). "Italy and the Antitrust Law: an Efficient Delay?" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 March 2009. สืบค้นเมื่อ 5 October 2008.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ Speech of 30 May 1924 เก็บถาวร 17 กุมภาพันธ์ 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน the last speech of Matteotti, from it.wikisource
- ↑ Paxton, Robert (2004). The Anatomy of Fascism. New York: Alfred A. Knopf. ISBN 978-1-4000-4094-0.
- ↑ Mussolini, Benito. "discorso sul delitto Matteotti". wikisource.it. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2013. สืบค้นเมื่อ 24 June 2013.
- ↑ Arrigo Petacco, L'uomo della provvidenza: Mussolini, ascesa e caduta di un mito, Milano, Mondadori, 2004, p. 190
- ↑ Göran Hägg: Mussolini, en studie i makt
- ↑ Italy, 24 May 1929: Fascist single list เก็บถาวร 29 มิถุนายน 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Direct Democracy (ในภาษาเยอรมัน)
- ↑ 71.0 71.1 71.2 Grand, Alexander de "Mussolini's Follies: Fascism in Its Imperial and Racist Phase, 1935–1940" pp. 127–47 from Contemporary European History, Volume 13, No. 2 May 2004 p. 131
- ↑ Ali Abdullatif Ahmida (2006). "When the Subaltern Speak: Memory of Genocide in Colonial Libya 1929 to 1933". Italian Studies. 61 (2): 175–190. doi:10.1179/007516306X142924. S2CID 161690236.
- ↑ Grand, Alexander de "Mussolini's Follies: Fascism in Its Imperial and Racist Phase, 1935–1940" pp. 127–47 from Contemporary European History, Volume 13, No. 2, May 2004, pp. 131–32.
- ↑ Grand, Alexander de "Mussolini's Follies: Fascism in Its Imperial and Racist Phase, 1935–1940" pp. 127–47 from Contemporary European History, Volume 13, No. 2 May 2004 p. 131.
- ↑ Robertson, Esmonde (1988). "Race as a Factor in Mussolini's Policy in Africa and Europe". Journal of Contemporary History. 23: 37–58. doi:10.1177/002200948802300103. S2CID 161818702.
- ↑ Clark, Martin, Modern Italy, Pearson Longman, 2008, p. 322
- ↑ Mussolini, Benito, The Doctrine of Fascism, CreateSpace Independent Publishing Platform, 2012, ISBN 978-1479216345, p. 21
- ↑ Carl F. Goerdeler (1 April 1938). "Do Government Price Controls Work?". Foreign Affairs. Council on Foreign Relations. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 November 2014. สืบค้นเมื่อ 10 August 2014.
When Italy depreciated the lira in 1936, Mussolini ruled that all prices had to remain as they were. However, in May 1937 he had to increase wages by 15 percent because retail prices had gone up as a result of the rise in the cost of imported commodities. Nature cannot be ordered to renounce her principles.
- ↑ 79.0 79.1 79.2 79.3 Cathcart, Brian (3 April 1994). "Rear Window: Making Italy work: Did Mussolini really get the trains running on time?". Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2016. สืบค้นเมื่อ 25 May 2019.
- ↑ Roberts, Kenneth L. (1924). Black magic: an account of its beneficial use in Italy, of its perversion in Bavaria, and of certain tendencies which might necessitate its study in America. The Bobbs-Merrill Company. p. 110. สืบค้นเมื่อ 25 May 2019.
- ↑ Mikkeson, David. "Mussolini and on-time trains". Snopes. สืบค้นเมื่อ 25 May 2019.
- ↑ 82.0 82.1 Dudley, David (15 November 2016). "The Problem with Mussolini and his Trains". Citylab. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2019. สืบค้นเมื่อ 25 May 2019.
- ↑ Falasca-Zamponi, Simonetta (2000). Fascist Spectacle: The Aesthetics of Power in Mussolini's Italy (1st pbk. ed.). Berkeley: University of California Press. p. 67. ISBN 978-0-520-22677-7.
