โกณารักสูรยมนเทียร
โกณารักสูรยมนเทียร | |
---|---|
สูรยเทวาลัย / อารักเกษตร | |
อาคารหลักของสูรยมนเทียร | |
ศาสนา | |
ศาสนา | ศาสนาฮินดู |
เขต | อำเภอปุรี |
เทพ | พระสูรยะ |
เทศกาล | จันทรภาคเมลา |
หน่วยงานกำกับดูแล | ASI |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | โกณารัก |
รัฐ | รัฐโอฑิศา |
ประเทศ | อินเดีย |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 19°53′15″N 86°5′41″E / 19.88750°N 86.09472°E |
สถาปัตยกรรม | |
รูปแบบ | กลึงคะ |
ผู้สร้าง | พระเจ้านรสิงหเทวะที่หนึ่ง |
เสร็จสมบูรณ์ | c. 1250 |
พื้นที่ทั้งหมด | 10.62 ha (26.2 เอเคอร์) |
เว็บไซต์ | |
konark | |
ที่ตั้ง | โกณารัก, รัฐโอฑิศา, ประเทศอินเดีย |
เกณฑ์พิจารณา | วัฒนธรรม: (i)(iii)(vi) |
อ้างอิง | 246 |
ขึ้นทะเบียน | 1984 (สมัยที่ 8th) |
โกณารักสุรยมนเทียร (โอเดีย: କୋଣାର୍କ ସୂର୍ଯ୍ୟ ମନ୍ଦିର; Konark Surya Mandir) หรือ เทวสถานพระอาทิตย์โกณารัก (Konark Sun Temple) เป็นมนเทียรบูชาพระสูรยะ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ที่เมืองโกณารัก ราว 35 กิโลเมตร (22 ไมล์) ทางนะวันออกเฉียงเหนือของปุรี บนชายฝั่งของรัฐโอฑิศา ประเทศอินเดีย[1][2] ผู้มีดำรัสสร้างคือพระเจ้านรสิงหเทวะที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิคงคาตะวันออก ในราวปี 1250[3][4]
หนึ่งลงในสิ่งก่อสร้างที่ยังคงเหลือในหมู่อาคารคือสูรยรถ (ราชรถพระสูรยะ) ความสูง 100-ฟุต (30-เมตร) ที่ซึ่งมีล้อและม้าสลักจากหินขนาดใหญ่ ที่ซึ่งในอดีตเคยมีความสูงถึง 200 ฟุต (61 เมตร)[1][5] ปัจจุบันส่วนใหญ่ของหมู่อาคารเหลือเพียงซากปรักหักพัง โดยเฉพาะศิขรเหนือมนเทียรหลัก ที่ซึ่งในอดีตเคยสูงกว่ามณฑปที่เหลืออยู่ สิ่งก่อสร้างและองค์ประกอบที่เหลืออยู่แสดงให้เห็นถึงงานศิลปะ ประติมานวิทยา และการแกะสลักที่วิจิตรตระการตา เช่นฉากที่แสดง กามะ และ มิถุน ในรูปอีโรติก อีกชื่อหนึ่งของมนเทียรนี้คือ สูรยเทวาลัย สถาปัตยกรรมของสูรยเทวาลัยนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของแบบโอฑิศา ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมกลึงคะ[1][6]
สิ่งที่ทำให้สูรยเทวาลัยถูกทำลายจนเหลือเพียงทุกวันนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์และยังคงเป็นที่ถกเถียง[7] มีผู้เสนอแนวคิดตั้งแต่ผลจากภัยพิบัติทางธรรมชาติไปจนถึงการทำลายของกองทัพมุสลิมในศตวรรษที่ 15 ถึง 17[1][7] นักเดินทางชาวยุโรปได้เรียกเทวาลัยนี้ว่า "เจดีย์ดำ" (Black Pagoda) มีหลักฐานเก่าแก่ถึงปี 1676 ด้วยหอหลักเป็นสีดำ[6][8] ควบคู่ไปกับชคันนาถเทวาลัยที่ปุรีซึ่งถูกเรียกว่า "เจดีย์ขาว" (White Pagoda) เจดีย์ทั้งสองนี้เป็นจุดสังเกตสำคัญของผู้ล่องเรือมาตามอ่าวเบงกอล[9][10]
หมู่เทวาลัยที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะบางส่วนโดยนักโบราณคดีชาวบริเตนในยุคอาณานิคม ในปี 1984 สูรยเทวาลัยโกณารักได้รับการยกย่องเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก[1][2] ในปัจจุบันที่นี่ยังคงเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญสำคัญของชาวฮินดูและเป็นหนึ่งในจุดหมายของเส้นทางจาริกที่มีขึ้นทุก ๆ ปีที่เรียกว่า จันทรภาคเมลา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์[6]
ศัพทมูล
[แก้]คำว่า โกณารัก (Konark) มาจากการรวมคำภาษาสันสกฤตสองคำคือ โกณ (Kona; มุม/เทวดา) และ อารก (Arka; พระอาทิตย์)[9] ความหมายของ โกณ ในที่นี้นั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่อาจสื่อถึงตำแหน่งที่เป็นตะวันออกเฉียงใต้ของมนเทียรหรืออาจของสูรยมนเทียรอื่น ๆ ในอนุทวีป[11] ส่วนคำว่า อรกะ หมายถึงเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ของฮินดู พระสูรยะ[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 Konark: India, Encyclopaedia Britannica
- ↑ 2.0 2.1 "Sun Temple, Konârak". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 3 May 2013.
- ↑ Sen, Sailendra (2013). A Textbook of Medieval Indian History. Primus Books. pp. 121–122. ISBN 978-9-38060-734-4.
