ชุดยิง (หน่วยทหาร)
สัญลักษณ์แผนที่นาโต้[1] |
---|
ชุดยิง |
ชุดยิงทหารราบ |
ชุดสุนัขสาวัตรทหาร |
ชุดอีโอดีทหารช่าง |
ชุดยิง (อังกฤษ: fireteam หรือ fire team) เป็นหน่วยรองทางทหารขนาดเล็กของทหารราบสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหลักนิยมทางยุทธ์วิธีของ "ความริเริ่มของนายทหารชั้นประทวน" (NCO initiative), "การรบผสมเหล่า" (combined arms), "การเฝ้าระวังเป็นห้วง" (bounding overwatch) และ "การยิงประกอบการเคลื่อนที่" (fire and movement) ในการรบ[2] ขึ้นอยู่กับความต้องการของภารกิจ รูปแบบ "มาตรฐาน" ของชุดยิงประกอบไปด้วสมาชิกสี่คนหรือน้อยกว่านั้น ได้แก่ พลยิงอาวุธกล, พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก, พลปืนเล็ก และผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดยิง บทบาทหน้าที่ของหัวหน้าชุดยิงหรือการดูแลให้ชุดยิงทำงานประสานกันเป็นหน่วย ชุดยิงสองหรือสามชุดจะถูกจัดเป็นตอนหรือหมู่ในการปฏิบัติการร่วมกัน ซึ่งนำโดยผู้บังคับหมู่[3][4][5][6][7]
ในอดีตนั้น กองทัพมีการพึ่งพาและให้ความสำคัญกับสถาบันของเหล่านายทหารชั้นประทวนที่มีการกระจายอำนาจและจัดการโครงสร้างการบังคับบัญชาชุดยิงอย่างมีประสิทธิภาพ "จากล่างขึ้นบน" ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลอย่างสูงจากการปฏิบัติการของทหารราบ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพที่จำกัดเพราะการปฏิบัติการของนายทหาร ซึ่งตามธรรมเนียมนั้นหน่วยที่ใหญ่กว่าขาดผู้นำที่เป็นนายทหารชั้นประทวน และสั่งการแบบรวมศูนย์ "จากบนลงล่าง" การจัดหน่วยแบบชุดยิงในการสงครามในศตวรรษที่ 21 นั้น ต้องเผชิญกับการต่อสู้และปะทะที่เร็วขึ้น มีอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น โดยจะมีการระบุและรื้อถอนทุกสิ่งที่ทำให้การตอบสนองช้าลงระหว่างทิศทางการตรวจจับศัตรูครั้งแรกและพื้นที่โดยรอบของชุดยิง[8][9]
หลักนิยมของกองทัพบกสหรัฐนับว่าชุดยิง หรือลูกเรือ เป็นหน่วยทางหทารที่เล็กที่สุด[10][11] ในขณะที่หลักนิยมของเนโทมีการใช้หน่วยทางทหารที่เล็กที่สุดคือชุด[12] ชุดยิงเป็นหน่วยทางทหารพื้นฐานที่ใช้งานในหน่วยทหารราบสมัยใหม่ในกองทัพบกสหราชอาณาจักร, กรมอากาศโยธินกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร, ราชนาวิกโยธิน, กองทัพบกสหรัฐ, เหล่านาวิกโยธินสหรัฐ, กองกำลังอากาศโยธินกองทัพอากาศสหรัฐ, กองทัพแคนาดา และกองทัพบกออสเตรเลีย
แนวคิด
[แก้]แนวคิดของชุดยิงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการทางยุทธ์วิธีที่มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการทางทหาร ชุดยิงมีความสามารถในการปฏิบัติการด้วยตัวของมันเอกเมื่อเข้าไปรวมกันกับหน่วยปฏิบัติการที่ขนาดใหญ่กว่า การจัดกำลังชุดยิงที่มีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยการฝึกทหารที่ดี มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกัน มีการสื่อสารกันที่ดี และเหล่านายทหารชั้นประทวนที่มีความเป็นมืออาชีพเพื่อถ่ายทอดคำสั่งการทางยุทธ์วิธีให้กับสมาชิกในชุดยิง
จากความต้องการเหล่านี้ได้นำไปสู่ความสำเร็จของแนวคิดชุดยิงโดยกองทัพมืออาชีพมากขึ้น มันใช้กองกำลังทางทหารที่น้อยกว่าในการจัดรูปขบวนทหารราบหรือช่วยลดการระดมพลการเกณฑ์ทหารอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งการเกณฑ์ทหารทำให้การจัดชุดยิงทำได้ยาก เนื่องจากสมาชิกในชุดจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกันและมีความผูกพันธ์กันจากการใช้เวลาปฏิบัติการร่วมกันเมื่อเวลาผ่านไป
ในการรบ ขณะโจมตีหรือใช้กลยุทธ์ ชุดยิงจะกระจายกำลังออกไปในระยะห่าง 50 เมตร (160 ฟุต) เมื่ออยู่ในตำแหน่งการตั้งรับ ชุดสามารถครอบคลุมได้ถึงระยะยิงของอาวุธหรือขีดจำกัดการมองเห็น แล้วแต่ว่าในขณะนั้นระยะใดน้อยกว่า ในขณะที่ภูมิประเทศเปิดโล่ง ชุดยิงที่มีประสิทธิภาพสามารถมีระยะครอบคลุมได้ถึง 500 เมตร (1,600 ฟุต) แม้ว่าระยะของการตรวจพบจะมีประสิทธิภาพในระยะไม่เกิน 100 เมตร (330 ฟุต) หรือประมาณระยะนั้นโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ซึ่งตราบใดที่อาวุธหลักยังคงใช้งานได้ชุดยิงก็จะมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการอยู่
รูปแบบของชาติต่าง ๆ
[แก้]แคนาดา