- ↑ Bosworth, Mussolini pp. 58–59
- ↑ Ernst Nolte, Three Faces of Fascism: Action Française, Italian Fascism, National Socialism (1966) p. 200
- ↑ Fattorini, Emma (2011). Hitler, Mussolini and the Vatican: Pope Pius XI and the speech that was never made ([English edition] ed.). Cambridge: Polity Press. p. xi. ISBN 978-0-7456-4488-2.
- ↑ Comic escapes prosecution for insulting pope (Oddly Enough) Reuters เก็บถาวร 2013-11-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Friday 19 September 2008 1:15 pm EDT) By Phil Stewart
- ↑ Bencivenni, Marcella (2014). Italian Immigrant Radical Culture: The Idealism of the Sovversivi in the United States, 1890-1940. New York University Press. p. 198. ISBN 9781479849024. สืบค้นเมื่อ 25 November 2021.
- ↑ Burgwyn, H. James (2012). Mussolini Warlord: Failed Dreams of Empire, 1940–1943. New York: Enigma Books. p. 7. ISBN 978-1-936274-29-1.
- ↑ Townley, Edward (2002). Mussolini and Italy. Oxford: Heinemann Educational. p. 173. ISBN 978-0-435-32725-5.
- ↑ Kallis, Aristotle Fascist Ideology, London: Routledge, 2000 pp. 129 & 141
- ↑ Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 27.
- ↑ Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 26.
- ↑ 94.0 94.1 94.2 94.3 94.4 94.5 94.6 Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 193.
- ↑ 95.0 95.1 95.2 Kallis, Aristotle Fascist Ideology, London: Routledge, 2000 p. 124.
- ↑ 96.0 96.1 "Ethiopia 1935–36". icrc.org. 8 January 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2006.
- ↑ Brecher, Michael and Jonathan Wilkenfeld. Study of Crisis. University of Michigan Press, 1997. p. 109.
- ↑ John Whittam. Fascist Italy. Manchester, England; New York: Manchester University Press. p. 165.
- ↑ Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 188.
- ↑ 100.0 100.1 100.2 100.3 Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 22.
- ↑ 101.0 101.1 Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 23.
- ↑ 102.0 102.1 102.2 Cassels, Alan "Mussolini and the Myth of Rome" pp. 57–74 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 63.
- ↑ 103.0 103.1 103.2 103.3 103.4 103.5 103.6 Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 187.
- ↑ Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 pp. 187–88.
- ↑ Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 189.
- ↑ Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 pp. 189–90.
- ↑ Sullivan, Barry "More than meets the eye: the Ethiopian War and the Origins of the Second World War" pp. 178–203 from The Origins of the Second World War Reconsidered: A.J.P. Taylor and the Historians, London: Routledge, 1999 p. 182.
- ↑ 108.0 108.1 Stang 1999, p. 172.
- ↑ Stang 1999, pp. 172–74.
- ↑ Strang, Bruce On the Fiery March, New York: Praeger, 2003 p. 47.
- ↑ 111.0 111.1 111.2 Kallis 2002, p. 97.
- ↑ "The Italo-German Alliance, May 22, 1939". astro.temple.edu. 8 January 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2011. สืบค้นเมื่อ 5 April 2008.
- ↑ "Victor Emanuel III". 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2011. สืบค้นเมื่อ 24 August 2017.
- ↑ 114.0 114.1 114.2 114.3 114.4 Knox, MacGregor (1986). Mussolini Unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-33835-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
- ↑ Sonderaktion Krakau, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2019, สืบค้นเมื่อ 9 February 2017
- ↑ Walker, Ian W. (2003). Iron Hulls, Iron Hearts: Mussolini's Elite Armoured Divisions in North Africa. Ramsbury: The Crowood Press. ISBN 1-86126-646-4. p.19
- ↑ "Mussolini: Speech of the 10 June 1940, Declaration of War on France and England". 19 September 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2018. สืบค้นเมื่อ 10 May 2019.
- ↑ "Italy Declares War". ThinkQuest.org. 8 January 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 December 2007.
