สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์
สมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1806–ค.ศ. 1813 | |||||||||
![]() สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ในปี ค.ศ. 1812 | |||||||||
สถานะ | รัฐบริวารของฝรั่งเศส | ||||||||
เมืองหลวง | แฟรงก์เฟิร์ต | ||||||||
ศาสนา | คาทอลิก โปรเตสแตนต์ | ||||||||
การปกครอง | สมาพันธรัฐฝรั่งเศส รัฐบริวาร | ||||||||
ผู้อารักขา | |||||||||
• ค.ศ. 1806-1813 | นโปเลียนที่ 1 | ||||||||
เจ้าชาย-ไพรเมต | |||||||||
• ค.ศ. 1806-1813 | คาร์ล เทโอดอร์ ฟอน ดัลแบร์ก | ||||||||
• ค.ศ. 1813 | เออแฌน เดอ โบอาร์เนส์ | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สงครามนโปเลียน | ||||||||
• ก่อตั้ง | 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | ||||||||
• จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย | 6 สิงหาคม ค.ศ. 1806 | ||||||||
• สลายตัว | 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1813 | ||||||||
|
สมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์[1] หรือ สมาพันธรัฐแม่น้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbund; ฝรั่งเศส: États confédérés du Rhin (ชื่ออย่างเป็นทางการ) Confédération du Rhin (ชื่อในทางพฤตินัย)) เป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ก่อตั้งจากรัฐเยอรมันทั้ง 16 รัฐ โดยจักรพรรดินโปเลียนหลังจากรบชนะจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซียในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ การลงนามในสนธิสัญญาเพรซเบิร์กได้นำไปสู่การก่อตั้งสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1806 ถึงปี ค.ศ. 1813
สมาชิกของสมาพันธ์คือเจ้าผู้ครองนครรัฐเยอรมัน (Fürsten) ในความปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ 16 รัฐ ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว เจ้าเหล่านี้ล้วนมิใช่ประมุขของรัฐซึ่งตนเองปกครองอยู่ ภายหลังได้มีรัฐอื่นอีก 19 รัฐเข้าร่วมในสมาพันธรัฐ ทำให้เมื่อรวมกันแล้วทำให้มีประชากรภายใต้การปกครองมากกว่า 15 ล้านคน ก่อให้เกิดผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์อย่างมากต่อจักรวรรดิฝรั่งเศสในแนวรบด้านตะวันออก
การก่อตั้ง
[แก้]บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
---|
ประวัติศาสตร์เยอรมนี |
![]() |
ในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 นครรัฐ 16 รัฐ ซึ่งรวมกันเป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ได้ลงนามในสนธิสัญญาสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbundakte) เพื่อแยกตัวจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐในชื่อ "สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์" (états confédérés du Rhin) โดยอิงตามชื่อของกลุ่มรัฐเยอรมันในยุคก่อนหน้าที่เรียกว่า "สันนิบาตแห่งแม่น้ำไรน์" มีจักรพรรดินโปเลียนเป็นดำรงตำแหน่ง "ผู้อารักขา" แห่งสมาพันธรัฐ หลังจากนั้นในวันที่ 6 สิงหาคม ด้วยการยื่นคำขาดของนโปเลียน จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จึงได้สละตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และประกาศล้มเลิกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ บรรดารัฐเยอรมันมากกว่า 23 รัฐก็เข้าร่วมสมาพันธรัฐ โดยราชวงศ์ฮับส์บูร์กของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จะปกครองส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิในชื่อจักรวรรดิออสเตรีย มีเฉพาะออสเตรีย ปรัสเซีย ฮ็อลชไตน์ส่วนที่เป็นของเดนมาร์ก และปอมเมอเรเนียของสวีเดนเท่านั้นที่อยู่นอกสมาพันธรัฐ ไม่นับรวมดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และราชรัฐเออร์เฟิร์ตซึ่งถูกยึดครองโดยจักรวรรดิฝรั่งเศส
