ข้ามไปเนื้อหา

องค์การบริหารส่วนจังหวัด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

องค์การบริหารส่วนจังหวัด (หรือ อบจ.) เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีจังหวัดละหนึ่งแห่ง ยกเว้นกรุงเทพมหานครที่เป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้งจังหวัด จัดตั้งขึ้นเพื่อบริการสาธารณประโยชน์ในเขตจังหวัด ตลอดทั้งช่วยเหลือพัฒนางานของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมทั้งการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อไม่ให้งานซ้ำซ้อน

ประวัติ

[แก้]

การจัดรูปแบบขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้มีการปรับปรุงแก้ไขและวิวัฒนาการตามลำดับ โดยจัดให้มีสภาจังหวัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 ตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476[1] ฐานะของสภาจังหวัด ขณะนั้น มีลักษณะเป็นองค์กรแทนประชาชน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือแนะนำแก่คณะกรรมการจังหวัด ยังมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากราชการบริหารส่วนภูมิภาคหรือเป็นหน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ. 2481 ขึ้น โดยมีความประสงค์ที่จะแยกกฎหมายที่เกี่ยวกับสภาจังหวัดไว้โดยเฉพาะสำหรับสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฯ นั้น ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงฐานะและบทบาทของสภาจังหวัดไปจากเดิม กล่าวคือ สภาจังหวัดยังคงทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของคณะกรรมการจังหวัดเท่านั้น จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบบริหารราชการส่วนจังหวัดของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ โดยตรงแทนคณะกรรมการจังหวัดเดิม โดยผลแห่งพระราชบัญญัติฯ นี้ ทำให้สภาจังหวัดมีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด

แต่เนื่องจากบทบาทและการดำเนินงานของสภาจังหวัดในฐานะที่ปรึกษา ซึ่งคอยให้คำแนะนำและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของจังหวัด ไม่สู้จะได้ผลสมตามความมุ่งหมายเท่าใดนัก จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะปรับปรุงบทบาทของสภาจังหวัด ให้มีประสิทธิภาพโดยให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนในการปกครองตนเองยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2498 อันมีผลให้เกิด องค์การบริหารส่วนจังหวัด ขึ้นตามกฎหมายโดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล แยกจากจังหวัด ในฐานะที่เป็นราชการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ต่อมาได้มีการประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง

อำนาจหน้าที่

[แก้]

องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีหน้าที่พัฒนาจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การอาชีพ สาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น

  1. จัดสร้างระบบสาธารณูปโภคที่เทศบาลและ อบต. ทำไม่ได้ เพราะขาดงบประมาณ เช่น สร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย
  2. จัดทำโครงการที่เกี่ยวข้องทั้งเทศบาลและ อบต. เช่น การก่อสร้างถนนสายหลัก
  3. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น จัดรถบรรทุกน้ำ ช่วยเหลือพื้นที่แห้งแล้ง
  4. การใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น เช่น จัดให้มีสถานที่พักผ่อน สวนสาธารณะ
  5. การบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจารีตประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น

การเลือกตั้งผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด

[แก้]

ประชาชนในแต่ละจังหวัดสามารถเลือกตัวแทนเข้ามาบริหาร อบจ.ได้โดยตรงโดยการเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ. การเลือกตั้งนายก อบจ. ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครนายก อบจ. ได้ 1 คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. ถือเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง อำเภอที่มีสมาชิกสภา อบจ. ได้มากกว่า 1 คน จะแบ่งเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวนสมาชิกสภา อบจ. ที่มีในอำเภอนั้น ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เขตเลือกตั้งละ 1 คน ส่วน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำหน้าที่ควบคุมและรับผิดชอบบริหารกิจการของ อบจ. ที่มีปลัด อบจ. เป็นหัวหน้า พนักงานทั้งหมดใน อบจ. และนายก อบจ. แต่งตั้งรองนายกซึ่งมิใช่สมาชิกสภา อบจ. เป็นผู้ช่วย เหลือในการบริหารงาน มีวาระการทำงานคราวละ 4 ปี

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

[แก้]

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ สมาชิกสภา อบจ. หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ส.อบจ. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน อยู่ในตำแหน่งวาระละ 4 ปี มีหน้าที่ดังนี้

  1. พิจารณาและออกกฎหมายของ อบจ. เรียกว่า “ข้อบัญญัติ อบจ.” เช่น การจัดเก็บภาษี, น้ำมัน, และยาสูบ
  2. ตรวจสอบควบคุมการบริหาร อบจ. เช่น ตรวจสอบการใช้เงินในโครงการต่าง ๆ ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัดโดยรวบรวมจากแผนของทั้งเทศบาลและ อบต. เช่น การสร้างถนน
  3. ให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งมาจากภาษีของประชาชน ทั้งภาษีทางตรงที่ อบจ. จัดเก็บ เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือภาษีทางอ้อม เช่น จากการซื้อสินค้า โดยนำส่วนที่เป็นภาษีกลับคืนมาพัฒนาท้องถิ่น

ผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น เราเรียกว่า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง

สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

[แก้]

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 สมาชิกสภาจังหวัดทั่วประเทศได้มีการรวมตัวกันจัดการประชุมใหญ่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และได้มีมติให้มีการก่อตั้งสหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทยขึ้น พร้อมกับได้เลือก อุดร จันทรวิโรจน์ ประธานสภาจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานสหพันธ์ สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งได้ขับเคลื่อนเรียกร้องให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 และประสบผลสำเร็จในเวลาต่อมา เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติ องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ขึ้นมาบังคับใช้ ส่งผลให้สภาจังหวัดเดิมได้แปรสภาพไปเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยได้แยกอำนาจหน้าที่ออกเป็นฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน สหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทยจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นสมาคมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โดยมี อำนวย แช่มช้อย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี เป็นนายกสมาคมฯ คนแรก มีสำนักงานตั้งอยู่ ณ สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวิสัยทัศน์ “รวมเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่ง มีศักดิ์ศรี มีคุณธรรม”

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2554 สานันท์ สุพรรณชนะบุรี นายกสมาคมฯ ในขณะนั้น ได้ทำการย้ายสำนักงานจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสร้างในสถานที่แห่งใหม่ มาอยู่ที่ เลขที่ 19/1-3 หมู่ที่ 4 ถนนราชพฤกษ์ ตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และได้กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำการสำนักงานสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน[2]

รายชื่อนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

[แก้]
ลำดับ รูป รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ จังหวัด
ประธานสหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทย
1 อุดร จันทรวิโรจน์ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 จังหวัดเชียงใหม่
2
(1)
อำนวย แช่มช้อย 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 จังหวัดกาญจนบุรี
นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย
2
(2)
อำนวย แช่มช้อย 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 8 สิงหาคม พ.ศ. 2544 จังหวัดกาญจนบุรี
3 ศักดา จาละ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2544 ธันวาคม พ.ศ. 2545 จังหวัดสุพรรณบุรี
4 ภิญโญ ตั๊นวิเศษ ธันวาคม พ.ศ. 2545 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 จังหวัดชลบุรี
5 วิทูร ชาติปฏิมาพงษ์ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550 จังหวัดนครราชสีมา
6 อำนาจ ศิริชัย 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พ.ศ. 2551 จังหวัดนครสวรรค์
7 สานันท์ สุพรรณชนะบุรี 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551[3] 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554 จังหวัดพัทลุง
8 ธนภณ กิจกาญจน์ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 จังหวัดจันทบุรี
9 ชัยมงคล ไชยรบ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2559 จังหวัดสกลนคร
10 บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ พ.ศ. 2559 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จังหวัดเชียงใหม่
11 อนุวัธ วงศ์วรรณ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2562 จังหวัดแพร่
12 สมศักดิ์ กิตติธรกุล พ.ศ. 2561 3 กันยายน พ.ศ. 2564 จังหวัดกระบี่
13 บุญชู จันทร์สุวรรณ 3 กันยายน พ.ศ. 2564[4] 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดสุพรรณบุรี
14 ชูพงศ์ คำจวง 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566[5] 19 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดสกลนคร
- พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
(อุปนายกสมาคมฯ)
19 ธันวาคม พ.ศ. 2566
(รักษาการ)
19 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดปทุมธานี

อ้างอิง

[แก้]
  1. พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 เก็บถาวร 2009-03-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 51 วันที่ 24 เมษายน 2477
  2. "ประวัติความเป็นมา – สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย".
  3. "สัมภาษณ์สานันท์ สุพรรณชนะบุรี: ท้องถิ่นคือรากฐานประชาธิปไตยรัฐต้องให้ความสำคัญ | ประชาไท Prachatai.com". prachatai.com. 2024-12-29.
  4. ข่าวช่อง 8 (2021-09-03). ""บุญชู จันทร์สุวรรณ" ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม อบจ.ฯ คนที่ 13". www.thaich8.com.
  5. ""ดร.ชูพงศ์ คำจวง" นั่งนายกสมาคมอบจ.แห่งประเทศไทย คนใหม่". สยามรัฐ. 2023-11-30.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]