- ↑ Samson, Anne (1967). Britain, South Africa and East African Campaign: International Library of Colonial History. I.B. Tauris & Co Ltd. ISBN 978-0-415-26597-3.
- ↑ "1940 World War II Timeline". WorldWarIIHistory.info. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2008. สืบค้นเมื่อ 6 April 2008.
- ↑ Mollo, Andrew (1987). The Armed Forces of World War II. I.B. Tauris & Co Ltd. ISBN 978-0-517-54478-5.
- ↑ Delve, Ken Delve (31 March 2017). The Desert Air Force in World War II: Air Power in the Western Desert, 1940-1942. ISBN 9781526703798. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
- ↑ "World War II: Operation Compass". About.com. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 April 2008. สืบค้นเมื่อ 6 April 2008.
- ↑ "Speech Delivered by Premier Benito Mussolini". IlBiblio.org. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2008. สืบค้นเมื่อ 3 May 2008.
- ↑ Tommaso Di Francesco, Giacomo Scotti (1999) Sixty years of ethnic cleansing เก็บถาวร 5 ตุลาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Le Monde Diplomatique, May Issue.
- ↑ Weinberg 2005, p. 276.
- ↑ Marino, James I. (5 December 2016). "Italians on the Eastern Front: From Barbarossa to Stalingrad" เก็บถาวร 20 กันยายน 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Warfare History Network. Retrieved 17 November 2018.
- ↑ Weinberg 2005, pp. 276–77.
- ↑ 129.0 129.1 Weinberg 2005, p. 277.
- ↑ MacGregor Knox. Mussolini Unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. Edition of 1999. Cambridge: Cambridge University Press, 1999. pp. 122–27.
- ↑ "1941: Germany and Italy declare war on US". BBC News. 11 December 1941. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2019. สืบค้นเมื่อ 10 November 2013.
- ↑ __. Trial of German Major War Criminals. Vol. 3. p. 398.
{{cite book}}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์) - ↑ MacGregor Knox. Mussolini Unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. Edition of 1999. Cambridge: Cambridge University Press, 1999. pp. 122–23.
- ↑ 134.0 134.1 134.2 134.3 134.4 134.5 Whittam, John (2005). Fascist Italy. Manchester University Press. ISBN 978-0-7190-4004-7. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
{{cite book}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "Modern era". BestofSicily.com. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2019. สืบค้นเมื่อ 28 April 2008.
- ↑ 136.0 136.1 Shirer, William (1960). The Rise and Fall of the Third Reich. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-0-671-72868-7.
- ↑ 137.0 137.1 Payne, Stanley G. (1996). A History of Fascism, 1914-1945. Routledge. ISBN 0203501322.
- ↑ 138.0 138.1 Annussek, Greg (2005). Hitler's Raid to Save Mussolini. Da Capo Press. ISBN 978-0-306-81396-2.
- ↑ Moseley(2004), p. 23
- ↑ 140.0 140.1 Moseley, Ray (2004). Mussolini: The Last 600 Days of Il Duce. Taylor Trade. ISBN 978-1-58979-095-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
- ↑ Moseley (2004), p. 26.
- ↑ "The twilight of Italian fascism". EnterStageRight.com. 8 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2008. สืบค้นเมื่อ 20 August 2008.
- ↑ Time, 7 May 1945
- ↑ Video: Beaten Nazis Sign Historic Surrender, 1945/05/14 (1945). Universal Newsreel. 1945. สืบค้นเมื่อ 20 February 2012.
- ↑ Quoted in Mussolini: A New Life, p. 276 by Nicholas Burgess Farrell. 2004
- ↑ เบนิโต มุสโสลินี ที่ไฟน์อะเกรฟ
- ↑ Peter York (2006). Dictator Style. San Francisco: Chronicle Books. pp. 17–18. ISBN 978-0-8118-5314-9.
