สงครามมุสลิม–กุร็อยช์
สงครามมุสลิม–กุร็อยช์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การพิชิตดินแดนโดยมุสลิม | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
ผู้ร่วมลงนามสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์: |
ผู้ร่วมลงนามสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์: | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
มุฮัมมัด อะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ ฮัมซะฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ † ซุบัยร์ อิบน์ อัล-เอาวัม อะบู อุบัยดะฮ์ อิบน์ อัล-ญัรรอห์ ซัลมาน อัลฟาริซี คอลิด อิบน์ อัลวะลีด (627–630) |
อบูญะฮัล † อุมัยยะฮ์ อิบน์ เคาะลัฟ † คอลิด อิบน์ อัลวะลีด (624–627) อิกรีมะฮ์ อิบน์ อัมร์ อะบู ซุฟยาน อิบน์ ฮาร์บ สุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ ศ็อฟวาน อิบน์ อุมัยยะฮ์ | ||||||||
กำลัง | |||||||||
600–700 คน (ประมาณโดยวัตต์)[1] | |||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
เสียชีวิต 79–96 คน |
เสียชีวิต 115–128 คน ตกเป็นเชลย 70 คน |
สงครามมุสลิม–กุร็อยช์ เป็นความขัดแย้งหกปีในคาบสมุทรอาหรับ ระหว่างชาวมุสลิมรุ่นแรกนำโดยมุฮัมมัดกับเผ่ากุร็อยช์ที่นับถือเทพหลายองค์[2][3] สงครามเริ่มขึ้นด้วยยุทธการที่บะดัรใน ค.ศ. 624[4] และจบลงด้วยการพิชิตมักกะฮ์ (ค.ศ. 629–630)[5]
มุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่ศาสนาอิสลามในเมืองมักกะฮ์ตอนอายุ 40 ปี ช่วงแรกเขาไม่ได้รับการต่อต้านจากชาวมักกะฮ์จนกระทั่งมุฮัมมัดเริ่มโจมตีความเชื่อของพวกเขา[6][7][8][9] ใน ค.ศ. 622 หลังจัดการข้อพิพาทระหว่างเผ่าบนูเอาส์กับบนูคอซรอจญ์ในเมืองมะดีนะฮ์[10][11] มุฮัมมัดและผู้ติดตามอพยพไปที่นั่นเพื่อหลีกหนีการกดขี่จากชาวมักกะฮ์
เมื่ออยู่ที่มะดีนะฮ์ มุฮัมมัดเริ่มสั่งปล้นสะดมขบวนคาราวานของเผ่ากุร็อยช์[12][13] ใน ค.ศ. 624 มุฮัมมัดทราบข่าวว่ามีขบวนคาราวานกุร็อยช์ขนาดใหญ่ที่บรรทุกทรัพย์สินจำนวนมากจากกาซากำลังเดินทางกลับไปยังมักกะฮ์ เขาจึงส่งกองทัพไปขัดขวางที่บะดัร ด้านอะบูซุฟยาน ผู้นำขบวนคาราวานตัดสินใจเลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางและส่งข่าวไปยังมักกะฮ์เพื่อขอความช่วยเหลือ[13] จากนั้นกองทัพจากมักกะฮ์นำโดยอัมร์ อิบน์ ฮิชาม (อบูญะฮัล) ที่คุ้มกันขบวนคาราวานถูกบีบให้สู้กับกองทัพมุสลิม กองทัพมักกะฮ์พ่ายแพ้ในยุทธการนี้และอบูญะฮัลถูกสังหาร[14][15]
เผ่ากุร็อยช์ที่ต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีจากความพ่ายแพ้ที่บะดัรและเหนื่อยหน่ายกับการถูกปล้นสะดมเปิดฉากโจมตีฝ่ายมุสลิมจนได้รับชัยชนะในยุทธการที่อุฮุด แต่เลือกจะไม่จัดการมุฮัมมัดด้วยเห็นว่าเพียงพอแล้วในการหยุดยั้งเขา อย่างไรก็ตามมุฮัมมัดกลับมาโจมตีขบวนคาราวานอีกครั้ง ฝ่ายกุร็อยช์ พร้อมด้วยบนูนะฎีร ชนเผ่ายิวที่ถูกมุฮัมมัดขับไล่ก่อนหน้านี้[16] และเผ่าอื่น ๆ จึงยกทัพไปเพื่อยึดมะดีนะฮ์ แต่ต้องเผชิญกับยุทธวิธีสนามเพลาะของฝ่ายมุสลิมตามคำแนะนำของซัลมาน อัลฟาริซีและพ่ายแพ้ในที่สุด[17] หลังจากนั้นไม่นาน มุฮัมมัดโจมตีบนูกุร็อยเซาะฮ์ ชนเผ่ายิวที่สำคัญเผ่าสุดท้ายในมะดีนะฮ์ ส่งผลให้ตำแหน่งผู้นำของเขายิ่งเข้มแข็ง[18]
