ข้ามไปเนื้อหา

สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์

Rheinische Bundesstaaten (เยอรมัน)
États confédérés du Rhin (ฝรั่งเศส)
ค.ศ. 1806–ค.ศ. 1813
ของสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์
ตราแผ่นดิน
สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ในปี ค.ศ. 1812
สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ในปี ค.ศ. 1812
สถานะรัฐบริวารของฝรั่งเศส
เมืองหลวงแฟรงก์เฟิร์ต
ศาสนา
คาทอลิก โปรเตสแตนต์
การปกครองสมาพันธรัฐฝรั่งเศส รัฐบริวาร
ผู้อารักขา 
• ค.ศ. 1806-1813
นโปเลียนที่ 1
เจ้าชาย-ไพรเมต 
• ค.ศ. 1806-1813
คาร์ล เทโอดอร์ ฟอน ดัลแบร์ก
• ค.ศ. 1813
เออแฌน เดอ โบอาร์เนส์
ยุคประวัติศาสตร์สงครามนโปเลียน
12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806
6 สิงหาคม ค.ศ. 1806
4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1813
ก่อนหน้า
ถัดไป
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
สมาพันธรัฐเยอรมัน

สมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์[1] หรือ สมาพันธรัฐแม่น้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbund; ฝรั่งเศส: États confédérés du Rhin (ชื่ออย่างเป็นทางการ) Confédération du Rhin (ชื่อในทางพฤตินัย)) เป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ก่อตั้งจากรัฐเยอรมันทั้ง 16 รัฐ โดยจักรพรรดินโปเลียนหลังจากรบชนะจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซียในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ การลงนามในสนธิสัญญาเพรซเบิร์กได้นำไปสู่การก่อตั้งสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1806 ถึงปี ค.ศ. 1813

สมาชิกของสมาพันธ์คือเจ้าผู้ครองนครรัฐเยอรมัน (Fürsten) ในความปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ 16 รัฐ ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว เจ้าเหล่านี้ล้วนมิใช่ประมุขของรัฐซึ่งตนเองปกครองอยู่ ภายหลังได้มีรัฐอื่นอีก 19 รัฐเข้าร่วมในสมาพันธรัฐ ทำให้เมื่อรวมกันแล้วทำให้มีประชากรภายใต้การปกครองมากกว่า 15 ล้านคน ก่อให้เกิดผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์อย่างมากต่อจักรวรรดิฝรั่งเศสในแนวรบด้านตะวันออก

การก่อตั้ง

[แก้]

ในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 นครรัฐ 16 รัฐ ซึ่งรวมกันเป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ได้ลงนามในสนธิสัญญาสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbundakte) เพื่อแยกตัวจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐในชื่อ "สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์" (états confédérés du Rhin) โดยอิงตามชื่อของกลุ่มรัฐเยอรมันในยุคก่อนหน้าที่เรียกว่า "สันนิบาตแห่งแม่น้ำไรน์" มีจักรพรรดินโปเลียนเป็นดำรงตำแหน่ง "ผู้อารักขา" แห่งสมาพันธรัฐ หลังจากนั้นในวันที่ 6 สิงหาคม ด้วยการยื่นคำขาดของนโปเลียน จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จึงได้สละตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และประกาศล้มเลิกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ บรรดารัฐเยอรมันมากกว่า 23 รัฐก็เข้าร่วมสมาพันธรัฐ โดยราชวงศ์ฮับส์บูร์กของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จะปกครองส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิในชื่อจักรวรรดิออสเตรีย มีเฉพาะออสเตรีย ปรัสเซีย ฮ็อลชไตน์ส่วนที่เป็นของเดนมาร์ก และปอมเมอเรเนียของสวีเดนเท่านั้นที่อยู่นอกสมาพันธรัฐ ไม่นับรวมดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และราชรัฐเออร์เฟิร์ตซึ่งถูกยึดครองโดยจักรวรรดิฝรั่งเศส

ตามสนธิสัญญาดังกล่าว สมาพันธรัฐจะดำเนินการโดยผู้แทนร่วมตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐใหญ่ ต่างก็ต้องการมีอำนาจอธิปไตยอย่างไม่จำกัด

