ข้ามไปเนื้อหา

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เรือหลวงนราธิวาส (OPV-512) ระหว่างกิจกรรมทางเรือนานาชาติ “มิลาน 2018”
ภาพรวมชั้น
ผู้สร้าง: หูตง-จงหัว ชิปบิลดิง, เซี่ยงไฮ้, ประเทศจีน
ผู้ใช้งาน: Naval flag of ไทย กองทัพเรือไทย
ตามหลังโดย: เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงกระบี่
สร้างเมื่อ: พ.ศ. 2545–2549
ในประจำการ: พ.ศ. 2548–ปัจจุบัน
เสร็จแล้ว: 2 ลำ
ใช้การอยู่: 2 ลำ
ลักษณะเฉพาะ
ชั้น: เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
ขนาด (ระวางขับน้ำ): บรรทุกสูงสุด 1,440 ลองตัน (1,460 ตัน)
ความยาว: 94.5 เมตร (310 ฟุต 0 นิ้ว)
ความกว้าง: 11.8 เมตร (38 ฟุต 9 นิ้ว)
กินน้ำลึก: 3.3 เมตร (10 ฟุต 10 นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน: 2 × รัสตัน16 อาร์เค 270 เครื่องยนต์ดีเซล, ขับสองเพลาด้วยใบพัดที่สามารถควบคุมได้
ความเร็ว: 25 นอต (46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง)
พิสัยเชื้อเพลิง: 3,500 nmi (6,500 km; 4,000 mi) ที่ 15 kn (28 km/h; 17 mph)
อัตราเต็มที่: 84 นาย
ระบบตรวจการและปฏิบัติการ:
  • 1 × เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ แบบ ซ้าบ Sea Giraffe 1X
  • 1 × เซเลกซ์ แรน-30เอกซ์/เรดาร์ตรวจจับไอมัลติโหมดร่วมกับไอเอฟเอฟ
  • 1 × เรดาร์ควบคุมการยิง เออร์ลิคอน ทีเอ็มเอกซ์/อีโอ และออปโทรนิกควบคุมการยิง
  • 3 × เรย์เธียน เรดาร์เดินเรือซุทซ์เอ็นเอสซี-25 ซีสเกาต์
  • ระบบการต่อสู้: อัทลัสเอเลคโทรนิค ระบบอำนวยการรบโคซิส
  • 1 × ระบบอำนวยการรบแบบ Catiz
  • 1 × ระบบควบคุมการยิงแบบ STIR 1.2 EO Mk.2
  • ระบบนำทาง: เรย์เธียน อันซุทซ์ไอบีเอส/ไอเอ็นเอส เอ็นเอสซี-ซีรีส์
  • ระบบการสื่อสาร: โรเดอุนท์ชวาตส์ ระบบการสื่อสารแบบบูรณาการ
สงครามอิเล็กทรอนิกส์และเป้าลวง: 1 × ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100S Mk.2
ยุทโธปกรณ์:
อุปกรณ์สนับสนุนการบิน: 1 × ดาดฟ้าบิน

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี[1] (อังกฤษ: Pattani-class offshore patrol vessels) เป็นชุดเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งของกองทัพเรือไทยที่สร้างโดยประเทศจีน

ประวัติ

[แก้]

กองทัพเรือไทยได้เสนอโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำต่อกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2542 โดยจัดหาเรือจากประเทศจีนด้วยการว่าจ้าง บริษัทไซน่าชิป บิวดิ้ง เทรดดิ้ง จำกัด ในลักษณะระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลจีน งบประมาณผูกพันข้ามปีระหว่างปี พ.ศ. 2545 - 2549 วงเงิน 3,200 ล้านบาท[2] เพื่อตอบสนองภารกิจในการปกป้องอธิปไตย และป้องกันการกระทำผิดทางทะเล ซึ่งก่อนหน้านี้ประสบปัญหาขาดเรือสำหรับปฏิบัติการไกลจากชายฝั่งซึ่งต้องเป็นเรือขนาดใหญ่และทนทะเลสูง ขณะที่เรือที่มีศักยภาพดังกล่าวคือเรือฟริเกตก็เป็นเรือที่ออกแบบมาสำหรับการรบเป็นหลัก ทำให้มีการใช้กำลังพลและอัตราอาวุธขนาดหนัก ส่งผลให้สิ้นเปลืองการส่งกำลังบำรุงในการปฏิบัติการ กองทัพเรือจึงได้จัดหารเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเข้ามาปฏิบัติการจำนวน 2 ลำ และมีขนาดใกล้เคียงกับเรือฟริเกต โดยเรือที่จัดหามานี้ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เรือหลวงปัตตานี (OPV-511) และเรือหลวงนราธิวาส (OPV-512)[3]