ตามสนธิสัญญาดังกล่าว สมาพันธรัฐจะดำเนินการโดยผู้แทนร่วมตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐใหญ่ ต่างก็ต้องการมีอำนาจอธิปไตยอย่างไม่จำกัด
สมาพันธรัฐนี้มิได้มีประมุขเป็นกษัตริย์ตามอย่างที่เคยใช้ในจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตำแหน่งสูงสุดในสมาพันธรัฐนี้เป็นของคาร์ล เทโอดอร์ ฟอน ดัลแบร์ก อดีตอัครมหาเสนาบดีผู้ที่เบื่อตำแหน่งเจ้าชาย-ไพรเมตของสมาพันธรัฐ ในฐานะดังกล่าวเขาเป็นประธานของคณะพระมหากษัตริย์ (College of Kings) และมีอำนาจเหนือ สภานิติบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐ (Diet of the Confederation) ซึ่งมีลักษณะองค์กรคล้ายกับรัฐสภา (Parliament) อย่างไรก็ตาม องค์กรดังกล่าวนี้ไม่เคยมีการประชุมแต่อย่างไร ส่วนประธานสภาของเจ้าผู้ครองนครคือเจ้าชายแห่งนัสเซา-อูซินเงน
ในความเป็นจริงแล้ว สมาพันธรัฐมีสถานะเป็นพันธมิตรทางการทหาร กล่าวคือ รัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐจะต้องส่งกำลังทหารสนับสนุนจำนวนมากให้แก่ฝรั่งเศส โดยที่ผู้ปกครองรัฐจะได้รับการยกสถานะดินแดนของตนขึ้นเป็นการตอบแทน เช่น บาเดิน (ปัจจุบันดินแดนส่วนตะวันตกอยู่ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค) เฮ็สเซิน คลีฟส์ (Cleves) และเบิร์ก (ทั้งสองแห่งปัจจุบันอยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน) ได้ยกฐานะขึ้นเป็นแกรนด์ดัชชี ส่วนเวือร์ทเทิมแบร์คและบาวาเรีย ได้ยกฐานะขึ้นเป็นราชอาณาจักร นอกจากนี้บางรัฐยังมีอาณาเขตเพิ่มมากขึ้นโดยได้รับเอา "Kleinstaaten" หรือรัฐขนาดเล็กหลาย ๆ แห่งที่เคยเป็นสมาชิกของจักรวรรดิมาควบรวมเข้าไป
หลังปรัสเซียพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1806 รัฐขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากก็เข้าร่วมกับสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ โดยมีการขยายตัวมากที่สุดในปี ค.ศ. 1808 ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร 5 แกรนด์ดัชชี 13 ดัชชี 17 พรินซิพาลิตี และนครรัฐอิสระฮันเซียติค ได้แก่ เมืองฮัมบวร์ค ลือเบค และ เบรเมิน
ในปี ค.ศ. 1810 ส่วนใหญ่ของเยอรมนีตะวันออกเฉียงเหนือก็รวมเข้ากับจักรวรรดินโปเลียนอย่างเร่งด่วน ตามคำสั่งการห้ามค้าขายระหว่างประเทศกับสหราชอาณาจักร ตามนโยบายการปิดล้อมภาคพื้นทวีป ซึ่งบังคับให้ชาวยุโรปค้าขายกันเองโดยไม่ต้องพึ่งอังกฤษ
สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ล่มสลายในปี ค.ศ. 1813 อันเนื่องมาจากการที่จักรพรรดินโปเลียนพ่ายสงครามแก่จักรวรรดิรัสเซีย สมาชิกจำนวนมากย้ายฝ่ายหลังจากสิ้นสุดยุทธการที่ไลพ์ซิก เมื่อการณ์ปรากฏชัดว่าจักรพรรดินโปเลียนจะแพ้ในสงครามประสานมิตรครั้งที่หก อย่างแน่นอนแล้ว
ประเภทของรัฐภายในสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์
[แก้]อิทธิพลของฝรั่งเศสและระดับของเอกราชภายในสมาพันธรัฐมีความแตกต่างกันอย่างมากตลอดช่วงเวลาที่สมาพันธรัฐดำรงอยู่ นอกจากนี้ อำนาจและอิทธิพลของแต่ละรัฐก็มีความแตกต่างกันอย่างมากเช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:
กลุ่มแรก: "รัฐต้นแบบ" (Model States) รัฐเหล่านี้ส่วนใหญ่ปกครองโดยญาติของนโปเลียน ได้แก่
- ราชอาณาจักรเว็สท์ฟาเลิน[2] ปกครองโดย เฌโรม โบนาปาร์ต
- แกรนด์ดัชชีแบร์ค ในช่วงแรกปกครองโดย ฌออากีม มูว์รา ก่อนที่เขาจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งนาโปลีในปีค.ศ. 1808 และต่อมานโปเลียนเป็นผู้ปกครองโดยตรง
- แกรนด์ดัชชีแฟรงก์เฟิร์ต ปกครองโดยราชวงศ์ดาลแบร์ค จนถึงปีค.ศ. 1813
รัฐต้นแบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่รัฐอื่น ๆ ภายในสมาพันธรัฐ ผ่านนโยบายทางกฎหมายและสังคม เช่น ประมวลกฎหมายนโปเลียนอย่างไรก็ตาม เนื่องจากการล่มสลายของอำนาจของนโปเลียน รัฐเหล่านี้จึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
กลุ่มที่สอง: รัฐปฏิรูป (Reform States)