[แก้]ในกองทัพบกแคนาดา "ชุดยิง" หมายถึงทหารสองนายที่จับคู่กันเพื่อยิงและเคลื่อนที่ สองชุดยิงรวมกันเป็น "กลุ่มจู่โจม" ซึ่งคล้ายกันกับรูปแบบของกองทัพอื่น ๆ สองกลุ่มโจู่โจมและกลุ่มยานพาหนะ หนึ่งพลขับและหนึ่งพลปืนจะนับเป็นหนึ่งตอนที่ประกอบไปด้วยกำลังสิบนาย[13]
- หัวหน้าชุดยิง: นายทหารชั้นประทวน (จ่าหากเป็นกลุ่มจู่โจมหนึ่ง สิบเอกหากเป็นกลุ่มจู่โจมสอง) ใช้ปืนเล็กยาว ซี 7
- พลปืนเล็ก: สิบโทหรือพลทหาร 1 นาย ใช้ปืนเล็กยาว ซี 7
- พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก: สิบโทหรือพลทหาร 1 นาย ใช้ปืนเล็กยาว ซี 7 พร้อมกับเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 203
- พลยิง: สิบโทหรือพลทหาร 1 นาย ใช้ปืนกลเบา ซี 9
จีน
[แก้]กองทัพปลดปล่อยประชาชนใช้รูปแบบของ "เซลล์" สามคน (three-man "cells" เทียบเท่ากับชุดยิง) เป็นรูปขบวนทหารที่เล็กที่สุด และหน่วยทางทหารดังกล่าวถูกใช้งานตลอดช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง, สงครามกลางเมืองจีน, สงครามเกาหลี, สงครามจีน-อินเดีย และตลอดช่วงสงครามจีน–เวียดนาม มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ระบบ สาม-สาม" (three-three organization จีน: 三三制)[14]
ในแหล่งข้อมูลของจีน กลยุทธ์นี้เรียกว่า "ชุดยิง สาม-สาม"ตามองค์ประกอบของการโจมตี: ทหารสามนายจะประกอบเป็นชุดยิง 1 ชุด และชุดยิง 3 ชุดจะเป็น 1 หมู่ 1 หมวดของจีนประกอบไปด้วยทหารจำนวน 50 นาย ซึ่งจะจัดชุดยิงสามระดับ ใช้การโจมตี "จุดเดียว" จากทั้ง "สองด้าน"[15] โดยแต่ละเซลล์จะประกอบไปด้วยปืนยิงกล (ในสงครามเกาหลีเป็นปืนกลมือหรือปืนกลเบา ในช่วงต้นถึงกลางสงครามเย็นใช้ปืนเล็กยาวจู่โจมหรือปืนกลเบาของหมู่) ในขณะที่ทหารที่เหลือใช้ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนหรือปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติเพื่อให้แต่ละ "เซลล์" สามารถยิงและเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ
ตัวอย่างชุดยิงของกองทัพอาสาสมัครประชาชนจีนในช่วงปลายสงครามเกาหลี[14]
- ผู้บังคับหมู่ / รองผู้บังคับหน่วย / สมาชิกพรรค: ใช้ปืนไทป์ 50 เอสเอ็มจี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดยิง
- พลปืนเล็ก / พลยิงปืนกล: ใช้ปืนเล็กยาวโมซิน-นากองท์ หรือปืนกล ดีพี-27
- พลปืนเล็ก / พลยิงผู้ช่วย: ใช้ปืนเล็กยาวโมซิน-นากองท์
ไทย
[แก้]กองทัพบก
[แก้]การจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงในประเทศไทย ส่วนของกองทัพบกไทย[16] ถือเป็นส่วนหนึ่งของรูปขบวนทำการรบในระดับหมู่ปืนเล็ก มีกำลังทั้งหมด 11 นาย มีผู้บังคับหมู่ ภายในแบ่งเป็น 2 ชุดยิง คือชุดยิง ก. และชุดยิง ข. มีกำลังชุดยิงละ 5 นาย ซึ่งทั้งสองชุดยิงมีการจัดกำลังที่เหมือนกัน[16][17] คือ
- ผู้บังคับหมู่: เป็นนายทหารชั้นประทวนยศจ่าสิบเอก มีหน้าที่ในการทำตามคำสั่งของผู้บังคับหมวด รับผิดชอบการฝึก วินัย การควบคุมการยิง การปฏิบัติทางยุทธวิธี และการบำรุงรักษาอาวุธ ใช้อาวุธปืนเล็กสั้น (ปลส.) เอ็ม 249 มินิมิ หรือปืนเอ็ม 4 คาร์บิน
- หัวหน้าชุดยิง ก.: เป็นนายทหารชั้นประทวนยศสิบเอก มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับหมู่เกี่ยวกับการบัญชาการชุดยิง วินัยการยิง ทำหน้าที่เป็นพลปืนเล็กและสามารถปฏิบัติการแทนผู้บังคับหมู่ได้ ใช้ปืนเล็ก (ปล.) เอชเค 33, เอ็ม 16 เอ4 หรือกาลิล เอซ
- พลปืนเล็ก: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็ก (ปล.)
- พลปืนเล็ก: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็ก (ปล.)
- พลปืนเล็กกล: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็กกล (ปลก.) ทาวอร์ ซาร์ 21 หรือปืนเล็กกลเนเกฟ
- พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด: เป็นสิบตรี ใช้ปืนเล็ก (ปล.) เอ็ม 16 ติดเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 203 หรือเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มิลลิเมตร เอ็ม 79 (ค.40)
- หัวหน้าชุดยิง ข.: เป็นนายทหารชั้นประทวนยศสิบเอก มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับหมู่เกี่ยวกับการบัญชาการชุดยิง วินัยการยิง ทำหน้าที่เป็นพลปืนเล็กและสามารถปฏิบัติการแทนผู้บังคับหมู่ได้ ใช้ปืนเล็ก (ปล.) เอชเค 33, เอ็ม 16 เอ4 หรือกาลิล เอซ
- พลปืนเล็ก: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็ก (ปล.)