สมาพันธรัฐนี้มิได้มีประมุขเป็นกษัตริย์ตามอย่างที่เคยใช้ในจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตำแหน่งสูงสุดในสมาพันธรัฐนี้เป็นของคาร์ล เทโอดอร์ ฟอน ดัลแบร์ก อดีตอัครมหาเสนาบดีผู้ที่เบื่อตำแหน่งเจ้าชาย-ไพรเมตของสมาพันธรัฐ ในฐานะดังกล่าวเขาเป็นประธานของคณะพระมหากษัตริย์ (College of Kings) และมีอำนาจเหนือ สภานิติบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐ (Diet of the Confederation) ซึ่งมีลักษณะองค์กรคล้ายกับรัฐสภา (Parliament) อย่างไรก็ตาม องค์กรดังกล่าวนี้ไม่เคยมีการประชุมแต่อย่างไร ส่วนประธานสภาของเจ้าผู้ครองนครคือเจ้าชายแห่งนัสเซา-อูซินเงน

ในความเป็นจริงแล้ว สมาพันธรัฐมีสถานะเป็นพันธมิตรทางการทหาร กล่าวคือ รัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐจะต้องส่งกำลังทหารสนับสนุนจำนวนมากให้แก่ฝรั่งเศส โดยที่ผู้ปกครองรัฐจะได้รับการยกสถานะดินแดนของตนขึ้นเป็นการตอบแทน เช่น บาเดิน (ปัจจุบันดินแดนส่วนตะวันตกอยู่ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค) เฮ็สเซิน คลีฟส์ (Cleves) และเบิร์ก (ทั้งสองแห่งปัจจุบันอยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน) ได้ยกฐานะขึ้นเป็นแกรนด์ดัชชี ส่วนเวือร์ทเทิมแบร์คและบาวาเรีย ได้ยกฐานะขึ้นเป็นราชอาณาจักร นอกจากนี้บางรัฐยังมีอาณาเขตเพิ่มมากขึ้นโดยได้รับเอา "Kleinstaaten" หรือรัฐขนาดเล็กหลาย ๆ แห่งที่เคยเป็นสมาชิกของจักรวรรดิมาควบรวมเข้าไป

หลังปรัสเซียพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1806 รัฐขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากก็เข้าร่วมกับสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ โดยมีการขยายตัวมากที่สุดในปี ค.ศ. 1808 ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร 5 แกรนด์ดัชชี 13 ดัชชี 17 พรินซิพาลิตี และนครรัฐอิสระฮันเซียติค ได้แก่ เมืองฮัมบวร์ค ลือเบค และ เบรเมิน

ในปี ค.ศ. 1810 ส่วนใหญ่ของเยอรมนีตะวันออกเฉียงเหนือก็รวมเข้ากับจักรวรรดินโปเลียนอย่างเร่งด่วน ตามคำสั่งการห้ามค้าขายระหว่างประเทศกับสหราชอาณาจักร ตามนโยบายการปิดล้อมภาคพื้นทวีป ซึ่งบังคับให้ชาวยุโรปค้าขายกันเองโดยไม่ต้องพึ่งอังกฤษ

สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ล่มสลายในปี ค.ศ. 1813 อันเนื่องมาจากการที่จักรพรรดินโปเลียนพ่ายสงครามแก่จักรวรรดิรัสเซีย สมาชิกจำนวนมากย้ายฝ่ายหลังจากสิ้นสุดยุทธการที่ไลพ์ซิก เมื่อการณ์ปรากฏชัดว่าจักรพรรดินโปเลียนจะแพ้ในสงครามประสานมิตรครั้งที่หก อย่างแน่นอนแล้ว

ประเภทของรัฐภายในสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์

[แก้]

อิทธิพลของฝรั่งเศสและระดับของเอกราชภายในสมาพันธรัฐมีความแตกต่างกันอย่างมากตลอดช่วงเวลาที่สมาพันธรัฐดำรงอยู่ นอกจากนี้ อำนาจและอิทธิพลของแต่ละรัฐก็มีความแตกต่างกันอย่างมากเช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

กลุ่มแรก: "รัฐต้นแบบ" (Model States) รัฐเหล่านี้ส่วนใหญ่ปกครองโดยญาติของนโปเลียน ได้แก่

รัฐต้นแบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่รัฐอื่น ๆ ภายในสมาพันธรัฐ ผ่านนโยบายทางกฎหมายและสังคม เช่น ประมวลกฎหมายนโปเลียนอย่างไรก็ตาม เนื่องจากการล่มสลายของอำนาจของนโปเลียน รัฐเหล่านี้จึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

กลุ่มที่สอง: รัฐปฏิรูป (Reform States)

[แก้]

