เทียนวรรณ
เทียนวรรณ | |
---|---|
![]() | |
เกิด | 1[1] หรือ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2385[2] คลองบางขุนเทียน[2] |
เสียชีวิต | พ.ศ. 2457[2] หรือ 2458[3] (73 ปี)[2] เวิ้งนาครเขษม[4] |
อาชีพ | พ่อค้า ทนายความ นักวารสารศาสตร์ |
คู่สมรส | (อย่างน้อย) 3 คน[5] |
บุตร | 16 คน[5] |
บิดามารดา |
เทียนวรรณ (1[1] หรือ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2385[2] – พ.ศ. 2457[2] หรือ 2458[3]) ชื่อจริงว่า เทียน[2] และนามปากกาว่า ต.ว.ส. วัณณาโภ[2] (เขียนแบบเดิมว่า ต, ว, ส, วัณณาโภ)[2] เป็นพ่อค้า ทนายความ และนักวารสารศาสตร์ชาวสยาม ได้รับยกย่องว่า เป็นปัญญาชนคนสำคัญ[2]
เทียนวรรณมีชื่อเสียงจากการวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมือง และเรียกร้องให้ปฏิรูปการปกครองและขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ของบ้านเมือง โดยเสนอให้ปรับปรุงกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เลิกทาส เลิกการพนัน เลิกฝิ่น จัดตั้งโรงเรียนสตรี จัดตั้งธนาคาร รวมถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบรัฐสภา[2]
ชื่อ
[แก้]เทียนวรรณมีชื่อจริงว่า "เทียน" และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระราชทานชื่อให้ว่า "วรรณ" ผู้คนนิยมนำมาเรียกรวมกันเป็น "เทียนวรรณ" จึงเป็นที่รู้จักด้วยชื่อ "เทียนวรรณ"[2] บางแหล่งว่า ชื่อ "วรรณ" นี้พระราชทานเมื่อเทียนวรรณบวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร[1] และบางแหล่งว่า เทียนแกล้งเสียสติในคราวบวช จะได้ไม่ต้องจำพรรษา ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามตามรับสั่งของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 4 จึงทรงให้เปลี่ยนชื่อจาก "เทียน" เป็น "วรรณ" ตามความเชื่อโบราณที่จะให้หายเสียสติ[6]
บางแหล่งว่า ชื่อ "เทียนวรรณ" ไม่ได้มาจากรัชกาลที่ 4 แต่เป็นการมอบให้จากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ในคราวที่เทียนวรรณบวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร[7]
ส่วนนามปากกา "ต.ว.ส. วัณณาโภ" นั้น มีที่มาจาก "วัณณาโภ" ฉายาทางธรรมที่เทียนวรรณได้รับขณะเป็นภิกษุ[2]
การเกิด
[แก้]เทียนวรรณเกิดเมื่อปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2385[2] เป็นชาวธนบุรี ย่านคลองบางขุนเทียน (ปัจจุบันคลองสิ้นสภาพแล้ว)[2] บางแหล่งว่า เทียนวรรณเกิดในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันแรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีขาล จ.ศ. 1204 ตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2385 ณ "บ้านสวนหลวง บางขุนเทียน เขตธนบุรี กรุงเทพฯ"[1]
ครอบครัว
[แก้]ต้นตระกูลของเทียนวรรณ คือ ขุนเทียนวิเชียรหงษ์ ขุนนางผู้รักษาป่ามังคุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ทำให้ป่าดังกล่าวได้ชื่อในภายหลังว่า "บางขุนเทียน"[8] บางแหล่งระบุว่า ขุนเทียนวิเชียรหงษ์ผู้นี้เป็นทวดของเทียนวรรณ และมีภริยาเป็นธิดาของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) สมุหพระกลาโหมแห่งกรุงศรีอยุธยา[1]
เทียนวรรณเป็นบุตรคนที่ 7 จากบุตรทั้งหมด 9 คนของบิดาและมารดา[5]
บิดาของเทียนวรรณชื่อ "เรือง" คนส่วนใหญ่เรียก "เรืองสิงห์" เนื่องจากเรืองเป็นคนดุ[1] มีเชื้อสายมอญ[9] มารดาของเทียนวรรณชื่อ "โอลิต"[1] สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส[9] บิดาและมารดาของเทียนวรรณแยกทางกันตั้งแต่เทียนวรรณยังเล็ก[8] บิดาของเทียนวรรณเสียชีวิตเมื่อเทียนวรรณอายุ 13 ปี[1] บางแหล่งว่า บิดาของเทียนวรรณเสียชีวิตจากการไปรบที่เชียงตุง[1] จากนั้น มารดาของเทียนวรรณสมรสใหม่[8] กับชายชื่อ "เผือก"[1]
พระสาสนโสภณ (สา) ซึ่งภายหลังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น เป็นลุงของเทียนวรรณ[2][8]
การศึกษา