- พลปืนเล็ก: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็ก (ปล.)
- พลปืนเล็กกล: เป็นพลทหาร ใช้ปืนเล็กกล (ปลก.) ทาวอร์ ซาร์ 21 หรือปืนเล็กกลเนเกฟ
- พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด: เป็นสิบตรี ใช้ปืนเล็ก (ปล.) เอ็ม 16 ติดเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 203 หรือเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มิลลิเมตร เอ็ม 79 (ค.40)
ในกองทัพบกไทย ตำแหน่งพลปืนเล็ก พลปืนเล็กกล และพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดนั้นสามารถปฏิบัติการทดแทนกันได้[16] และเนื่องจากในหมู่ปืนเล็กประกอบไปด้วย 2 ชุดยิง ทำให้การจัดชุดภายในสามารถกำหนดให้ชุดใดชุดหนึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนดำเนินกลยุทธ์ และให้อีกชุดเป็นส่วนในการยิงสนับสนุนตามความเหมาะสมจากสถานการณ์และภูมิประเทศ[17]
กองทัพเรือ
[แก้]การจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงของกองทัพเรือไทย จะอยู่ในชื่อของ พวกยิง ซึ่งเป็นส่วนย่อยของหมู่ปืนเล็กนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ลักษณะเดียวกับกองทัพบกและอากาศโยธินของกองทัพอากาศ มีการจัดกำลัง 11 นายเท่ากัน แต่ใช้การเรียกชื่อ ยศ และอาวุธที่แตกต่างกันคือ[18]
- ผู้บังคับหมู่: เป็นพันจ่าเอก ใช้ปืนเล็กยาว (ปลย.) เอ็ม 16 เอ2 และดาบปลายปืน
- นายพวกยิงและพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด: เป็นจ่าเอก 2 นาย ทำหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้าชุดยิงและพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด (fire team leader/grenadier) ใช้ปืนเล็กยาว (ปลย.) เอ็ม 16 เอ2ประกอบเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 203 และดาบปลายปืน
- พลปืนเล็กกล: เป็นพลทหารเรือ 2 นาย ปกติจะอยู่กับนายพวกยิงในการยิงปืนเล็กกล ใช้อาวุธกลของหมู่ (SAW) ปืนมินิมิ
- พลปืนเล็กกลผู้ช่วย: เป็นพลทหารเรือ 2 นาย ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพลปืนเล็กกล บรรทุกเครื่องกระสุนและทำหน้าที่แทนพลปืนเล็กกลได้ ใช้ปืนเล็กยาว (ปลย.) เอ็ม 16 เอ2 และดาบปลายปืน
- พลปืนเล็กหมายเลข 1: เป็นพลทหารเรือ 2 นายที่ถูกฝึกให้เป็นพลตระเวนหน้า ใช้ปืนเล็กยาว (ปลย.) เอ็ม 16 เอ2 และดาบปลายปืน
- พลปืนเล็กหมายเลข 2: เป็นพลทหารเรือ 2 นาย อาจถูกรับมอบหมายให้เป็นพลแม่นปืนของหมู่ปืนเล็ก (SDM) และอุปกรณ์ต่อต้านเป้าหมายมีค่าสูง เช่น พลปืนเล็ก พลซุ่มยิง และชุดต่อต้านรถถัง ใช้ปืนเล็กยาว (ปลย.) เอ็ม 16 เอ2 และดาบปลายปืน
กองทัพอากาศ
[แก้]การจัดหน่วยในรูปแบบชุดยิงของกองทัพอากาศไทย จะอยู่ในส่วนของหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ซึ่งรับผิดชอบกำลังรบภาคพื้นดินของกองทัพอากาศ โดยจัดกำลังในรูปแบบเดียวกันกับกองทัพบกในการจัดหมู่ปืนเล็กในการปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น การลาดตระเวน องค์ประกอบภายในเหมือนกันทุกประการ คือมีกำลัง 11 นายใน 1 หมู่ปืนเล็ก ประกอบไปด้วย ผู้บังคับหมู่ 1 นาย ภายในแบ่งเป็น 2 ชุดยิง คือชุดยิง ก. และชุดยิง ข. มีกำลังชุดยิงละ 5 นาย (พลปืนเล็ก 2 นาย, พลปืนเล็กกล 1 นาย และพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด 1 นาย) ซึ่งทั้งสองชุดยิงมีการจัดกำลังที่เหมือนกัน ยกเว้นในส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ตามอัตราที่กองทัพอากาศมีใช้งานในประจำการ[19]
ฝรั่งเศส
[แก้]ตอนของฝรั่งเศส (groupe de combat – "กลุ่มสู้รบ") แบ่งออกเป็นสองชุด "ชุดยิง" (équipe de feu) จะประกอบไปด้วยปืนเล็กยาวอัตโนมัติหรือปืนกลเบา "ชุดช็อก" équipe de choc) จะประกอบไปด้วยพลปืนเล็กที่ติดเครื่องยิงลูกระเบิดหรือเครื่องยิงจรวดแบบใช้แล้วทิ้ง เป็นหน่วยลาดตระเวนและหน่วยกลยุทธ์ แต่ละชุดจะใช้การการเฝ้าระวังเป็นห้วง โดยมีหน่วยหนึ่งคอยคุ้มกันเมื่ออีกชุดเคลื่อนที่ หัวหน้าชุดมีวิทยุมือถือสำหรับติดต่อกับส่วนต่าง ๆ แบบเดียวกับชุดวิทยุสะพายหลังของผู้บังคับหมู่ ซึ่งสัญลักษณ์ที่พบเห็นบ่อยที่สุดในนายทหารชั้นประทวนสมัยใหม่ (chef d'équipe) คือวิทยุสื่อสารที่ห้อยอยู่รอบคอ
