ข้ามไปเนื้อหา

ราชวงศ์วรมัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราชวงศ์วรมัน
ขอม: រាជវង្សវរ្ម័ន
ตราประจำพระราชวงศ์แห่งกัมพูชา
เริ่มใช้ปี ค.ศ. 1953
พระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์กัมพูชา
ปกครองกัมพูชา ราชอาณาจักรกัมพูชา
สาขา
จำนวนพระมหากษัตริย์112 พระองค์
ประมุขพระองค์แรกพระเจ้าเกาฑิณยะวรมันเทวะ
ผู้นำสกุลองค์ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี
ประมุขพระองค์สุดท้าย
ช่วงระยะเวลา
  • ครั้งที่ 1 : คริสต์ศตวรรษที่ 1–ค.ศ. 1970
  • ครั้งที่ 2 : ค.ศ. 1993–ปัจจุบัน
สถาปนาคริสต์ศตวรรษที่ 1
สิ้นสุด
  • ครั้งที่ 1 : 9 ตุลาคม ค.ศ. 1970
เชื้อชาติเขมร,อินเดีย,ไทย,เวียดนาม[ต้องการอ้างอิง]

ราชวงศ์วรมัน (เขมร: រាជវង្សវរ្ម័ន; เรียจฺจะวงฺซา วอรามัน อักษรโรมัน: Varman Dynasty ) เป็นราชวงศ์ในราชอาณาจักรกัมพูชา(ព្រះរាជាណាចក្រកម្ពុជា) สถาปนาโดย พระเจ้าเกาฑิณยะวรมันเทวะ หรือ สวายัมภูวะ (កម្វុស្វយម្ភុវ) [1] พราหมณ์ที่เดินทางมาจากแคว้นกลิงคะในอินเดีย ทรงได้อภิเษกกับ พระนางโสมา (សោមា) ผู้ครองอาณาจักรชนเผ่าพื้นเมืองและสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรพนมหรือฟูนัน ก่อกำเนิดราชวงศ์วรมันโดยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกภาษาสันสกฤตกล่าวถึง พราหมณ์เกาฑิณยะผู้ได้รับหอกวิเศษจากพราหมณ์ อัศวัตถามา บุตร โทรณาจารย์ ได้เดินทางมาถึงอาณาจักรของชาวเผ่า นาค และได้ทำสงครามกันสุดท้ายได้เจรจาด้วยสันติโดยการอภิเษกสมรส พราหมณ์เกาฑิณยะจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าเกาฑิณยะวรมันเทวะ (កៅណ្ឌិន្យទី១) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 1[2][3] ยุค ราชอาณาจักรกัมพูชา ราชวงศ์วรมันแบ่งออกเป็นสองสายราชสกุลที่มีสิทธิ์ตามกฏมณเฑียรบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในการสืบพระราชสันตติวงศ์ขึ้นดำรงพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์กัมพูชา[4] คือ ราชสกุลนโรดม (រាជត្រកូលនរោត្តម) และราชสกุลสีสุวัตถิ์ (រាជត្រកូលស៊ីសុវត្ថិ) ตามมติ กรมปรึกษาราชบัลลังก์

พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาและบันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์วรมันมีการรวบรวมจากศิลาจารึกต่างๆและจากบันทึกของราชทูตจีนที่เข้ามายัง อาณาจักรฟูนัน และอาณาจักร พระนครหลวง ได้บันทึกเรื่องราวที่ได้พบเห็นบ้านเมืองในยุคนั้นได้แก่ เอกสารมหาบุรุษขอม และพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับ รบากษัตริย์ โดยพระราชพงศาวดารดังกล่าวแบ่งเป็นสองภาค ภาคแรกเป็นตำนานที่ได้มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเริ่มจากรัชกาลของพระทอง-นางนาค จนถึงรัชกาลของพระบาทนิพพานบท ภาคสองเป็นพระราชพงศาวดารเริ่มตั้งแต่รัชกาลของ พระบรมนิพพานบท ถึง รัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร[5]

• ราชทูตคังไถ่ และ อุปทูตจูยิง ราชทูตจากอาณาจักรอู๋ เดินทางไปเยือนราชสำนักฟูนันในปี พ.ศ. 788 ราชทูตคังไถ่ได้เขียนบันทึกเรื่อง "ประวัติของชาวต่างชาติในรัชสมัยอู๋" ส่วนอุปทูตจูยิง เขียนบันทึกเรื่อง “บันทึกเรื่องทรัพยากรอันมีค่าของฟูนันก๊ก” บันทึกที่ราชทูตจีนจดบันทึกนี้ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของอาณาจักรฟูนันและผู้ปกครองอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นพระนามกษัตริย์ เรื่องราวในราชสำนักและวิถีชีวิตผู้คนถือได้ว่าเป็นบันทึกชาวต่างชาติที่เก่าแก่ที่สุดที่เข้ามาในอาณาจักรฟูนัน จากข้อความที่ “ราชทูตคังไถ่” จดบันทึกเรื่องราวเมื่อครั้งไปเยือนราชสำนักฟูนัน ทำให้ทราบเรื่องราวย้อนหลังขึ้นไปถึงสมัยเริ่มต้นก่อตั้ง “อาณาจักรฟูนัน” ว่าแต่เดิมฟูนันเป็นแต่เพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตามบันทึกระบุว่า "อาณาจักรมีผู้หญิงเป็นผู้ปกครองมีนามว่า “พระนางหลิวเย่” ต่อมามีพราหมณ์ชาวอินเดียมีนามว่า “หวั่นถิ่น” นอนหลับฝันไปนิมิตฝันว่าเทพเจ้าได้ประทานธนูวิเศษให้และมีบัญชาให้ลงเรือเดินทางไปยังดินแดนฟูนันครั้นตื่นขึ้นจากความฝันได้ไปที่เทวสถานของเทพเจ้าได้พบธนูวิเศษสมจริงจึงลงเรือมายังฟูนัน เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณชายแดนฟูนัน ก็ถูกกองทัพเรือของพระนางหลิวเย่ออกมารบพุ่งขัดขวาง “หวั่นถิ่น” จึงได้ยิงด้วยธนูวิเศษถูกเรือของพระนางทะลุกาบเรือทั้งสองข้างพระนางเกิดความตกใจกลัวขอยอมแพ้ ภายหลังหวั่นถิ่นได้อภิเษกสมรกับพระนางหลิวเย่แล้วสถาปนาราชวงศ์วรมันขึ้นปกครองอาณาจักรฟูนัน[6]

• ราชทูตโจว ต้ากวาน ราชทูตชาวจีนในรัชสมัย จักรพรรดิเหวียนเฉิงจง แห่งราชวงศ์เหวียนได้เดินทางไปเมืองพระนครในปี ค.ศ. 1296 ได้บันทึกขนบประเพณีกับสถานที่ต่างๆ รวมถึงพระราชวงศ์และประเพณีในราชสำนัก ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 (ឥន្ទ្រវរ្ម័នទី៣) โจว ต้ากวาน มิใช่ชาวจีนคนแรกที่เข้าไปในอาณาจักรนี้แต่ได้บันทึกชีวิตผู้คนในเมืองพระนครเอาไว้โดยละเอียดที่สุด ซึ่งรู้จักในชื่อเจินล่าเฟิงถูจี้ (บันทึกขนบประเพณีเจนละ) บันทึกนี้ถือเป็นบันทึกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเมืองพระนครและจักรวรรดิขอม นอกเหนือไปจากศิลาจารึกและเอกสารอื่น ๆ ที่พรรณนาชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยในเมืองพระนคร จากบันทึกนี้ทำให้ทราบถึงลำดับกษัตริย์ในราชวงศ์วรมันโดยละเอียด ซึ่งกลายเป็นต้นฉบับของราชพงศาวดารกัมพูชาในเวลาต่อมา[7][8]

ฐานันดรศักดิ์ในราชวงศ์

[แก้]

ธรรมเนียมยศและลำดับฐานันดรศักดิ์ของราชวงศ์วรมันแห่งกัมพูชา[9][10] มีทั้งสิ้น 7 ชั้นยศได้แก่

1.พระบาทสมเด็จ (ព្រះបាទសម្តេច)
2.สมเด็จ (សម្ដេច)
3.เสด็จ (ស្ដេច)
4.พระองค์เจ้า (ព្រះអង្គម្ចាស់)
5.นักองค์เจ้า (អ្នកអង្គម្ចាស់)
6.นักองค์ราชวงศ์ (អ្នកអង្គរាជវង្ស)
7.พระวงศ์ (ព្រះវង្ស)

และจากนั้นไปถือเป็นสามัญชน ซึ่งการสถาปนาพระเกียรติยศหรือลดพระเกียรติยศนั้นขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

1.พระบาทสมเด็จ (ព្រះបាទសម្តេច) ออกเสียงเปรี๊ยะบาทซอมเด็จ เป็นชั้นยศสูงสุดในบรรดาฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ที่ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยเรียกพระนามลำลองว่า พระกรุณา

2.สมเด็จ หรือซ็อมดัจ (เขมร:សម្ដេច) เป็นฐานันดรศักดิ์ชั้นสูงในสมาชิกราชวงศ์รองจากองค์พระมหากษัตริย์โดยเป็นชั้นยศที่ต้องมีการสถาปนาพระเกียรติยศตามพระบรมราชโองการเท่านั้น สำหรับพระอัครมเหสี (Her Majesty The Queen) พระมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา และพระบรมวงศ์ชั้นสูง อาจมิใด้รับพระราชทานแต่แรกประสูติ โดยในอดีตมีการกำหนดพระอิสริยยศสำหรับพระราชโอรส พระธิดาโดยเฉพาะ เช่นสมเด็จพระราชบุตร สมเด็จพระราชบุตรี แต่ในปัจจุบันสามารถสถาปนาพระยศจากชั้นยศที่ต่ำกว่าขึ้นเป็นชั้นสมเด็จใด้โดยขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

3.เสด็จ หรือ ซดัจ (เขมร: ស្ដេច) เป็นชั้นรองลงมาจากชั้นสมเด็จ ต้องมีการสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศตามพระบรมราชโองการ เป็นชั้นยศสำหรับพระราชโอรส-พระราชธิดา และพระบรมวงศ์ชั้นสูง

4.พระองค์เจ้า หรือพระองค์มจะ (ออกเสียง เปรี๊ยะอ็องมจะ , เปรี๊ยะอ็องมจะกษัตรีย์ (เขมร: ព្រះអង្គម្ចាស់) เป็นชั้นฐานันดรศักดิ์ที่พระราชโอรส-ธิดา และสมาชิกพระราชวงศ์ สามารถได้รับการเลื่อนชั้นฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นชั้นเสด็จ หรือชั้นสมเด็จได้ตามพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์ และเป็นพระยศสำหรับพระโอรส-พระธิดาของเจ้านายชั้นสมเด็จ และชั้นเสด็จ หรือเมื่อได้รับพระบรมราชโองการสถาปนา

5.นักองค์เจ้า หรือนักองค์มจะ ออกเสียง เนี๊ยะอ็องมจะ ,เนี๊ยะอ็องมจะกษัตรีย์ (เขมร: អ្នកអង្គម្ចាស់ ) เทียบกับชั้นยศในราชวงศ์ไทยคือหม่อมเจ้า เป็นชั้นฐานันดรศักดิ์สำหรับชั้นพระราชนัดดา หรือชั้นหลานหลวง สำหรับพระโอรส-ธิดาของสมเด็จ, ชั้นเสด็จและชั้นพระองค์เจ้า พระโอรส-ธิดาของสมเด็จ และเสด็จ สามารถขึ้นเป็นชั้นพระองค์เจ้าได้เมื่อมีพระบรมราชโองการ

6.นักองค์ราชวงศ์ หรือ เนี๊ยะอ็องเรี๊ยจเจี๊ยะวง (เขมร: អ្នកអង្គរាជវង្ស ) เทียบกับพระราชวงศ์ไทยคือหม่อมราชวงศ์ ไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ สำหรับโอรส-ธิดาของนักองค์เจ้า ในกัมพูชาถือเป็นเชื้อพระวงศ์ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์และมีสิทธิ์ถูกเลือกให้ขึ้นสืบราชสมบัติได้

7.พระวงศ์ หรือพระองค์ ออกเสียง:เปรี๊ยะวงซา ; เปรี๊ยะออง (เขมร: ព្រះវង្ស ; Preah Vongsa) เทียบชั้นยศราชวงศ์ไทยคือหม่อมหลวง เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ สำหรับโอรส-ธิดาของนักองค์ราชวงศ์ ยังนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์และมีสิทธิ์ถูกเลือกให้ขึ้นสืบราชสมบัติโดยกรมปรึกษาราชบัลลังก์ได้ ซึ่งถัดจากพระวงศ์ถือเป็นสามัญชน

•ตำแหน่งพิเศษที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์พิเศษให้ทรงกรมในพระราชวงศ์ โดยตำแหน่งทรงกรมแบ่งเป็น 4 ระดับได้แก่
- กรมพระ (ក្រុម ព្រះ) สำหรับบรรดาศักดิ์ชั้นสมเด็จ
- กรมหลวง (ក្រុមហ្លួង)สำหรับชั้นสมเด็จ และเสด็จ
- กรมขุน (ក្រុមឃុន) สำหรับชั้นสมเด็จ และเสด็จ
- กรมหมื่น (ក្រុមហ្មឺន) สำหรับชั้นเสด็จ

การสืบราชสันตติวงศ์

[แก้]

ระบบการสืบราชสันตติวงศ์ของกษัตริย์กัมพูชาไม่เหมือนกับระบบของกษัตริย์ส่วนใหญ่ในประเทศอื่นๆ ที่ราชบัลลังก์จะตกไปสู่ผู้มีลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ลำดับถัดไป เช่นผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดในราชวงศ์ หรือโอรสองค์โตของกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งกษัตริย์จะทรงเลือกหรือสถาปนาขึ้นเป็นพระรัชทายาทไว้ก่อนที่จะทรงสิ้นพระชนม์ แต่ในกัมพูชาพระมหากษัตริย์ไม่สามารถเลือกผู้ที่จะมาสืบราชสันตติวงศ์ได้ด้วยพระองค์เอง แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่นั้นคือ กรมปรึกษาราชบัลลังก์เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะได้รับการสืบราชสันตติวงศ์ (Literally: ราชสภาเพื่อราชบัลลังก์) (Royal Council of the Throne) ซึ่งมีสมาชิก 9 คนดังนี้

1. ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
2. นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
3. พระสังฆราช ศาสนาพุทธ ฝ่ายมหานิกาย
4. พระสังฆราช ศาสนาพุทธ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
5. รองประธานรัฐสภา คนที่หนึ่ง
6. รองประธานสภา คนที่สอง
7. ประธานพฤฒสภาแห่งพระราชอาณาจักรกัมพูชา
8. รองประธานพฤฒสภา คนที่หนึ่ง
9. รองประธานพฤฒสภา คนที่สอง

สภาพระราชบัลลังก์[11]จะจัดการประชุมในสัปดาห์ที่พระมหากษัตริย์ สวรรคตหรือ ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่อไปได้หรือกษัตริย์ทรงแจ้งต่อสภาพระราชบัลลังก์ว่าทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงสละราชสมบัติ กรมปรึกษาราชบัลลังก์จะประชุมเพื่อเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จากรายชื่อผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ และเป็นสมาชิกราชวงศ์ โดยผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการเสนอพระนามต้องเป็นบุคคลใน "ราชวงศ์วรมัน" เท่านั้น และต้องสืบสายราชสกุลจากราชสกุลนโรดม และราชสกุลสีสุวัตถิ์ ไม่สามารถเสนอนามบุคคลนอกราชวงศ์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ได้ [12]

สายราชสกุล

[แก้]

ราชสกุลมหิธรปุระ(สายสกุลจากพิมาย)

[แก้]

ราชสกุลมหิธรปุระ (เขมร: រាជត្រកូលមហិធរបុរៈ) สถาปนาโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 (ជ័យវរ្ម័នទី៦)เมื่อปี ค.ศ. 1080 ปฐมราชตระกูลคือพระเจ้าภววรมันที่ 1 (ភវវរ្ម័នទី១)แห่งอาณาจักรเจนละ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 เป็นขุนนางเชื้อพระวงศ์ปกครองเมืองพิมาย(ปัจจุบันคืออำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา) มหิธรปุระเป็นต้นวงศ์ของกษัตริย์เขมรหลายพระองค์มีถิ่นฐานอยู่แถบลุ่มน้ำมูล [13] บริเวณปราสาทพนมวัน ปราสาทพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง เป็นสายราชสกุลเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคฟูนันมีอิทธิพลและฐานอำนาจในแถบอีสานไต้และเทือกเขาพนมดงรัก(ជួរភ្នំដងរែក) การปกครองสมัยอาณาจักรขอมมีการส่งเชื้อพระวงศ์จากส่วนกลางออกไปปกครองตามหัวเมืองต่างๆเช่น เมืองพิมาย เมืองละโว้เป็นต้นและมีการแต่งงานเกี่ยวดองกันแบบเครือญาติกับกษัตริย์เมืองพระนครมีพยานหลักฐานจารึกและโบราณสถานตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกันกับราชสำนักเขมรส่วนกลาง

บริเวณลุ่มน้ำมูลเป็นที่ตั้งของเมืองมหิธรปุระมีจารึกเกี่ยวเนื่องด้วยพระนามหิรัณยวรมันและมเหสีหิรัณยลักษมี [14] ทรงมีโอรส 2 พระองค์ที่ได้ครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งขะแมร์คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1(ធរណីន្ទ្រវរ្ម័នទី១) พระเจ้าหิรัณยวรมันทรงมีพระนัดดาคือพระเจ้ากษิตินทราทิตย์(ក្សិតេន្ទ្រាទិត្យ)ทรงเป็นพระบิดาของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2(សូរ្យវរ្ម័នទី២) พระมหากษัตริย์แห่งขะแมร์ บริเวณอีสานไต้ลุ่มน้ำมูลจึงเป็นฐานอำนาจของมหิธรปุระ

ราชสกุลมหิธรปุระมีพระมหากษัตริย์ปกครองจำนาน 11 พระองค์ กษัตริย์พระองค์แรกคือพระเจ้าชัยวรรมันที่ 6 กษัตริย์องค์สุดท้ายคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 9

ราชสกุลตระซ็อกประแอม

[แก้]

ราชสกุลตระซ็อกประแอม (เขมร: រាជត្រកូលត្រសក់ផ្អែម) สถาปนาโดยพระบาทองค์ชัยหรือพระเจ้าแตงหวาน (ត្រសក់ផ្អែម) เมื่อปี ค.ศ. 1290 ปฐมราชตระกูลคือพระเจ้ารุทรวรมันที่ 1 (រុទ្រវរ្ម័នទី១) แห่งอาณาจักรจามปา พระเจ้าแตงหวานทรงเป็นโอรสของเจ้าชายปทุมะแห่งอาณาจักรจามปา พระบิดาถูกนำตัวมาเป็นเชลยในเมืองพระนครหลวงตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อครั้งรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ជ័យវរ្ម័នទី៧) ทรงยกทัพบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของอาณาจักรจามปา และจับพระราชวงศ์และไพร่ ทาสชาวจามปากลับมาเป็นเชลยทาสใช้แรงงานในเมืองพระนครหลวง พระเจ้าแตงหวานได้ปลงพระชนม์พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (វ្រះបាទជយវម៌្មទី៩) กษัตริย์องค์สุดท้ายในสายราชสกุลมหิธรปุระถึงแก่สวรรคต

พระเจ้าแตงหวานทรงเป็นกสิกรมาก่อนเสวยราชสมบัติมีหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสวนแตงของกษัตริย์ในพระราชอุทยานหลวง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยสามารถเข้านอกออกในพระราชวังได้เพราะต้องนำแตงเข้าไปถวายกษัตริย์อยู่เสมอ ต่อมาพระเจ้าแตงหวานได้ใช้พระแสงหอกลำแพงชัยเป็นหอกที่ได้รับพระราชทานเป็นอาญาสิทธิ์ซัดโดนพระเจ้าชัยวรมันที่ 9สวรรคตขณะพระองค์ลงไปในสวนแตงยามวิกาล พระเจ้าแตงหวานจึงทรงสามารถปลดปล่อยเชลยทาสชาวจามปาให้เป็นอิสระจากการเป็นทาส ต่อมาพระองค์ทรงได้ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ในเมืองพระนครหลวง และได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดากษัตริย์องค์ก่อน [15] นักวิชาการบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเพื่อลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญที่กษัตริย์จะทรงถูกสังหารได้โดยง่ายตามที่พระราชพงศาวดารระบุเพราะขณะนั้นทาสในเมืองมีจำนวนมากได้รับการทรมาณกดขี่และใช้แรงงานหนักทำให้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พระเจ้าตระซ็อกประแอมทรงครองราชย์ทรงทำการกวาดล้างกลุ่มอำนาจเก่าจนเกือบสิ้น เชื้อพระวงศ์บางส่วนได้เสด็จหลบหนีออกจากเมืองพระนครหลวงไปเมืองละโว้

พระราชพงศาวดารกัมพูชาฉบับนักองค์เอง [16] กล่าวว่าพระเจ้าตระซ็อกประแอม(พระเจ้าแตงหวาน)ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของกัมพูชาและสายราชสกุลนี้ได้สืบต่อราชสมบัติมาถึงจนพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาองค์ปัจจุบัน ราชสกุลตระซ็อกประแอมมีพระมหากษัตริย์ปกครองจำนวน 48 พระองค์ ประมุขพระองค์แรกคือพระเจ้าตระซ็อกประแอม ประมุขพระองค์สุดท้ายคือสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (ព្រះបាទ អង្គ ឌួង)

ราชสกุลนโรดม

[แก้]

ราชสกุลนโรดม (เขมร: រាជត្រកូលនរោត្តម) สถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (ព្រះបាទនរោត្តម) เมื่อปี พ.ศ. 2403 ปฐมราชตระกูลคือพระเจ้าตระซ็อกประแอม[17] แห่งอาณาจักรพระนครหลวงพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ราชสกุลนโรดมเป็นหนึ่งในสองราชสกุลที่ปกครองในสมัยราชอาณาจักรกัมพูชาคู่กับราชสกุลสีสุวัตถิ์ (រាជត្រកូលស៊ីសុវត្ថិ) ราชสกุลนโรดมมีพระมหากษัตริย์ปกครอง 4 พระองค์ ประมุขพระองค์แรกคือพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ประมุขพระองค์ปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี (ព្រះបាទសម្តេចព្រះបរមនាថ នរោត្តម សីហមុនី)

ราชสกุลสีสุวัตถิ์

[แก้]

ราชสกุลสีสุวัตถิ์ (เขมร: រាជត្រកូលស៊ីសុវត្ថិ) สถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ (ព្រះបាទស៊ីសុវតិ្ថ) เมื่อปี พ.ศ. 2447 ปฐมราชตระกูลคือพระเจ้าตระซ็อกประแอม (ត្រសក់ផ្អែម) พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนครหลวง พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี และทรงเป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ปฐมกษัตริย์ต้นสายราชสกุลนโรดม (រាជត្រកូលនរោត្តម) ราชสกุลสีสุวัตถิ์มีพระมหากษัตริย์ปกครองจำนวน 2 พระองค์ ประมุขพระองค์แรกคือพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ และประมุขพระองค์สุดท้ายคือพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ (ព្រះបាទស៊ីសុវតិ្ថមុនីវង្ស)

ความขัดแย้ง

[แก้]

ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ เต็มไปด้วยศึกสงครามและความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกอาณาจักร มีการช่วงชิงอำนาจ การก่อกบฏ นำมาซึ่งความแตกแยกวุ่นวายในราชวงศ์

รัชสมัยพระเจ้ารุทรวรมัน (រុទ្រវរ្ម័នទី១) ครองราชย์ช่วง ค.ศ.514 แห่งอาณาจักรฟูนัน (ហ៊្វូណន)เป็นช่วงแห่งความวุ่นวายทางการเมือง พระองค์ทรงครองราชย์ในวยาธปุระ (វ្យាធបុរៈ) ได้ถูก พระเจ้าภววรมันที่ 1 (ភវវរ្ម័នទី១) จากเมืองภวปุระยกกองทัพเข้ามาชิงราชสมบัติ พระเจ้าภววรมันที่ 1 (ភវវរ្ម័នទី១) ทรงเป็นเจ้าชายในราชวงศ์วรมันได้ร่วมกันกับเจ้าชายจิตรเสน หรือ พระเจ้ามเหนทรวรมัน (មហេន្ទ្រវរ្ម័ន) พระอนุชาทำสงครามโจมตีเมือง วยาธปุระ เมืองหลวงของ อาณาจักรฟูนัน เพราะเห็นว่าพระเจ้ารุทรวรมันขาดความชอบธรรมในการขึ้นครองราชสมบัติ เพราะหลังจากที่พระเจ้าเกาฑิณยะชัยวรมันสวรรคตพระองค์ทรงสังหารรัชทายาทคือ เจ้าชายกุณณะวรมัน ที่ประสูติจากพระอัครมเหสีคือ พระนางกุลประภาวดี (พระราชมารดาเลี้ยง) ต่อมาได้ทำสงครามยืดเยื้อกับพระนางกุลประภาวดีเพื่ออ้างสิทธิ์ในราชสมบัติ[18] พระเจ้ารุทรวรมันทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าเกาฑิณยะชัยวรมัน ที่ประสูติจากพระสนมเชื้อสายจามปาพระองค์ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาตามพระมารดาขณะที่พระราชวงศ์และพระประยูรญาติทรงนับถือ ศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าชายพระประยูรญาติตามหัวเมืองต่างๆเป็นอย่างมาก พระเจ้าภววรมันที่ 1 ทรงมีชัยชนะเหนือพระเจ้ารุทรวรมันบุกเข้ายึดราชธานีวยาธปุระได้สำเร็จส่วนพระเจ้ารุทรวรมัน[19] ทรงพ่ายแพ้เสด็จลี้ภัยเข้าไปใน อาณาจักรจามปา พร้อมพระมารดาในขณะนั้นอาณาจักรจามปากำลังเกิดความวุ่นวายมีศึกสงครามกับจีนในสงครามอ่าวตังเกี๋ยราชสำนักจีนได้ยกกองทัพมาปราบปราม พระเจ้าพิชัยปาโมพระมหากษัตริย์แห่งจามปาทรงพ่ายแพ้ เมื่ออยู่ในจามปาด้วยความช่วยเหลือของพระมารดาและพระญาติทำให้พระองค์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งจามปา พระองค์ได้ส่งราชทูตไปถวายราชบรรณาการฮ่องเต้จีน ฮ่องเต้จีนจึงโปรดสถาปนาพระเจ้ารุทรวรมันขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งจามปา พระนามพระเจ้ารุทรวรมันที่ 1 (រុទ្រវរ្ម័នទី១) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วรมันแห่งจามปา

รัชสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 (ឧទ័យទិត្យវរ្ម័នទី១ ) ครองราชย์ ค.ศ.1001-ค.ศ.1006 ได้ถูกพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 เจ้าชายในราชวงศ์ไศเลนทร์ทรงอ้างสิทธิ์พระราชบัลลังก์ทางพระราชมารดาทำสงครามเพื่อชิงราชสมบัติเมื่อ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 สวรรคตรัชทายาทคือ พระเจ้าชยวีรวรมัน (ជយវីរវម៌្ម) ได้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์จึงทำสงครามกัน พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (សូរ្យវរ្ម័នទី១) ทรงมีชัยชนะเหนือชยวีรวรมันจึงขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรเขมร ราชวงศ์ไศเลนทร์มีพระมหากษัตริย์เพียง 3 พระองค์กษัตริย์องค์สุดท้ายทรงไม่มีรัชทายาท ราชสมบัติจึงตกแก่พระเจ้าชัยวรรมันที่ 6 แห่งราชวงศ์วรมันพระองค์ได้ปราบปรามคู่แข่งและสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่ง จักรวรรดิเขมร ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ต้นสาย ราชสกุลมหิธรปุระ

รัชสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 2 (យសោវរ្ម័នទី២),(กษัตริย์สายราชสกุลมหิธรปุระ)ครองราชย์ ค.ศ.1160-ค.ศ.1166 ได้ถูกพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน (ត្រិភុវនាទិត្យវម៌្ម), (ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ตรีภูวนาทิตย์) ขุนนางชาวจีนยึดพระราชอำนาจ ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมันได้ถูก พระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 4 (ជ័យឥន្រ្ទវរ្ម័នទី៤) แห่งอาณาจักรจามปาบุกเข้าโจมตีเมืองพระนครหลวง จับพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมันสำเร็จโทษบ้านเมืองเกิดสูญญากาศนานถึง 4 ปี พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากสายราชสกุลมหิธรปุระได้ยกกองทัพจากเมือง ละโว้ เข้ามายึดเมือง พระนครหลวง ได้คืนจากพระมหากษัตริย์แห่งจามปา[20]และทรงยกทัพหลวงบุกเข้าไปในอาณาจักรจามปามีชัยชนะผนวกดินแดนจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเขมร ทรงจับพระราชวงศ์ ไพร่ ทาสชาวจามปากลับมาเป็นเชลยในเมืองพระนครหลวง

รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร (វ្រះបាទជយវម៌្មទី៩,វ្រះបាទជយវម៌្មបរមេឝ្វរ),(กษัตริย์สายราชสกุลมหิธรปุระ) ครองราชย์ ค.ศ.1327-ค.ศ.1336 ได้ถูกพระเจ้าตระซ็อกประแอมหัวหน้าผู้เฝ้าสวนแตงในอุทยานหลวงของกษัตริย์ซัดพระแสงหอกลำแพงชัยใส่ถึงแก่สวรรคต ซึ่งนักวิชาการกัมพูชามองว่าน่าจะเป็นการก่อกบฏยึดพระราชอำนาจ พระเจ้าตระซ็อกประแอมหรือพระเจ้าแตงหวาน ทรงเป็นโอรสของเจ้าชายแห่งจามปาที่ถูกจับมาเป็นเชลยในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่ง จักรวรรดิเขมร ในพงศาวดารฉบับนักองค์เองกล่าวว่าทรงเป็นปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของ ราชสกุลนโรดม[21]

รัชสมัยพระศรีสุคนธบท (ស្រីសុគន្ធធោ),(กษัตริย์สายราชสกุลตระซ็อกประแอม) ครองราชย์ พ.ศ. 2046-พ.ศ. 2051 ได้ถูกขุนหลวงเสด็จกอนหรือเจ้ากอง (ស្រីជេដ្ឋា,ស្ដេចកន)(ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระเสด็จกัน) ขุนนางก่อกบฏชิงราชสมบัติและตั้งตนเป็นกษัตริย์ที่เมืองบาสาณ พระศรีสุคนธบททรงหลบหนีและถูกปลงพระชนม์ที่แม่น้ำ สตึงแตรง ส่วนพระยาจันทราชาพระอนุชาทรงหลบหนีเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาต่อมาทรงสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ที่เมืองโพธิสัตว์ ด้วยความช่วยเหลือของ อยุธยา ทรงยกทัพมาปราบเจ้ากอง เจ้ากองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระยาจันทราชาจึงขึ้นครองราชสมบัติกรุงกัมพูชา[22]

ประวัติ

[แก้]

ราชวงศ์วรมัน ถือกำเนิดขึ้นโดยพราหมณ์ชาวอินเดียนามว่าเกาฑิณยะ (កម្វុស្វយម្ភុវ) ได้เดินทางโดยเรือเข้ามาสู่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ต่อมาได้อภิเษกกับพระนางโสมา ก่อกำเนิดราชวงศ์ตามตำนานพระทอง-นางนาค

พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชากล่าวถึงอาณาจักรโคกโธลก[23]ว่ามีพระมหากษัตริย์ปกครอง 5 พระองค์ เป็นบุรุษ 4 พระองค์ เป็นสตรี 1 พระองค์ กษัตริย์พระองค์ที่ 4 ทรงไม่มีพระโอรสมีเพียงพระธิดาต่อมาพระธิดานั้นได้ปกครองอาณาจักรพระนามว่าพระนางโสมา (សោមា) (ตำนานว่าเป็นพญานาค) ตำนานพระทอง-นางนาค ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกภาษาสันสกฤตกล่าวถึง พราหมณ์เกาฑิณยะผู้ได้รับหอกวิเศษจากพราหมณ์อัศวัตถามา บุตรโทรณาจารย์ ได้เดินทางมาถึงอาณาจักรของชาวเผ่านาคและได้ทำสงครามกันสุดท้ายได้เจรจาด้วยสันติโดยการอภิเษกสมรส พราหมณ์เกาฑิณยะจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าเกาฑิณยะวรมันเทวะ (កៅណ្ឌិន្យទី១) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 1[24]

ส่วนบันทึกของราชทูตจีนที่เข้ามายังอาณาจักรฟูนัน ได้กล่าวถึงพราหมณ์เกาฑิณยะได้ฝันว่ามีเทวดาองค์หนึ่งได้นำลูกเกาฑัณฑ์มามอบให้ พอรุ่งเช้าจึงได้ไปยังศาสนสถานตามความฝันปรากฏเห็นลูกเกาฑัณฑ์ตามความฝัน เทวดาได้ให้ออกเดินทางพร้อมบริวารเพื่อเสาะหาดินแดนก่อสร้างอาณาจักร จึงได้ล่องเรือมาถึงอาณาจักรฝูหนานและได้ทำสงครามกับราชินีหลิวเย่ พระนางหลิวเย่สู้มิได้จึงยอมอภิเษกเป็นมเหสี

อ้างอิง

[แก้]
  1. Kaundinya,Preah thong,and_the "Nagi Soma" jstor.org.com
  2. "เที่ยวปราสาทเมืองเก่าเล่าเรื่องนาคี” ฟังเรื่องนาค…กับตำนานการเกิดรัฐในอุษาคเนย์,มติชน.26 ธันวาคม 2559
  3. เอกสารมหาบุรุษขอม : การศึกษางานเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่, ธิบดี บัวคำศรี, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2564
  4. Throne Council Selects Sihamoni to be the Next King.Samean, Yun (15 October 2004).
  5. "เอกสารกัมพูชากับการศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา" (PDF).ศานติ ภักดีคำ.
  6. จักรวรรดิไศเลนทร์ 4.trueplookpanya.com.2555
  7. Morris Rossabi (28 November 2014). From Yuan to Modern China and Mongolia: The Writings of Morris Rossab
  8. Zhou Daguan (2007). A Record of Cambodia. Translated by Peter Harris. University of Washington Press. ISBN 978-9749511244.
  9. Article: K. Prasidhivongse - Royal World Thailand Reference: S. Sopheak, S. Nearipan Bibliography: The Royal House of Cambodia by Julio A. Jeldres
  10. The Royal House of Cambodia The Royal House of Cambodia, Julio A. Jeldres.Monument Books, 2003 ,University of Michigan
  11. Samean, Yun (15 October 2004). "Throne Council Selects Sihamoni to be the Next King". The Cambodia Daily.
  12. "การสืบราชสันตติวงศ์ กัมพูชา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-26. สืบค้นเมื่อ 2022-01-26.
  13. ประติมากรรมสำริดประโคนชัย จ. บุรีรัมย์ รัฐพุทธมหายานเก่าสุดในสุวรรณภูมิ,สุจิตต์ วงษ์เทศ,มติชน.2559
  14. หนังสือสมบัติอีสานไต้,อำไพ คำโท.จารึกขอมปราสาทพนมรุ้ง (2527:91-96)
  15. นักองค์เองในสารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่:เอเชีย.ฉบับราชบัณฑิตยสถาน,สุมาลี บำรุงสุข, 2539
  16. พงศาวดารกัมพูชาที่แปลชำระและที่นิพนธ์เป็นภาษาไทย พ.ศ. 2339-2459 กับหน้าที่ที่มีต่อชนชั้นปกครองไทย,ธิบดี บัวคำศรี
  17. เขมรรบไทย,ศานติ ภักดีคำ.มติชน (2554:272)
  18. อาณาจักรขอมพุทธศตวรรษที่ 11-19,digitalschool.club
  19. สถาบันกษัตริย์เขมรโบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ,หอสมุดวังท่าพระ(PDF)
  20. เขมรสมัยหลังพระนคร,ศานติ ภักดีคำ.2013
  21. ว่าด้วย ราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา,บุตรี สุวรรณะบุณย์.แปล (PDF)
  22. เอกสารกัมพูชากับการศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา,ศานติ ภักดีคำ
  23. นาคาคติในสังคมเขมร,ชาญชัย คงเพียรธรรม,2015
  24. "เที่ยวปราสาทเมืองเก่าเล่าเรื่องนาคี” ฟังเรื่องนาค…กับตำนานการเกิดรัฐในอุษาคเนย์,มติชน.26 ธันวาคม 2559