[แก้]รัฐเหล่านี้ประกอบด้วย บาวาเรีย, ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค, บาเดิน, แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน-ดาร์มชตัดท์ รัฐเหล่านี้ไม่ได้เป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศสโดยตรง แต่เป็นพันธมิตรที่แท้จริงของนโปเลียน แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากแบบแผนของฝรั่งเศส แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายของตนเองในหลายด้าน นักประวัติศาสตร์ โลธาร์ กัลล์ (Lothar Gall) ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ปกครองของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ได้กลายเป็นนักปฏิวัติโดยอิทธิพลของนโปเลียนเอง การต่อต้านจักรพรรดิย่อมหมายถึงการละทิ้งอำนาจที่เขามอบให้ "นโปเลียนไม่ได้สร้างรัฐบริวารที่ไร้อำนาจทางการเมืองและต้องเชื่อฟังเพราะถูกบังคับด้วยกำลัง แต่พระองค์สร้างพันธมิตรที่แท้จริง ซึ่งดำเนินตามเหตุผลทางรัฐศาสตร์ที่เข้าใจได้ดี"[3]
กลุ่มที่สาม: รัฐที่เข้าร่วมหลังปีค.ศ. 1806
[แก้]กลุ่มนี้ประกอบด้วยรัฐขนาดเล็กจำนวนมากในเยอรมันตอนเหนือและตอนกลาง ยกเว้นซัคเซิน โดยการเปลี่ยนแปลงภายในรัฐเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อย[4] การปฏิรูปยังคงจำกัดอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างรัฐเหล่านี้
- ใน เมคเลินบวร์คและซัคเซิน โครงสร้างทางการเมืองและสังคมดั้งเดิมแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย
- ใน ดัชชีนัสเซา (Duchy of Nassau) กลับตรงกันข้าม รัฐมนตรีเอิร์นสต์ ฟรานซ์ ลุดวิก มาร์แชล ฟอน บีเบอร์สไตน์ (Ernst Franz Ludwig Marshal von Bieberstein) ได้นำการปฏิรูประบบบริหารอย่างปานกลาง และส่งเสริมการยอมรับความต่างทางศาสนา
รัฐที่เป็นสมาชิก
[แก้]ตารางต่อไปนี้แสดงรายนามรัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐและวันที่เข้าร่วม พร้อมทั้งจำนวนกำลังทหารในความปกครอง (แสดงด้วยตัวเลขในวงเล็บ)[5]
คณะพระมหากษัตริย์
[แก้]ร้ฐสมาชิก | เข้าร่วมเมื่อ | หมายเหตุ |
---|---|---|
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นแคว้นชายแดนมาร์เกรฟผู้คัดเลือก (8,000) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นดัชชีผู้คัดเลือก (30,000) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; รวมทั้งดัชชีเคลเวอ เดิมทั้งคู่เป็นดัชชี (5,000) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นเคาน์ตี (4,000) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เป็นรัฐร่วมประมุขกับ ![]() ![]() |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | เดิมเป็นดัชชีผู้คัดเลือก (20,000) |
![]() |
15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1807 | จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงตั้งขึ้นใหม่ (25,000) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นดัชชี (12,000) |
![]() |
23 กันยายน ค.ศ. 1806 | จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงตั้งขึ้นใหม่ (2,000) |
คณะเจ้าชาย
[แก้]รัฐสมาชิก | เข้าร่วมเมื่อ | หมายเหตุ |
---|---|---|
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (240) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (350) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (210) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; ถูกผนวกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ส. 1810 (379) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (97) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (193) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (291) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นแคว้นกราฟ (29) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (40) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (500) |
![]() |
22 มีนาคม ค.ศ. 1808 | (1,900) |
![]() |