สหราชอาณาจักร
[แก้]หน่วยทหารราบของกองทัพบกสหราชอาณาจักร, ราชนาวิกโยธิน และกรมอากาศโยธินกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ได้เริ่มใช้งานแนวคิดชุดยิงมาใช้งานหลังจากนำปืนเล็กยาว เอสเอ 80 และอาวุธเบาสนับสนุนมาใช้งาน ตอนทหารราบมีทหารจำนวนแปดนาย ประกอบไปด้วยสองชุดยิง คือชาลีและเดลตา แต่ละชุดประกอบไปด้วยนายทหารชั้นประทวน (สิบโท หรือสิบตรี) และพลทหารอีกสามนาย
- หัวหน้าชุดยิง: นายทหารชั้นประทวนจะใช้เป็นเล็กยาว แอล 85 พร้อมกับเครื่องยิงลูกระเบิดแบบติดใต้ปืน แอล 123 บางหน่วยอาจจะให้พลทหารใช้เครื่องยิงลูกระเบิดในอัตราด้วยนอกเหนือจากนายทหารชั้นประทวน
- พลปืนเล็ก: ทหารเกณฑ์ 2 นาย ใช้ปืนเล็กยาว แอล 85[20] ภายในหน่วยก่อนหน้านี้ยังมีพลปืนเล็กอีก 2 นาย[21] แต่อัตราดังกล่าวถูกกำหนดให้แทนที่ด้วยพลแม่นปืน ซึ่งแยกออกจากตอนโดยใช้พลปืนเล็กชุดละ 1 นาย[22] ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 รูปแบบหน่วยทหารก่อนหน้านี้ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง และให้อำนาจผู้บังคับตอนในการใช้ดุลยพินิจในการเปลี่ยนบทบาทของพลยิงปืนกลของตอนให้ไปทำหน้าที่พลปืนเล็กคนที่สามได้หากจำเป็น[20]
- พลยิง: ทหารเกณฑ์ 1 นายต่อตอน ใช้ปืนกลเอนกประสงค์ แอล 72 เอ2 การจัดหน่วยของตอนก่อนหน้านี้จะมีพลทหาร 1 นายต่อหนึ่งชุดยิงที่ใช้อาวุธเบาสนับสนุน แอล 86[21] (ตั้งใจนำมาแทน แอล 7 เอ2) และปืนกลเบา แอล 110[22] ปืน แอล 110 เอ3 ถูกปลดประจำการในปี พ.ศ. 2562 และได้นำปืน แอล 7 เอ2 บางส่วนกลับเข้ามาประจำการในปืนกลของตอน[20]
- พลแม่นปืนประจำชุด: ทหารเกณฑ์ 1 นายต่อตอน ใช้ปืนเล็กยาวสำหรับพลแม่นปืน แอล 129 เอ1 ก่อนหน้านี้การจัดหน่วยของชุดยิงใช้ทหารเกณฑ์ 1 นายต่อหนึ่งชุดยิงที่ใช้อาวุธสนับสนุนเบา แอล 86 เอ2[22] หรือ แอล 129 เอ1[23] ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอาวุธ โดยปืน แอล 86 เอ2 ถูกถอนออกจากการประจำการในปี พ.ศ. 2562 ทำให้ปืน แอล 129 เอ1 กลายเป็นปืน DMR ของตอนอย่างเป็นทางการ[20]
โดยปกติชุดยิงจะถูกใช้เป็นหน่วยรองของตอนสำหรับการยิงและการดำเนินกลยุทธ์แทนที่จะเป็นหน่วยแยกตามรูปแบบของชุดยิง แม้ว่าชุดยิงหรือหน่วยขนาดชุดยิงมักจะใช้สำหรับภารกิจลาดตระเวนร่วม, การปฏิบัติการพิเศษ และการตรวจตราในเมือง (มักจะถูกเรียกว่า "บริคก์" ในสถานการณ์หลังสุด)[24]
สหรัฐ
[แก้]กองทัพบก
[แก้]ในกองทัพบกสหรัฐ เน้นย้ำแนวคิดเกี่ยวกับแนวคิดของชุดยิงเป็นพิเศษ[25][26][27] ซึ่งตามหลักนิยมของกองทัพบกสหรัฐ ชุดยิงหนึ่งจะประกอบไปด้วยทหาร 4 นาย[28][29][30]
- หัวหน้าชุดยิง (TL) : ปกติจะเป็นสิบเอกหรือสิบโท (แม้ว่าบางครั้งชุดจะถูกนำโดยผู้ชำนาญการหรือสิบตรีเมื่อหมวดขาดนายทหารชั้นประทวนอาวุโสน้อย) เนื่องจากสามารถเป็นผู้นำที่ถ่ายทอดยุทธวิธีต่าง ๆ ให้กับลูกทีมได้ตลอด อุปกรณ์มาตรฐานประกอบด้วยชุดจีพีเอสและวิทยุสะพายหลัง และปืนเล็กยาวเอ็ม 16 หรือเอ็ม 4 คาร์บิน
- พลปืนเล็ก (R) : เป็น "มาตรฐานพื้นฐานสำหรับทหารราบทุกนาย" ประกอบไปด้วยปืนเล็กยาวเอ็ม 16 หรือเอ็ม 4 คาร์บินและเครื่องยิงจรวดต่อสู้ถถังใช้แล้วทิ้งแบบ AT4 สะพายหลังไปด้วย พลปืนเล็กมักถูกมอบหมายให้อยู่กับพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็กเพื่อช่วยสร้างสมดุลในขีดความสามารถในการยิงของพลยิงอาวุธกล
- พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็กยาว (GR) : ให้การยิงมุมสูงแบบจำกัดเหนือ "จุดบอด" (dead zone) พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจะใช้ปืนเอ็ม 4 หรือเอ็ม 16 ที่ติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 203 (หรือรุ่นใหม่กว่าคือโมดูลเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 320) เอาไว้กับอาวุธ
