กระดูกไหปลาร้า
กระดูกไหปลาร้า (Clavicle) | |
---|---|
ภาพวาดกระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย แสดงจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็น มุมมองจากด้านบน (รูปบน) | |
ภาพวาดกระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย แสดงจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็น มุมมองจากด้านล่าง (รูปล่าง) | |
ตัวระบุ | |
MeSH | D002968 |
TA98 | A02.4.02.001 |
TA2 | 1168 |
FMA | 13321 |
ศัพท์ทางกายวิภาคของกระดูก |
ในกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ กระดูกไหปลาร้า (อังกฤษ: Clavicle) เป็นกระดูกแบบยาว (long bone) ชิ้นหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของกระดูกส่วนไหล่ (shoulder girdle) ชื่อของกระดูกไหปลาร้าในภาษาอังกฤษ Clavicle เป็นคำที่มาจากภาษาลาติน clavicula ซึ่งแปลว่า กุญแจเล็กๆ เนื่องจากกระดูกชิ้นนี้จะมีการหมุนรอบแกน ในแนวนอนคล้ายกับการไขกุญแจ ขณะที่แขนกางออก กระดูกไหปลาร้ายังเป็นกระดูกที่สามารถมองเห็น แนวของกระดูกได้จากภายนอกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเพศหญิงซึ่งมีไขมันในบริเวณรอบๆกระดูกน้อยกว่า
นอกจากในมนุษย์แล้ว กระดูกไหปลาร้ายังพบในสัตว์สี่ขา (tetrapods) ชนิดอื่นๆ แต่อาจมีรูปร่างเล็กกว่าหรืออาจไม่พบเลย กระดูกไหปลาร้าจะเจริญในสัตว์ที่ใช้ส่วนรยางค์หน้าในการหยิบจับ แต่จะไม่เจริญมากนักในสัตว์ที่ใช้รยางค์หน้าในการรองรับน้ำหนักหรือการวิ่ง
กระดูกไหปลาร้าเปรียบเสมือนไม้ค้ำ ประคองแขนทั้งสองข้างไว้ ทำให้แขนสามารถเคลื่อนไหว ได้อย่างเป็นอิสระอยู่บนลำตัว
กระดูกชิ้นนี้อยู่ในตำแหน่ง ที่ง่ายต่อการกระแทก บาดเจ็บ และรับแรงกระแทกที่ส่งผ่านมาจาก แขนไปสู่ลำตัว กระดูกไหปลาร้าจึงเป็นกระดูกชิ้นที่หักบ่อยที่สุดในร่างกาย โดยมักจะหักเนื่องจาก ล้มหรือตกจากที่สูง โดยลงกระแทกบริเวณไหล่ หรือกระแทกในท่าแขนที่เหยียดออก แรงจะส่งผ่านไปตามแขน ไหล่ ไปสู่กระดูกไหปลาร้า และจะหักในส่วนที่อ่อนแอที่สุด (คือรอยต่อระหว่าง 1/3กลาง กับ 1/3ด้านนอก) หลังจากหักจะถูกกล้ามเนื้อและน้ำหนักของแขนดึงให้ผิดรูปไป
กายวิภาคศาสตร์
[แก้]กระดูกไหปลาร้าด้านขวา มุมมองจากด้านบน (รูปบน) และมุมมองจากด้านล่าง (รูปล่าง) |
ลักษณะทั่วไป
[แก้]กระดูกไหปลาร้าเป็นกระดูกแบบยาวที่มีแนวโค้งสองแนว ทำให้มีรูปร่างคล้ายตัว S และเชื่อมระหว่างส่วนลำตัวและส่วนแขนของร่างกาย เราจึงแบ่งส่วนของกระดูกไหปลาร้าได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ ตามปลายทั้งสองด้านของกระดูก ได้แก่
พื้นผิวและจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็น