เรือหลวงปัตตานี ได้รับการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2547 และส่งมอบให้กองทัพเรือไทยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2548[4]

เรือหลวงนราธิวาส ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2549[5] และมีพิธีต้อนรับเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ณ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือเอก วิชัย ยุวนางกูร รองผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธีต้อนรับเรือ[6]

การตั้งชื่อเรือ

[แก้]

ในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้มีการพิจารณาของกองทัพเรือให้ใช้ชื่อจังหวัดในชายแดนภาคใต้มาใช้งานเป็นกรณีพิเศษ โดยในอดีตกองทัพเรือเคยใช้ชื่อเรือหลวงปัตตานีเป็นเรือตอร์ปิโดที่ปลดประจำการไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2520 และกระทรวงมหาดไทยได้เคยขอให้กองทัพเรือใช้ชื่อจังหวัดนราธิวาสตั้งเป็นชื่อเรือรบเช่นกัน ทำให้กองทัพเรือได้พิจารณาขอพระราชทานนามเรือทั้งสองลำว่า เรือหลวงปัตตานี และเรือหลวงนราธิวาส[5]

การเพิ่มประสิทธิภาพ

[แก้]

ในปี พ.ศ. 2567 กองทัพเรือได้มีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพเรือหลวงนราธิวาส วงเงินงบประมาณ 2,750 ล้านบาท ประกอบไปด้วย เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ แบบ ซ้าบ Sea Giraffe 1X ระบบอำนวยการรบแบบ Catiz ระบบควบคุมการยิงแบบ STIR 1.2 EO Mk.2 และระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100S Mk.2[7]

การออกแบบ

[แก้]

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี ต่อโดย อู่ Hudong-Zhonghua เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีคุณลักษณะตัวเรือ ความยาวตลอดลำเรือ 94.50 เมตร ความกว้างเรือ 11.80 เมตร เรือกินน้ำลึก 3.30 เมตร ทำความเร็วสูงสุด 25 นอต มีระวางขับน้ำสูงสุด 1,635 ตัน เรือมีระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ มีความคงทนทะเล ได้ถึงสภาวะทะเลระดับ 5 สามารถปฏิบัติการต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 20 วัน มีกำลังพลประจำเรือ 84 นาย เรือมีดาดฟ้าบินรับเฮลิคอปเตอร์น้ำหนักได้ 7 ตัน พร้อมด้วยอากาศยานประจำเรือ แบบ Super Lynx 300

ระบบตรวจการและปฏิบัติการ

[แก้]
  • เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ แบบ ซ้าบ Sea Giraffe 1X[8]
  • เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำแบบ Selex RAN-30 X/I หรือ Leonardo[9]
  • เรดาร์ทางยุทธวิธีแบบ LPI
  • เรดาร์และออปโทรนิกส์สำหรับควบคุมการยิงแบบ เออร์ลิคอน TMX/EO[9]
  • เรดาร์เดินเรือแบบ X Band
  • เรดาร์เดินเรือแบบ S Band
  • ระบบกล้องตรวจการณ์ 1 ระบบ
  • ระบบสื่อสารแบบระบบรวมการสื่อสาร 1 ระบบ ของบริษัท Rohde & Schwarz
  • ระบบอำนวยการรบแบบ Catiz[8]
  • ระบบควบคุมการยิงแบบ STIR 1.2 EO Mk.2[8]
  • ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100S Mk.2[8]

ระบบอาวุธเรือประกอบไปด้วย

[แก้]
  • ปืนหลักแบบ OTO Melara 76/62 มม. Super Rapid Fire จำนวน 1 กระบอก[10]
  • ปืนกลขนาด 20 มิลลิเมตรแบบ Oerlikon GAM-C01 จำนวน 2 กระบอก
  • ปืนกลขนาด .50 นิ้ว จำนวน 2 กระบอก

ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย คือ

[แก้]
  • เครื่องจักรใหญ่แบบ รัสตัน 16 อาร์เค 270 ดีเซล จำนวน 2 เครื่อง[9]
  • ใบจักร แบบ CPP 2 พวง
  • เครื่องไฟฟ้า จำนวน 4 เครื่อง

