ข้ามไปเนื้อหา

อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ควีนเอลิซาเบธในแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1966
ประวัติ
สหราชอาณาจักร
ชื่อ
  • 1939–1968: ควีนเอลิซาเบธ (Queen Elizabeth)
  • 1968–1970: เอลิซาเบธ (Elizabeth)
  • 1970–1972: ซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี (Seawise University)
ตั้งชื่อตามสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี
เจ้าของ
ท่าเรือจดทะเบียน
เส้นทางเดินเรือทรานส์แอตแลนติก
Ordered6 ตุลาคม 1936
อู่เรือ
Yard number552
ปล่อยเรือ4 ธันวาคม 1936[1]
เดินเรือแรก27 กันยายน 1938
Christened27 กันยายน 1938
สร้างเสร็จ2 มีนาคม 1940
Maiden voyage16 ตุลาคม 1946[2][3]
บริการ1946–1972
หยุดให้บริการ9 มกราคม 1972
รหัสระบุ
ความเป็นไปถูกเพลิงไหม้และพลิกคว่ำ ตัวเรือส่วนหนึ่งถูกแยกชิ้นชิ้นส่วนในช่วงปี 1974–75 ส่วนที่เหลือถูกกลบฝังภายใต้การถมที่ดิน
ลักษณะเฉพาะ
ประเภท: เรือเดินสมุทร
ขนาด (ตัน): 83,673 ตันกรอส
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 83,000+ ลองตัน (84331+ เมตริกตัน)
ความยาว: 1,031 ฟุต (314.2 เมตร)
ความกว้าง: 118 ฟุต (36.0 เมตร)
ความสูง: 233 ฟุต (71.0 เมตร)
กินน้ำลึก: 38 ฟุต 9 นิ้ว (11.8 เมตร)
ดาดฟ้า: 13
ระบบพลังงาน: 12 × หม้อไอน้ำแบบท่อไฟ
ระบบขับเคลื่อน:
  • 4 × กังหันไอน้ำ Parsons แบบเฟืองทดรอบเดี่ยว
  • ใบจักร 4 เพลา เพลาละ 4 พวง กำลัง 200,000 shp (150,000 kW)[4]
ความเร็ว:
  • 28.5 kn (52.8 km/h; 32.8 mph) (บริการ)
  • ความจุ: ผู้โดยสาร 2,283 คน
    ลูกเรือ: 1,000+ คน

    อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (อังกฤษ: RMS Queen Elizabeth) เป็นเรือเดินสมุทรที่ให้บริการโดยบริษัทคูนาร์ดไลน์ร่วมกับอาร์เอ็มเอส ควีนแมรี เพื่อให้บริการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นประจำทุกสัปดาห์ระหว่างเซาแทมป์ตัน สหราชอาณาจักร กับนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยแวะจอดที่แชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส

    เรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ในไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยใช้หมายเลขตัวเรือ 552[5] ปล่อยลงน้ำในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1938 ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 การออกแบบเรือลำนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากควีนแมรี ทำให้มีขนาดยาวกว่า 12 ฟุต และมีระวางบรรทุกรวมมากกว่าควีนแมรีหลายพันตัน เป็นผลให้เรือลำนี้กลายเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างขึ้นเป็นเวลาถึง 56 ปี เรือลำนี้เริ่มให้บริการในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 ในฐานะเรือขนส่งทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และไม่ได้ให้บริการเชิงพาณิชย์จนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1946

    ด้วยความนิยมในเส้นทางข้ามแอตแลนติกลดลง เรือทั้งสองลำจึงถูกแทนที่ด้วยอาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ 2 (RMS Queen Elizabeth 2) ที่มีขนาดเล็กและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งได้ทำการเดินทางครั้งแรกใน ค.ศ. 1969 ควีนแมรีถูกปลดระวางในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1967 และถูกขายให้แก่เมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ควีนเอลิซาเบธได้ถูกปลดระวางหลังการเดินทางข้ามแอตแลนติกครั้งสุดท้ายมายังนครนิวยอร์กในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1968[6] เรือลำนี้ถูกย้ายไปยังท่าเรือเอเวอร์เกลดส์ รัฐฟลอริดา และถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเปิดให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1969 ธุรกิจดังกล่าวประสบความล้มเหลวและปิดตัวลงในเดือนสิงหาคมปีต่อมา ท้ายที่สุด เรือลำนี้ได้ถูกขายให้แก่ต่ง จ้าวหรง นักธุรกิจชาวฮ่องกง ซึ่งมีแผนที่จะปรับปรุงเรือลำนี้ให้เป็นมหาวิทยาลัยลอยน้ำที่ให้บริการการล่องเรือไปด้วยในนาม ซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี (Seawise University) ใน ค.ศ. 1972 ขณะเรือลำนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสภาพในท่าเรือฮ่องกง ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ทราบสาเหตุบนตัวเรือ ทำให้เรือพลิกคว่ำลงเนื่องจากปริมาณน้ำที่ใช้ในการดับเพลิงจำนวนมาก ในปีต่อมา ซากเรือดังกล่าวถูกพิจารณาว่าเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือในบริเวณนั้น และใน ค.ศ. 1974 ถึง 1975 ก็ได้มีการแยกชิ้นส่วนซากเรือบางส่วน ณ ที่เกิดเหตุ[7]