18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1808 | (400) |
![]() |
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806* | รวม ![]() ![]() |
![]() |
14 ตุลาคม ค.ศ. 1808 | ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศษเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1810 (800) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (100) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (117) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (108) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (125) |
![]() |
25 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 | รวม ![]() ![]() |
![]() |
15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 | (400) |
![]() |
15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 | (1,100) |
![]() |
15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 | (200) |
![]() |
15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 | (300) |
![]() |
15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 | (800) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (150) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (325) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (325) |
![]() |
11 เมษายน ค.ศ. 1807 | (400) |
เหตุการณ์ในช่วงหลัง
[แก้]ฝ่ายสหสัมพันธมิตรที่ต่อต้านนโปเลียนได้ประกาศยุบสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1813 ต่อมาหลังยุบสมาพันธรัฐ มีความพยายามที่จะรวมชาติเยอรมนีอีกครั้ง คือ สภาบริหารกลาง (เยอรมัน: Zentralverwaltungsrat) โดยประธานสภาได้แก่ ไฮน์ริช ฟรีดริช คาร์ล ไรช์สไฟรเฮอร์ ฟอม อุนด์ ซุม สไตน์ (ค.ศ. 1757 – 1831) ซึ่งต่อมาสภานี้ก็ได้ถูกยุบในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1815 และสนธิสัญญาปารีสได้ประกาศให้บรรดารัฐเยอรมันได้รับเอกราชในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1814
ในปี ค.ศ. 1815 ที่การประชุมใหญ่แห่งเวียนนาได้ปรับเปลี่ยนแผนที่การเมืองของทวีปยุโรปขึ้นใหม่ โดยการยุบอาณาจักรที่นโปเลียนสร้างขึ้น เช่น ราชอาณาจักรเว็สท์ฟาเลิน, แกรนด์ดัชชีแบร์ค, และ แกรนด์ดัชชีเวือทซ์บวร์ค นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นฟูรัฐที่เคยถูกผนวก เช่น ฮันโนเฟอร์, ดัชชีเบราน์ชไวค์, เฮ็สเซิน-คัสเซิล, และ อ็อลเดินบวร์ค อย่างไรก็ตาม รัฐส่วนใหญ่ของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีกลางและตอนใต้ ยังคงอยู่รอดโดยมีการเปลี่ยนแปลงพรมแดนเพียงเล็กน้อย พวกเขาได้ร่วมมือกับรัฐที่ได้รับการฟื้นฟู รวมถึงปรัสเซียและออสเตรีย ในการก่อตั้ง สมาพันธรัฐเยอรมัน[6]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 209
- ↑ Berding, Helmut (1973-04-23). Napoleonische Herrschafts- und Gesellschaftspolitik im Königreich Westfalen 1807-1813. Göttingen: Vandenhoeck & Ruprecht. ISBN 978-3-525-35958-7.
- ↑ "I. Liberalismus als Partei", Freiheitskämpfe, De Gruyter, pp. 9–78, 1913-12-31, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
- ↑ Brophy, James M.; Siemann, Wolfram (1998-02). "Vom Staatenbund zum Nationalstaat. Deutschland 1806-1871". German Studies Review. 21 (1): 138. doi:10.2307/1432411. ISSN 0149-7952.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Creation of the Confederation of the Rhine, 12 July, 1806". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-29. สืบค้นเมื่อ 2009-09-26.
- ↑ Brophy, James M.; Siemann, Wolfram (1998-02). "Vom Staatenbund zum Nationalstaat. Deutschland 1806-1871". German Studies Review. 21 (1): 138. doi:10.2307/1432411. ISSN 0149-7952.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)