- พลยิงอาวุธกล (AR) : เป็นคนคอยเฝ้าตรวจ (overwatch) และการยิงข่ม (suppressive fire) ผ่านตัวคูณกำลังรบ (force multiplication) เป็นบุคคลที่สามารถสร้างความสูญเสียถึงชีวิตต่อฝ่ายตรงข้ามได้มากที่สุดของชุดยิงในแง่ของอำนาจการยิงและความคล่องตัว เมื่อเปรียบเทียบกับหมู่ปืนเล็กมาตรฐาน 9 นาย ปืนยาวอัตโนมัติมักจะเป็นปืนกลเบา เอ็ม 249 พลปืนยาวอัตโนมัติมักจะได้รับมอบหมายให้อยู่กับหัวหน้าชุดยิงเพื่อเพิ่มขอบเขตการยิงและช่วยสร้างสมดุลของอำนาจการยิงให้กับพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก
ในกองร้อยปืนเล็กยาวทหารราบของกองพลน้อยชุดรบสไตร์เกอร์ (SBCT) ทหารหนึ่งนายในหมู่ชุดยิงปืนเล็กยาวอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านรถถัง (RMAT) ที่ใช้เอฟจีเอ็ม-148 เจฟลิน หรือเป็นพลแม่นปืนของหมู่ปืนเล็ก (DM) ที่ใช้ปืนเอ็ม 4 คาร์บินและปืนเล็กยาวเอ็ม 14 ในกรณีทั้งสอง ตำแหน่งที่กล่าวานี้จะมาแทนที่พลปืนเล็กของหมู่ปืนเล็กมาตรฐาน[31]
นาวิกโยธิน
[แก้]หลักนิยมของเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ กำหนดให้ชุดยิงใด ๆ ที่ปฏิบัติการต้องมีพลปืนกลอย่างน้อยหนึ่งทีม (2 นาย) และบรรยายสรุปชุดยิงด้วยหลักการจำคือ "ready-team-fire-assist" ซึ่งคำดังกล่าวคือการจัดชุดยิงเมื่ออยู่ในรูปขบวน
- พลปืนเล็ก: ทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมของชุดยิง คือคำว่า "ready"
- หัวหน้าชุดยิง: ใช้เอ็ม 203 และปฏิบัติหน้าที่เป็นพลเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก คือคำว่า "team"
- พลปืนเล็กอัตโนมัติประจำหน่วย: ใช้ปืนกลเบา เอ็ม 249 หรือ เอ็ม 27 ไอเออาร์ และทำหน้าที่เป็นรองผู้บังคับชุดยิง คือคำว่า "fire"
- ผู้ช่วยพลปืนเล็กอัตโนมัติ: ใช้ปืนเล็กยาวมาตรฐานร่วมกับการทำหน้าที่สนับสนุนการตรวจจับ การค้นหาระยะไกล บรรจุกระสุนปืนกลเบา และให้การป้องกันระยะใกล้หากชุดยิงอยู่ภายใต้การโจมตี คือคำว่า "assist"
กองทัพเรือ
[แก้]กองกำลังก่อสร้างของกองทัพเรือ หรือที่เรียกว่ากองพันก่อสร้าง ชื่อเล่นว่า "ซีบี" (Seabee ผึ้งทะเล) ใช้ชุดยิง (แบบเดียวกับกองร้อย, หมวด และหมู่) ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับที่ใช้ในนาวิกโยธินในโครงสร้างหน่วย หน่วยซีบีอาจจะสังกัดอยู่กับหน่วยนาวิกโยธินก็ได้
ชาติอื่น ๆ
[แก้]ในกองทัพอื่น ๆ จำนวนมากมองว่าชุดยิงเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุด กองทัพของบางประเทศประกอบด้วยทหาร 2 นายเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุด ในขณะที่กรณีอื่น ๆ ชุดยิงประกอบด้วยทหารสองคู่ (ชุดยิงและชุดดำเนินกลยุทธ์) รวมกันเป็นชุดยิง ในกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม ซึ่งมีคอมมิวนิสต์จีนเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด ยังได้นำแนวคิดชุดยิงที่คล้ายคลึงกับของจีน เรียกว่า "ตาม ตัม เฉื่อย" (tam tam chế) และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน[32]
ประวัติ
[แก้]ชุดยิงมีต้นกำเนิดในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงสงครามนโปเลียนจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ยุทธวิธีทางการทหารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมรูปขบวนทหารขนาดใหญ่จากส่วนกลางถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ในขณะที่หน่วยขนาดเล็กมีการริเริ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การจ้างทหารเพื่อทำหน้าที่อยู่ยามหรือการคุ้มกันวีไอพีมักจะจัดเป็นชุดทหารจำนวน 4 นาย ในกองทัพโรมัน เรียกหน่วยแบบนี้ว่า ควอเทอร์นิโอ (quaternio ภาษากรีก τετράδιον)[33]
ทหารในแถวขยายช่วงสงครามนโปเลียนมักจะทำงานเป็นทีม ทีมละสองคน โดยคนแรกล่วงหน้าไปจากกลุ่มหลักและอีกคนคอยยิงคุ้มกันซึ่งกันและกัน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
[แก้]ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การสงครามสนามเพลาะส่งผลให้เกิดทางตันในแนวรบด้านตะวันตก เพื่อต่อสู้กับทางตันนี้ เยอรมันได้พัฒนาหลักนิยมที่เรียกว่ายุทธวิธีการแทรกซึม (อิงมาจากยุทธวิธีของรัสเซียที่ใช้งานในการรุกบรูซิลอฟ) ซึ่งจะมีการเตรียมปืนใหญ่ในช่วงสั้น ๆ ตามมาด้วยหน่วยสตอร์มทรูปเปอร์ขนาดเล็กและปฏิบัติการอิสระในการเจาะแนวป้องกันแบบแทรกซึม เยอรมันใช้หน่วยสตอร์มทรูปเปอร์เป็นหน่วยระดับตำที่สุดในการสร้างกองกำลังจู่โจมแนวของสัมพันธมิตร กองทหารของสหราชอาณาจักรและแคนาดาในแนวรบด้านตะวันตกเริ่มแบ่งหมวดออกเป็นตอนหลังจากยุทธการที่แม่น้ำซอมในปี พ.ศ. 2459 (แนวคิดนี้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมต่อและนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง) หน่วยแชสเซอร์ (Chasseur) ของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งหนึ่งหนึงถูกจัดเป็นชุดยิง ซึ่งเป็นชุดปืนกลเบาและพลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็กเพื่อทำลายตำแหน่งการยิงของเยอรมัน (ไม่ใช่การจู่โจม) ที่ระยะสูงสุด 200 เมตรโดยใช้เครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก โดยชุดปืนกลเบาเปิดฉากการยิงข่มไปยังตำแหน่งของศัตรู ในขณะที่ชุดเครื่องยิงลูกระเบิดเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่สามารถโจมศัตรูได้ด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด ยุทธวิธีของหน่วยแชสเซอร์ได้รับการทดสอบใช้จริงในช่วงการรุกเปแต็งในปี พ.ศ. 2460 ผู้รอดชีวิตจากหน่วยแชสเซอร์ได้สอนยุทธวิธีนี้ให้กับทหารราบอเมริกัน ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ใช้งานได้ผลในการปฏิบัติการที่แซงต์-มิฮีล และอาร์กอน ทำให้ชุดยิงในยุคนั้นจะประกอบไปด้วยทหารราบ 4 นาย คือพลจู่โจมพร้อมปืนคาร์บิน 2 นาย พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากปืนเล็ก 1 นาย และทหารช่าง 1 นาย
ช่วงระหว่างสงคราม
[แก้]ในช่วงระหว่างสงคราม เชื่อกันว่าร้อยเอก อีแวนส์ เอฟ. คาร์ลสัน และเมอร์ริตต์ เอ. เอ็ดสัน นาวิกโยธินสหรัฐ ได้พัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับชุดยิงระหว่างการยึดครองนิการากัวของสหรัฐ (พ.ศ. 2455-2476) ในเวลานั้น หมู่นาวิกโยธินสหรัฐประกอบไปด้วยสิบตรีและนาวิกโยธินอีก 7 นายที่ใช้ปืนเล็กยาวเอ็ม 1903 สปริงฟิลด์แบบลูกเลื่อน และพลปืนเล็กอัตโนมัติ ใช้ปืนเล็กยาวอัตโนมัติบราวนิง เอ็ม1918 โดยหลังจากการเปิดตัวปืนกลมือทอมป์สัน และปืนลูกซองวินเชสเตอร์โมเดล 1912 ปืนทั้งสองได้รับความนิยมในหมู่นาวิกโยธินสหรัฐในฐานะอาวุธอาวุธป้องกันตำแหน่งสำหรับการตอบโต้การซุ่มโจมตีของกองโจรนิการากัวภายในผืนป่าที่หนาทึบ สามารถใช้เป็นที่กำบังสำหรับการตรวจตราที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ชุดของหทาร 4 นายพร้อมกับอาวุธปืนได้รับการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในแง่ของอำนาจการยิงและความคล่องตัวมากกว่าหมู่ปืนเล็กมาตรฐานที่ใช้กำลัง 9 นาย
ร้อยเอกคาร์ลสันซึ่งต่อมาได้เดินทางไปยังจีนในปี พ.ศ. 2480 ได้สังเกตหน่วยกองทัพเส้นทางที่ 8 คอมมิวนิสต์ของกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีนในการปฏิบัติการต่อต้านกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น และได้นำแนวคิดดังกล่าวกลับไปยังสหรัฐเมื่อประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้การบัญชาการของเขา กองพันนาวิกโยธินที่ 2 ได้ออกปฏิบัติการพร้อมกับปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติ เอ็ม1 กาแรนด์ และจัดชุดยิงตามแนวคิดในรูปแบบมาตรฐาน 4 นาย (แม้ว่าจะถูกเรียกว่ากลุ่มยิงในเวลานั้น) กำลัง 3 กลุ่มยิงจัดเป็นหนึ่งหมู่ที่มีผู้บังคับหมู่ กลุ่มยิงประกอบไปด้วย พลปืนเล็กยาว เอ็ม1 กาแรนด์, พลปืนบาร์ และพลปืนกลมือ โดยหลังเขาบาดเจ็บสาหัสจากการรบ ตำแหน่งของเขาได้ถูกแทนที่ และกองพันของเขาถูกยุบลงเพื่อจัดโครงสร้างใหม่ในเวลาต่อมาตามหลักนิยมทั่วไปของนาวิกโยธินคือการจัดหมู่ละ 10 นาย ซึ่งหลังจากนั้นแนวคิดการจัดชุดยิงของคาร์ลสันได้ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้งหนึ่ง
สงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]หมู่ปืนเล็กของกองทัพบกสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่สองประกอบไปด้วยทหารจำนวน 12 นาย[34] แบ่งออกเป็นสามชุด ชุด "เอเบิล" (A "Able" การออกเสียงตัวอักษรแบบร่วมสมัย) ประกอบไปด้วยผู้บังคับหมู่และหน่วยสอดแนม 2 นาย ชุดสนับสนุน "เบเกอร์" (B "Baker") ประกอบไปด้วยพลปืนบาร์ พลปืนผู้ช่วย และผู้ถือกระสุน และชุด "ชาร์ลี" (C "Charlie") ประกอบไปด้วยผู้ช่วยผู้บังคับหมู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพลเครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถัง และพลปืนเล็กอีก 5 นาย (ซึ่ง 1 ใน 5 นายนี้ทำหน้าที่เป็นพลเครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถังสำรอง)[35]ในการจู่โจม ชุดเอจะคอยเฝ้าตรวจและรักษาความปลอดภัยหรือเป็นผู้ช่วยชุดซีในการจู่โจมตามคำสั่งของผู้บังคับหมู่ ในขณะที่ชุดบีจะทำการยิงข่ม ซึ่งการยิงข่มจากปืนบาร์จะถูกสนับสนุนจากปืนเล็กยาวจากชุดของปืนกลเองในระหว่างที่กำลังบรรจุกระสุน และอาจจะเสริมด้วยปืนกลขนาดกลางของหมวด
หน่วยเรนเจอร์ของกองทัพบกสหรัฐและกองกำลังปฏิบัติการพิเศษได้นำแนวคิดเกี่ยวกับชุดยิงในยุคแรกมาใช้งานในการทัพในอิตาลีและฝรั่งเศส แต่ละหน่วยย่อยของหมู่ประกอบไปด้วยทหาร 4 หรือ 5 นายที่ติดอาวุธหนัก ประกอบไปด้วยพลปืนเล็กอัตโนมัติบาร์และผู้ช่วย หน่วยสอดแนม (พลแม่นปืน / พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด) ที่ติดอาวุธหนักเอ็ม 1903 สปริงฟิลด์ที่ติดเครื่องยิงลูกระเบิด และหัวหน้าชุดที่ใช้ปืนเอ็ม 1 คาร์บินหรือปืนกลมือทอมป์สัน เอ็ม 1 ในภายหลังได้มีการใช้งานผิดไปจากวัตถุประสงค์ เนื่องจากทหารราบปกติปฏิเสธที่จะฝึกทักษะการต่อสู้และการฝึกพิเศษ และการประกอบกำลังเป็นชุดกองพลน้อยยิงในการต่อต้านกองกำลังที่ใหญ่กว่าได้ทำลายข้อได้เปรียบดั่งเดิมของรูปแบบนี้คือความก้าวร้าวและอำนาจในการยิง
ในขณะเดียวกัน คอมมิวนิสต์จีนได้สร้างแนวคิดชุดยิงแบบสามคนขึ้นในรูปแบบของเซลล์เมื่อพวกเขาจัดตั้งกองทัพประจำการ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้แพร่หลายไปยังกองกำลังคอมมิวนิสต์ทั่วทั้งเอเชีย
คู่รบ
[แก้]คู่รบ (battle pair) เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดที่สูงกว่าทหารรายบุคคล ในยุคปัจจุบันจะใช้งานในกองทัพกลุ่มประเทศบอลติกและหน่วยรบพิเศษ เช่น หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ (SAS) ประกอบไปด้วยทหาร 2 นาย โดยมีทหารอีกหนึ่งนายที่มีอาวุโสเหนือกว่าทหารทั้ง 2 นายแรก (ตัดสินใจแทนทั้ง 2 นายหรือบังคับบัญชา) ชุดยิงจะประกอบด้วยชุดยิงและดำเนินกลยุทธ์จำนวน 2 ชุด และหมวดจะประกอบไปด้วยชุดยิง 2 ชุดขึ้นไป
แนวคิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากองทัพสหรัฐและประเทศในเครือจักรภพยังคงใช้ระบบชุดยิงประกอบเข้าเป็นหมู่เป็นหลักนิยมหลักอยู่
เอสโตเนีย
[แก้]ชุดดังกล่าวเรียกว่า Lahingpaar หรือ คู่รบ
ฟินแลนด์
[แก้]จนถึงปี พ.ศ. 2558 กองกำลังป้องกันฟินแลนด์ จัดกำลังในรูปแบบ 3 taistelupari (คู่รบ) ประกอบกำลังเป็นหนึ่งหมู่พร้อมกับผู้บังคับหมู่ ระบบชุดยิง 3 คนถือเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในหลักนิยมของทหารราบฟินแลนด์
ฝรั่งเศส
[แก้]กองทัพบกฝรั่งเศสมีแนวคิดของ binôme ('คู่' 'pair') ในกองกำลังประจำการ เป็นการจับคู่ระหว่างทหารที่มากประสบการณ์กับทหารใหม่หรือทหารทดแทน โดยทหารใหม่เรียนรู้จากทหารที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานประจำวันและงานที่ได้รับผิดชอบตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ในกองกำลังอาณานิคมเก่า (เช่นกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส) มันคือการจัดระเบียบ คู่ทั้งสองจะต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน หากคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืนหรือไม่ทำตามกฎ คู่อีกคนจะถูกลงโทษด้วยเนื่องจากไม่ขัดขวางการกระทำนั้น
สวีเดน
[แก้]ตามคู่มือสนามของกองทัพสวีเดน Stridspar (คู่รบ) ที่ทำงานประสานกันอย่างดีมีประสิทธิภาพเท่ากับทหารสี่นายที่มีคุณภาพเท่าเทียมกันปฏิบัติหน้าที่แยกจากกัน
ดูเพิ่ม
[แก้]- คู่หูรบ (Battle buddy)
- ทหารราบ
- วิทยาการทหาร
- ชุดซุ่มยิง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ APP-6C Joint Military Symbology (PDF). NATO. May 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-21. สืบค้นเมื่อ 2023-12-30.
- ↑ "U.S. Army Infantry Squad Organization". AAManual. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2017. สืบค้นเมื่อ 14 August 2017.
- ↑ "Field Manual" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-11-20. สืบค้นเมื่อ 2015-01-12.
- ↑ "MOS 11B - Infantryman Duty Descriptions". www.armywriter.com. สืบค้นเมื่อ 14 August 2017.
- ↑ "Job Description of a United States Army Infantry Team Leader". สืบค้นเมื่อ 14 August 2017.
- ↑ "What Are the Duties of Infantry Team Leaders?". สืบค้นเมื่อ 14 August 2017.
- ↑ "Sample Army Team Leader Duties, Responsibilities and Job Description - Citizen Soldier Resource Center". 26 February 2014. สืบค้นเมื่อ 14 August 2017.
- ↑ https://mwi.westpoint.edu/how-ukraines-roving-teams-of-light-infantry-helped-win-the-battle-of-sumy-lessons-for-the-us-army/
- ↑ https://static.rusi.org/403-SR-Russian-Tactics-web-final.pdf
- ↑ ADP 3-90 Offense and Defense. Washington, DC: US Department of the Army. 31 August 2012. p. 7.
- ↑ FM 1-02.2 Military Symbols. Washington, DC: US Department of the Army. 10 November 2020. p. 2–6.
- ↑ APP-6D NATO Joint Military Symbology. NATO Standardization Office. October 2017. p. 3–67.
- ↑ Department of National Defence (Canada) (1996). B-GL-309-003/FT-001, The Infantry Section and Platoon in Battle.
- ↑ 14.0 14.1 "Chinese Influences on Foreign Militaries". China Defence Forum (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2019-10-17.
- ↑ 林彪 (1948). 《一点两面与班组的三三制战术》. 辽吉第五军分区.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 คู่มือนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 (PDF). หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน.
- ↑ 17.0 17.1 เดชนะ, นิพันธ์ (2565). วิชา ยุทธวิธีรูปขบวนทำการรบของหมู่ปืนเล็ก (PDF). โรงเรียนรักษาดินแดน ศูนย์การศึกษาวิชาทหาร.[ลิงก์เสีย]
- ↑ วิชา เทคนิคหมู่ปืนเล็ก โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน (PDF). ศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร. 2558. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-12-18. สืบค้นเมื่อ 2023-12-19.
- ↑ "หนังสือข่าวทหารอากาศ ฉบับเดือน ตุลาคม 2562 by RTAF News - Issuu". issuu.com (ภาษาอังกฤษ). 2019-10-30. p. 65.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 "Soldier Magazine September 2018". British Army. สืบค้นเมื่อ 8 September 2018.
- ↑ 21.0 21.1 Ministry of Defence (United Kingdom) (1999). Army Code No. 71641, Infantry Tactical Doctrine Volume 1, Pamphlet No. 3 Infantry Platoon Tactics.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 Ministry of Defence (United Kingdom) (2009). Army Code No. 71882, Infantry Tactical Doctrine Volume 1, Pamphlet No. 3 Infantry Platoon Tactics.
- ↑ "Janes | Latest defence and security news".
- ↑ "The British Experience in Northern Ireland: A Model for Modern Peacemaking Operations?" (PDF). School of Advanced Military Studies. 1993. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ December 26, 2019. สืบค้นเมื่อ 5 December 2018.
- ↑ Room reaching and clearing techniques based on the "US Army Field Manual FM 3-06.11" from June 2011.
- ↑ https://fas.org/irp/doddir/army/attp3-06-11.pdf Combined Arms Operations in Urban Terrain (ATTP 3-06.11 (FM 3-06.11) June 2011
- ↑ OE TSC G&V (25 October 2011). "Individual Movement Techniques & Fire Team Formations". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-11. สืบค้นเมื่อ 14 August 2017 – โดยทาง YouTube.
- ↑ U.S. Army Field Manual FM 3-21.8: The Infantry Rifle Platoon and Squad, Figure 1-5: Infantry fire team and Figure 1-6: Infantry squad. http://www.globalsecurity.org/jhtml/jframe.html#http://www.globalsecurity.org/military/library/policy/army/fm/3-21-8/fm3-21-8. Retrieved 28 October 2016.
- ↑ OE TSC G&V (25 October 2011). "Introduction to Rifle Squad". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-11. สืบค้นเมื่อ 14 August 2017 – โดยทาง YouTube.
- ↑ Headquarters, Department of the Army: ATTP 3-06.11 (FM 3-06.11) – Combined Arms Operations in Urban Terrain (June 2011)
- ↑ U.S. Army Field Manual FM 3-21.11: SBCT Infantry Rifle Company, Figure 1-4. SBCT infantry rifle platoon organization http://www.globalsecurity.org/military/library/policy/army/fm/3-21-11/c01.htm#sectionii1_7. Retrieved 28 October 2016.
- ↑ "Vietnam People's Army Rifle Platoon (2019)". battleorder.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-31. สืบค้นเมื่อ 2023-12-19.
- ↑ c.f. Acts 12:4 "When he had captured him, he put him in prison, and delivered him to four squads of four soldiers each [quattuor quaternionibus militum; τέσσαρσιν τετραδίοις στρατιωτῶν] to guard him"
- ↑ Army Lineage Series Infantry Part I: Regular Army, pp. 56 & 73 http://www.history.army.mil/html/books/060/60-3-1/index.html เก็บถาวร 2020-10-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved 2 November 2016.
- ↑ War Department The Rifle Platoon and Squad in Offensive Combat Part 1, Section 1: Organization of the Rifle Platoon, March 15, 1943 (see FM 7-10, para. 133). http://www.hardscrabblefarm.com/ww2/offensive_combat.htm Retrieved 28 October 2016.