ข้ามไปเนื้อหา

ฟลูอ็อกเซทีน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟลูอ็อกเซทีน
ฟลูอ็อกเซทีนเออาโออิ (บน),
(R) -fluoxetine (กลาง), (S) -fluoxetine (ล่าง)
ข้อมูลทางคลินิก
ชื่อทางการค้าProzac, Animex-On, Sarafem, Adofen, Deprex
AHFS/Drugs.comโมโนกราฟ
MedlinePlusa689006
ข้อมูลทะเบียนยา
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์
  • AU: C
  • US: C (ยังไม่ชี้ขาด)
Dependence
liability
ทางกาย: ต่ำ
ทางใจ: ต่ำ
Addiction
liability
ไม่มี
ช่องทางการรับยารับประทาน
รหัส ATC
กฏหมาย
สถานะตามกฏหมาย
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์
ชีวประสิทธิผล60-80%[2]
การจับกับโปรตีน94-95%[3]
การเปลี่ยนแปลงยาตับ (อำนวยโดยระบบ CYP2D6)[1]
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ1-3 วัน (ระยะสั้น)
4-6 วัน (ระยะยาว)[1][4]
การขับออกปัสสาวะ (80%), อุจจาระ (15%)[1][4]
ตัวบ่งชี้
  • N-methyl-3-phenyl-3-[4- (trifluoromethyl) phenoxy]propan-1-amine
เลขทะเบียน CAS
PubChem CID
IUPHAR/BPS
DrugBank
ChemSpider
UNII
KEGG
ChEBI
ChEMBL
ECHA InfoCard100.125.370
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี
สูตรC17H18F3NO
มวลต่อโมล309.33 g·mol−1 g·mol−1
แบบจำลอง 3D (JSmol)
ไครัลลิตีRacemic mixture
จุดหลอมเหลว179 ถึง 182 องศาเซลเซียส (354 ถึง 360 องศาฟาเรนไฮต์)
จุดเดือด395 องศาเซลเซียส (743 องศาฟาเรนไฮต์)
การละลายในน้ำ14 mg/mL (20 °C)
  • CNCCC (c1ccccc1) Oc2ccc (cc2) C (F) (F) F
  • InChI=1S/C17H18F3NO/c1-21-12-11-16 (13-5-3-2-4-6-13) 22-15-9-7-14 (8-10-15) 17 (18,19) 20/h2-10,16,21H,11-12H2,1H3 checkY
  • Key:RTHCYVBBDHJXIQ-UHFFFAOYSA-N checkY
  (verify)
สารานุกรมเภสัชกรรม

ฟลูอ็อกเซทีน (อังกฤษ: Fluoxetine) หรือชื่อทางการค้าคือ โปรแซ็ค (Prozac) และ ซาราเฟ็ม (Sarafem) เป็นยาแก้ซึมเศร้าแบบรับประทานประเภท selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI)[2] ใช้รักษาโรคซึมเศร้า (MDD) โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) โรคหิวไม่หายแบบทานแล้วอาเจียน (bulimia nervosa) โรคตื่นตระหนก (panic disorder) และความละเหี่ยก่อนระดู (premenstrual dysphoric disorder ตัวย่อ PMDD) เป็นยาที่อาจลดความเสี่ยงการฆ่าตัวตายในคนไข้อายุเกิน 65 ปี และเป็นยาที่ใช้รักษาการหลั่งน้ำอสุจิเร็ว (premature ejaculation) ได้ด้วย[2]

ผลข้างเคียงที่สามัญก็คือนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร ปากแห้ง เป็นผื่น และฝันผิดปกติ ผลข้างเคียงที่รุนแรงรวมทั้งเซโรโทนินเป็นพิษ (serotonin syndrome) อาการฟุ้งพล่าน การชัก โอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้นสำหรับคนอายุต่ำกว่า 25 ปี และความเสี่ยงการเลือดออกสูงขึ้น ถ้าหยุดแบบฉับพลัน อาจมีอาการหยุดยา ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับความวิตกกังวล ความเวียนหัวคลื่นไส้ และการรับรู้สัมผัสที่เปลี่ยนไป[2] ยังไม่ชัดเจนว่า ยาปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรือไม่ แต่ว่าถ้าทานยาอยู่แล้ว ก็ยังเหมาะสมที่จะทานต่อไปเมื่อให้นมลูก[5] กลไกการทำงานของยายังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่ายาเพิ่มการทำงานของระบบเซโรโทนินในสมอง[2]

บริษัท Eli Lilly and Company ค้นพบยาในปี พ.ศ. 2515 และเริ่มใช้ในการแพทย์เมื่อปี 2529[6] เป็นยาที่อยู่ในรายการยาจำเป็นขององค์การอนามัยโลก คือยาที่จำเป็นที่สุดในระบบดูแลสุขภาพพื้นฐาน[7] ในปัจจุบันมียาสามัญแล้ว[2] และจัดเป็นยาอันตรายในประเทศไทย

การแพทย์

[แก้]
แผงยาฟลูอ็อกเซทีน 20 มก.

ฟลูอ็อกเซทีนมักใช้รักษาโรคซึมเศร้า (MDD) โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) โรคหิวไม่หาย (bulimia nervosa) โรคตื่นตระหนก (panic disorder) ความละเหี่ยก่อนระดู (PMDD) อาการถอนผม (trichotillomania)[8][9][10][11] และยังใช้รักษาภาวะปวกเปียก (cataplexy) โรคอ้วน การติดเหล้า[12] โรคหิวไม่หายแบบทานแล้วไม่อาเจียน (binge eating disorder)[13] และได้ลองใช้สำหรับโรคออทิซึมสเปกตรัมอย่างสำเร็จโดยปานกลางในผู้ใหญ่[14][15][16][17]

โรคซึมเศร้า

[แก้]

ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนและยาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ ในการรักษาโรคซึมเศร้าหนักน้อยถึงปานกลางยังไม่มีข้อยุติ งานวิเคราะห์อภิมานปี 2551 เสนอว่า ในอาการจากเบาจนถึงปานกลาง ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนและยา SSRI ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก[18] งานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 ที่วิเคราะห์ข้อมูลระดับคนไข้จากงานทดลองหกงานที่ใช้ยา SSRI คือ paroxetine และยา non-SSRI คือ imipramine เป็นหลักฐานอีกอย่างว่า ยาแก้ซึมเศร้ามีประสิทธิผลน้อยในกรณีที่เบาจนถึงปานกลาง[19] ส่วนงานวิเคราะห์อภิมานปี 2555 ที่วิเคราะห์ข้อมูลระดับคนไข้ของฟลูอ็อกเซทีนที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าสรุปว่า มีผลที่มีนัยสำคัญทั้งทางสถิติและทางคลินิกไม่ว่าโรคจะอยู่ในระดับไหน และความรุนแรงของโรคไม่มีผลที่สำคัญต่อประสิทธิผลของยา[20]

งานปฏิทัศน์เป็นระบบปี 2552 ขององค์กรสาธารณสุขสหราชอาณาจักร (National Institute for Health and Care Excellence ตัวย่อ NICE) ซึ่งรวมงานปี 2551 แต่ไม่รวมงานภายหลัง สรุปว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า SSRI มีประสิทธิผลต่อโรคซึมเศร้าตั้งแต่ปานกลางจนถึงหนัก และมีหลักฐานบ้างว่ามีผลต่อโรคขั้นอ่อน[21] การวิเคราะห์ของ NICE และงานปี 2552 สรุปว่า มีหลักฐานสำหรับประสิทธิผลของยาแก้ซึมเศร้าสำหรับโรคซึมเศร้าแบบอ่อนเรื้อรัง (dysthymia) ที่ชัดเจนกว่าโรคซึมเศร้าขั้นอ่อนที่เพิ่งเกิดขึ้น

NICE แนะนำให้รักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้าแบบ SSRI บวกกับการแทรกแทรงทางจิต-สังคมเป็นการรักษาลำดับสองสำหรับโรคซึมเศร้าขั้นอ่อนระยะสั้น และเป็นการรักษาลำดับแรกสำหรับโรคปานกลางหรือหนัก และสำหรับโรคเบาแต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หรือมีมานานแล้ว ส่วนสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) รวมการรักษาด้วยยาเป็นทางเลือกการรักษาลำดับแรกสำหรับโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะเมื่อ "มีประวัติตอบสนองที่ดีต่อยาแก้ซึมเศร้า มีอาการระดับปานกลางจนถึงรุนแรง มีปัญหาสำคัญในการนอนหรือความอยากอาหาร มีกายใจไม่สงบ เป็นความต้องการของคนไข้ และคาดหวังว่าจะต้องรักษาเพื่อดำรงสภาพ (maintenance)"[22]

ส่วนในแนวทางการจัดการโรคซึมเศร้าสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในสถานบริการระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ (CPG-MDD-GP) ปี 2553 ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขไทย สำหรับการรักษาโรคด้วยยาแก้ซึมเศร้าแนะนำให้พิจารณายา SSRI เป็นลำดับแรกในขนาดที่ต่ำโดยเริ่มต้นที่ฟลูอ็อกเซทีนขนาด 20 มก./วัน ในบรรดายา 3 อย่างที่แนะนำ โดยควรให้ยาสำหรับโรคขั้นปานกลางจนถึงหนัก[23]

โรคย้ำคิดย้ำทำ

[แก้]

ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนในการรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ได้แสดงแล้วในการทดลองทางคลินิกระยะ 3 ที่จัดกลุ่มคนไข้โดยสุ่มและทำที่หลายศูนย์ ผลรวมกันที่ได้แสดงว่า 47% ที่ได้รับการรักษาจนจบ 13 สัปดาห์ด้วยขนาดยาสูงสุด "ดีขึ้นมาก" หรือ "ดีขึ้นมาก ๆ " เทียบกับ 11% ในกลุ่มยาหลอก[3] ส่วนบัณฑิตยสถานจิตเวชเด็กและวัยรุ่นอเมริกัน (American Academy of Child and Adolescent Psychiatry) แจ้งว่า SSRI รวมทั้งฟลูอ็อกเซทีนควรใช้เป็นการรักษาลำดับแรกสำหรับเด็กร่วมกับจิตบำบัดคือการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT) เพื่อรักษา OCD ในระดับปานกลางถึงรุนแรง[24]

โรคตื่นตระหนก

[แก้]

ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนในการรักษาโรคตื่นตระหนกแสดงแล้วในงานทดลองทางคลินิกระยะ 3 ที่จัดกลุ่มคนไข้โดยสุ่มและทำที่หลายศูนย์เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ที่รับสมัครคนไข้โรคตื่นตระหนก ไม่ว่าจะมีโรคกลัวที่ชุมชนหรือไม่ ในการทดลองแรก 42% ของคนไข้ที่ได้ยาไม่มีอาการตื่นตระหนกหลังจากจบงาน เทียบกับ 28% ในกลุ่มยาหลอก ในงานที่สอง 62% ของคนไข้ที่ได้ยาไม่มีอาการตื่นตระหนกหลังจากจบงาน เทียบกับ 44% ในกลุ่มยาหลอก[3]

โรคหิวไม่หายแบบทานแล้วอาเจียน

[แก้]

งานปริทัศน์เป็นระบบปี 2554 ที่ตรวจงานทดลอง 7 งานที่เปรียบเทียบฟลูอ็อกเซทีนกับยาหลอกในการรักษา โรคหิวไม่หายแบบทานแล้วอาเจียน (bulimia nervosa) มี 6 งานที่พบการลดอาการที่มีนัยสำคัญทางสถิติ อาการเช่น การอาเจียนและการทานมากเกินไป[25] แต่ว่า ไม่มีผลต่างเมื่อเทียบการรักษาด้วยฟลูอ็อกเซทีนบวกกับจิตบำบัด กับการรักษาด้วยจิตบำบัดอย่างเดียว

ความละเหี่ยก่อนระดู

[แก้]

ฟลูอ็อกเซทีนสามารถใช้รักษา premenstrual dysphoric disorder (ความละเหี่ยก่อนระดู ตัวย่อ PMDD) ได้ด้วย[26][27]

กลุ่มพิเศษ

[แก้]

ในเด็กและวัยรุ่น ฟลูอ็อกเซทีนเป็นยาแก้ซึมเศร้าที่นิยมเพราะหลักฐานเบื้องต้นที่แสดงประสิทธิผลและความทนรับได้[28][29] สำหรับหญิงมีครรภ์ ประเทศสหรัฐอเมริกาพิจารณาว่าเป็นยาประเภท C คือ ความเสี่ยงยังไม่ได้ชี้ขาด (Risk not ruled out) หลักฐานที่สนับสนุนว่ามีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นในพัฒนาการสำคัญที่ผิดปกติ (major fetal malformation) ของทารกในครรภ์ จากการใช้ฟลูอ็อกเซทีนยังจำกัด แม้ว่า องค์กรควบคุมของสหราชอาณาจักร (Medicines and Healthcare Products Regulatory Agency ตัวย่อ MHRA) จะเตือนผู้สั่งยาและคนไข้ถึงโอกาสที่การใช้ฟลูอ็อกเซทีนในช่วงไตรมาสแรก (ช่วงกำเนิดอวัยวะ) จะเป็นเหตุให้เสี่ยงสูงขึ้นในการมีหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดสำหรับเด็กที่เพิ่งคลอด[30][31][32]

นอกจากนั้นแล้ว มีงานศึกษาหนึ่งที่พบความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ฟลูอ็อกเซทีนในช่วงไตรมาสแรก กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของพัฒนาการรองที่ผิดปกติ (minor fetal malformation) ของทารกในครรภ์[31] แต่ว่า งานปริทัศน์เป็นระบบต่องาน 21 งาน สรุปว่า "ความเสี่ยงที่ปรากฏสูงขึ้นสำหรับการเกิดหัวใจผิดปกติของทารกในครรภ์ที่สัมพันธ์กับการใช้ฟลูอ็อกเซทีนของมารดา ก็พบเร็ว ๆ นี้ด้วยในหญิงซึมเศร้าที่ผัดผ่อนการรักษาด้วย SSRI เมื่อตั้งครรภ์ และดังนั้น มีโอกาสมากที่สุดว่าเป็นอคติที่เกิดจากการเลือกตัวอย่าง (ascertainment bias) โดยทั่วไปแล้ว หญิงที่รักษาด้วยฟลูอ็อกเซทีนในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ไม่ปรากฏกว่า ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อพัฒนาการสำคัญที่ผิดปกติ (major fetal malformations)"[33]

ตามองค์การอาหารและยาสหรัฐ ทารกที่รับยา SSRI ในช่วงปลายครรภ์อาจเสี่ยงสูงขึ้นต่อความดันสูงเรื้อรังในเด็กเกิดใหม่ (persistent pulmonary hypertension of the newborn) แม้จะมีข้อมูลจำกัดที่สนับสนุนความเสี่ยงนี้ แต่องค์การแนะนำให้แพทย์พิจารณาลดยา SSRI เช่นฟลูอ็อกเซทีนในช่วงไตรมาสที่ 3[3] งานทบทวนวรรณกรรมปี 2552 แนะนำไม่ให้ใช้ฟลูอ็อกเซทีนเป็นยาลำดับแรกในช่วงมีนม โดยแจ้งว่า "[ฟลูอ็อกเซทีน] ควรพิจารณาว่าเป็นยา SSRI ที่ควรเลือกน้อยกว่า (less-preferred) สำหรับมารดาเลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะต่อทารกที่เกิดใหม่ และสำหรับมารดาผู้ทานฟลูอ็อกเซทีนในช่วงมีครรภ์"[34] Sertraline บ่อยครั้งจะเป็นยา SSRI ที่เลือกมากกว่าในช่วงมีครรภ์ เพราะหลักฐานว่าทารกได้รับน้อยและเพราะโพรไฟล์ความปลอดภัยที่พบเมื่อเลี้ยงลูกด้วยนม[35]

ส่วนในแนวทางการจัดการโรคซึมเศร้าสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในสถานบริการระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ (CPG-MDD-GP) ปี 2553 ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขไทย มีข้อแนะนำสำหรับคนไข้กลุ่มพิเศษดังต่อไปนี้[23]

  • สำหรับคนไข้โรคไตระยะสุดท้าย ยา SSRI ปลอดภัยต่อผู้ป่วยโดยเริ่มต้นแนะนำฟลูอ็อกเซทีน 20 มก./วัน
  • สำหรับผู้ป่วยโรคตับ ควรรักษาด้วยยา SSRI ในขนาดต่ำ โดยเริ่มต้นแนะนำฟลูอ็อกเซทีน 20 มก./วัน ในบรรดายา 3 อย่างที่แนะนำ และไม่แนะนำยาประเภท TCA หรือ MAOI
  • สำหรับคนไข้เด็กและวัยรุ่น ฟลูอ็อกเซทีนมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ควรเริ่มด้วยยาขนาดต่ำ ในช่วงแรกของการรักษา ควรนัดและติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในเดือนแรก ควรระวังการเพิ่มความเสี่ยงฆ่าตัวตาย
  • สำหรับคนสูงอายุ เมื่อให้ยา SSRI เป็นการรักษาลำดับแรกในผู้สูงอายุ และในผู้ป่วยที่มีโรคทางกายร่วมด้วย (comorbid) ควรระวังภาวะมีโซเดียมในเลือดน้อยเกิน (hyponatremia) และเลือดออกในทางเดินอาหาร (gastro-intestinal bleeding) แนะนำให้ยาแก่ผู้สูงอายุโดย "เริ่มด้วยขนาดต่ำ ปรับยาขึ้นช้า ๆ คงรักษานานกว่าปกติ" และพิจารณาผลข้างเคียงของยาแต่ละชนิดก่อนทุกครั้ง
  • สำหรับหญิงมีครรภ์ ยากลุ่ม SSRI ปลอดภัยกว่ายากลุ่ม Tricyclic antidepressant (TCA) แต่บางรายอาจเสี่ยงต่อทารกคลอดก่อนกำหนด เกิดกลุ่มอาการหยุดยาแก้ซึมเศร้าในไตรมาสที่สาม และทารกเกิดหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart defect)

ข้อห้ามใช้

[แก้]

ข้อห้ามใช้รวมทั้งในบุคคลที่รักษาด้วยยา monoamine oxidase inhibitors (MAOI) ภายในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น phenelzine และ tranylcypromine เพราะเสี่ยงต่อเซโรโทนินเป็นพิษ (serotonin syndrome)[1] ในบุคคลที่แพ้ยาฟลูอ็อกเซทีนหรือองค์ประกอบของยา[1] และไม่แนะนำให้ใช้ในบุคคลที่กำลังรักษาด้วยยาโรคจิต pimozide หรือ thioridazine[1]

ผลที่ไม่พึงประสงค์

[แก้]

ผลข้างเคียงที่พบในการรักษาด้วยฟลูอ็อกเซทีนในการทดลองทางคลินิกโดยมีความชุกมากกว่า 5% และเกิดขึ้นอย่างน้อยสองเท่าของผู้ที่รับยาหลอกรวมทั้งอาการฝันผิดปกติ หลั่งน้ำอสุจิผิดปกติ เบื่ออาหาร วิตกกังวล อ่อนเปลี้ย ท้องร่วง ปากแห้ง อาหารไม่ย่อย อาการไข้ ไร้สมรรถภาพทางเพศ นอนไม่หลับ ความต้องการทางเพศน้อยลง คลื่นไส้ ขวัญอ่อน คอหอยอักเสบ ผื่น โพรงอากาศอักเสบ ง่วงซึม เหงื่อออก สั่น หลอดเลือดขยาย และหาว[36] ฟลูอ็อกเซทีนมีฤทธิ์กระตุ้นมากที่สุดในบรรดายา SSRI (ซึ่งก็คือ มักจะทำให้นอนไม่หลับและกระวนกระวาย)[37] และดูเหมือนจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางผิวหนังมากที่สุด (คือ ลมพิษ ผื่น คัน เป็นต้น)[31]

ความผิดปกติทางเพศ

[แก้]

ความผิดปกติทางเพศ รวมทั้งความต้องการทางเพศน้อยลง ไม่สามารถบรรลุจุดสุดยอด (anorgasmia) ไม่มีน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด องคชาตไม่ตอบสนอง (erectile dysfunction) เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดเมื่อรักษาด้วยฟลูอ็อกเซทีนและยา SSRI อื่น ๆ แม้ว่าผลเบื้องต้นของการทดลองทางคลินิกจะแสดงอัตราที่ค่อนข้างต่ำของความผิดปกติทางเพศ แต่ว่างานศึกษาต่าง ๆ เร็ว ๆ นี้ที่ผู้ตรวจสอบถามถึงเรื่องปัญหาทางเพศโดยตรงแสดงว่าความชุกมีมากกว่า 70%[38] มีการแจ้งว่าอาการผิดปกติยังดำรงอยู่แม้หลังเลิกใช้ยา แม้ว่าจะเชื่อว่านี้หายาก[3][39][40]

อาการหยุดยา

[แก้]

ผลข้างเคียงของการหยุดยาฟลูอ็อกเซทีนไม่สามัญและเบา โดยเฉพาะถ้าเทียบกับ paroxetine, venlafaxine, และ fluvoxamine และน่าจะเป็นเพราะระยะครึ่งชีวิต (half-life) ทางเภสัชวิทยาของยาค่อนข้างยาว[41] กลยุทธ์บริหารอาการหยุดยาที่แนะนำสำหรับยา SSRI อื่น ๆ ก็คือให้ใช้ฟลูอ็อกเซทีนแทน ถ้าการค่อย ๆ ลดขนาดยา SSRI ที่ใช้เบื้องต้นไม่ได้ผล[42][43] งานศึกษาอำพรางสองด้านที่มีกลุ่มควบคุมสนับสนุนความเห็นนี้[ต้องการอ้างอิง]

งานศึกษาหลายงานพบว่า ไม่เกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นถ้าหยุดการรักษาฟลูอ็อกเซทีนโดยอำพรางคนไข้เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ (4-8 วัน) แล้วให้ยาใหม่ ผลนี้เข้ากับทฤษฎีว่าร่างกายกำจัดยาออกอย่างช้า ๆ เทียบกับผลข้างเคียงที่มากกว่าถ้าหยุดยา sertraline และมากกว่าอย่างสำคัญถ้าหยุดยา paroxetine[44] ตามรายงานทบทวนหลักฐานปี 2550 ฟลูอ็อกเซทีนมีปัญหาชุกน้อยที่สุดเพราะหยุดยาในบรรดายาแก้ซึมเศร้ารวมทั้ง paroxetine และ venlafaxine[45]

การฆ่าตัวตาย

[แก้]

ในปี 2550 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) บังคับให้ยาแก้ซึมเศร้าทุกชนิดแสดงป้ายเตือนว่า ยาอาจเพิ่มความเสี่ยงการฆ่าตัวตายสำหรับคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี[46] ซึ่งมีเหตุจากการวิเคราะห์ทางสถิติของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขององค์การ 2 กลุ่มที่ทำงานเป็นอิสระจากกันและกันที่พบว่า มีความคิดและพฤติกรรมฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 2 เท่าในเด็กและวัยรุ่น และเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในกลุ่มคนอายุ 18-24 ปี และน้อยลงสำหรับคนอายุมากกว่า 24 และน้อยลงกว่าอย่างสำคัญในกลุ่มคนอายุมากกว่า 65[47][48][49] ศาสตราจารย์จิตเวชที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียท่านหนึ่ง (Donald Klein) คัดค้านความเห็นนี้โดยให้ข้อสังเกตว่าความคิดและพฤติกรรมฆ่าตัวตาย ไม่ใช่เป็นตัวแทนการฆ่าตัวตายสำเร็จที่ดี ดังนั้น จึงยังเป็นไปได้ที่ยาแก้ซึมเศร้าอาจป้องกันการฆ่าตัวตายสำเร็จจริง ๆ แม้ว่าจะเพิ่มความคิดและพฤติกรรม[50]

แต่ว่า ข้อมูลที่มีเกี่ยวกับฟลูอ็อกเซทีนจะน้อยกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยทั่วไป เพื่อที่จะได้ผลดังที่ว่า FDA ต้องรวมผลการทดลอง 295 งานสำหรับยาแก้ซึมเศร้า 11 อย่างเพื่อที่จะได้ผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ถ้าพิจารณาต่างหาก ฟลูอ็อกเซทีนในเด็กเพิ่มโอกาสความคิดและพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดย 50%[51] และในผู้ใหญ่ลดโอกาสโดย 30%[48][49] โดยคล้ายคลึงกัน องค์การสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency ตัวย่อ MHRA) ทำการวิเคราะห์ในเด็กและวัยรุ่นที่ทานฟลูอ็อกเซทีนเทียบกับยาหลอก แล้วพบว่าโอกาสเสี่ยงเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นโดย 50% แม้จะยังไม่ถึงนัยสำคัญทางสถิติ และว่าในผู้ใหญ่ ฟลูอ็อกเซทีนไม่เปลี่ยนอัตราการทำร้ายตัวเองและลดความคิดการฆ่าตัวตายถึง 50% โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ[52][53]

ยาเกินขนาด

[แก้]

เมื่อทานยาเกิน ผลลบที่พบบ่อยครั้งที่สุดรวมทั้ง[54]

ผลต่อระบบประสาท
  • วิตกกังวล
  • ขวัญอ่อน/อยู่ไม่เป็นสุข (nervousness)
  • นอนไม่หลับ
  • ง่วงนอน
  • อ่อนเพลีย
  • สั่น
  • เวียนหัว/คลื่นไส้
ผลต่อทางเดินอาหาร
ผลอื่น ๆ

ปฏิสัมพันธ์กับสารอื่น

[แก้]

ฟลูอ็อกเซทีนและ norfluoxetine ยับยั้งไอโซไซม์หลายอย่างของระบบ cytochrome P450 ที่มีส่วนในกระบวนการเมแทบอลิซึมของยา ทั้งสองเป็นสารยับยั้งที่มีฤทธิ์สูงต่อเอนไซม์ CYP2D6 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึมของยาทั้งสองเองด้วย ต่อเอนไซม์ CYP2C19 และมีฤทธิ์อ่อนจนถึงปานกลางต่อเอนไซม์ CYP2B6 และ CYP2C9[55][56] ในสัตว์เป็น (in vivo) ฟลูอ็อกเซทีนและ norfluoxetine ไม่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ CYP1A2 และ CYP3A4[55] ยาทั้งสองยังยับยั้งการทำงานของโปรตีน P-glycoprotein ซึ่งเป็นโปรตีนขนส่งผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (membrane transport protein) ที่มีบทบาทสำคัญในการขนส่ง การสร้างและสลายยา และดังนั้น ซับสเตรตของ P-glycoprotein เช่นยาแก้ท้องร่วง loperamide อาจจะมีฤทธิ์แรงขึ้น[57] ผลที่กว้างขวางต่อวิถีเมแทบอลิซึมของยาในร่างกายเช่นนี้ สร้างโอกาสที่ยาจะมีปฏิสัมพันธ์กับยาสามัญอื่น ๆ มากมาย[57][58]

ควรจะเลี่ยงใช้ยาเมื่อคนไข้กำลังทานยาที่มีฤทธิ์ต่อระบบเซโรโทนินอย่างอื่น ๆ ด้วย เช่น monoamine oxidase inhibitors, tricyclic antidepressants, methamphetamine, methylenedioxymethamphetamine (MDMA), triptan, buspirone, serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors, และยา SSRI อื่น ๆ เนื่องจากโอกาสเกิดอาการเซโรโทนินเป็นพิษ[1]

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับยายึดโปรตีนอื่น ๆ เพราะฟลูอ็อกเซทีนอาจกำจัดยาดังกล่าวจากพลาสมาของเซลล์ หรือฟลูอ็อกเซทีนอาจถูกกำจัดโดยนัยตรงกันข้าม และดังนั้นจะเพิ่มความเข้มข้นของฟลูอ็อกเซทีนหรือยาที่ว่าในซีรัมของเลือด[1]

Binding affinities (Ki in nM)[59][60]
[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง]
เป้าหมาย ฟลูอ็อกเซทีน Norfluoxetine
SERT 1 19
NET 660 2700
DAT 4180 420
5-HT2A 200 300
5-HT2B 5000 5100
5-HT2C 72.6 91.2
α1 3000 3900
M1 870 1200
M2 2700 4600
M3 1000 760
M4 2900 2600
M5 2700 2200
H1 3250 10000
Entries with this color indicate a lower Ki bound.

เภสัชวิทยา

[แก้]

เภสัชพลศาสตร์

[แก้]

ฟลูอ็อกเซทีนเป็นสารยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะของเซลล์ประสาท (selective serotonin reuptake inhibitor ตัวย่อ SSRI) แต่ไม่ยับยั้งนอร์เอพิเนฟรินหรือโดพามีนในปริมาณที่ใช้เพื่อรักษา ดังนั้น เมื่อเซลล์ประสาทปล่อยเซโรโทนินออก สารจะดำรงอยู่นานกว่าเพราะการนำไปใช้ใหม่ (reuptake) เกิดความล่าช้า แต่การให้ยาเป็นจำนวนมากในหนู จะเพิ่มนอร์เอพิเนฟรินหรือโดพามีนอย่างสำคัญในไซแนปส์[61][62][63][64] ดังนั้น โดพามีนและนอร์เอพิเนฟรินอาจมีส่วนในฤทธิ์ลดความซึมเศร้าของฟลูอ็อกเซทีนในมนุษย์เมื่อใช้เกินขนาดรักษา (60-80 มก.)[63][65] ผลที่ว่านี่อาจจะอำนวยโดยตัวรับ 5HT2C ซึ่งฟลูอ็อกเซทีนในระดับเข้มข้นกว่าจะมีฤทธิ์ยับยั้ง[66]

ฟลูอ็อกเซทีนเพิ่มความเข้มข้นของนิวโรสเตอรอยด์ allopregnanolone ที่ไหลเวียนในสมองและมีศักยภาพเพิ่มการทำงานของตัวรับ GABAA (โดยทำงานเป็น GABAA receptor positive allosteric modulator ตัวย่อ GABAA PAM) ในระบบประสาท[64][67] ความซึมเศร้าสัมพันธ์กับระดับ allopregnanolone ที่ลดลงในน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid)[68] และดังนั้น สาร GABAA PAM จึงอาจมีผลต่อความซึมเศร้า[69] Norfluoxetine ซึ่งเป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์หลักของฟลูอ็อกเซทีน ให้ผลคล้ายกันต่อระดับ allopregnanolone ที่เพิ่มขึ้นในสมองหนู[64] ฟลูอ็อกเซทีนยังเป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ acid sphingomyelinase ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับ ceramide ที่สำคัญ โดยอำนวยการสร้าง ceramide จาก sphingomyelin ซึ่งเป็นกระบวนการที่สันนิษฐานว่ามีผลต่อความซึมเศร้า[70][71]

ฟลูอ็อกเซทีนยังออกฤทธิ์เป็นตัวทำการของตัวรับ σ11-receptor) โดยมีฤทธิ์แรงกว่า citalopram แต่น้อยกว่า fluvoxamine แม้ว่า ความสำคัญของฤทธิ์นี้ยังไม่ชัดเจน[72][73] ฟลูอ็อกเซทีนยังมีฤทธิ์ปิดช่องไอออน anoctamin-1 ซึ่งเป็นช่องไอออนสำหรับคลอไรด์ที่เริ่มการทำงานโดยแคลเซียม (calcium-activated chloride channel)[74][75] นอกจากนั้นแล้ว ในระดับความเข้มข้นสูง ตัวฟลูอ็อกเซทีนเองก็ยังเป็นตัวเพิ่มการทำงานแบบ positive allosteric modulator ของตัวรับ GABAA และ norfluoxetine ก็เช่นกันแต่มีฤทธิ์แรงกว่า ซึ่งอาจมีผลสำคัญทางคลินิก[76] และในระดับความเข้มข้นคล้าย ๆ กัน ก็เป็นตัวยับยั้งช่องไอออนจำนวนหนึ่งรวมทั้ง nicotinic acetylcholine receptor และ 5-HT3 receptor ด้วย[76]

Seproxetine (หรือ S-norfluoxetine) ซึ่งเป็น เมแทบอไลต์ออกฤทธิ์หลักของฟลูอ็อกเซทีน

เภสัชจลนศาสตร์

[แก้]

สภาพพร้อมใช้ทางชีวภาพของฟลูอ็อกเซทีนค่อนข้างสูง (72%) และความเข้มข้นสูงสุดในเลือดเกิดขึ้นภายใน 6-8 ชม. เป็นยาที่ยึดกับโปรตีนพลาสมาได้ดี โดยมากกับแอลบูมิน และไกลโคโปรตีน α1[1] ฟลูอ็อกเซทีนจะสลายในตับโดยอาศัย isoenzyme ของระบบ cytochrome P450 รวมทั้งเอนไซม์ CYP2D6[77] บทบาทของ CYP2D6 ในเมแทบอลิซึมของฟลูอ็อกเซทีนอาจสำคัญทางคลินิก เพราะว่าการทำงานของเอนไซม์นี้มีความแตกต่างทางพันธุกรรมมากในบุคคลต่าง ๆ CYP2D6 เป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนฟลูอ็อกเซทีนเป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์เดียวของยา ซึ่งก็คือ norfluoxetine[78] ทั้งฟลูอ็อกเซทีนและ norfluoxetine เป็นตัวยับยั้งฤทธิ์แรงต่อเอนไซม์ CYP2D6[79]

เพราะร่างกายกำจัดฟลูอ็อกเซทีนและเมแทบอไลต์ norfluoxetine ได้ช้ามาก จึงทำให้ยาแตกต่างจากยาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ คือ เมื่อทานได้สักระยะหนึ่งฟลูอ็อกเซทีนและ norfluoxetine จะยับยั้งเมแทบอลิซึมของตนเอง ดังนั้นระยะครึ่งชีวิตในการกำจัดฟลูอ็อกเซทีนในขนาดที่ใช้รักษาจะเปลี่ยนไปจาก 1 วันไปเป็น 3 วันในเบื้องต้น และไปเป็น 4-6 วันหลังจากทานเป็นระยะเวลานาน[1] และโดยคล้าย ๆ กัน ครึ่งชีวิตในการกำจัด norfluoxetine จะยาวขึ้นเป็น 16 วัน หลังจากทานเป็นระยะเวลายาว[77][80][81] ดังนั้น ทั้งความเข้มข้นของยาและเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของยาในเลือดจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษา และความเข้มข้นเสถียรจะถึงก็ต่อเมื่อหลังจากทานเป็นเวลา 4 อาทิตย์[82][83]

นอกจากนั้นแล้ว ความเข้มข้นของยาและเมแทบอไลต์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดอย่างน้อย 5 สัปดาห์แรกหลังจากเริ่มรักษา[84] ซึ่งหมายความว่า ประโยชน์ที่จะได้จากขนาดยาที่ให้ในปัจจุบันจะไม่สมบูรณ์อย่างน้อย 1 เดือนหลังจากเริ่มยา ยกตัวอย่างเช่น ในงานศึกษา 6 สัปดาห์งานหนึ่ง เวลามัธยฐานที่คนไข้จะตอบสนองอย่างคงเส้นคงวาก็คือ 29 วัน[82] โดยนัยเดียวกัน การกำจัดยาโดยสิ้นเชิงอาจจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ คือ ในอาทิตย์แรกหลังจากเลิก ความเข้มข้นของยาในสมองลดลงเพียงแค่ 50%[84] ระดับ norfluoxetine ในเลือด 4 อาทิตย์หลังจากเลิกยาอยู่ที่ประมาณ 80% ของระดับที่วัดได้หลังจากเริ่มการรักษา 1 อาทิตย์ และหลังจาก 7 อาทิตย์ที่เลิก ก็ยังสามารถตรวจจับ norfluoxetine ในเลือดได้อยู่[80]

การวัดในของเหลวร่างกาย

[แก้]

ฟลูอ็อกเซทีนและ norfluoxetine สามารถวัดได้ในเลือด พลาสมา หรือซีรัมเพื่อตรวจตราการรักษา เพื่อยืนยันวินิจฉัยว่าเป็นพิษในคนไข้ที่เข้าโรงพยาบาล หรือเพื่อช่วยชันสูตรศพ คือ ความเข้มข้นของยาในเลือดหรือในพลาสมาปกติอยู่ระหว่าง 50-500 μg/L สำหรับคนไข้ที่ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า, 900-3000 μg/L สำหรับผู้รอดชีวิตจากการได้ยาเกิน, และ 1000-7000 μg/L สำหรับเหยื่อที่ได้รับขนาดถึงตาย ความเข้มข้นของ Norfluoxetine ประมาณเท่ากับฟลูอ็อกเซทีนในช่วงการรักษาระยะยาว แต่อาจจะน้อยกว่ามากถ้าได้ยาเกิน เพราะจะใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 อาทิตย์กว่าเมแทบอไลต์จะถึงจุดสมดุล[85][86][87]

การใช้

[แก้]

ในปี 2553 มีการให้ยา 24.4 ล้านชุดสำหรับยาสามัญฟลูอ็อกเซทีนในประเทศสหรัฐอเมริกา (ประชากร 309 ล้านคน คือ ~7.9% ของประชากร)[88] ทำให้เป็นยาแก้ซึมเศร้านิยมเป็นอันดับ 3 ต่อจาก sertraline และ citalopram[88] ในปี 2554 มีการให้ยา 6 ล้านชุดในสหราชอาณาจักร (ประชากร 63 ล้านคน คือ ~9.5% ของประชากร)[89]

ประวัติ

[แก้]

งานที่นำไปสู่การค้นพบฟลูอ็อกเซทีนเริ่มที่บริษัท Eli Lilly and Company ในปี พ.ศ. 2513 เป็นสมัยที่สารต้านฮิสทามีน "ไดเฟนไฮดรามีน" รู้กันว่ามีคุณสมบัติแก้ความซึมเศร้าบางอย่าง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสังเคราะห์สารอนุพันธุ์เป็นโหล ๆ จาก 3-Phenoxy-3-phenylpropylamine ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับไดเฟนไฮดรามีน[90]

ต่อมา โดยหวังว่าจะพบสารอนุพันธ์ที่ยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่ (reuptake) โดยเฉพาะ นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทคือ ดร. เดวิด ที วอง (ผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในปี 2554) เสนอที่จะทดสอบสารอนุพันธุ์นอกกาย (in vitro) ว่าเป็นตัวยับยั้งเซโรโทนิน นอร์เอพิเนฟริน และโดพามีนหรือไม่ การทดสอบบรรดาสารสังเคราะห์ที่ทำในปี 2515[90] แสดงว่า สารประกอบที่ภายหลังตั้งชื่อว่าฟลูอ็อกเซทีนมีฤทธิ์มากที่สุดและเป็นตัวยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะ[91] ซึ่ง ดร. วองตีพิมพ์บทความแรกในปี 2517[91] และในปีต่อมา ยาก็ได้รับชื่อเป็นทางการและบริษัทได้ตั้งชื่อการค้าว่าโปรแซ็ก ในปี 2520 บริษัทในเครือข่าย (Dista Products Company) จึงยื่นคำขอเพื่อทดลองฟลูอ็อกเซทีนทางคลินิกระยะที่ 1 ต่อ FDA[92]

ฟลูอ็อกเซทีนเริ่มวางตลาดประเทศเบลเยียมในปี 2529[93] ส่วนในสหรัฐ FDA อนุมัติให้ขายยาในปลายปี 2530[94] ซึ่งเดือนหนึ่งจากนั้น บริษัทก็เริ่มวางตลาด และภายใน 1 ปี ยอดขายโปรแซ็กต่อปีในสหรัฐได้ถึง 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[92] และในที่สุด ถึงยอดสูงสุดที่ 2,600 ล้านเหรียญต่อปี[95]

บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ยืดอายุสิทธิบัตรของยาหลายอย่าง รวมทั้งสูตรยาที่ออกฤทธิ์ยืดเวลาและเริ่มการทดลองทางคลินิกเพื่อทดสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยของฟลูอ็อกเซทีนในภาวะความละเหี่ยก่อนระดู (premenstrual dysphoric disorder ตัวย่อ PMDD) โดยเปลี่ยนชื่อการค้าเป็น ซาราเฟ็ม หลังจากที่ได้อนุมัติจาก FDA ในปี 2543[96][97][98] แต่นักวิจัยอื่น (ศ. ดร. Richard Wurtman ที่ MIT) เป็นผู้ริเริ่มใช้ฟลูอ็อกเซทีนเพื่อรักษา PMDD และต่อมาขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท[99]

เพื่อป้องกันยอดขายที่ได้จากฟลูอ็อกเซทีน บริษัทได้สู้ความในศาลเพื่อป้องกันสิทธิกับบริษัทผลิตยาสามัญหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งต่อมาได้แพ้ความในการยืดอายุสิทธิบัตรทุกกรณียกเว้นซาราเฟ็ม ทำให้ผู้ผลิตยาสามารถผลิตยาสามัญได้เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2544[100] เมื่อสิทธิบัติรของบริษัทหมดอายุ[101] การแข่งขันจากยาสามัญได้ลดยอดขายฟลูอ็อกเซทีนของบริษัทโดย 70% ภายในสองเดือน[96]

ในปี 2543 บริษัทลงทุนคาดว่า ยอดขายต่อปีของซาราเฟ็มอาจถึง 250 ล้านเหรียญต่อปี[102] เมื่อยอดขายถึง 85 ล้านเหรียญต่อปีในปี 2545 บริษัทได้ขายทรัพย์สินเกี่ยวกับยาในราคา 295 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้บริษัทอื่นที่ชำนาญในยาโรคผิวหนังและสุขภาพหญิงโดยที่มีแผนกขายติดต่อกับนรีแพทย์โดยตรง ซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่าสมเหตุผลเพราะว่ายอดขายต่อปีไม่สำคัญพอต่อบริษัท Eli Lilly แต่สำคัญพอสำหรับบริษัทอื่น[103][104]

ถึงกระนั้น การวางตลาดซาราเฟ็มได้ทำชื่อเสียงของบริษัทให้เสียหายเป็นบางส่วน คือ เกณฑ์วินิจฉัยของ PMDD เป็นเรื่องสร้างความขัดแย้งเริ่มตั้งแต่เสนอในปี 2530 และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทของบริษัทในการรักษาเกณฑ์นี้ไว้ในภาคผนวกของหนังสือคู่มือ DSM-IV-TR ปี 2543 ซึ่งบริษัทได้เริ่มเจรจาตั้งแต่ปี 2541[102] คือบริษัทถูกวิจารณ์ว่า ประดิษฐ์โรคเพื่อจะหารายได้[102] ไม่พยายามสร้างนวัตกรรม แต่เพียงพยายามรักษารายได้จากยาที่มีอยู่แล้ว[105] นอกจากนั้นแล้ว FDA และกลุ่มอื่น ๆ ที่สนใจในเรื่องสุขภาพหญิงยังวิจารณ์เรื่องการวางตลาดซาราเฟ็มอย่างดุเดือดเกินไปเมื่อเริ่ม โดยโฆษณาทางทีวีแสดงหญิงที่กลุ้มใจถามตัวเองว่าตนมี PMDD หรือไม่[106]

สังคมและวัฒนธรรม

[แก้]

นักบิน

[แก้]

โดยวันที่ 2 เมษายน 2553 ฟลูอ็อกเซทีนเป็นหนึ่งในยาแก้ซึมเศร้า 4 อย่างที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอนุญาตให้นักบินทานได้ ยาอื่นที่อนุญาตรวมทั้ง sertraline, citalopram, และ escitalopram[107]

ผลต่อสิ่งแวดล้อม

[แก้]

มีงานวิจัยเกี่ยวกับผลที่เป็นไปได้ของยาต่อชีวิตสัตว์ทะเล[108]

งานวิจัย

[แก้]

ความรุนแรง

[แก้]

องค์กรต่าง ๆ รวมทั้งสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA)[109] NICE[110] หรือวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน (ACP)[111] ไม่ได้กำหนดว่าความรุนแรงเป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของยาประเภท SSRI และโดยคล้าย ๆ กัน ทั้งองค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตเวชยุโรป (AEP) ไม่ได้กำหนดว่าความรุนแรงเป็นผลข้างเคียง[112][113]

ดังนั้น งานศึกษาแบบ Case series ในเรื่องนี้ถูกคัดค้านว่ามีปัญหาเรื่อง "confounding by indication" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้เขียนแสดงภาวะของโรคว่าเป็นผลของการรักษา[114] ส่วนงานศึกษาแบบอื่น ๆ รวมทั้งการทดลองทางคลินิกที่สุ่มจัดกลุ่มคนไข้และงานศึกษาแบบสังเกต เสนอว่า ฟลูอ็อกเซทีนและยา SSRI อย่างอื่นอาจช่วยลดแนวโน้มความรุนแรง การทดลองทางคลินิกที่สุ่มจัดกลุ่มคนไข้ที่ทำโดยองค์การกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐ (US National Institutes for Mental Health) พบว่า ฟลูอ็อกเซทีนลดความรุนแรงในบ้านของคนติดเหล้าที่ประวัติมีพฤติกรรมเช่นนั้น[115] ส่วนงานที่สองทำโดยมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า ฟลูอ็อกเซทีนลดพฤติกรรมก้าวร้าวในคนไข้ที่มีความผิดปกติแบบก้าวร้าวเป็นครั้งคราว[116] และมีงานทดลองทางคลินิกที่พบว่า ฟลูอ็อกเซทีนลดพฤติกรรมก้าวร้าวในคนไข้ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (BPD)[117]

ผลงานเหล่านี้มีหลักฐานโดยอ้อมจากงานอื่น ๆ ด้วยที่แสดงว่า ยา SSRI อื่น ๆ ลดความรุนแรงและพฤติกรรมก้าวร้าวได้[118][119][120][121] งานวิจัยหนึ่ง (ของ National Bureau of Economic Research) ที่ตรวจการใช้ยาแก้ซึมเศร้าและอัตราอาชญากรรมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 พบว่า การสั่งยาแก้ซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับอัตราอาชญากรรมรุนแรงที่ลดลง[122]

แม้จะมีหลักฐานคัดค้านดังที่ว่า แต่จิตแพทย์ชาวอังกฤษ นพ. เดวิด ฮีลลี ที่มหาวิทยาลัยแบงกอร์และกลุ่มปฏิบัติการเพื่อสิทธิคนไข้ ก็ได้รวบรวมกรณีรายงานผู้ป่วยของบุคคลที่ทานยาฟลูอ็อกเซทีนและ SSRI อื่นแล้วทำความรุนแรง[123][124] แล้วอ้างว่า ยาเหล่านี้มีแนวโน้มทำให้บุคคลบางพวกทำความรุนแรง