[แก้]พื้นผิวบนกระดูกไหปลาร้าที่สำคัญได้แก่พื้นผิวทางด้านบน (superior surface) พื้นผิวทางด้านล่าง (inferior surface) ขอบด้านหน้า (anterior border) และขอบด้านหลัง (posterior border) ซึ่งจะมีจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆที่เป็นส่วนประกอบของบริเวณไหล่ ดังตารางสรุปด้านล่าง
พื้นผิวบนกระดูกไหปลาร้า | กล้ามเนื้อ/เอ็น | บริเวณที่เกาะบนกระดูก |
พื้นผิวด้านบนและขอบด้านหน้า | กล้ามเนื้อเดลทอยด์ (Deltoid muscle) | ปุ่มเดลทอยด์ (deltoid tubercle) ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของปลายด้านกระดูกสะบัก |
พื้นผิวด้านบน | กล้ามเนื้อทราพีเซียส (Trapezius muscle) | ปลายทางด้านกระดูกสะบัก เยื้องไปทางด้านหลัง |
พื้นผิวด้านล่าง | กล้ามเนื้อใต้ไหปลาร้า (Subclavius muscle) | ร่องใต้ไหปลาร้า (Subclavian groove) |
พื้นผิวด้านล่าง | เอ็นโคนอยด์ (Conoid ligament) ซึ่งเป็นเอ็นด้านแนวกลางของเอ็นคอราโคคลาวิคิวลาร์ | ปุ่มโคนอยด์ (conoid tubercle) |
พื้นผิวด้านล่าง | เอ็นทราพีซอยด์ (Trapezoid ligament) ซึ่งเป็นเอ็นด้านข้างของเอ็นคอราโคคลาวิคิวลาร์ | แนวทราพีซอยด์ (trapezoid line) |
ขอบด้านหน้า | กล้ามเนื้อเพคทอราลิส เมเจอร์ (Pectoralis major muscle) | ปลายด้านกระดูกอก |
ขอบด้านหลัง | ปลายส่วนกระดูกไหปลาร้าของกล้ามเนื้อสเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์ (Sternocleidomastoid muscle) | ทางด้านบนของส่วนกลางของกระดูก |
ขอบด้านหลัง | กล้ามเนื้อสเตอร์โนไฮออยด์ (Sternohyoid muscle) | ทางด้านล่างของส่วนกลางของกระดูก |
ขอบด้านหลัง | กล้ามเนื้อทราพีเซียส (Trapezius muscle) | ปลายทางด้านกระดูกสะบัก |
หน้าที่การทำงาน
[แก้]กระดูกไหปลาร้ามีหน้าที่หลายประการ อาทิ
- เป็นโครงร่างค้ำจุนในส่วนไหล่ที่สำคัญ และทำให้ส่วนแขนอยู่ห่างจากส่วนอกมากพอที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของแขนที่มากที่สุด
- ทำหน้าที่ป้องกันช่องทางของหลอดเลือดและเส้นประสาทต่างๆจากส่วนคอไปยังบริเวณรักแร้ ไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือนจนฉีกขาด
- ถ่ายเทแรงและการกระแทกจากส่วนแขนไปยังแกนกลางลำตัว
อย่างไรก็ตาม กระดูกไหปลาร้าเป็นกระดูกที่ค่อนข้างทึบแน่น และไม่มีไขกระดูกมากนัก จึงไม่ได้มีหน้าที่สำคัญในการผลิตเม็ดเลือดเช่นในกระดูกแบบยาวชนิดอื่นๆ
รูปประกอบเพิ่มเติม
[แก้]-
กระดูกส่วนไหล่ (มุมมองทางด้านหน้า)
-
ข้อต่อสเตอร์โนคลาวิคิวลาร์ (มุมมองทางด้านหน้า)
-
ไหล่ซ้ายและข้อต่ออโครมิโอคลาวิคิวลาร์ แสดงเอ็นต่างๆของบริเวณไหล่
อ้างอิง
[แก้]- Clinically Oriented Anatomy, 4th ed. Keith L. Moore and Arthur F. Dalley.
- Clinical Anatomy for Medical Students Richard S.Snell,M.D.,Ph.D.