- ↑ Baigorri-Jalón, Jesús. From Paris to Nuremberg: The birth of conference interpreting. Vol. 111. John Benjamins Publishing Company, 2014, pp.167-168
- ↑ 149.0 149.1 D.M. Smith 1982, p. 1
- ↑ 150.0 150.1 D.M. Smith 1982, p. 8
- ↑ D.M. Smith 1982, pp. 2–3
- ↑ Jesse Greenspan (25 October 2012). "9 Things You May Not Know About Mussolini". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2018. สืบค้นเมื่อ 28 November 2015.
- ↑ 153.0 153.1 D.M. Smith 1982, p. 12
- ↑ Peter Neville. Mussolini. Oxon, UK; New York: Routledge, 2005. p. 176.
- ↑ 155.0 155.1 D.M. Smith 1982, p. 15
- ↑ Rachele Mussolini 1974, p. 129
- ↑ 157.0 157.1 157.2 157.3 157.4 157.5 157.6 D.M. Smith 1982, pp. 162–63
- ↑ Roberts, Jeremy (2006). Benito Mussolini. Minneapolis, MN: Twenty-First Century Books, p. 60.
- ↑ Peter Neville (2004). Mussolini. Psychology Press. p. 84. ISBN 978-0-415-24989-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2015. สืบค้นเมื่อ 13 August 2015.
- ↑ Edward Townley (2002). Mussolini and Italy. Heinemann. pp. 49–. ISBN 978-0-435-32725-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 October 2015. สืบค้นเมื่อ 13 August 2015.
- ↑ Peter Neville (2004). Mussolini. Psychology Press. p. 84. ISBN 978-0-415-24989-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2015. สืบค้นเมื่อ 13 August 2015.
- ↑ Edward Townley (2002). Mussolini and Italy. Heinemann. pp. 49–. ISBN 978-0-435-32725-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 October 2015. สืบค้นเมื่อ 13 August 2015.
- ↑ D.M. Smith 1982, pp. 222–23
- ↑ 164.0 164.1 D.M. Smith 1982, p. 311
- ↑ Rachele Mussolini 1974, p. 131
- ↑ Rachele Mussolini 1974, p. 135
- ↑ Neocleous, Mark. Fascism. Minneapolis: University of Minnesota Press, 1997. p. 35.
- ↑ Joshua D. Zimmerman (2005). Jews in Italy Under Fascist and Nazi Rule, 1922–1945. Cambridge University Press. p. 62. ISBN 978-0-521-84101-6.
- ↑ Zimmerman, p. 62
- ↑ Christopher Hibbert, Benito Mussolini (1975), p. 99
- ↑ 171.0 171.1 Zimmerman, p. 160
- ↑ Zimmerman, pp. 26–27
- ↑ Kaplan, 2005, p. 154.
- ↑ Peter Egill Brownfeld (Fall 2003). "The Italian Holocaust: The Story of an Assimilated Jewish Community". The American Council for Judaism. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2012. สืบค้นเมื่อ 23 March 2011.
Ovazza started a Jewish fascist newspaper, "La Nostra Bandiera" (Our Flag) in an effort to show that the Jews were among the regime's most loyal followers.
- ↑ "Former fascists seek respectability". The Economist. 4 December 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 January 2014. สืบค้นเมื่อ 7 April 2014.
- ↑ "Italy goes to the polls in the shadow of Mussolini". The Herald. 4 March 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 16 September 2020.
- ↑ ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Bosworth, R.J.B. (2002). Mussolini. London, Hodder.
- Bosworth, R.J.B. (2006). Mussolini's Italy: Life Under the Dictatorship 1915–1945. London, Allen Lane.
- Caprotti, Federico (2007). Mussolini's Cities: Internal Colonialism in Italy, 1930–1939, Cambria Press.
- Celli, Carlo (2013). Economic Fascism: Primary Sources on Mussolini's Crony Capitalism. Axios Press.