- ↑ Indian History. Tata McGraw-Hill Education. p. 2. ISBN 978-0-07-132923-1. สืบค้นเมื่อ 3 May 2013.
- ↑ James C. Harle (1994). The Art and Architecture of the Indian Subcontinent. Yale University Press. pp. 251–254. ISBN 978-0-300-06217-5.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Linda Kay Davidson; David Martin Gitlitz (2002). Pilgrimage: From the Ganges to Graceland : an Encyclopedia. ABC-CLIO. pp. 318–319. ISBN 978-1-57607-004-8.
- ↑ 7.0 7.1 Thomas Donaldson (2005). Konark. Oxford University Press. pp. 15–28. ISBN 978-0-19-567591-7.
- ↑ Thomas Donaldson (2005). Konark. Oxford University Press. p. 28. ISBN 978-0-19-567591-7.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Debala Mitra 1968, p. 3.
- ↑ Lewis Sydney Steward O'Malley (1 January 2007). Bengal District Gazetteer : Puri. Concept Publishing Company. p. 283. ISBN 978-81-7268-138-8. สืบค้นเมื่อ 3 May 2013.
- ↑ Karuna Sagar Behera (2005). Konark: The Black Pagoda. Government of India Press. pp. 1–2. ISBN 978-81-230-1236-0.
บรรณานุกรม
[แก้]- Prasanna Kumar Acharya (2010). An encyclopaedia of Hindu architecture. Oxford University Press (Republished by Motilal Banarsidass). ISBN 978-81-7536-534-6.
- Prasanna Kumar Acharya (1997). A Dictionary of Hindu Architecture: Treating of Sanskrit Architectural Terms with Illustrative Quotations. Oxford University Press (Reprinted in 1997 by Motilal Banarsidass). ISBN 978-81-7536-113-3.
- Vinayak Bharne; Krupali Krusche (2014). Rediscovering the Hindu Temple: The Sacred Architecture and Urbanism of India. Cambridge Scholars Publishing. ISBN 978-1-4438-6734-4.
- Alice Boner (1990). Principles of Composition in Hindu Sculpture: Cave Temple Period. Motilal Banarsidass. ISBN 978-81-208-0705-1.
- Alice Boner; Sadāśiva Rath Śarmā (2005). Silpa Prakasa. Brill Academic (Reprinted by Motilal Banarsidass). ISBN 978-8120820524.
- Ananda K Coomaraswamy (1985), History of Indian and Indonesian Art, Dover, ISBN 9780486250052
- A.K. Coomaraswamy; Michael W. Meister (1995). Essays in Architectural Theory. Indira Gandhi National Centre for the Arts. ISBN 978-0-19-563805-9.
- Dehejia, V. (1997). Indian Art. Phaidon: London. ISBN 0-7148-3496-3.
- Adam Hardy (1995). Indian Temple Architecture: Form and Transformation. Abhinav Publications. ISBN 978-81-7017-312-0.
- Adam Hardy (2007). The Temple Architecture of India. Wiley. ISBN 978-0470028278.
- Adam Hardy (2015). Theory and Practice of Temple Architecture in Medieval India: Bhoja's Samarāṅgaṇasūtradhāra and the Bhojpur Line Drawings. Indira Gandhi National Centre for the Arts. ISBN 978-93-81406-41-0.
- Harle, J.C., The Art and Architecture of the Indian Subcontinent, 2nd edn. 1994, Yale University Press Pelican History of Art, ISBN 0300062176
- Monica Juneja (2001). Architecture in Medieval India: Forms, Contexts, Histories. Orient Blackswan. ISBN 978-8178242286.
- Stella Kramrisch (1976). The Hindu Temple Volume 1. Motilal Banarsidass (Reprinted 1946 Princeton University Press). ISBN 978-81-208-0223-0.
- Stella Kramrisch (1979). The Hindu Temple Volume 2. Motilal Banarsidass (Reprinted 1946 Princeton University Press). ISBN 978-81-208-0224-7.
- Michael W. Meister; Madhusudan Dhaky (1986). Encyclopaedia of Indian temple architecture. American Institute of Indian Studies. ISBN 978-0-8122-7992-4.
- George Michell (1988). The Hindu Temple: An Introduction to Its Meaning and Forms. University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-53230-1.
- George Michell (2000). Hindu Art and Architecture. Thames & Hudson. ISBN 978-0-500-20337-8.
- Debala Mitra (1968), Konarak, Archaeological Survey of India
- T. A. Gopinatha Rao (1993). Elements of Hindu iconography. Motilal Banarsidass. ISBN 978-81-208-0878-2.
- Ajay J. Sinha (2000). Imagining Architects: Creativity in the Religious Monuments of India. University of Delaware Press. ISBN 978-0-87413-684-5.
- Burton Stein (1978). South Indian Temples. Vikas. ISBN 978-0706904499.
- Burton Stein (1989). The New Cambridge History of India: Vijayanagara. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-26693-2.
- Burton Stein; David Arnold (2010). A History of India. John Wiley & Sons. ISBN 978-1-4443-2351-1.
- Kapila Vatsyayan (1997). The Square and the Circle of the Indian Arts. Abhinav Publications. ISBN 978-81-7017-362-5.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Konark Sun Temple (Official Website), Tourism Department, Government of Odisha
- Konark Sun Temple, World Heritage Site, UNESCO
- Konark Sun Temple, Archaeological Survey of India
- Konark Dance Festival, Government of Odisha
- Iconography at Konark Temple เก็บถาวร 2017-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Rusav Kumar Sahu (2011)