    การออกแบบและการสร้าง

    [แก้]
    ควีนเอลิซาเบธระหว่างการสร้าง

    ในวันออกเดินทางครั้งแรกของอาร์เอ็มเอส ควีนแมรี เซอร์เพอร์ซี เบตส์ ประธานบริษัทคูนาร์ด ได้แจ้งให้จอร์จ แพเทอร์สัน หัวหน้าคณะออกแบบของบริษัททราบว่าถึงเวลาเริ่มต้นการออกแบบเรือลำที่สองตามแผนแล้ว[8] สัญญาอย่างเป็นทางการระหว่างคูนาร์ดกับผู้ให้เงินทุนจากรัฐบาลมีการลงนามในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1936[9]

    เรือลำใหม่นี้พัฒนาต่อยอดมาจากแบบของควีนแมรี[10] โดยมีการปรับปรุงแก้ไขในหลายประการ เช่น การลดจำนวนหม้อไอน้ำเหลือเพียง 12 ใบจาก 24 ใบในควีนแมรี ทำให้สามารถลดปล่องไฟหนึ่งต้น และเพิ่มพื้นที่ดาดฟ้า บรรทุกสินค้า และสำหรับผู้โดยสารได้มากขึ้น ปล่องไฟทั้งสองได้รับการออกแบบให้รับน้ำหนักตัวเองได้และมีการเสริมโครงสร้างภายในเพื่อให้มีรูปลักษณ์ดูสวยงามและสะอาดตาขึ้น เมื่อยกเลิกการใช้ช่องสินค้า (well deck) ด้านหน้า ทำให้รูปทรงตัวเรือดูเพรียวลมขึ้น อีกทั้งยังมีการออกแบบหัวเรือให้แหลมและเฉียงขึ้นเพื่อติดตั้งสมอที่หัวเรือเพิ่มอีกหนึ่งจุด[10] เรือลำนี้ถูกกำหนดให้มีความยาวเพิ่มขึ้น 12 ฟุต และมีระวางขับน้ำมากกว่าควีนแมรีถึง 4,000 ตัน[11][9]

    แบบจำลองเรือควีนแมรี (หน้า) และควีนเอลิซาเบธ (หลัง) สร้างโดยจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์การขนส่งกลาสโกว์

    ควีนเอลิซาเบธถูกสร้างขึ้นบนลาดลงน้ำหมายเลข 4 ของจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ในไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ในระหว่างการสร้าง เรือลำนี้ถูกเรียกด้วยชื่อหมายเลขประจำอู่ต่อเรือ คือ Hull 552[12] การตกแต่งภายในได้รับการออกแบบโดยคณะศิลปิน ภายใต้การนำของสถาปนิก จอร์จ เกรย์ วอร์นัม[13] บันได โถงทางเข้า และทางเข้าหลักของเรือสร้างขึ้นโดยบริษัท เอช.เอช. มาร์ติน แอนด์โค (H.H. Martyn & Co.)[14] ตามแผนของคูนาร์ด เรือลำนี้มีกำหนดปล่อยลงน้ำในเดือนกันยายน ค.ศ. 1938 โดยงานติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์เพื่อให้เรือพร้อมให้บริการในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1940[9] สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีปล่อยเรือในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1938[10] มีเรื่องเล่ากันว่า เรือเริ่มเคลื่อนลงสู่ผืนน้ำก่อนที่สมเด็จพระราชินีจะทรงประกอบพิธีปล่อยอย่างเป็นทางการ ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบ สมเด็จพระราชินีทรงสามารถทุบขวดไวน์แดงออสเตรเลียที่หัวเรือได้ทันก่อนที่เรือจะเคลื่อนออกไปนอกระยะเอื้อม[15] จากนั้นเรือถูกนำไปเทียบท่าเพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์และตกแต่งภายใน[9][10] มีการประกาศว่าในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1939 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธจะเสด็จมาเยี่ยมชมเรือลำนี้และห้องเครื่องจักร และมีกำหนดให้วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1940 เป็นวันเริ่มต้นการเดินทางครั้งแรกของเรือลำนี้ แต่ด้วยการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เหตุการณ์ทั้งสองต้องถูกเลื่อนออกไป และแผนของคูนาร์ดก็ถูกยกเลิก[9] ควีนเอลิซาเบธอยู่ที่ท่าต่อเรือของอู่ต่อเรือโดยยังคงใช้สีประจำของคูนาร์ดจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 เมื่อกระทรวงการเดินเรือออกใบอนุญาตพิเศษรับรองความพร้อมในการเดินเรือ วันที่ 29 ธันวาคม ได้ดำเนินการทดสอบระบบขับเคลื่อนเป็นครั้งแรก โดยให้เครื่องจักรทำงานต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ชั่วโมงตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 16.00 น. ภายใต้สภาวะปลดใบจักร เพื่อทำการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิและแรงดันของน้ำมันหล่อลื่นและไอน้ำในระบบ สองเดือนต่อมา คูนาร์ดได้รับหนังสือสั่งการจากวินสตัน เชอร์ชิล[16] ลอร์ดเอกแห่งกระทรวงทหารเรือในขณะนั้น ว่าให้เรือออกจากไคลด์แบงก์โดยเร็วที่สุดและ "อยู่ให้ห่างจากเกาะอังกฤษตราบที่คำสั่งยังคงมีผล"

    สงครามโลกครั้งที่สอง

    [แก้]

    ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง มีการตัดสินใจว่าควีนเอลิซาเบธมีความสำคัญต่อความพยายามในการทำสงครามอย่างยิ่ง จึงต้องไม่ให้การเคลื่อนไหวของเรือถูกติดตามโดยสายลับเยอรมันที่ปฏิบัติการอยู่ในไคลด์แบงก์ มีการวางแผนกลอุบายอันซับซ้อนเพื่อให้ฝ่ายเยอรมันหลงเชื่อว่าเรือลำนี้จะเดินทางไปเซาแทมป์ตันเพื่อดำเนินการตกแต่งให้สมบูรณ์[16] ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่เร่งให้เรือลำนี้ต้องออกเดินทางคือความจำเป็นในการเคลียร์ท่าเทียบเรือภายในอู่ต่อเรือเพื่อเตรียมพื้นที่ให้เรือหลวงดยุกออฟยอร์ก (HMS Duke of York)[16] สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสุดท้าย เนื่องจากท่าเทียบเรือแห่งนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่สามารถรองรับเรือประจัญบานชั้นคิงจอร์จที่ 5 ได้

    นอร์ม็องดี, ควีนแมรี และควีนเอลิซาเบธที่ท่าเรือนิวยอร์กใน ค.ศ. 1940

    ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จำกัดวันออกเดินทางของเรือคือมีน้ำขึ้นสูงใหญ่เพียงสองครั้งในปีนั้นเท่านั้นที่เอื้อให้ควีนเอลิซาเบธสามารถออกจากอู่ต่อเรือไคลด์แบงก์ได้[16] ซึ่งฝ่ายข่าวกรองเยอรมันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย สำหรับการเดินทางครั้งนี้มีการจัดสรรลูกเรือจำนวนน้อยที่สุด 400 นาย โดยส่วนใหญ่ถูกย้ายมาจากเรืออาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย (RMS Aquitania) และได้รับแจ้งว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเดินทางเลียบชายฝั่งระยะสั้นไปเซาแทมป์ตัน[16] แต่ให้เตรียมสัมภาระสำหรับเวลาหกเดือน[17] ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกส่งไปเซาแทมป์ตันและมีการเตรียมการเพื่อนำเรือเข้าสู่อู่แห้งคิงจอร์จที่ 5 (King George V Graving Dock) เมื่อเดินทางมาถึง[16] ชื่อของพนักงานอู่ต่อเรือบราวน์ได้รับการจองห้องพักไว้ ณ โรงแรมในท้องถิ่นของเซาแทมป์ตัน และกัปตันจอห์น ทาวน์ลีย์ ผู้เคยบัญชาการเรืออาควิเทเนียในการเดินทางครั้งหนึ่งและเรือขนาดเล็กของคูนาร์ดหลายลำได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันคนแรกของเรือลำนี้

    ภายในต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 ควีนเอลิซาเบธก็อยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง โดยกระบวนการเตรียมความพร้อมได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งรวมถึงการเติมเชื้อเพลิง การปรับเทียบเข็มทิศ และการทดสอบระบบอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย สีประจำคูนาร์ดถูกทาทับด้วยสีเทาอย่างเรือรบ และในเช้าวันที่ 3 มีนาคม เรือก็ได้ออกจากท่าเรือในแม่น้ำไคลด์อย่างเงียบเชียบ และแล่นออกจากแม่น้ำ ณ จุดนั้นได้มีผู้ส่งสารของกษัตริย์เข้ามาส่งมอบคำสั่งปิดผนึกแก่กัปตันโดยตรง[16]

    ควีนเอลิซาเบธทาสีเทาตามแบบเรือรบหลังเพิ่งขนส่งทหารไปยังตะวันออกกลางใน ค.ศ. 1942
    ควีนเอลิซาเบธในฐานะเรือขนส่งทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    มีคำสั่งให้เรือมุ่งหน้าตรงไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลาง โดยห้ามหยุดหรือชะลอความเร็วและต้องรักษาความเงียบทางวิทยุอย่างเคร่งครัด ในวันเดียวกันนั้น ขณะที่เรือลำนี้มีกำหนดเข้าเทียบท่าที่เซาแทมป์ตัน เมืองดังกล่าวก็ถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพอากาศเยอรมัน[16][9]

    ควีนเอลิซาเบธเดินทางแบบซิกแซกข้ามแอตแลนติกเพื่อหลบหลีกเรือดำน้ำเยอรมันและใช้เวลาหกวันในการเดินทางถึงนิวยอร์กด้วยความเร็วเฉลี่ย 26 นอต ณ ที่นั้น ควีนเอลิซาเบธได้เทียบท่าข้างควีนแมรี และนอร์ม็องดีของฝรั่งเศส เป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสามลำได้เทียบท่าร่วมกัน[16] เมื่อกัปตันทาวน์ลีย์เดินทางมาถึง เขาได้รับโทรเลขสองฉบับ ฉบับหนึ่งจากภรรยาของเขา และอีกฉบับหนึ่งจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเพื่อทรงขอบพระทัยสำหรับการส่งมอบเรืออย่างปลอดภัย จากนั้นเรือก็ได้รับการรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้บุคคลใดขึ้นไปบนเรือเว้นแต่ได้รับอนุญาตก่อน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ท่าเรือด้วย[16]

    ควีนเอลิซาเบธออกจากท่าเรือนิวยอร์กในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 มุ่งหน้าสู่สิงคโปร์เพื่อเข้ารับการดัดแปลงเป็นเรือขนส่งทหาร[9] ภายหลังการแวะเติมเชื้อเพลิงและเสบียงในเกาะตรินิแดดและเคปทาวน์ เรือก็ได้เดินทางมาถึงอู่ทหารเรือสิงคโปร์ ซึ่งได้มีการติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานและทาสีตัวเรือใหม่เป็นสีเทา[ต้องการอ้างอิง]

    ควีนเอลิซาเบธออกจากสิงคโปร์ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ และเข้าเทียบท่าในเอสควิมอลต์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา อย่างลับ ๆ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 เรือลำนี้เข้ารับการปรับปรุงและติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมภายในอู่แห้ง เช่น ที่พักอาศัยและอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยมีทหารเรือจำนวน 300 นายร่วมกันทาสีตัวเรืออย่างรวดเร็ว[18] กลางเดือนมีนาคม ควีนเอลิซาเบธเริ่มต้นการเดินทางข้ามมหาสมุทรเป็นระยะทาง 7,700 ไมล์จากซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มุ่งหน้าสู่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยมีทหารอเมริกันจำนวน 8,000 นายเป็นผู้โดยสาร[19] ต่อมาเรือลำนี้ได้ขนส่งทหารออสเตรเลียไปยังเขตสงครามในทวีปเอเชียและแอฟริกา[20] หลัง ค.ศ. 1942 เรือควีนทั้งสองถูกย้ายไปประจำการในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเพื่อภารกิจขนส่งทหารอเมริกันไปยังทวีปยุโรป[20] ความเร็วสูงของเรือทั้งสองลำทำให้สามารถหลบหลีกอันตรายต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะเรือดำน้ำเยอรมัน ซึ่งโดยปกติแล้วทำให้ทั้งสองลำสามารถเดินทางนอกขบวนเรือและปราศจากการคุ้มกันได้[17] อย่างไรก็ตาม ควีนเอลิซาเบธตกเป็นเป้าหมายของเรือดำน้ำอู-704 (U-704) ซึ่งได้ยิงตอร์ปิโด 4 ลูกใส่ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942[21] ผู้บังคับการฮอสท์ วิลเฮ็ล์ม เคสเลอร์ ได้ยินเสียงระเบิด[21] และการโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุของพรรคนาซีได้อ้างว่าเรือลำนี้อับปางลง[22] แท้จริงแล้ว ตอร์ปิโดลูกหนึ่งระเบิดก่อนเวลา ทำให้เรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ[23]

    ในช่วงสงคราม ควีนเอลิซาเบธขนส่งทหารไปกว่า 750,000 นาย และเดินทางไปเป็นระยะทางประมาณ 500,000 ไมล์ (800,000 กิโลเมตร)[9]

    หลังสงคราม

    [แก้]
    ควีนเอลิซาเบธที่เซาแทมป์ตันใน ค.ศ. 1960

    หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ควีนเอลิซาเบธถูกปรับปรุงและตกแต่งใหม่เป็นเรือเดินสมุทร[9] ขณะที่ควีนแมรีซึ่งเป็นคู่วิ่งยังคงทำหน้าที่ในสงครามและคงสภาพสีเทาเดิมไว้ ยกเว้นปล่องไฟที่ถูกทาสีใหม่ด้วยสีประจำบริษัท ตลอดอีกหนึ่งปีนั้น ควีนแมรีได้ทำหน้าที่ทางทหารโดยรับภารกิจส่งทหารและเจ้าสาวสงครามชาวอเมริกันกลับประเทศ ขณะเดียวกันควีนเอลิซาเบธก็เข้ารับการซ่อมบำรุงใหญ่ที่อู่แห้งเฟิร์ทออฟไคลด์ ในกรีน็อก โดยอู่ต่อเรือจอห์นบราวน์

    อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ

    เนื่องจากภารกิจทางทหารเป็นระยะเวลาหกปี ทำให้ไม่สามารถดำเนินการทดสอบเดินทะเลอย่างเป็นทางการได้ จึงมีการดำเนินการดังกล่าวเป็นครั้งแรกในขณะนี้ ภายใต้การบัญชาการของพลเรือจัตวา เซอร์เจมส์ บิสเซต เรือลำนี้เดินทางไปยังเกาะแอร์รันเพื่อทำภารกิจดังกล่าว บนเรือมีสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ผู้ทรงเป็นต้นพระนามของเรือ และพระราชธิดาอีกสองพระองค์คือเจ้าหญิงเอลิซาเบธ และเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต[9] ในระหว่างการทดสอบ สมเด็จพระราชินีทรงควบคุมพังงาเป็นเวลาสั้น ๆ และพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ที่ยังทรงพระเยาว์ได้บันทึกเวลาในการวิ่งทดสอบทั้งสองครั้งด้วยนาฬิกาจับเวลาที่ได้รับมอบเป็นพิเศษสำหรับโอกาสนั้น บิสเซตอยู่ภายใต้คำสั่งที่เข้มงวดจากเซอร์เพอร์ซีย์ เบตส์ ซึ่งร่วมเดินทางในการทดสอบครั้งนี้ด้วยว่าเรือลำนี้ต้องทดสอบความเร็วด้วยความเร็วไม่เกิน 30 นอตจำนวนสองครั้ง และห้ามทำลายสถิติความเร็วที่ควีนแมรีเคยทำไว้[24] เครื่องจักรของควีนเอลิซาเบธมีความสามารถในการขับเคลื่อนให้เรือแล่นด้วยความเร็วเกิน 32 นอต[24] ภายหลังการทดสอบเสร็จสิ้น ควีนเอลิซาเบธก็ได้เข้าสู่การให้บริการผู้โดยสารอย่างเป็นทางการ ทำให้บริษัทคูนาร์ด-ไวต์สตาร์สามารถเปิดบริการเดินเรือข้ามแอตแลนติกสู่นครนิวยอร์กด้วยเรือสองลำต่อสัปดาห์ที่เป็นแผนที่วางไว้แต่เดิม[25] แม้ควีนเอลิซาเบธจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายกับควีนแมรี แต่ก็ไม่เคยได้รับบลูริบบันด์ เนื่องมาจากเซอร์เพอร์ซีย์ เบตส์ ประธานบริษัทคูนาร์ด-ไวต์สตาร์ ได้ขอให้เรือทั้งสองลำไม่แข่งขันกัน[24]

    ควีนเอลิซาเบธที่เซาแทมป์ตันในปี ค.ศ. 1967

    เรือประสบเหตุเกยตื้นบนดอนทรายใต้น้ำนอกชายฝั่งเซาแทมป์ตันในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1947 และสามารถลอยลำได้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น[9]

    ใน ค.ศ. 1955 ระหว่างการซ่อมบำรุงประจำปีในเซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ควีนเอลิซาเบธได้รับการติดตั้งครีบกันโคลงใต้น้ำเพื่อปรับปรุงความเสถียรในการแล่นบนทะเลที่มีคลื่นแรง มีการติดตั้งครีบแบบปรับได้ที่สองข้างตัวเรือ ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในทะเลที่สงบและขณะจอดเทียบท่า[26] วันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1959 เรือประสบอุบัติเหตุชนกับเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอเมริกันชื่ออเมริกันฮันเตอร์ (American Hunter) ในสภาพอากาศที่มีหมอกหนาในท่าเรือนิวยอร์ก ทำให้ตัวเรือได้รับความเสียหายมีรูโหว่เหนือระดับน้ำ[27]

    ควีนเอลิซาเบธระหว่างเดินทางเข้าสู่นิวยอร์กฮาร์เบอร์ มุ่งหน้าสู่แมนแฮตตัน ใน ค.ศ. 1965

    ควีนเอลิซาเบธร่วมกับควีนแมรี และคู่แข่งกับเรือโดยสารสัญชาติอเมริกันคือ เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (SS United States) และเอสเอส อเมริกา (SS America) ได้ครองตลาดการค้าผู้โดยสารข้ามแอตแลนติกกระทั่งความเจริญรุ่งเรืองของเรือเหล่านี้เริ่มเสื่อมลงเมื่อมีการนำเครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ที่เร็วและประหยัดกว่ามาใช้ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950[17] เมื่อจำนวนผู้โดยสารลดลง เรือเหล่านี้จึงกลายเป็นธุรกิจที่ไม่สามารถดำเนินได้อย่างคุ้มค่า เนื่องจากต้องเผชิญกับต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น ในเวลาอันสั้น ควีนเอลิซาเบธภายใต้การบัญชาการของพลเรือจัตวา เจฟฟรีย์ ทริปเปิลตัน มาร์ ได้ทดลองทำหน้าที่คู่ขนานด้วยการสลับเส้นทางข้ามแอตแลนติกตามปกติกับการล่องเรือระหว่างนครนิวยอร์กและแนสซอ[9] สำหรับการเดินทางในเขตร้อนครั้งใหม่นี้ เรือได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1965 โดยมีการเพิ่มดาดฟ้าชั้นอาบแดด (Lido deck) เข้าไปในส่วนท้ายของเรือ การปรับปรุงระบบปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพขึ้น และการติดตั้งสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ด้วยการปรับปรุงเหล่านี้ คูนาร์ดตั้งเป้าหมายที่จะให้เรือลำนี้ยังคงให้บริการอย่างน้อยจนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970[28] ทว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวกลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความลึกของตัวเรือที่มากเกินไปทำให้ไม่สามารถเข้าเทียบท่าในเกาะต่าง ๆ ได้ และยังมีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงสูง เรือยังมีขนาดกว้างเกินกว่าจะสามารถผ่านคลองปานามา ทำให้การเดินทางไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นไปได้ยาก

    คูนาร์ดปลดระวางควีนแมรีใน ค.ศ. 1967 และปลดระวางควีนเอลิซาเบธหลังการเดินทางข้ามแอตแลนติกครั้งสุดท้ายมายังนครนิวยอร์กในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968[6] ทั้งสองลำถูกแทนที่ด้วยควีนเอลิซาเบธ 2 ลำใหม่ที่มีขนาดเล็กลงและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า

    ปีสุดท้าย

    [แก้]
    ควีนเอลิซาเบธออกงจากนครนิวยอร์กในการเดินทางครั้งสุดท้ายใน ค.ศ. 1968

    ในปลาย ค.ศ. 1968 ควีนเอลิซาเบธถูกขายให้แก่บริษัท เอลิซาเบธ คอร์ปอเรชัน จำกัด (Elizabeth Corporation) โดยกลุ่มนักธุรกิจจากฟิลาเดลเฟียถือหุ้นร้อยละ 15 ของบริษัท และคูนาร์ดไลน์ยังคงถือหุ้นร้อยละ 85 ไว้ บริษัทใหม่มีแผนที่จะให้เรือลำนี้เป็นโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวในพอร์ตเอเวอร์เกลดส์ รัฐฟลอริดา โดยมีแนวคิดคล้ายกับการนำควีนแมรีไปใช้เป็นโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวในลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย[9] "เอลิซาเบธ" ดังที่เรียกขานกันในปัจจุบัน เดินทางมาถึงพอร์ตเอเวอร์เกลดส์ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1968 และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา นับว่าเร็วกว่าควีนแมรีที่เปิดให้บริการในสองปีต่อมาคือ ค.ศ. 1971 เรือถูกขายให้แก่บริษัท ควีน จำกัด (Queen Ltd) ซึ่งตั้งอยู่ที่พอร์ตเอเวอร์เกลดส์ในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1969[6] ทว่า การปลดระวางของควีนเอลิซาเบธในรัฐฟลอริดานั้นไม่ได้ยืนยง สภาพอากาศในตอนใต้ส่งผลกระทบต่อตัวเรือมากกว่าสภาพอากาศในตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียที่มีต่อควีนแมรี มีการหารือกันถึงแนวคิดที่จะจงใจทำให้ท้องเรือควีนเอลิซาเบธท่วมน้ำอย่างถาวร เพื่อให้เรือนอนบนพื้นคลองอินทราโคสตัลในท่าเรือฟอร์ตลอเดอร์เดล (พอร์ตเอเวอร์เกลดส์) และเปิดให้เข้าชมต่อไป อย่างไรก็ตาม เรือลำดังกล่าวจำต้องปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1970 เนื่องจากขาดทุนและถูกประกาศว่าเป็นแหล่งอันตรายจากอัคคีภัย[29] ต่อมาเรือถูกประมูลขายให้แก่ต่ง จ้าวหรง นักธุรกิจชาวฮ่องกงใน ค.ศ. 1970[9]

    ต่งในฐานะเจ้าของบริษัทเดินเรือโอเรียนต์โอเวอร์ซีส์คอนเทนเนอร์ไลน์ (Orient Overseas Container Line หรือ OOCL) มีเจตนาที่จะปรับปรุงเรือลำดังกล่าวให้เป็นมหาวิทยาลัยเคลื่อนที่เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเวิลด์แคมปัสอะโฟลต (World Campus Afloat) ซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงการและเปลี่ยนชื่อเป็นเซเมสเตอร์แอตซี (Semester at Sea) ตามธรรมเนียมประเพณีของบริษัทโอเรียนต์โอเวอร์ซีส์ไลน์ เรือลำนี้จึงได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี (Seawise University)[9]

    เรือลำนี้กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของฮ่องกง และได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ฮ่องกงในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1971[6] การกระทำดังกล่าวเป็นการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ เนื่องจากเครื่องจักรและหม้อไอน้ำของเรืออยู่ในสภาพย่ำแย่หลังถูกละเลยมาหลายปี ต่งได้ว่าจ้างพลเรือตรี แอร์ มาร์ (ผู้เกษียณอายุ) และอดีตหัวหน้าวิศวกรประจำเรือให้เป็นที่ปรึกษาสำหรับการเดินทางไปยังฮ่องกง มาร์ได้เสนอให้ทำการลากซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตีไปยังเขตดินแดนใหม่ แต่ต่งและลูกเรือของเขาเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถนำเรือไปยังจุดหมายได้โดยอาศัยเพียงเครื่องจักรและหม้อไอน้ำส่วนท้าย การเดินทางที่วางแผนไว้หลายสัปดาห์กลับกลายเป็นการเดินทางที่ยืดเยื้อหลายเดือน เนื่องจากลูกเรือต้องเผชิญกับปัญหาหม้อไอน้ำและเหตุการณ์เพลิงไหม้ การหยุดพักระหว่างการเดินทางที่ไม่ได้วางแผนไว้เป็นเวลานานครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้เจ้าของรายใหม่สามารถส่งอะไหล่สำรองมายังเรือทางเครื่องบิน และดำเนินการซ่อมแซมก่อนที่จะกลับเข้าสู่เส้นทางเดิม โดยเรือได้เดินทางมาถึงท่าเรือฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971

    ซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตีถูกเพลิงไหม้

    ขณะที่การปรับปรุงเรือซึ่งใช้งบประมาณ 5 ล้านปอนด์กำลังจะแล้วเสร็จ เรือก็ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1972[9] เพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดจากการจงใจวางเพลิง เนื่องจากมีเปลวไฟหลายจุดเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งลำเรือ และจากการสอบสวนของศาลในภายหลังได้สรุปสาเหตุว่าเกิดจากการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใดที่จงใจวางเพลิงโดยไม่ทราบตัวบุคคล[30] ความจริงที่ว่า ต่งซื้อเรือลำดังกล่าวในราคา 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้ทำประกันภัยไว้สูงถึง 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการฉ้อโกงเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัย มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างต่งซึ่งเป็นชาตินิยมจีนกับสหภาพแรงงานต่อเรือที่ได้รับอิทธิพลจากคอมมิวนิสต์[31]

    เรือเอียงข้างลงเนื่องจากแรงกระแทกของน้ำที่ฉีดดับเพลิง และจมลงสู่ก้นอ่าววิกตอเรีย[32] ท้ายที่สุดแล้ว เรือถูกประกาศให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ และถูกแยกชิ้นส่วนเพื่อนำไปรีไซเคิลในช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1974 ถึง 1975[33] ส่วนของตัวเรือที่ไม่สามารถกู้ขึ้นมาได้รวมถึงกระดูกงู หม้อไอน้ำ และเครื่องจักรยังคงจมอยู่ก้นอ่าว และบริเวณดังกล่าวได้ถูกระบุไว้ว่าเป็น "พื้นที่อันตราย" ในแผนที่เดินเรือท้องถิ่นเพื่อเตือนให้เรือไม่ทอดสมอในบริเวณนั้น คาดการณ์ว่าประมาณร้อยละ 40–50 ของซากเรือยังคงจมอยู่บนพื้นทะเล ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ซากเรือที่เหลือทั้งหมดถูกฝังกลบในระหว่างการถมดินเพื่อก่อสร้างท่าบริการตู้สินค้าที่ 9[34] ซากเรือตั้งอยู่ ณ พิกัด 22°19′43″N 114°06′44″E / 22.32861°N 114.11222°E / 22.32861; 114.11222[35]

    ซากเรือซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี อดีตเรือควีนเอลิซาเบธในอ่าววิกตอเรีย ฮ่องกง
    ซากเรือซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตีหลังเกิดเพลิงไหม้

    หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ ต่งได้นำหนึ่งในสมอเรือและตัวอักษรโลหะ "Q" และ "E" จากชื่อเรือที่อยู่ด้านหน้าเรือมาตั้งไว้ที่ด้านหน้าสำนักงานที่เดลอาโมแฟชันเซ็นเตอร์ในทอร์แรนซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเป็นสำนักงานใหญ่ของโครงการซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี[36][37] ต่อมาถูกนำไปจัดแสดงพร้อมป้ายอนุสรณ์ในล็อบบีของวอลสตรีตพลาซา 88 ถนนไพน์ นครนิวยอร์ก แผ่นป้ายทองเหลืองสองแผ่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบเตือนอัคคีภัยบนเรือถูกกู้ขึ้นมาโดยเรือขุด และนำไปจัดแสดง ณ สโมสรเรือแอเบอร์ดีน ในฮ่องกง ในนิทรรศการที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเรือลำดังกล่าว เศษซากธงเดินเรือที่ถูกเพลิงไหม้จนเกรียมนั้นได้ถูกตัดออกจากเสาธงและใส่กรอบใน ค.ศ. 1972 และยังคงประดับอยู่บนผนังห้องอาหารของนายตำรวจในกรมตำรวจน้ำฮ่องกง บริษัท พาร์เกอร์เพน จำกัด (Parker Pen Company) ได้ผลิตปากการุ่นพิเศษจำนวน 5,000 ด้าม โดยใช้วัสดุที่กู้คืนมาจากซากเรือ แต่ละด้ามบรรจุอยู่ในกล่องพิเศษ ปัจจุบันปากกาทั้งหมดนี้เป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมาก[38]

    หลังการอับปางของเอลิซาเบธ เรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดที่ยังให้บริการอยู่คือเอสเอส ฟร็องส์ (SS France) ที่มีขนาด 66,343 ตันกรอส และมีความยาวกว่า แต่มีน้ำหนักน้อยกว่าเรือควีนของคูนาร์ด ควีนเอลิซาเบธเคยครองสถิติเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งคาร์นิวัลเดสตินี (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คาร์นิวัลซันชายน์) ที่มีขนาด 101,353 ตันกรอส ถูกปล่อยลงน้ำใน ค.ศ. 1996 จนถึงปัจจุบัน ควีนเอลิซาเบธยังคงครองสถิติเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดเป็นเวลานานที่สุดถึง 56 ปี[ต้องการอ้างอิง]

    ในนิยาย

    [แก้]

    ใน ค.ศ. 1959 เรือลำนี้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ตลกเสียดสีของอังกฤษเรื่อง The Mouse That Roared นำแสดงโดยปีเตอร์ เซลเลอส์ และฌ็อง ซีเบิร์ก ขณะที่กองกำลังจาก “แกรนด์เฟนวิก” ประเทศขนาดเล็กในยุโรปที่สมมติขึ้น กำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อเข้าทำสงครามกับสหรัฐ พวกเขาได้พบและแล่นผ่านควีนเอลิซาเบธที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก และได้รับแจ้งว่าท่าเรือนิวยอร์กปิดทำการเนื่องจากการซ้อมอากาศยานโจมตี[39]

    ในนวนิยายเจมส์ บอนด์ เรื่อง Diamonds Are Forever ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1956 เอียน เฟลมมิง ได้เลือกควีนเอลิซาเบธเป็นฉากสำคัญในการดำเนินเรื่องถึงขีดสุด ส่วนในภาพยนตร์ดัดแปลงที่ฉายใน ค.ศ. 1971 นำแสดงโดยฌอน คอนเนอรี ได้ใช้เอสเอส แคนเบอร์รา (SS Canberra) ของบริษัทพีแอนด์โอ เป็นฉากแทนในลำดับเหตุการณ์เดียวกัน[40]

    ซากเรือปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ เรื่องเพชฌฆาตปืนทอง ซึ่งออกฉายใน ค.ศ. 1974 โดยทำหน้าที่เป็นฐานปฏิบัติการลับของหน่วยข่าวกรองลับ MI6[41][42]

    อ้างอิง

    [แก้]
    1. Pride of the North Atlantic, A Maritime Trilogy, David F. Hutchings. Waterfront 2003
    2. John Shephard, The Cunard – White Star liner Queen Elizabeth
    3. RMS Queen Elizabeth – Maiden Voyage after War – Cunard – Original footage, British Movietone News via youtube
    4. "RMS Queen Elizabeth". www.relevantsearchscotland.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2022. สืบค้นเมื่อ 21 September 2022.
    5. "Big Liners Steel Frame Work Rises as Workers Speed Up" Popular Mechanics, left-side pg 346. Hearst Magazines. September 1937.
    6. 6.0 6.1 6.2 6.3 "RMS Quen Elizabeth - 1939".
    7. "Classic Liners and Cruise Ships – Queen Elizabeth". Cruiseserver.net. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
    8. RMS Queen Elizabeth from Victory to Valhalla. pp. 10
    9. 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 9.13 9.14 9.15 "Cunard Queen Elizabeth 1940 – 1972". Cunard.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 January 2010. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
    10. 10.0 10.1 10.2 10.3 Maxtone-Graham, John. The Only Way to Cross. New York: Collier Books, 1972, p. 355
    11. Pathé, British. "Sister Ship To The Queen Mary". www.britishpathe.com.
    12. RMS Queen Elizabeth, The Beautiful Lady. Janette McCutcheon, The History Press Ltd (8 November 2001)
    13. The Liverpool Post, 23 August 1937
    14. John Whitaker (1985). The Best. p. 238.
    15. Hutchings, David F. (2003) Pride of the North Atlantic. A Maritime Trilogy, Waterfront.
    16. 16.00 16.01 16.02 16.03 16.04 16.05 16.06 16.07 16.08 16.09 Maxtone-Graham 1972, p. 358–60
    17. 17.0 17.1 17.2 Floating Palaces. (1996) A&E. TV Documentary. Narrated by Fritz Weaver
    18. "Queen Elizabeth".
    19. The RMS Queen Elizabeth (1942) Zacha's Bay Window Gallery
    20. 20.0 20.1 "Rms. Queen Elizabeth". Ayrshire Scotland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2009. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
    21. 21.0 21.1 Blair, Clay (2000). Hitler's U-Boat War: The Hunted, 1942–1945. New York: Modern Library. p. 107.
    22. "Image". rmhh.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2024-01-31.
    23. "HISTORY - The CUNARD - WHITE STAR Liner rms QUEEN ELIZABETH (1938-1972)". earlofcruise.blogspot.com. สืบค้นเมื่อ 2024-01-31.
    24. 24.0 24.1 24.2 "RMS Quen Elizabeth - 1939". ssmaritime.com.
    25. Maxtone-Graham 1972, p. 396
    26. "Big Liner Sprouts Fins." Popular Science, June 1955, pp. 122–124.
    27. "Liner Queen Elizabeth in Collision". The Times. No. 54526. London. 30 July 1959. col A, p. 6.
    28. Maxtone-Graham 1972, p. 409
    29. "'Queen' Fire Hazard'". Journal and Courier. Lafayette, IN. Associated Press. 13 November 1969. p. 9 – โดยทาง Newspapers.com.
    30. "Arson Suspected as Blaze Destroys Queen Elizabeth". 10 January 1972. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.[ลิงก์เสีย]
    31. "On This Day: The Queen Elizabeth Mysteriously Sinks in a Hong Kong Harbor". Findingdulcinea.com. 9 January 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2012. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
    32. "Queen Elizabeth". Chriscunard.com. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
    33. "The Cunard - White Star Liner QUEEN ELIZABETH 1938 - 1972". www.liverpoolships.org.
    34. "Sea queen to lie below CT9". สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
    35. "Providing Sufficient Water Depth for Kwai Tsing Container Basin and its Approach Channel Environmental Impact Assessment Report – Appendix 9.3 UK Hydrographic Office Data" (PDF). สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
    36. "Queen Elizabeth". cruisetalkshow.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2014. สืบค้นเมื่อ 7 July 2014.
    37. Whitlow, Z. e (14 December 2010). "The Captain's Table: The Queen Elizabeth in Torrance".
    38. "Parker 75 RMS Queen Elizabeth". Parker75.com. สืบค้นเมื่อ 29 August 2020.
    39. "The Mouse That Roared (1959) Trivia". IMDB. IMDB.com. สืบค้นเมื่อ 28 June 2019.
    40. "CANBERRA - The James Bond Ship - Cruising - Posters - P&O Collection". www.poheritage.com.
    41. "RMS Queen Elizabeth". สืบค้นเมื่อ 5 March 2015.
    42. Hann, Michael (3 October 2012). "My favourite Bond film: The Man with the Golden Gun". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 5 March 2015.

    อ่านเพิ่มเติม

    [แก้]