มุมมองต่อมุฮัมมัดในสายตาชนเผ่าต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นเมื่อเขาเลิกโจมตีขบวนคาราวานกุร็อยช์แล้วหันไปโจมตีเผ่าทางเหนืออย่างบนูลิห์ยานและบนูมุสฏอลิกแทน ต่อมา ค.ศ. 628 ฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายกุร็อยช์ร่วมเจรจาและลงนามในสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์ อันเป็นความตกลงสงบศึกเป็นเวลาสิบปี มุฮัดมัดจึงสามารถกลับไปมักกะฮ์เพื่อประกอบพิธีอุมเราะห์และสานสัมพันธ์กับเผ่าบนูฮาชิมของตน[19] อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 630 เผ่าบนูบักร์ที่เข้ากับฝ่ายกุร็อยช์กลับโจมตีเผ่าบนูคุซาอะฮ์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายมุสลิม เป็นการละเมิดสนธิสัญญาและนำไปสู่การพิชิตมักกะฮ์ เมื่อมุฮัมมัดนำทัพเข้ายึดมักกะฮ์โดยเสียเลือดเนื้อเพียงเล็กน้อย และชาวเมืองส่วนใหญ่ รวมถึงอะบูซุฟยานเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม[20] มุฮัมมัดเสียชีวิตหลังจากนั้นสองปี
สงครามมุสลิม–กุร็อยช์มีคุณค่าและความสำคัญสูงยิ่งต่อประวัติศาสนาอิสลาม และเป็นส่วนสำคัญในชีวประวัติของมุฮัมมัด (ซีเราะฮ์ หรือ ซีเราะตุนนบี) สงครามนี้ยังปูทางสู่การพิชิตดินแดนโดยมุสลิมทั่วคาบสมุทรอาหรับและดินแดนโดยรอบ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Watt 1961, p. 123.
- ↑ Jones, J. M. B. (1957). "The Chronology of the "Mag̱ẖāzī"-- A Textual Survey". Bulletin of the School of Oriental and African Studies, University of London. 19 (2): 245–280. doi:10.1017/S0041977X0013304X. ISSN 0041-977X. JSTOR 610242. S2CID 162989212.
- ↑ Crawford, Peter (2013-07-16). The War of the Three Gods: Romans, Persians and the Rise of Islam (ภาษาอังกฤษ). Pen and Sword. ISBN 978-1-4738-2865-0.
- ↑ Haykal, Muḥammad Ḥusayn (May 1994). The Life of Muhammad (ภาษาอังกฤษ). The Other Press. p. 137. ISBN 978-983-9154-17-7.
- ↑ Gabriel, Richard A. (2014-10-22). Muhammad: Islam's First Great General (ภาษาอังกฤษ). University of Oklahoma Press. ISBN 978-0-8061-8250-6.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 364.
- ↑ Lewis 2002, p. 35–36.
- ↑ Muranyi 1998, p. 102.
- ↑ Gordon 2005, p. 120-121.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 364-369.
- ↑ "Aws and Khazraj". www.brown.edu. สืบค้นเมื่อ 2023-05-27.
- ↑ Peters, Francis E. (1994-01-01). Muhammad and the Origins of Islam (ภาษาอังกฤษ). SUNY Press. pp. 211–214. ISBN 978-0-7914-1875-8.
- ↑ 13.0 13.1 Buhl & Welch 1993, p. 369.
- ↑ Rodinson 2021, p. 166.
- ↑ "Encyclopaedia of Islam, Volume I (A-B): [Fasc. 1-22]", Encyclopaedia of Islam, Volume I (A-B) (ภาษาอังกฤษ), Brill, 1998-06-26, ISBN 978-90-04-08114-7, สืบค้นเมื่อ 2023-05-28, p. 868
- ↑ Buhl & Welch 1993.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 370.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 370-1.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 371.
- ↑ Buhl & Welch 1993, p. 372.