รัฐเหล่านี้ประกอบด้วย บาวาเรีย, ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค, บาเดิน, แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน-ดาร์มชตัดท์ รัฐเหล่านี้ไม่ได้เป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศสโดยตรง แต่เป็นพันธมิตรที่แท้จริงของนโปเลียน แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากแบบแผนของฝรั่งเศส แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายของตนเองในหลายด้าน นักประวัติศาสตร์ โลธาร์ กัลล์ (Lothar Gall) ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ปกครองของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ได้กลายเป็นนักปฏิวัติโดยอิทธิพลของนโปเลียนเอง การต่อต้านจักรพรรดิย่อมหมายถึงการละทิ้งอำนาจที่เขามอบให้ "นโปเลียนไม่ได้สร้างรัฐบริวารที่ไร้อำนาจทางการเมืองและต้องเชื่อฟังเพราะถูกบังคับด้วยกำลัง แต่พระองค์สร้างพันธมิตรที่แท้จริง ซึ่งดำเนินตามเหตุผลทางรัฐศาสตร์ที่เข้าใจได้ดี"[3]

กลุ่มที่สาม: รัฐที่เข้าร่วมหลังปีค.ศ. 1806

[แก้]

กลุ่มนี้ประกอบด้วยรัฐขนาดเล็กจำนวนมากในเยอรมันตอนเหนือและตอนกลาง ยกเว้นซัคเซิน โดยการเปลี่ยนแปลงภายในรัฐเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อย[4] การปฏิรูปยังคงจำกัดอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างรัฐเหล่านี้

รัฐที่เป็นสมาชิก

[แก้]

ตารางต่อไปนี้แสดงรายนามรัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐและวันที่เข้าร่วม พร้อมทั้งจำนวนกำลังทหารในความปกครอง (แสดงด้วยตัวเลขในวงเล็บ)[5]

รัฐในสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์
ค.ศ. 1806
ค.ศ. 1808
ค.ศ. 1812

คณะพระมหากษัตริย์

[แก้]
ร้ฐสมาชิก เข้าร่วมเมื่อ หมายเหตุ
แกรนด์ดัชชีบาเดิน 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นแคว้นชายแดนมาร์เกรฟผู้คัดเลือก (8,000)
ราชอาณาจักรบาวาเรีย 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นดัชชีผู้คัดเลือก (30,000)
แกรนด์ดัชชีแบร์ค 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; รวมทั้งดัชชีเคลเวอ เดิมทั้งคู่เป็นดัชชี (5,000)
แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน-ดาร์มสตัดท์ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นเคาน์ตี (4,000)
ราชรัฐเรเกินส์บวร์ค 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เป็นรัฐร่วมประมุขกับ ราชรัฐอาชัฟเฟนบวร์ค; เดิมเป็นราชรัฐมุขนายกและรัฐผู้คัดเลือก; รวมเป็น แกรนด์ดัชชีแฟรงก์เฟิร์ตหลังจากปี ค.ศ. 1810 (968)
ราชอาณาจักรซัคเซิน 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 เดิมเป็นดัชชีผู้คัดเลือก (20,000)
ราชอาณาจักรเว็สท์ฟาเลิน 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1807 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงตั้งขึ้นใหม่ (25,000)
ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นดัชชี (12,000)
แกรนด์ดัชชีเวือทซ์บวร์ค 23 กันยายน ค.ศ. 1806 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงตั้งขึ้นใหม่ (2,000)