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 "PROZAC® Fluoxetine Hydrochloride" (PDF). TGA eBusiness Services. Eli Lilly Australia Pty. Limited. 9 October 2013. สืบค้นเมื่อ 23 November 2013.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 "Fluoxetine Hydrochloride". The American Society of Health-System Pharmacists. สืบค้นเมื่อ 2 December 2015.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 "Prozac Label" (PDF). FDA. 2014. สืบค้นเมื่อ 5 April 2016.
  4. 4.0 4.1 Altamura, AC; Moro, AR; Percudani, M (March 1994). "Clinical Pharmacokinetics of Fluoxetine" (PDF). Clinical Pharmacokinetics. 26 (3): 201–214. doi:10.2165/00003088-199426030-00004. PMID 8194283.
  5. "Fluoxetine Pregnancy and Breastfeeding Warnings". สืบค้นเมื่อ 2 December 2015.
  6. Myers, Richard L. (2007). The 100 most important chemical compounds : a reference guide (1. publ. ed.). Westport, Conn.: Greenwood Press. p. 128. ISBN 9780313337581.
  7. "WHO Model List of Essential Medicines" (PDF). World Health Organization. October 2013. สืบค้นเมื่อ 22 April 2014.
  8. Hagerman, Randi Jenssen (16 September 1999). Neurodevelopmental Disorders: Diagnosis and Treatment. Oxford University Press. ISBN 019512314X. Dech and Budow (1991) were among the first to report the anecdotal use of fluoxetine in a case of PWS to control behavior problems, appetite, and trichotillomania.
  9. Truven Health Analytics, Inc. DrugPoint® System (Internet) [cited 2013 Oct 4]. Greenwood Village, CO: Thomsen Healthcare; 2013.
  10. Australian Medicines Handbook 2013. The Australian Medicines Handbook Unit Trust; 2013.
  11. British National Formulary (BNF) 65. Pharmaceutical Pr; 2013.
  12. "Fluoxetine Hydrochloride". The American Society of Health-System Pharmacists. สืบค้นเมื่อ 3 April 2011.
  13. "NIMH•Eating Disorders". The National Institute of Mental Health. National Institute of Health. 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2011. สืบค้นเมื่อ 25 November 2013.
  14. Williams, K. (August 2010). "Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) for autism spectrum disorders (ASD)". Cochrane Database of Systematic Reviews. 8: CD004677. doi:10.1002/14651858.CD004677.pub3. PMID 23959778.
  15. Myers, SM (August 2007). "The status of pharmacotherapy for autism spectrum disorders". Expert Opinion on Pharmacotherapy. 8 (11): 1579–1603. doi:10.1517/14656566.8.11.1579. PMID 17685878.
  16. Doyle, CA; McDougle, CJ (August 2012). "Pharmacotherapy to control behavioral symptoms in children with autism". Expert Opinion on Pharmacotherapy. 13 (11): 1615–1629. doi:10.1517/14656566.2012.674110. PMID 22550944.
  17. Benvenuto, A; Battan, B; Porfirio, MC; Curatolo, P (February 2013). "Pharmacotherapy of autism spectrum disorders". Brain and Development. 35 (2): 119–127. doi:10.1016/j.braindev.2012.03.015. PMID 22541665.
  18. Kirsch, Irving; Deacon, BJ; Huedo-Medina, TB; Scoboria, A; Moore, TJ; Johnson, BT (2008). "Initial Severity and Antidepressant Benefits: A Meta-Analysis of Data Submitted to the Food and Drug Administration". PLoS Medicine. PLoS Med. 5 (2): e45. doi:10.1371/journal.pmed.0050045. PMC 2253608. PMID 18303940.
  19. Fournier, Jay C; DeRubeis, Robert J; Hollon, Steven D; Dimidjian, Sona; Amsterdam, Jay D; Shelton, Richard C; Fawcett, Jan (2010). "Antidepressant Drug Effects and Depression Severity". The Journal of the American Medical Association. 303 (1): 47–53. doi:10.1001/jama.2009.1943. PMC 3712503. PMID 20051569. สืบค้นเมื่อ 24 March 2013.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  20. Gibbons, RD; Hur, K; Brown, CH; Davis, JM; Mann, JJ (June 2012). "Benefits from antidepressants: synthesis of 6-week patient-level outcomes from double-blind placebo-controlled randomized trials of fluoxetine and venlafaxine". Arch. Gen. Psychiatry. 69 (6): 572–9. doi:10.1001/archgenpsychiatry.2011.2044. PMC 3371295. PMID 22393205.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  21. "CG90 Depression in adults: full guidance". National Institute for Health and Care Excellence. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-01-09. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
  22. "PsychiatryOnline | APA Practice Guidelines | Practice Guideline for the Treatment of Patients With Major Depressive Disorder, Third Edition". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2014. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
  23. 23.0 23.1 แนวทางการจัดการโรคซึมเศร้าสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป, "Summary of Recommendations", หน้า 13-14
  24. "Practice parameter for the assessment and treatment of children and adolescents with obsessive-compulsive disorder". J Am Acad Child Adolesc Psychiatry. 51 (1): 98–113. January 2012. doi:10.1016/j.jaac.2011.09.019. PMID 22176943.
  25. Aigner, Martin; Treasure, Janet; Kaye, Walter; Kasper, Siegfried (December 2011). "World Federation of Societies of Biological Psychiatry (WFSBP) - Guidelines for the Pharmacological Treatment of Eating Disorders" (PDF). The World Journal of Biological Psychiatry. World Federation of Societies of Biological Psychiatry. 12: 400–443. doi:10.3109/15622975.2011.602720. ISSN 1814-1412. PMID 21961502. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 1 August 2014. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
  26. "Sarafem label" (PDF). FDA. สืบค้นเมื่อ 31 October 2014.
  27. Rapkin, AJ; Lewis, EI (November 2013). "Treatment of premenstrual dysphoric disorder". Womens Health (Lond Engl). 9 (6): 537–56. doi:10.2217/whe.13.62. PMID 24161307.
  28. Taurines, R; Gerlach, M; Warnke, A; Thome, J; Wewetzer, C (September 2011). "Pharmacotherapy in depressed children and adolescents". The World Journal of Biological Psychiatry. 12 (Suppl 1): 11–15. doi:10.3109/15622975.2011.600295. PMID 21905988.
  29. Cohen, D (2007). "Should the use of selective serotonin reuptake inhibitors in child and adolescent depression be banned?". Psychotherapy and psychosomatics. 76 (1): 5–14. doi:10.1159/000096360. PMID 17170559.
  30. Morrison, JL; Riggs, KW; Rurak, DW (March 2005). "Fluoxetine during pregnancy: impact on fetal development". Reproduction, Fertility and Development. 17 (6): 641–650. doi:10.1071/RD05030. PMID 16263070.
  31. 31.0 31.1 31.2 Brayfield, A, บ.ก. (13 August 2013). Fluoxetine Hydrochloride. Martindale: The Complete Drug Reference. London, UK: Pharmaceutical Press. สืบค้นเมื่อ 24 November 2013.(ต้องรับบริการ)
  32. "Fluoxetine in pregnancy: slight risk of heart defects in unborn child" (PDF). MHRA. Medicines and Healthcare Products Regulatory Agency. 10 September 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 December 2013. สืบค้นเมื่อ 23 November 2013.
  33. PMID 23660045 (PMID 23660045)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand (15) 30965-8/pdf Full ArticlePDF
  34. doi:10.1177/0890334409342071
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full Article PDF (211 KB) Archive 2016-08-29 PDF (211 KB)
  35. Taylor, D; Paton, C; Shitij, K (2012). The Maudsley prescribing guidelines in psychiatry. West Sussex: Wiley-Blackwell. ISBN 978-0-470-97948-8.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  36. Bland, RD; Clarke, TL; Harden, LB และคณะ (February 1976). "Rapid infusion of sodium bicarbonate and albumin into high-risk premature infants soon after birth: a controlled, prospective trial". Am. J. Obstet. Gynecol. 124 (3): 263–7. PMID 2013.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  37. Koda-Kimble, MA; Alldredge, BK (2012). Applied therapeutics: the clinical use of drugs (10th ed.). Baltimore: Wolters Kluwer Health/Lippincott Williams & Wilkins. ISBN 978-1609137137.
  38. Clark, MS; Jansen, K; Bresnahan, M (November 2013). "Clinical inquiry: How do antidepressants affect sexual function?". J Fam Pract. 62 (11): 660–1. PMID 24288712.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  39. Csoka, AB; Csoka, A; Bahrick, A; Mehtonen, OP (2008). "Persistent sexual dysfunction after discontinuation of selective serotonin reuptake inhibitors". The Journal of Sexual Medicine. 5 (1): 227–33. doi:10.1111/j.1743-6109.2007.00630.x. PMID 18173768.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  40. Csoka, AB; Shipko, S (2006). "Persistent sexual side effects after SSRI discontinuation" (PDF). Psychotherapy and Psychosomatics. 75 (3): 187–8. doi:10.1159/000091777. PMID 16636635. สืบค้นเมื่อ 2014-01-30.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  41. Calil, HM (2001). "Fluoxetine: a suitable long-term treatment". J Clin Psychiatry. 62 Suppl 22: 24–9. PMID 11599644.
  42. Rosenbaum, JF; Zajecka, J (1997). "Clinical management of antidepressant discontinuation". The Journal of Clinical Psychiatry. 58 Suppl 7: 37–40. PMID 9219493.
  43. Schatzberg, AF; Blier, P; Delgado, PL; Fava, M; Haddad, PM; Shelton, RC (2006). "Antidepressant discontinuation syndrome: Consensus panel recommendations for clinical management and additional research". The Journal of Clinical Psychiatry. 67 Suppl 4: 27–30. PMID 16683860.
  44. Fava, M (2006). "Prospective studies of adverse events related to antidepressant discontinuation". The Journal of Clinical Psychiatry. 67 Suppl 4: 14–21. PMID 16683858.
  45. Gartlehner, G; Hansen, RA; Thieda, P; Deveaugh-Geiss, AM; Gaynes, BN; Krebs, EE; Lux, LJ; Morgan, LC; Shumate, JA (January 2007). Comparative Effectiveness of Second-Generation Antidepressants in the Pharmacologic Treatment of Adult Depression (PDF). Comparative Effectiveness Reviews. Rockville, MD: Agency for Healthcare Research and Quality (US). PMID 20704050.
  46. "Antidepressant Use in Children, Adolescents, and Adults". FDA. 2 May 2007.
  47. Levenson, M; Holland, C. "Antidepressants and Suicidality in Adults: Statistical Evaluation. (Presentation at Psychopharmacologic Drugs Advisory Committee; December 13, 2006)". สืบค้นเมื่อ 13 May 2007.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  48. 48.0 48.1 Stone, MB; Jones, ML (17 November 2006). "Clinical Review: Relationship Between Antidepressant Drugs and Suicidality in Adults" (PDF). Overview for December 13 Meeting of Psychopharmacologic Drugs Advisory Committee (PDAC). FDA. pp. 11–74. สืบค้นเมื่อ 22 September 2007.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  49. 49.0 49.1 Levenson, M; Holland, C (17 November 2006). "Statistical Evaluation of Suicidality in Adults Treated with Antidepressants" (PDF). Overview for December 13 Meeting of Psychopharmacologic Drugs Advisory Committee (PDAC). FDA. pp. 75–140. สืบค้นเมื่อ 22 September 2007.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  50. Klein, Donald F (2005). "The Flawed Basis for FDA Post-Marketing Safety Decisions: The Example of Anti-Depressants and Children". Neuropsychopharmacology. 31 (4): 689–99. doi:10.1038/sj.npp.1300996. PMID 16395296.
  51. Hammad, Tarek A (13 September 2004). "Results of the Analysis of Suicidality in Pediatric Trials of Newer Antidepressants" (PDF). Presentation at the Meeting of Psychopharmacologic Drugs Advisory Committee and the Pediatric Advisory Committee on September 13, 2004. FDA. pp. 25, 28. สืบค้นเมื่อ 2008-01-06.
  52. Committee on Safety of Medicines Expert Working Group (December 2004). "Report on The Safety of Selective Serotonin Reuptake Inhibitor Antidepressants" (PDF). Medicines and Healthcare products Regulatory Agency. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 August 2013. สืบค้นเมื่อ 26 August 2016.
  53. Gunnell, D.; Saperia, J; Ashby, D (2005). "Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) and suicide in adults: Meta-analysis of drug company data from placebo controlled, randomised controlled trials submitted to the MHRA's safety review". BMJ. 330 (7488): 385. doi:10.1136/bmj.330.7488.385. PMC 549105. PMID 15718537.
  54. "Toxicity". Fluoxetine. PubChem. NCBI. สืบค้นเมื่อ 13 March 2015.
  55. 55.0 55.1 Sager, JE; Lutz, JD; Foti, RS; Davis, C; Kunze, KL; Isoherranen, N (June 2014). "Fluoxetine- and Norfluoxetine-Mediated Complex Drug-Drug Interactions: In Vitro to In Vivo Correlation of Effects on CYP2D6, CYP2C19, and CYP3A4". Clinical Pharmacology & Therapeutics. 95 (6): 653–62. doi:10.1038/clpt.2014.50. PMC 4029899. PMID 24569517.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  56. Ciraulo, DA; Shader, RI, บ.ก. (2011). Pharmacotherapy of Depression. SpringerLink (2nd ed.). New York, NY: Humana Press. doi:10.1007/978-1-60327-435-7. ISBN 978-1-60327-434-0.
  57. 57.0 57.1 Sandson, Neil B.; Armstrong, Scott C.; Cozza, Kelly L. (2005). "An Overview of Psychotropic Drug-Drug Interactions". Psychosomatics. 46 (5): 464–94. doi:10.1176/appi.psy.46.5.464. PMID 16145193.
  58. An extensive list of possible interactions is available in Lexi-Comp (September 2008). "Fluoxetine". Merck Manual of Diagnosis and Therapy. สืบค้นเมื่อ 28 December 2008.
  59. Roth, BL; Driscol, J (2011-01-12). "PDSP Ki Database". Psychoactive Drug Screening Program (PDSP). University of North Carolina at Chapel Hill and the United States National Institute of Mental Health. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2013. สืบค้นเมื่อ 24 June 2013.
  60. Owens, MJ; Knight, DL; Nemeroff, CB (1 September 2001). "Second-generation SSRIs: human monoamine transporter binding profile of escitalopram and R-fluoxetine". Biological Psychiatry. 50 (5): 345–50. doi:10.1016/s0006-3223(01)01145-3. PMID 11543737.
  61. Perry, K. W.; Fuller, R. W. (1997). "Fluoxetine increases norepinephrine release in rat hypothalamus as measured by tissue levels of MHPG-SO4 and microdialysis in conscious rats". Journal of Neural Transmission. 104 (8–9): 953–66. doi:10.1007/BF01285563. PMID 9451727.
  62. Bymaster, Frank; Zhang, Wei; Carter, Petra; Shaw, Janice; Chernet, Eyassu; Phebus, Lee; Wong, David; Perry, Kenneth (2002). "Fluoxetine, but not other selective serotonin uptake inhibitors, increases norepinephrine and dopamine extracellular levels in prefrontal cortex via serotonin type 2C antagonism". Psychopharmacology. 160 (4): 353–61. doi:10.1007/s00213-001-0986-x. PMID 11919662.
  63. 63.0 63.1 Koch, S; Perry, KW; Nelson, DL; Conway, RG; Threlkeld, PG; Bymaster, FP (2002). "R-fluoxetine Increases Extracellular DA, NE, As Well As 5-HT in Rat Prefrontal Cortex and Hypothalamus an in vivo Microdialysis and Receptor Binding Study". Neuropsychopharmacology. 27 (6): 949–59. doi:10.1016/S0893-133X(02)00377-9. PMID 12464452.
  64. 64.0 64.1 64.2 Pinna, G; Costa, E; Guidotti, A (February 2009). "SSRIs act as selective brain steroidogenic stimulants (SBSSs) at low doses that are inactive on 5-HT reuptake". Curr Opin Pharmacol. 9 (1): 24–30. doi:10.1016/j.coph.2008.12.006. PMC 2670606. PMID 19157982.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  65. Miguelez, C.; Fernandez-Aedo, I.; Torrecilla, M.; Grandoso, L.; Ugedo, L. (2009). "Α2-Adrenoceptors mediate the acute inhibitory effect of fluoxetine on locus coeruleus noradrenergic neurons". Neuropharmacology. 56 (6–7): 1068–73. doi:10.1016/j.neuropharm.2009.03.004. PMID 19298831.
  66. Pälvimäki, EP; Roth, BL; Majasuo, H และคณะ (August 1996). "Interactions of selective serotonin reuptake inhibitors with the serotonin 5-HT2c receptor". Psychopharmacology. 126 (3): 234–40. doi:10.1007/BF02246453. PMID 8876023.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  67. Brunton, PJ (2015). "Neuroactive steroids and stress axis regulation: Pregnancy and beyond". The Journal of Steroid Biochemistry and Molecular Biology. 160: 160–168. doi:10.1016/j.jsbmb.2015.08.003. PMID 26259885.
  68. doi:10.1073/pnas.95.6.3239
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  69. doi:10.1038/nrd3502
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  70. Gulbins, Erich; Palmada, Monica; Reichel, Martin; Lüth, Anja; Böhmer, Christoph; Amato, Davide; Müller, Christian P; Tischbirek, Carsten H; Groemer, Teja W; Tabatabai, Ghazaleh; Becker, Katrin A; Tripal, Philipp; Staedtler, Sven; Ackermann, Teresa F; van Brederode, Johannes; Alzheimer, Christian; Weller, Michael; Lang, Undine E; Kleuser, Burkhard; Grassmé, Heike; Kornhuber, Johannes (June 2013). "Acid sphingomyelinase-ceramide system mediates effects of antidepressant drugs". Nature Medicine. 19: 934–938. doi:10.1038/nm.3214.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  71. Brunkhorst, R; Friedlaender, F; Ferreirós, N; Schwalm, S; Koch, A; Grammatikos, G; Toennes, S; Foerch, C; Pfeilschifter, J; Pfeilschifter, W (October 2015). "Alterations of the Ceramide Metabolism in the Peri-Infarct Cortex Are Independent of the Sphingomyelinase Pathway and Not Influenced by the Acid Sphingomyelinase Inhibitor Fluoxetine". Neural Plasticity. 2015: 1–10. doi:10.1155/2015/503079. PMC 4641186. PMID 26605090.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  72. Narita, N; Hashimoto, K; Tomitaka, S; Minabe, Y (June 1996). "Interactions of selective serotonin reuptake inhibitors with subtypes of sigma receptors in rat brain". European Journal of Pharmacology. 307 (1): 117–9. doi:10.1016/0014-2999(96)00254-3. PMID 8831113.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  73. Hashimoto, K (September 2009). "Sigma-1 receptors and selective serotonin reuptake inhibitors: clinical implications of their relationship". Central Nervous System Agents in Medicinal Chemistry. 9 (3): 197–204. doi:10.2174/1871524910909030197. PMID 20021354. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2013. สืบค้นเมื่อ 19 August 2021.
  74. "Fluoxetine". IUPHAR Guide to Pharmacology. IUPHAR. สืบค้นเมื่อ 10 November 2014.
  75. "Calcium activated chloride channel". IUPHAR Guide to Pharmacology. IUPHAR. สืบค้นเมื่อ 10 November 2014.
  76. 76.0 76.1 Robinson, RT; Drafts, BC; Fisher, JL (2003). "Fluoxetine increases GABA (A) receptor activity through a novel modulatory site". J. Pharmacol. Exp. Ther. 304 (3): 978–84. doi:10.1124/jpet.102.044834. PMID 12604672.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  77. 77.0 77.1 "Prozac Pharmacology, Pharmacokinetics,Studies, Metabolism". RxList.com. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2007. สืบค้นเมื่อ 14 April 2007.
  78. Mandrioli, R.; Forti, G. C.; Raggi, M. A. (2006). "Fluoxetine Metabolism and Pharmacological Interactions: The Role of Cytochrome P450". Current Drug Metabolism. 7 (2): 127–33. doi:10.2174/138920006775541561. PMID 16472103.
  79. Hiemke, Christoph; Härtter, Sebastian (2000). "Pharmacokinetics of selective serotonin reuptake inhibitors". Pharmacology & Therapeutics. 85: 11–28. doi:10.1016/S0163-7258(99)00048-0.
  80. 80.0 80.1 Burke, William J.; Hendricks, Shelton E.; McArthur-Miller, Delores; Jacques, Daniel; Bessette, Diane; McKillup, Tracy; Stull, Todd; Wilson, James (2000). "Weekly Dosing of Fluoxetine for the Continuation Phase of Treatment of Major Depression: Results of a Placebo-Controlled, Randomized Clinical Trial". Journal of Clinical Psychopharmacology. 20 (4): 423–7. doi:10.1097/00004714-200008000-00006. PMID 10917403.
  81. "Drug Treatments in Psychiatry: Antidepressants". Newcastle University School of Neurology, Neurobiology and Psychiatry. 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2007. สืบค้นเมื่อ 14 April 2007.
  82. 82.0 82.1 Pérez, Victor; Puiigdemont, Dolors; Gilaberte, Inmaculada; Alvarez, Enric; Artigas, Francesc; Grup de Recerca en Trastorns Afectius (2001). "Augmentation of Fluoxetine's Antidepressant Action by Pindolol: Analysis of Clinical, Pharmacokinetic, and Methodologic Factors". Journal of Clinical Psychopharmacology. 21 (1): 36–45. doi:10.1097/00004714-200102000-00008. PMID 11199945.
  83. Brunswick, David J.; Amsterdam, Jay D.; Fawcett, Jan; Quitkin, Frederic M.; Reimherr, Frederick W.; Rosenbaum, Jerrold F.; Beasley Jr, Charles M. (2002). "Fluoxetine and norfluoxetine plasma concentrations during relapse-prevention treatment". Journal of Affective Disorders. 68 (2–3): 243–9. doi:10.1016/S0165-0327(00)00333-5. PMID 12063152.
  84. 84.0 84.1 Henry, Michael E; Schmidt, Mark E; Hennen, John; Villafuerte, Rosemond A; Butman, Michelle L; Tran, Pierre; Kerner, Lynn T; Cohen, Bruce; Renshaw, Perry F (2005). "A Comparison of Brain and Serum Pharmacokinetics of R-Fluoxetine and Racemic Fluoxetine: A 19-F MRS Study". Neuropsychopharmacology. 30 (8): 1576–83. doi:10.1038/sj.npp.1300749. PMID 15886723.
  85. Lemberger, L; Bergstrom, RF; Wolen, RL; Farid, NA; Enas, GG; Aronoff, GR (1985). "Fluoxetine: Clinical pharmacology and physiologic disposition". The Journal of Clinical Psychiatry. 46 (3 Pt 2): 14–9. PMID 3871765.
  86. Pato, MT; Murphy, DL; Devane, CL (1991). "Sustained plasma concentrations of fluoxetine and/or norfluoxetine four and eight weeks after fluoxetine discontinuation". Journal of Clinical Psychopharmacology. 11 (3): 224–5. doi:10.1097/00004714-199106000-00024. PMID 1741813.
  87. Baselt, R (2008). Disposition of Toxic Drugs and Chemicals in Man (8th ed.). Foster City, CA: Biomedical Publications.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  88. 88.0 88.1 Verispan. "Top 200 Generic Drugs by Units in 2010" (PDF). Drug Topics.
  89. Macnair, Patrisha (September 2012). "BBC - Health: Prozac". BBC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2012. In 2011 over 43 million prescriptions for antidepressants were handed out in the UK and about 14 per cent (or nearly 6 million prescriptions) of these were for a drug called fluoxetine, better known as Prozac.
  90. 90.0 90.1 Wong, David T.; Bymaster, Frank P.; Engleman, Eric A. (1995). "Prozac (fluoxetine, lilly 110140), the first selective serotonin uptake inhibitor and an antidepressant drug: Twenty years since its first publication". Life Sciences. 57 (5): 411–41. doi:10.1016/0024-3205(95)00209-O. PMID 7623609.
  91. 91.0 91.1 Wong, David T.; Horng, Jong S.; Bymaster, Frank P.; Hauser, Kenneth L.; Molloy, Bryan B. (1974). "A selective inhibitor of serotonin uptake: Lilly 110140, 3- (p-Trifluoromethylphenoxy) -n-methyl-3-phenylpropylamine". Life Sciences. 15 (3): 471–9. doi:10.1016/0024-3205(74)90345-2. PMID 4549929.
  92. 92.0 92.1 Breggin, Peter R.; Ginger Ross Breggin (1995). Talking Back to Prozac. Macmillan Publishers. pp. 1-2. ISBN 978-0-312-95606-6.
  93. Swiatek, Jeff (2 August 2001). "Prozac's profitable run coming to an end for Lilly". The Indianapolis Star. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2007. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
  94. "Electronic Orange Book". Food and Drug Administration. April 2007. สืบค้นเมื่อ 24 May 2007.
  95. "Lilly Goes Off Prozac The drugmaker bounced back from the loss of its blockbuster, but the recovery had costs". Fortune Magazine. 28 June 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 April 2016. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
  96. 96.0 96.1 Class, Selena (2 December 2002). "Pharma Overview". สืบค้นเมื่อ 15 June 2009.
  97. "Lilly menstrual drug OK'd". CNN. 6 July 2000.
  98. Mechatie, Elizabeth (1 December 1999). "FDA Panel Agrees Fluoxetine Effective For PMDD". International Medical News Group.
  99. "A Biotech Phoenix Could Be Rising". Forbes. 25 September 2002.
  100. "Drug Maker Is Set to Ship Generic Prozac". New York Times. 2 August 2001.
  101. "Patent Expiration Dates for Common Brand-Name Drugs". สืบค้นเมื่อ 20 July 2007.
  102. 102.0 102.1 102.2 "Sarafem Nation". Village Voice. 5 December 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-17. สืบค้นเมื่อ 2016-09-01.
  103. "Galen to Pay $295 Million For U.S. Rights to Lilly Drug". Wall Street Journal. 9 December 2002.
  104. "Galen takes Lilly's reinvented Prozac". Telegraph. 10 December 2002.
  105. "New Medicines Seldom Contain Anything New, Study Finds". New York Times. 29 May 2002.
  106. "Renamed Prozac Fuels Women's Health Debate". Washington Post. 29 April 2001.
  107. "Press Release - FAA Proposes New Policy on Antidepressants for Pilots". Faa.gov. 2 April 2010. สืบค้นเมื่อ 10 February 2012.
  108. Ravilious, K (16 July 2010). "Prozac Pollution Making Shrimp Reckless". National Geographic. สืบค้นเมื่อ 25 November 2013.
  109. Work Group On Major Depressive Disorder (October 2010). "Practice Guideline for the Treatment of Patients With Major Depressive Disorder" (PDF) (3rd ed.). PsychiatryOnline. สืบค้นเมื่อ 30 August 2016.
  110. "Depression in adults (update) (CG90)". October 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2014.
  111. Gartlehner, Gerald; Gaynes, Bradley N; Hansen, Richard A; Thieda, Patricia; DeVeaugh-Geiss, Angela; Krebs, Erin E; Moore, Charity G; Morgan, Laura; Lohr, Kathleen N (18 November 2008). "Comparative Benefits and Harms of Second-Generation Antidepressants: Background Paper for the American College of Physicians". Annals of Internal Medicine. สืบค้นเมื่อ 30 August 2016.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  112. "Pharmacological treatment of mental disorders in primary health care" (PDF). WHO. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-12-28. สืบค้นเมื่อ 2016-09-01.
  113. Möller, HJ; Bitter, I; Bobes, J; Fountoulakis, K; Höschl, C; Kasper, S (February 2012). "Position statement of the European Psychiatric Association (EPA) on the value of antidepressants in the treatment of unipolar depression". Eur. Psychiatry. 27 (2): 114–28. doi:10.1016/j.eurpsy.2011.08.002. PMID 22119161.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  114. "Causation, bias and confounding: a hitchhiker's guide to the epidemiological galaxy". BMJ.
  115. George, DT; Phillips, MJ; Lifshitz, M และคณะ (January 2011). "Fluoxetine treatment of alcoholic perpetrators of domestic violence: a 12-week, double-blind, randomized, placebo-controlled intervention study". J Clin Psychiatry. 72 (1): 60–5. doi:10.4088/JCP.09m05256gry. PMC 3026856. PMID 20673556.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  116. Coccaro, EF; Lee, RJ; Kavoussi, RJ (May 2009). "A double-blind, randomized, placebo-controlled trial of fluoxetine in patients with intermittent explosive disorder". J Clin Psychiatry. 70 (5): 653–62. doi:10.4088/JCP.08m04150. PMID 19389333.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  117. Coccaro, EF; Kavoussi, RJ (December 1997). "Fluoxetine and impulsive aggressive behavior in personality-disordered subjects". Arch. Gen. Psychiatry. 54 (12): 1081–8. doi:10.1001/archpsyc.1997.01830240035005. PMID 9400343.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  118. Stark, LJ; Spirito, A; Williams, CA; Guevremont, DC (April 1989). "Common problems and coping strategies. I: Findings with normal adolescents". J Abnorm Child Psychol. 17 (2): 203–12. doi:10.1007/BF00913794. PMID 2745900.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  119. Berman, ME; McCloskey, MS; Fanning, JR; Schumacher, JA; Coccaro, EF (June 2009). "Serotonin augmentation reduces response to attack in aggressive individuals". Psychol Sci. 20 (6): 714–20. doi:10.1111/j.1467-9280.2009.02355.x. PMC 2728471. PMID 19422623.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  120. McCloskey, MS; Berman, ME; Echevarria, DJ; Coccaro, EF (April 2009). "Effects of acute alcohol intoxication and paroxetine on aggression in men". Alcohol. Clin. Exp. Res. 33 (4): 581–90. doi:10.1111/j.1530-0277.2008.00872.x. PMID 19183141.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  121. Cherek, DR; Lane, SD; Pietras, CJ; Steinberg, JL (January 2002). "Effects of chronic paroxetine administration on measures of aggressive and impulsive responses of adult males with a history of conduct disorder". Psychopharmacology (Berl.). 159 (3): 266–74. doi:10.1007/s002130100915. PMID 11862359.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  122. Marcotte, DE; Markowitz, S (September 2009). "A Cure For Crime? Psycho-Pharmaceuticals and Crime Trends" (PDF). Nber Working Paper Series. Cambridge, MA: The National Bureau of Economic Research. สืบค้นเมื่อ 25 November 2013.
  123. Healy, David; Herxheimer, Andrew; Menkes, David B. (2006). "Antidepressants and Violence: Problems at the Interface of Medicine and Law". PLoS Medicine. 3 (9): e372. doi:10.1371/journal.pmed.0030372. PMC 1564177. PMID 16968128.
  124. Breggin, Peter R.; Ginger Ross Breggin (1995). Talking Back to Prozac. Macmillan Publishers. p. 154. ISBN 978-0-312-95606-6.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]