เรือในชุด

[แก้]
ชื่อ หมายเลข สร้างโดย ปล่อยลงน้ำ ประจำการ ปลดประจำการ สถานะ
เรือหลวงปัตตานี 511 หูตง-จงหัว ชิปบิลดิง 2547 7 พฤศจิกายน 2548 ประจำการ
เรือหลวงนราธิวาส 512 หูตง-จงหัว ชิปบิลดิง 6 เมษายน 2549 ประจำการ

ภารกิจ

[แก้]
เรือหลวงปัตตานี (OPV-511) จอดเทียบท่าอยู่ในเบื้องหลัง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี มีภารกิจในการลาดตระเวณตรวจการณ์ทางทะเลที่ไกลออกไปจากชายฝั่งเพื่อป้อมปราม ป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย การแทรกซึมทางทะเล และมีภารกิจรองในการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลและทรัพยากรธรรมชาติในน่านน้ำไทย ทั้งพื้นที่อ่าวไทยและทะเลอันดามัน คุ้มครองเรือประมง ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และรักษากฎหมายทางทะเลตามอำนาจทางกฎหมาย[5]

ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553 เรือหลวงปัตตานี และ เรือหลวงสิมิลัน ซึ่งเป็นเรือสนับสนุน ได้ออกจากฐานทัพเรือสัตหีบโดยมีกำลังพลจำนวน 351 นาย และกองกำลังสงครามพิเศษ 20 นายร่วมต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัดในอ่าวเอเดน[11] โดยภารกิจครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยส่งกองกำลังไปต่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทย[11] โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเฉพาะกิจผสมที่ 151 เรือหลวงปัตตานีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือหลวงสิมิลัน ได้ขัดขวางการกระทำของโจรสลัด ในเหตุการณ์สองเหตุการณ์แยกกันเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553[12] จากนั้นในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554 เรือทั้งสองลำได้กลับมาที่ท่าเรือหลังจากปฏิบัติหน้าที่ 137 วัน[13]

ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557 เรือหลวงปัตตานี ได้รับการนำไปใช้พร้อมกับอะกุสตาเวสต์แลนด์ซูเปอร์ลิงซ์ 300 ในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 370[14]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "กองทัพเรือ". www.navy.mi.th.
  2. "เรือหลวงนราธิวาส – Seafarer Library" (ภาษาอังกฤษ).
  3. "กองทัพเรือจัดพิธีต้อนรับเรือหลวงนราธิวาส". ryt9.com.
  4. Prasun K. Sengupta (18 January 2006). "Thailand Acquires Chinese OPVs & APCs". indiadefence.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-10. สืบค้นเมื่อ 7 December 2011.
  5. 5.0 5.1 5.2 "เรือหลวงนราธิวาส – Seafarer Library" (ภาษาอังกฤษ).
  6. "กองทัพเรือจัดพิธีต้อนรับเรือหลวงนราธิวาส". ryt9.com.
  7. ""กองทัพเรือ" ยันเลือกของดี มาตรฐานยุโรป อัพเกรด "รล.ปัตตานี-รล.นราธิวาส" งบฯ 2,750 ล้าน". สยามรัฐ. 2024-09-02.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 ""กองทัพเรือ" ยันเลือกของดี มาตรฐานยุโรป อัพเกรด "รล.ปัตตานี-รล.นราธิวาส" งบฯ 2,750 ล้าน". สยามรัฐ. 2024-09-02.
  9. 9.0 9.1 9.2 "คาดการณ์การปรับปรุงเรือชุดเรือหลวงปัตตานีในปีงบประมาณ 2565 งบ 3 พันล้านบาท". thaiarmedforce. 2021-02-13.
  10. "คาดการณ์การปรับปรุงเรือชุดเรือหลวงปัตตานีในปีงบประมาณ 2565 งบ 3 พันล้านบาท". thaiarmedforce. 2021-02-13.
  11. 11.0 11.1 "Hunt begins for Somali pirates". Bangkok Post. 11 September 2010.
  12. "Royal Thai Navy Disrupts Piracy". Combined Maritime Forces site. 29 October 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-26. สืบค้นเมื่อ 6 December 2011.
  13. "Back From Pirate Hunting". Bangkok Post. 20 January 2011.
  14. ทร.ส่งเรือหลวง-ฮ.ซุปเปอร์ลิงก์ช่วยค้นหาเครื่องบินมาเลย์ - ไทยรัฐ

ข้อมูลเพิ่มเติม

[แก้]

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี