ผู้ใช้:Xiengyod/กระบะทราย/เมตเตยยพุทธะ
พระศรีอริยเมตไตรย | |
---|---|
พระไมเตรยโพธิสัตว์ ศิลปะคันธารราษฏร์ ราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 (คริสต์ศตวรรษที่ 2) | |
สันสกฤต | मैत्रेय (ไมเตฺรย) |
บาลี | เมตฺเตยฺย |
พม่า | အရိမေတ္တေယျ (Arimeiteiya) |
จีน | 彌勒菩薩 (Mílè Púsa) |
ญี่ปุ่น | 弥勒菩薩 (Miroku Bosatsu) |
เกาหลี | 미륵보살 (Mireuk Bosal) |
มองโกเลีย | ᠮᠠᠶᠢᠳᠠᠷᠢ᠂ ᠠᠰᠠᠷᠠᠯᠲᠣ; Майдар, Асралт; Mayidari, Asaraltu |
ฉาน | ဢရီႉမိတ်ႈတေႇယႃႉ |
ไทย | พระศรีอริยเมตไตรย, พระศรีอาริย์ |
ทิเบต | Byams Pa |
เวียดนาม | Di-lặc (Bồ Tát) |
ข้อมูล | |
นับถือใน | เถรวาท, มหายาน, วัชรยาน |
พระลักษณะ | ผู้มีมหากรุณาแก่สรรพสัตว์ |
สถานีย่อยพระพุทธศาสนา |
พระศรีอริยเมตไตรย[1] (สันสกฤต: मैत्रेय; ไมเตฺรย; อ่านว่า /ไม-เตร-ยะ/, บาลี: เมตฺเตยฺย) คือบุคคลผู้ซึ่งได้รับการพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตพระองค์ต่อไปหลังสิ้นอายุ 5,000 ปี แห่งศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้า ในปกรณ์ของพระพุทธศาสนาบางเรื่อง เช่น อามิตภสูตร หรือสัทธรรมปุณฑรีกสูตร พระองค์ถูกอ้างถึงในชื่อของพระอชิตะโพธิสัตว์
Maitreya is a bodhisattva who in the Buddhist tradition is to appear on Earth, achieve complete enlightenment, and teach the pure dharma. According to scriptures, Maitreya will be a successor of the historic Śākyamuni Buddha. The prophecy of the arrival of Maitreya references a time when the Dharma will seem to be forgotten on Jambudvipa. It is found in the canonical literature of all Buddhist sects (Theravāda, Mahāyāna, Vajrayāna), and is accepted by most Buddhists as a statement about an event that will take place when the Dharma will seem to be forgotten on Earth.
ประวัติพระศรีอาริย์ของฝ่ายเถรวาท
[แก้]พุทธพยากรณ์
[แก้]ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท กล่าวถึงพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรยไว้ดังนี้[2]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ 80,000 ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้เป็นอรหันต์ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
อดีตชาติ
[แก้]อรรถกถาในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทกล่าวว่า ชาติแรกที่พระศรีอริยเมตไตรยตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์เกิดเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังข์จักรจอมจักพรรดิ์ ปกครองนครอินทปัตถ์ ในสมัยศาสนาของพระสิริมัตตะพุทธเจ้า วันหนึ่งทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ๆ เมืองอินทปัตถ์ทรงดีพระทัยยิ่งจึงรีบเสด็จไปด้วยพระบาท
เพียงหนึ่งวันพระบาททั้งสองก็แตกช้ำ วันที่สามพระชงฆ์ก็แตกยับพระโลหิตนอง วันที่สี่ไม่สามารถเสด็จต่อไปได้แต่ด้วยพระวิริยะและจิตมุ่งมั่นที่จะเข้าเฝ้าจึงกระเถิบไปด้วยพระอุระ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณทิพย์จึงแปลงเป็นมาณพหนุ่มขับเกวียนพาไปถึงที่พำนักของพระพุทธเจ้า พระอินทร์และมเหสีทั้งสี่ได้แปลงเป็นหญิงชาย นำห่อข้าวทิพย์และน้ำทิพย์มาให้เสวย
เมื่อพระองค์หายบอบช้ำจึงเสด็จไปในพระวิหาร เพียงแรกพบพระพุทธเจ้าก็ทรงสลบลงด้วยความปลื้มปิติ เมื่อฟื้นพระวรกายจึงตรัสว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า" และมิได้ตรัสอะไรได้อีกด้วยความยินดีพระทัย พระองค์ขอสดับธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวเพราะไม่มีสิ่งใดถวายบูชาพระธรรมเทศนา จึงทรงตัดพระเศียร (ศีรษะ) ด้วยพระนขา (เล็บ) ถวายเป็นพุทธบูชา และในยุคของพระโคตมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยทรงเป็นพระสงฆ์สาวกของพระโคตมพุทธเจ้า พระนามว่าพระอชิตเถระ ครั้งหนึ่งทรงได้รับพุทธยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
การตรัสรู้
[แก้]พระประวัติของพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีบันทึกในเอกสารต่างๆ เช่น อนาคตวงศ์ สรุปได้ว่า พระโพธิสัตว์จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรยพรหมวดี ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ แห่งเกตุมดีนคร เมื่อประสูติได้มีนิมิต 32 ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท 3 หลังเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อพระชนมายุ 8,000 ปี ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง 4 จึงทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ 12 ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง
พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า มีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ
คุณลักษณะ
[แก้]One mention of the prophecy of Maitreya is in the Sanskrit text, the Maitreyavyākaraṇa (The Prophecy of Maitreya). It implies that he is a teacher of meditative trance sadhana and states that gods, men, and other beings:
- "will lose their doubts, and the torrents of their cravings will be cut off: free from all misery they will manage to cross the ocean of becoming; and, as a result of Maitreya's teachings, they will lead a holy life. No longer will they regard anything as their own, they will have no possession, no gold or silver, no home, no relatives! But they will lead the holy life of oneness under Maitreya's guidance. They will have torn the net of the passions, they will manage to enter into trances, and theirs will be an abundance of joy and happiness, for they will lead a holy life under Maitreya's guidance." (Trans. in Conze 1959:241)
รูปลักษณ์ทั่วไป
[แก้]รูปของพระศรีอริยเมตไตรยปกติมักทำเป็นรูปบุคคลนั่งบนบัลลังก์ อาจเป็นแบบนั่งวางเท้าทั้งสองตามแบบปกติหรือหรือนั่งไขว่ห้าง แสดงอาการรอเวลาการจุติลงไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ ทรงเครื่องแบบพระภิกษุหรือแบบขัตติยราชในอินเดีย และในฐานะที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ จึงมีการทำรูปของพระองค์แบบประทับยืนทรงเครื่องประดับประดาต่างๆ ด้วยเช่นกัน ศิราภรณ์ประดับพระเศียรนั้นทำเป็นรูปพระสถูปขนาดเล็ก อันหมายถึงสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเครื่องหมายบอกว่าพระองค์เป็นผู้สืบทอดศาสนาในอนาคตต่อจากพระสมณโคดม พระหัตถ์ข้างหนึ่งอาจทรงธรรมจักร อีกข้างทรงถือดอกบัว รอบพระโสณี (เอว) พันไว้ด้วยผ้าที่เรียกว่า "คาตา" (khata) อยู่เสมอ
ผู้ถือหม้อน้ำ
[แก้]ในศิลปะแบบกรีก-พุทธของแคว้นคันธาระ ซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-8 ทางภาคเหนือของประเทศอินเดียปัจจุบัน รูปลักษณ์ของพระศรีอริยเมตไตรยแสดงออกด้วยรูปของผู้ดีชาวเอเชียกลางหรือชาวอินเดียภาคเหนือ มือซ้ายถือกุมภะ (หม้อน้ำ) หรือในบางครั้งอาจเป็นรูป "พุมปะ" หรือคนโทแห่งปัญญา ด้านซ้ายขวาของพระองค์มีพระสาวกสองพี่น้องอยู่ข้างละองค์ ชื่อว่า "พระอสังคะ" และ "พระวสุพันธุ"
สวรรค์ชั้นดุสิตของพระศรีอาริย์
[แก้]ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
Maitreya currently resides in the Tuṣita Heaven (Pāli: Tusita), said to be reachable through meditation. Śākyamuni Buddha also lived here before he was born into the world as all bodhisattvas live in the Tuṣita Heaven before they descend to the human realm to become Buddhas. Although all bodhisattvas are destined to become Buddhas, the concept of a bodhisattva differs greatly in Theravada and Mahayana Buddhism. In Theravada Buddhism, a bodhisattva is one who is striving for full enlightenment (Arahantship in Pali), whereas in Mahayana Buddhism, a bodhisattva is one who has already reached a very advanced state of grace or enlightenment but holds back from entering nirvana so that he may help others.
In Mahayana Buddhism, once Maitreya becomes a Buddha, he will rule over the Ketumati Pure Land, an earthly paradise sometimes associated with the Indian city of Varanasi (also known as Benares) in Uttar Pradesh. In Mahayana Buddhism, Buddhas preside over the Pure Land; the Buddha Amitabha presides over the Sukhavati Pure Land, more popularly known as the Western Paradise.)
In Theravadin Buddhism, Buddhas are born as unenlightened humans, and are not rulers of any paradise or pure land. Maitreya's arising would be no different to the arising of Shakyamuni Buddha, as he achieved full-enlightenment as a human being, and passed away into parinibbana when the conditions were ripe for his final passing. Orthodox Theravadin doctrine has much less emphasis on deities and Bodhisattvas, and do not view Bodhisattvas as enlightened beings, or as beings that make the aspiration to become Buddhas in future lives.
กิจของพระศรีอาริย์ในปัจจุบันกาล
[แก้]In Mahayana schools, Maitreya is traditionally said to have revealed the Five Treatises of Maitreya through Asanga. These important texts are the basis of the Yogachara tradition and constitute the majority of the Third Turning of the Wheel of Dharma.
การมาถึงของพระศรีอาริย์ในอนาคตกาล
[แก้]ตามธรรมเนียมในพุทธศาสนา พระศรีอริยเมตไตรยคือผู้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปป์ ซึ่งเป็นกัปป์ปัจจุบัน และการอุบัติขึ้นของพระองค์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อพระธรรมของพระโคตมพุทธเจ้าเสื่อมสูญไป
Maitreya's coming is characterized by a number of physical events. For example, the oceans are predicted to decrease in size, allowing Maitreya to traverse them freely. These events will also enable the reintroduction of the "true" Dharma to the people, in turn allowing the construction of a new world.
His arrival signifies the end of the middle time, the time between fourth Buddha, Gautama Buddha, and the fifth Buddha, Maitreya, which is viewed as a low point of human existence. According to the Cakkavatti Sutta: The Wheel-turning Emperor, Digha Nikaya 26 of the Sutta Pitaka of the Pāli Canon), Maitreya Buddha will be born in a time when humans will live to an age of eighty thousand years, in the city of Ketumatī (present Benares), whose king will be the Cakkavattī Sankha. Sankha will live in the palace where once dwelt King Mahāpanadā, but later he will give the palace away and will himself become a follower of Maitreya Buddha.[3]
The scriptures say that Maitreya will attain Bodhi in seven days (which is the minimum period), by virtue of his many lives of preparation for Buddhahood (similar to those reported in the Jataka stories of Shakyamuni Buddha).
At this time a notable teaching he will start giving is that of the ten non-virtuous deeds (killing, stealing, sexual misconduct, lying, divisive speech, abusive speech, idle speech, covetousness, harmful intent and wrong views) and the ten virtuous deeds (the abandonment of: killing, stealing, sexual misconduct, lying, divisive speech, abusive speech, idle speech, covetousness, harmful intent and wrong views).
จุดกำเนิด
[แก้]นามของพระศรีอริยเมตไตรย (ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า "ไมเตรยะ" ภาษาบาลีคือ "เมตเตยยะ") มีที่มาจากคำว่า "ไมตฺรี" ในภาษาสันสกฤต (บาลี: "เมตฺตา") หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ซึ่งคำนี้กลายมาจากคำนาม "มิตฺร" (บาลี: มิตฺต) อันมีความหมายว่า "เพื่อน"
นามของพระศรีอริยเมตไตรยถูกกล่าวถึงครั้งแรกสุดในพระสูตรฝ่ายบาลีชื่อจักกวัตติสูตร (หรือ "สีหานทสูตร") อันอยู่ในพระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย He occurs in no other sutta, and this casts doubt as to the sutta's authenticity. Most of the Buddha's sermons are presented as preached in answer to a question, or in some other appropriate context, but this one has a beginning and an ending in which the Buddha is talking to monks about something totally different. This leads Gombrich to conclude that either whole sutta is apocryphal, or it has at least been tampered with.[4]
Maitreya is sometimes represented seated on a throne Western-style, and venerated both in Mahāyāna and non-Mahāyāna Buddhism. Some have speculated that inspiration for Maitreya may have come from the ancient Indo-Iranian deity Mithra. The primary comparison between the two characters appears to be the similarity of their names. According to a book entitled The Religion of the Iranian Peoples, "No one who has studied the Zoroastrian doctrine of the Saoshyants or the coming saviour-prophets can fail to see their resemblance to the future Maitreya.[5]
Paul Williams claims that some Zoroastrian ideas like Saoshyant influenced the beliefs about Maitreya, such as "expectations of a heavenly helper, the need to opt for positive righteousness, the future millennium, and universal salvation". Possible objections are that these characteristics are not unique to Zoroastrianism, nor are they necessarily characteristic of the belief in Maitreya.
It is also possible that Maitreya Buddha originated with the Hindu Kalki, and that its similarities with the Iranian Mithra have to do with their common Indo-Iranian origin.
In the Greco-Buddhist art of Gandhara, in the first centuries CE in northern India, Maitreya was the most popular figure to be represented, together with the Buddha Śākyamuni. In China, in the 4th–6th Centuries "[Buddhist artisans] used the names Shakyamuni and Maitreya interchangeably... indicating both that the distinction between the two had not yet been drawn and that their respective iconographies had not yet been firmly set"[6] An example is the stone sculpture found in the Qingzhou cache dedicated to Maitreya in 529 CE as recorded in the inscription (currently in the Qingzhou Museum, Shandong). The cult of Maitreya seems to have developed around the same time of that of Amitābha, as early as the 3rd century CE.
ทัศนคติคัดค้านแนวคิดเรื่องพระพุทธเจ้าในอนาคต
[แก้]ในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมี "พุทธธาตุ" หรือ ธาตุแห่งพุทธภาวะ อยู่ในตนเอง ซึ่งอาจสามารถยังให้เกิดความรู้แจ้งขึ้นได้ในอัตภาพปัจจุบัน แนวคิดของการสืบทอดพุทธธาตุนั้นไปด้วยกันไม่ได้กับแนวคิดของอนาคตพุทธซึ่งจะจุติลงมาจากสวรรค์ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าทฤษฎีของการสืบทอดพุทธภาวะเช่นนี้เชื่อว่าแต่ละคนก็ย่อมสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ในชั่วชีวิตของตนเอง ในพุทธศาสนานิกายนิชิเรนมีหลักเน้นย้ำถึง "การตรัสรู้เป็นพุทธะในอัตภาพปัจจุบัน" โดยการปฏิบัติตามคำสอนที่ปรากฏในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรเป็นหลัก
Maitreya appears as a significant figure in the text of the Lotus Sutra, however, Nichiren's explanation of Maitreya was as just a metaphor indicating a protective force and a function of “guarding and helping” the Bodhisattvas of the Earth, who also appear in the Lotus Sutra: “Moreover… all the bodhisattvas, Bodhisattva Maitreya … will guard and protect the votaries of the Lotus Sutra, so one may indeed rest assured”.[7] In many of his writing, Nichiren mentions the traditional Buddhist views on Maitreya - but clearly explains that the propagation of the Eternal Dharma of the Lotus Sutra was entrusted by Shakyamuni to the “Earth Bodhisattvas”: “ The Buddha did not entrust these five characters to Maitreya, Medicine King, or the others of their group. Instead he summoned forth the bodhisattvas….from the great earth of Tranquil Light and transferred the five characters to them”.[8] In view of Nichiren Buddhism, each person embodies the character of “the Maitreya” because Maitreya is a metaphor for the function of compassion : “The name Maitreya means ‘Compassionate One’ and designates the Votaries of the Lotus Sutra”.[9]
ผู้อ้างตัวเป็นพระศรีอาริย์
[แก้]Since his death, the Chinese monk Budai (Hotei) has been popularly regarded as an incarnation of the bodhisattva Maitreya. His depiction as the Laughing Buddha continues to be very popular in East Asian culture.[ไม่แน่ใจ ]
While a number of persons have proclaimed themselves to be Maitreya over the years following the Buddha’s parinirvana, none have been officially recognized by the sangha and Buddhists. A particular difficulty faced by any would-be claimant to Maitreya's title is the fact that the Buddha is considered to have made a number of fairly specific predictions regarding the circumstances that would occur prior to Maitreya's coming; such as that the teachings of the Buddha would be completely forgotten, and all of the remaining relics of Sakyamuni Buddha would be gathered in Bodh Gaya and cremated.[ไม่แน่ใจ ]
มุมมองของผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ
[แก้]Since the growth of the Theosophical movement in the 19th century, non-Buddhist religious and spiritual movements have adopted the name and selected characteristics of Maitreya for teachers in their traditions. The Theosophical Maitreya developed differently than the original Buddhist concept.[10]
Share International, which equates Maitreya with the prophesied figures of multiple religious traditions, claims that he is already present in the world, but is preparing to make an open declaration of his presence in the near future. They claim that he is here to inspire mankind to create a new era based on sharing and justice.[11]
Since the beginning of the 1930s, the Ascended Master Teachings have placed Maitreya in the "Office" of "World Teacher" until 1956, when he was described as moving on to the "Office" of "Planetary Buddha" and "Cosmic Christ" in their concept of a Spiritual Hierarchy.
Some Muslim scholars who studied Buddhist texts believe that Maitreya is "Rahmatu lil-'alameen" (Mercy for The Worlds), which is the name for the prophet Muhammad as it is said in the Qur'an.[12] According to the research on the book Antim Buddha - Maitreya scholars have surmised that Maitreya Buddha is Muhammad.[13] After examining the Buddhist texts researchers concluded that Muhammad had been the last and final awakened Buddha to come into existence long after the current teachings.[14]
The 19th Century, Mirza Ghulam Ahmad, is believed in by the members of the Ahmadiyya Community (the faith he brought) as fulfilling expectations regarding the Maitreya Buddha.[15]
Bahá'ís believe that Bahá'u'lláh is the fulfillment of the prophecy of appearance of Maitreya.[16][17] Bahá'ís believe that the prophecy that Maitreya will usher in a new society of tolerance and love has been fulfilled by Bahá'u'lláh's teachings on world peace.[16]
More self-proclaimed Maitreyas
[แก้]The following people listed are just a small portion of the several people who claimed themselves to be Maitreya. Many have either used the Maitreya incarnation claim to form a new Buddhist sect or have used the name of Maitreya to form a new religious movement or cult.
- Gung Ye, a Korean warlord and king of short-lived state of Taebong during the 10th century, claimed himself as living incarnation of Maitreya and ordered his subjects to worship him. His claim was widely rejected by most Buddhist monks and later he was dethroned and killed by his own servants.
- In 613 the monk Xiang Haiming claimed himself Maitreya and adopted imperial title.[18]
- In 690 Empress Wu inaugurated the Second Zhou dynasty, proclaimed herself an incarnation of the future Buddha Maitreya, and made Luoyang the "holy capital." In 693 she replaced the compulsory Dao De Jing in the curriculum temporarily with her own Rules for Officials.[19]
- Lu Zhong Yi, the 17th patriarch of I-Kuan Tao, claimed to be an incarnation of Maitreya.
- L. Ron Hubbard, founder of the belief systems Dianetics and Scientology, suggested he was "Metteya" (Maitreya) in the 1955 poem Hymn of Asia. Numerous editors and followers of Hubbard claim that in the book's preface, specific physical characteristics said to be outlined—in unnamed Sanskrit sources—as properties of the coming Maitreya; properties which Hubbard's appearance supposedly aligned with.
- Adi Da was suggested by his devotees to be Maitreya: "an All-Surpassing God-Man yet to come -- a final Avatar, the ultimate Messiah, a consumate Prophet or Enlightened Sage, a Spiritual Deliverer who will appear in the 'late-time', the 'dark' epoch when humanity is lost, apparently cut off from Wisdom, Truth and God. Buddhists call that Expected One 'Maitreya'." [20]
- Raël's Maitreya claims [3] center on the content of the Agama Sutra (Japanese: Agon Sutra),[21] supposedly a very ancient text written by Buddha himself, but which has been deemphasized or forgotten by the majority of Buddhist cultures.[22] Raël has claimed directly to people attending Asia Raëlian Church seminars, that someone born in France, a country which is often symbolized by the cock (or rooster), west of the Orient, meets the criteria of the Maitreya. Rael himself claims to be this individual.[23]
- Joseph Emmanuel of the Mission of Maitreya claims to be the Maitreya Buddha, as well as a major prophet of God who purportedly fulfills prophecies from the Old Testament, New Testament, Koran, Baha'i scriptures and eastern scriptures.[24] Perhaps the most prominent example of Emmanuel's claims to being the Maitreya is the fact that his main teaching seeks to unify the world's religions by means of showing how each religion corresponds to one of seven "seals".[25] His use of the term "seal" is a reference to a central tenet of Christian eschatological belief described in the Bible, in which it is predicted that Christ would return and open a book sealed with "seven seals" (Rev 5:5). The Mission of Maitreya also makes claims that link Emmanuel's teaching of seven seals to Buddhist tradition. According to Buddhist Scriptures, the Maitreya Buddha will "take seven steps forward, and where he puts down his feet a jewel or lotus will spring up."[26][27] Emmanuel was originally a student of the yoga teacher P.R. Sarkar in India, who founded Ananda Marga, and while in this organization, Emmanuel was given the spiritual name "Maitreya." This has been cited as further evidence by the Mission of Maitreya that Joseph Emmanuel is the true Maitreya.
- Dan Quinn (fighter), an American Mixed Martial Arts fighter, has recently claimed to be Maitreya in a series of videos posted to YouTube,[28] and has a tattoo of the name.[29][30] His interpretation of Maitreya is unclear.
When the Theosophical Society found Krishnamurti in Madras India in 1909, Charles Leadbeater claimed he was Lord Maitreya. < One Thousand Suns by Asit Chandmal, page 10)
Maitreya sects in China
[แก้]Pre-Maitreyan Buddhist messianic rebellions
[แก้]Southern and Northern Dynasties
[แก้]- 515
- The Mahayana Rebellion. In the late summer of that year, the renegade monk Faqing 法慶 married a nun and formed a sect in the Northern Wei province of Jizhou 冀州 (in the southern part of today’s Hebei province) with the assistance of a local aristocrat named Li Guibo 李歸伯. The sect was named the Mahayana ("The Great Vehicle", in reference to Mahayana Buddhism), and Li Guibo was given the titles of Tenth-stage Bodhisattva, Commander of the Demon-vanquishing Army, and King who Pacifies the Land of Han by Faqing.
- Using drugs to send its members into a killing frenzy, and promoting them to Tenth-Stage Bodhisattva as soon as they killed ten enemies, the Mahayana sect seized a prefecture and murdered all the government officials in it. Their slogan was "A new Buddha has entered the world; eradicate the demons of the former age", and they would kill all monks and nuns in the monasteries that they captured, also burning all the sutras and icons. After defeating a government army and growing to a size of over 50,000, the rebel army was finally crushed by another government army of 100,000. Faqing, his wife, and tens of thousands of his followers were beheaded, and Li Guibo was also captured later and publicly executed in the capital city Luoyang.
- The Fozu Tongji (Comprehensive Records of the Buddha), a chronicle of Buddhist history written by the monk Zhipan in 1269, also contains an account of the Mahayana Rebellion, but with significant deviations from the original account, such as dating the rebellion to 528 rather than 515.[31]
- 516
- The Moonlight Child Rebellion. Toward the end of that year, another sect was discovered by local authorities in Yanling (a county or prefecture of Jizhou). A man named Fa Quan and his associates were claiming that an eight-year-old child named Liu Jinghui was a Bodhisattva called the Moonlight Child (yueguang tongzi pusa; 月光童子菩萨), and that he could transform into a snake or a pheasant. They were arrested and sentenced to death on suspicion of seditious intent, but Jinghui had his sentence commuted to banishment on account of his youth and ignorance.[31]
- 517
- Early in the spring of that year, surviving remnants of the Mahayana rebels regrouped and mounted a sudden attack on the capital of Yingzhou province, which lay just northwest of their original base in Bohai prefecture. They were repelled only after a pitched battle with an army of slaves and attendants led by Yuwen Yan, the son of the provincial governor, and nothing more is known of their fate.[31]
Although a "new Buddha" was mentioned, these rebellions are not considered "Maitreyan" by modern scholars.[31] However, they would be a later influence on the rebel religious leaders that made such claims. Therefore, it is important to mention these rebellions in this context.
Maitreyan rebellions
[แก้]Sui Dynasty
[แก้]- 610
- On the first day of the Chinese New Year, dozens of rebels dressed in white, burning incense and holding flowers proclaimed their leader as Maitreya Buddha and charged into the imperial palace through one of its gates, killing all the guards before they were themselves killed by troops led by an imperial prince. A massive investigation in the capital (Chang'an) implicated over a thousand families.[31]
- 613
- A skilled magician named Song Zixian claimed to be Maitreya in Tang County (northwest of Yingzhou), and allegedly could transform into the form of a Buddha and make his room emit a glow every night. He hung a mirror in a hall that could display an image of what a devotee would be reincarnated as – a snake, a beast or a human being. Nearly a thousand "from near and far" joined his sect every day, and he plotted to first hold a Buddhist vegetarian banquet (wuzhe fohui) and then make an attack on the emperor who was then touring Yingzhou. The plot was leaked out, and Song was arrested and executed with over a thousand families of his followers.[31]
- 613
- The monk Xiang Haiming claimed to be Maitreya in Fufeng prefecture (western Shaanxi) and led a rebellion. The elite of the Chang’an area hailed him as a holy man (dasheng) because they had auspicious dreams after following him, and his army swelled to several tens of thousands before he was defeated by government troops.[31]
Tang Dynasty
[แก้]- 710
- Wang Huaigu declared, "The Shakyamuni Buddha has declined; a new Buddha is about to appear. The House of Li is ending, and the House of Liu is about to rise".[18]
Song Dynasty
[แก้]- 1047
- Army officer Wang Ze led a revolt of Buddhists expecting Maitreya; they took over the city of Beizhou in Hebei before they were crushed.[32] The Song Dynasty government declared Maitreya Sects to be "heresies and unsanctioned religions". Tens of thousands of Maitreya Sect followers were killed.[33]
Yuan and Ming Dynasty
[แก้]- 1351
- The Red Turban Rebellion (a.ka. The First White Lotus Rebellon). Han Shantong (韓山童), leader of the White Lotus Society, and Army Commander Liu Futong (劉福通) rebelled against the Mongol masters of the Yuan Dynasty. Shantong's anti-Mongol slogan was "The empire is in utter chaos. Maitreya Buddha has incarnated, and the Manichaean King of Light has appeared in this world."[18]
- In 1355, Han Shantong's son, Han Lin'er (韓林兒), was proclaimed "Emperor of the Great [Latter] Song" (大宋, referring to the dead Song Dynasty) (1355-1368?) by Liu Futong. Liu Futong claimed Han Lin'er was a direct descendent of the Zhao royal family who ruled the Song Dynasty. After Liu Futong's death, Zhu Yuanzhang took up command of the Red Turban Rebellion and later assassinated Han Lin'er to become Emperor Hongwu of the Ming Dynasty. (See History)
- According to Beijing University,[34]
“ | The leader of White Lotus sect, Han Shantong called himself Ming Wang (明王 - "King of Brightness"), while his son, Han Lin'er called himself Xiao Ming Wang (小明王 - "Small King of Brightness"), both names reflecting the sect's beliefs. Zhu Yuanzhang had been a member of the White lotus Sect, and admitted to have been a branch of the White Lotus rebel army (being at one time vice-marshal of Xiao Ming Wang). When Zhu Yuanzhang took power, he chose the dynastic name "Ming". | ” |
This suggests that the Ming Dynasty was named after the White Lotus figures of the "Big and Little Bright Kings".
Post-Maitreyan rebellions
[แก้]Qing Dynasty
[แก้]- 1796
- The White Lotus Rebellion (a.k.a. The Second White Lotus Rebellion). It broke out among impoverished settlers in the mountainous region that separates Sichuan province from Hubei and Shaanxi provinces. It apparently began as a White Lotus Society protest against heavy taxes imposed by Manchu rulers of the Qing Dynasty.[35]
- The Yi He Tuan (義和團), often called in English the "Society of Harmonious Fists" was a 19th century martial-sect inspired in part by the White Lotus Society. Members of the "Harmonious Fists" became known as "Boxers" in the west because they practiced Chinese martial arts.
- 1899
- The Boxer Rebellion (義和團之亂). It was a Chinese rebellion from November 1899 to September 7, 1901 against foreign influence in such areas as trade, politics, religion and technology that occurred in China during the final years of the Qing Dynasty. By August 1900, over 230 foreigners, tens of thousands of Chinese Christians, an unknown number of rebels, their sympathizers and other innocent bystanders had been killed in the ensuing chaos. The uprising crumbled on August 14, 1900 when 20,000 foreign troops entered the Chinese capital, Peking (Beijing).
Albeit not in the name of Maitreya, both rebellions were perpetrated solely or in part by the White Lotus Society, a rebellious Maitreya sect.
Alternative persona
[แก้]There was a sage of the same name in the epic Mahabharata. His lineage is unknown. He came to the court of Hastinapura to advise Duryodhana to restore the kingdom of the Pandavas, a little while after the sons of Pandu had gone into exile, having been defeated at dice.
However, Duryodhana didn't even bother to listen to the sage, and showed his disrespect all too plainly. Incensed, the sage cursed him and said, "Fourteen years hence, you shall be destroyed in battle by the Pandavas, along with your kinsmen and all that you hold dear. Bheema shall despatch you to the abode of Yama, by breaking your thighs with the mace." Some hold that the curse of this sage played a major part in encompassing the destruction of the Kauravas.[36]
ดูเพิ่ม
[แก้]- Maitreya (Theosophy)
- ปู้ไต้, a traditional manifestation of Maitreya
- กัลกิ
- กัลกิปุราณะ
- List of Buddha claimants (Many are also Maitreya claimants)
- List of the twenty-eight Buddhas
- Leshan Giant Buddha
- Mahdi
- Maitreya Project
- เมสสิยาห์
- Raj Patel
- Saoshyant
อ้างอิง
[แก้]- Tiele, Cornelis P. The Religion of the Iranian Peoples. "The Parsi" publishing, 1912. Retrieved 26 August 2007.
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2552, หน้า 290
- ↑ [1]
- ↑ Vipassana.info, Pali Proper Names Dictionary: Metteyya
- ↑ Richard Gombrich, Theravada Buddhism: A Social History from Ancient Benares to Modern Colombo. Routledge and Kegan Paul, 1988, pages 83-85.
- ↑ Tiele, p. 159.
- ↑ Angela Falco Howard et al., Chinese Sculpture, Yale University Press, 2006, p. 228
- ↑ http://www.sgilibrary.org/view.php?page=1074&m=3&q=all%20the%20bodhisattvas,%20Bodhisattva%20Maitreya
- ↑ http://www.sgilibrary.org/view.php?page=437&m=3&q=The%20Buddha%20did%20not%20entrust%20these%20five%20characters
- ↑ The Record of Orally Transmitted Teachings p 143.Translated by Burton Watson
- ↑ As it did with practically every major religious, philosophical, and cultural tradition, Theosophy ascribed additional occult or esoteric significance to many Buddhist concepts. In the Theosophical Spiritual Hierarchy, "Maitreya" is currently high in the ranks of the so-called Masters of the Ancient Wisdom where he also holds the Office of the World Teacher. According to Theosophical writers he has had a number of manifestations or incarnations in the physical plane, and he has been further identified with Christ. An expected Maitreya manifestation in the early part of the 20th century did not happen as predicted, and did not fulfil Theosophists' expectations. Leadbeater, Charles W. (2007). [Reprint ed. originally published 1925. Adyar, India: Theosophical Publishing House]. The Masters and the Path. New York: Cosimo Classics. ISBN 978-1602063334. The Theosophical Maitreya features prominently in the entire work. Some instances pertinent here: pp. 4–5, 10, 31-32, 34, 36, 74; "Part IV: The Hierarchy" pp. 211–301. Besant, Annie & Leadbeater, Charles W. (1913). Man: How, Whence, and Whither; a record of clairvoyant investigation. Adyar, India: Theosophical Publishing House. pp. 339, 520. OCLC 871602. Presumed prior Maitreya incarnations. Lutyens, Mary (1975). Krishnamurti: The Years of Awakening. New York: Farrar Straus and Giroux. ISBN 0374182221. Biography (partial) of the presumed "vehicle" of the Maitreya in the 20th century, describes the events in some detail.
- ↑ Official Share International Website
- ↑ http://www.islam.ru/vera/polojenie/proroki/nemonoteist/ (รัสเซีย)
- ↑ Dr. Ved Prakash Upaddhay - Sanskrit Prayag University, Muhammad in the Hindu Scriptures pg 36 - 44
- ↑ Prof. Ashit Kumar Bandhopaddhay, Sanskrit Academy Howrah
- ↑ Review of Religions March 2002, Vol. 97, No. 3, pg. 24
- ↑ 16.0 16.1 Momen, Moojan (1995). Buddhism And The Baha'i Faith: An Introduction to the Baha'i Faith for Theravada Buddhists. Oxford: George Ronald. pp. 50–52. ISBN 0853983844.
- ↑ Buck, Christopher (2004). "The eschatology of Globalization: The multiple-messiahship of Bahā'u'llāh revisited". ใน Sharon, Moshe (บ.ก.). Studies in Modern Religions, Religious Movements and the Bābī-Bahā'ī Faiths (PDF). Boston: Brill. pp. 143–178. ISBN 90-04-13904-4.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Notable Maitreyan Rebellions, FYSM068--Collective Violence and Traumatic Memory in Asia. 16 October 2005. Retrieved 29 November 2006. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Notable Maitreyan Rebellions" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Tang Dynasty Empire 618-906, SAN-BECK. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ Carolyn Lee. "Adi Da: The Promised God-Man Is Here (9781570971433) : The Ruchira Sannyasin Order of Adidam Ruchiradam: Books". Amazon.com. สืบค้นเมื่อ 2010-06-01.
- ↑ Reader, Ian, Religion in Contemporary Japan, University of Hawaii Press - Page 211. 1991. Retrieved 26 December 2006.
- ↑ Dharma Talks by Seiyu Kiriyama, Agon Shu, the Ultimate Embodiment of Buddhism. April 1994. Retrieved 15 August 2006.
- ↑ Maitreya from the West, Korean Raelian Movement. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ [2]
- ↑ Seven Seals
- ↑ Buddhist Prophecies, Mission of Maitreya Website. Retrieved 3 September 2010.
- ↑ Conze, Edward. Buddhist Scriptures. London: Penguin Classics, 1959. p. 239.
- ↑ Dan Quinn's Current YouTube Channel
- ↑ Video of Dan Quinn Being Tattooed
- ↑ Dan Quinn Video
- ↑ 31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 31.5 31.6 Buddhist Political Ideology in the Mahayana Rebellion and Moonlight Child Incident of 6th century China, China History Info. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ Song Dynasty Renaissance 960-1279, SAN-BECK. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ Is Qigong Political? A new look at Falun Gong QI: The Journal of Traditional Eastern Health & Fitness. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ "白莲教的首领韩山童称“明王”(他的儿子韩林儿称“小明王”),都体现其教义宗旨。朱元璋不仅曾经信仰白莲教,而且承认自己是白莲教起义军的一支(他曾为小明王左副元帅)。朱元璋取得政权后,国号称“明”。Beijing University
- ↑ White Lotus Rebellion, The Columbia Encyclopedia, Sixth Edition. May 2001. Retrieved 29 November 2006.
- ↑ Maitreya - A Sage, Indian Mythology. Retrieved 29 November 2006.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- The Maitreya Project, building a huge statue of Maitreya in Kushinagar, India
- April 2010 Smithsonian Magazine Article
- About the Future Buddha Ariya Ajita Metteyya
- The Story of the Coming Buddha: Ariya Metteyya
แม่แบบ:Tibetan Buddhism แม่แบบ:Buddhism topics แม่แบบ:Buddhism2 แม่แบบ:Bodhisattvas แม่แบบ:Time in religion and mythology