คณะเจ้าชาย

[แก้]
รัฐสมาชิก เข้าร่วมเมื่อ หมายเหตุ
ดัชชีอันฮัลท์-แบร์นบูร์ก 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (240)
ดัชชีอันฮัลท์-เดสเซา 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (350)
ดัชชีอันฮัลท์-เคอเทิน 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (210)
ดัชชีอาเรนแบร์ก 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; ถูกผนวกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ส. 1810 (379)
ราชรัฐโฮเฮนซอลเลิร์น-เฮชิงเงิน 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (97)
ราชรัฐโฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (193)
ราชรัฐไอเซนบูร์ก 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (291)
ราชรัฐไลเอิน 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; เดิมเป็นแคว้นกราฟ (29)
ราชรัฐลิคเตนสไตน์ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (40)
ราชรัฐลิพเพอ-เด็ทโมลด์ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (500)
ดัชชีเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน 22 มีนาคม ค.ศ. 1808 (1,900)
ดัชชีเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1808 (400)
ดัชชีนัสเซา 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1806* รวม Nassau Usingen นัสเซา-อูซิงเงิน กับ Nassau-Weilburg นัสเซา-เวลบูร์ก ทั้งสองรัฐเป็นรัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง (1680)
ดัชชีอ็อลเดินบวร์ค 14 ตุลาคม ค.ศ. 1808 ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศษเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1810 (800)
ราชรัฐรอยสส์-เอเบิร์สดอร์ฟ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (100)
ราชรัฐรอยส์-ไกรซ์ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (117)
ราชรัฐรอยสส์-โลเบนสไตน์ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (108)
ราชรัฐรอยส์-เกรา 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (125)
ราชรัฐซาล์ม 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 รวม ซาล์ม-ซาล์ม กับ ซาล์ม-เคียร์บวร์ค ทั้งสองรัฐเป็นรัฐสมาชิกผู้ก่อตั้ง; ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศษเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1810 (323)
ดัชชีซัคเซิน-โคบูร์ก 15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 (400)
ดัชชีซัคเซิน-โกทา 15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 (1,100)
ดัชชีซัคเซิน-ฮิลด์บูร์กเฮาเซิน 15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 (200)
ดัชชีซัคเซิน-ไมนิงเงิน 15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 (300)
ดัชชีซัคเซิน-ไวมาร์ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1806 (800)
ราชรัฐเชาม์บวร์ค-ลิพเพอ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (150)
ราชรัฐชวาทซ์บวร์ค-รูดอลชตัท 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (325)
ราชรัฐชวาทซ์บวร์ค-ซ็อนเดิร์สเฮาเซิน 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (325)
ราชรัฐวัลเด็คและเพือร์ม็อนท์ 11 เมษายน ค.ศ. 1807 (400)

เหตุการณ์ในช่วงหลัง

[แก้]

ฝ่ายสหสัมพันธมิตรที่ต่อต้านนโปเลียนได้ประกาศยุบสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1813 ต่อมาหลังยุบสมาพันธรัฐ มีความพยายามที่จะรวมชาติเยอรมนีอีกครั้ง คือ สภาบริหารกลาง (เยอรมัน: Zentralverwaltungsrat) โดยประธานสภาได้แก่ ไฮน์ริช ฟรีดริช คาร์ล ไรช์สไฟรเฮอร์ ฟอม อุนด์ ซุม สไตน์ (ค.ศ. 1757 – 1831) ซึ่งต่อมาสภานี้ก็ได้ถูกยุบในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1815 และสนธิสัญญาปารีสได้ประกาศให้บรรดารัฐเยอรมันได้รับเอกราชในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1814

ในปี ค.ศ. 1815 ที่การประชุมใหญ่แห่งเวียนนาได้ปรับเปลี่ยนแผนที่การเมืองของทวีปยุโรปขึ้นใหม่ โดยการยุบอาณาจักรที่นโปเลียนสร้างขึ้น เช่น ราชอาณาจักรเว็สท์ฟาเลิน, แกรนด์ดัชชีแบร์ค, และ แกรนด์ดัชชีเวือทซ์บวร์ค นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นฟูรัฐที่เคยถูกผนวก เช่น ฮันโนเฟอร์, ดัชชีเบราน์ชไวค์, เฮ็สเซิน-คัสเซิล, และ อ็อลเดินบวร์ค อย่างไรก็ตาม รัฐส่วนใหญ่ของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีกลางและตอนใต้ ยังคงอยู่รอดโดยมีการเปลี่ยนแปลงพรมแดนเพียงเล็กน้อย พวกเขาได้ร่วมมือกับรัฐที่ได้รับการฟื้นฟู รวมถึงปรัสเซียและออสเตรีย ในการก่อตั้ง สมาพันธรัฐเยอรมัน[6]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ราชบัณฑิตยสถาน, สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 209
  2. Berding, Helmut (1973-04-23). Napoleonische Herrschafts- und Gesellschaftspolitik im Königreich Westfalen 1807-1813. Göttingen: Vandenhoeck & Ruprecht. ISBN 978-3-525-35958-7.
  3. "I. Liberalismus als Partei", Freiheitskämpfe, De Gruyter, pp. 9–78, 1913-12-31, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
  4. Brophy, James M.; Siemann, Wolfram (1998-02). "Vom Staatenbund zum Nationalstaat. Deutschland 1806-1871". German Studies Review. 21 (1): 138. doi:10.2307/1432411. ISSN 0149-7952. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  5. "Creation of the Confederation of the Rhine, 12 July, 1806". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-29. สืบค้นเมื่อ 2009-09-26.
  6. Brophy, James M.; Siemann, Wolfram (1998-02). "Vom Staatenbund zum Nationalstaat. Deutschland 1806-1871". German Studies Review. 21 (1): 138. doi:10.2307/1432411. ISSN 0149-7952. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)