- Corvaja, Santi (2001). Hitler and Mussolini: The Secret Meetings. Enigma. ISBN 1-929631-00-6
- Daldin, Rudolph S. The Last Centurion. http://www.benito-mussolini.com เก็บถาวร 23 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ISBN 0-921447-34-5
- De Felice, Renzo (1965). Mussolini. Il Rivoluzionario,1883–1920 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1966). Mussolini. Il Fascista. 1: La conquista del potere, 1920–1925 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1969). Mussolini. Il Fascista. 2: L'organizzazione dello Stato fascista, 1925–1929 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1974). Mussolini. Il Duce. 1: Gli anni del consenso, 1929–1936 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1981). Mussolini. Il Duce. 2: Lo stato totalitario, 1936–1940 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1990). Mussolini. L'Alleato, 1940–1942. 1: L'Italia in guerra I. Dalla "guerra breve" alla guerra lunga (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1990). Mussolini. L'Alleato. 1: L'Italia in guerra II: Crisi e agonia del regime (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- De Felice, Renzo (1997). Mussolini. L'Alleato. 2: La guerra civile, 1943–1945 (ภาษาอิตาลี) (1 ed.). Torino: Einaudi.
- Farrell, Nicholas (2003). Mussolini: A New Life. London: Phoenix Press, ISBN 1-84212-123-5.
- Garibaldi, Luciano (2004). Mussolini: The Secrets of his Death. Enigma. ISBN 1-929631-23-5
- Golomb, Jacob; Wistrich, Robert S. (2002). Nietzsche, Godfather of Fascism?: On the Uses and Abuses of a Philosophy. Princeton, New Jersey: Princeton University Press.
- Gregor, Anthony James (1979). Young Mussolini and the Intellectual Origins of Fascism. Berkeley and Los Angeles, California; London, England: University of California Press. ISBN 978-0520037991.
- Hibbert, Christopher. Il Duce.
- Haugen, Brenda (2007). Benito Mussolini: Fascist Italian Dictator. Minneapolis, MN: Compass Point Books. ISBN 978-0-7565-1988-9.
- Kallis, Aristotle (2000). Fascist Ideology. London: Routledge.
- Kroener, Bernhard R.; Muller, Rolf-Dieter; Umbreit, Hans (2003). Germany and the Second World War Organization and Mobilization in the German Sphere of Power. Vol. VII. New York: Oxford University Press, Inc. ISBN 978-0-19-820873-0.
- Lowe, Norman. Italy, "1918–1945: the first appearance of fascism" in Mastering Modern World History.
- Morris, Terry; Murphy, Derrick. Europe 1870–1991.
- Moseley, Ray (2004). Mussolini: The Last 600 Days of Il Duce. Dallas: Taylor Trade Publishing.
- Mussolini, Rachele (1977) [1974]. Mussolini: An Intimate Biography. Pocket Books. Originally published by William Morrow, ISBN 0-671-81272-6, LCCN 74-1129
- O'Brien, Paul (2004). Mussolini in the First World War: The Journalist, the Soldier, the Fascist. Oxford: Berg Publishers.
- Painter, Jr., Borden W. (2005). Mussolini's Rome: Rebuilding the Eternal City.
- Passannanti, Erminia, Mussolini nel cinema italiano Passione, potere egemonico e censura della memoria. Un'analisi metastorica del film di Marco Bellocchio Vincere!, 2013. ISBN 978-1-4927-3723-0
- Petacco, Arrigo, ed. (1998). L'archivio segreto di Mussolini. Mondadori. ISBN 88-04-44914-4.
- Smith, Denis Mack (1982). Mussolini: A Biography, Borzoi Book published by Alfred A. Knopf, Inc. ISBN 0-394-50694-4.
- Sternhell, Zeev; Sznajder, Mario; Asheri, Maia (1994). The Birth of Fascist Ideology: From Cultural Rebellion to Political Revolution. Princeton, NJ: Princeton University Press. ISBN 978-0-691-04486-6.
- Stang, G. Bruce (1999). "War and peace: Mussolini's road to Munich". ใน Lukes, Igor; Goldstein, Erik (บ.ก.). The Munich Crisis 1938: Prelude to World War II. London: Frank Cass. pp. 160–90.
- Tucker, Spencer (2005). Encyclopedia of World War I: A Political, Social, and Military History. Santa Barbara, California: ABC-CLIO.
- Weinberg, Gerhard (2005). A World in Arms. Cambridge: Cambridge University Press.
- Zuccotti, Susan (1987). Italians and the Holocaust Basic Books, Inc.
ประวัติศาสตร์นิพนธ์
[แก้]- O'Brien, Paul. 2004. Mussolini in the First World War: The Journalist, the Soldier, the Fascist. O'Brien evaluates the biographies in Italian and English in the Introduction, which is online at Amazon.com
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Hibbert, Christopher. Benito Mussolini, a Biography. (London: Reprint Society, [1962) p., ill. with b&w photos. online
- Kirkpatrick, Ivone, Sir. Mussolini, a study in power (1964) online
- Ridley, Jasper. Mussolini: A Biography (1998) online
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Did Mussolini really make the trains run on time?
- Benito Mussolini Speeches
- ผลงานเกี่ยวกับ/โดย เบนิโต มุสโสลินี ที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- ผลงานโดย เบนิโต มุสโสลินี บนเว็บ LibriVox (หนังสือเสียง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ)
- Il Duce 'sought Hitler ban' September 2003 BBC News
- Authorized translation of Mussolini's The Political and Social Doctrine of Fascism (1933)
- Maximilian Schönherr - Archiv Mussolini shaking hands with King George V. of the United Kingdom, 1923, The Illustrated London News
- Mussolini's Piazza Augusto Imperatore
- "Islam, Duce, and Duke". Time. 5 April 1937. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 May 2011. สืบค้นเมื่อ 19 August 2009.
- "Death in Milan". Time. 7 May 1945. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2010. สืบค้นเมื่อ 20 August 2009.
- References to Mussolini in European newspapers – The European Library
- เบนิโต มุสโสลินี ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- กฤตภาคจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ เบนิโต มุสโสลินี ในหอจดหมายเหตุข่าวสารคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของ ZBW
ก่อนหน้า | เบนิโต มุสโสลินี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
หลุยจี ฟาคตา | นายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลี (1922 – 1943) |
ปีเอโตร บาโดลโย | ||
คาร์โล ชานเซอร์ | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี (1922 – 1929) |
ดีโน กรันดี | ||
ดีโน กรันดี | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี (1932 – 1936) |
กาลีซโซ ชิอานี | ||
กาลีซโซ ชิอานี | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี (1943) |
ราฟฟาเอเล กัวรียา | ||
เปาลีโน ทาดเดอี | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี (1922 – 1924) |
หลุยจี เฟแดร์ซอนี | ||
หลุยจี เฟแดร์ซอนี | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี (1926 – 1943) |
บรูโน ฟอร์นาชารี | ||
ตำแหน่งตั้งขึ้นใหม่ | ประมุขแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี (1943 – 1945) |
ตำแหน่งถูกยกเลิก | ||
ตำแหน่งตั้งขึ้นใหม่ | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี (1943 – 1945) |
ตำแหน่งถูกยกเลิก |
- บทความที่มีลิงก์เสียตั้งแต่July 2017
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่January 2019
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่November 2018
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่June 2016
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2426
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2488
- เบนิโต มุสโสลินี
- ผู้นำสูงสุด
- นายกรัฐมนตรีอิตาลี
- จอมพลชาวอิตาลี
- นายพลในสงครามโลกครั้งที่สอง
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี
- ฟาสซิสต์อิตาลี (ค.ศ. 1922–1943)
- ชาวอิตาลีที่ถูกประหารชีวิต
- ผู้ถูกประหารชีวิตด้วยอาวุธปืน
- บุคคลจากแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา
- ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร
- ผู้นำที่พ้นตำแหน่งจากรัฐประหาร
- ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
- นักลัทธิฟาสซิสต์
- ทหารชาวอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- อิตาลีในสงครามโลกครั้งที่สอง