[แก้]เมื่อเทียนวรรณอายุ 5 ปี มารดาส่งเทียนวรรณไปอยู่กับป้าและลุงเขยผู้สอนมวยปล้ำและสอนเขียนอ่านภาษาไทยเบื้องต้นให้แก่เทียนวรรณ[8] ครั้นเทียนวรรณอายุ 8 ปี เทียนวรรณไปศึกษาภาษาไทยและภาษาขอมกับภิกษุชื่อ "มหาพุ่ม" ในสำนักของพระราชมุนี (เอี่ยม) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สำนักเดียวกับที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ศึกษาอยู่ เทียนวรรณเรียนที่นั่นจนชำนาญ[8] ส่วนมหาพุ่มนั้นสึกออกเป็นฆราวาสเมื่อเทียนวรรณอายุ 10 ปี แต่ยังคงให้เทียนวรรณพำนักอยู่กับตน และพาเทียนวรรณติดตามเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเสมอ[8]
ต่อมา เทียนวรรณย้ายไปอยู่วัดใหม่บางขุนเทียนเพื่อเรียนมวยและไสยศาสตร์ ชีวิตช่วงนี้ของเทียนวรรณดำเนินไปอย่างไม่มีจุดหมายใด ๆ[8] จนมารดาสมรสใหม่กับชายชื่อ "เผือก" ซึ่งช่วยอบรมสั่งสอนสิ่งที่ดีให้แก่เทียนวรรณ[8] และมีอิทธิพลต่อแนวคิดต่าง ๆ ในชีวิตวัยรุ่นของเทียนวรรณมาโดยตลอด[1]
ครั้นเทียนวรรณอายุ 16 ปี เทียนวรรณย้ายไปอยู่กับลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติฝ่ายมารดา จนเทียนวรรณอายุ 17 ปี รัชกาลที่ 4 โปรดให้พระสาสนโสภณ (สา) ลุงอีกคนหนึ่งของเทียนวรรณ บวชเทียนวรรณเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เทียนวรรณบวชได้ 13 เดือนก็ลาสิกขาบทกลับไปอยู่กับมารดาและบิดาเลี้ยง[8]
เมื่อเทียนวรรณอายุ 19 ปี เทียนวรรณออกท่องเที่ยวไปทางเหนือนาน 15 เดือน แล้วกลับมาบวชเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระสาสนโสภณ (สา) กับพระจันทโคจรคุณ (ยิ้ม) เป็นคู่สวด[8] ในการบวชนี้ เทียนวรรณบันทึกว่า เดิมรัชกาลที่ 4 รับสั่งให้ไปจำพรรษาที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม แต่เทียนวรรณไม่ประสงค์จะไป จึงแกล้งเสียสติ และได้อยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารแทน[10] สาเหตุที่เทียนวรรณไม่ต้องการไปวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามนั้นไม่ชัดเจน แต่ดำริห์ โปรเทียรณ์ หลานของเทียนวรรณ อ้างว่า ได้ฟังมาจากภริยาของเทียนวรรณว่า เป็นเพราะเทียนวรรณไม่ต้องการอยู่วัดที่ใกล้พระบรมมหาราชวัง อันเป็นเขตที่มากด้วยหญิงสาวชาววัง[10]
ใน พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จขึ้นเสวยราชย์ เทียนวรรณก็เดินทางออกจากประเทศสยามไปกับเรือฝรั่ง[8] บางแหล่งว่า สาเหตุที่ออกจากประเทศ คือ "ถูกคนในวังไม่ชอบหน้า"[7] ในการเดินทางนี้ เทียนวรรณลาสิกขาบทแล้ว[7] หลังออกนอกประเทศ เทียนวรรณได้ท่องเที่ยวไปในเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิกหลายปี ได้เห็นความเป็นไปในดินแดนต่าง ๆ และพยายามทำความเข้าใจกับสภาพสังคมในดินแดนเหล่านั้น โดยอาศัยการอ่านหนังสือและประสบการณ์[8]
การเป็นพ่อค้าและทนายความ
[แก้]หลังจากท่องเที่ยวและกลับเข้ามาในประเทศสยามแล้ว เทียนวรรณไปขายของป่าอยู่ที่เมืองจันทบุรี[8] ช่วงที่ค้าขาย เทียนวรรณแต่งกายอย่างฝรั่งเพื่อแสดงออกว่า พ่อค้าซึ่งเป็นสามัญชนก็แต่งกายอย่างชนชั้นสูงได้ และการเป็นพ่อค้านี้ทำให้เทียนวรรณได้พบเห็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ และได้รู้จักบุคคลสำคัญหลายคน ซึ่งรวมถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์, เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต), และขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง เวภาระ)[8]
ภายหลัง เทียนวรรณย้ายเข้ามาในกรุงเทพฯ และเปิดสำนักงานทนายความแห่งแรกของประเทศขึ้นที่แยกคอกวัว ชื่อว่า "ออฟฟิศอรรศนานุกูล" โดยให้บริการว่าความแก่ประชาชนทั่วไป แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงวัง จึงถูกดำเนินคดีและจำคุกฐาน "หมิ่นตราพระราชสีห์"[8] บางแหล่งว่า เทียนวรรณถูกจำคุกฐาน "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" เนื่องจากเทียนวรรณวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองในระบบทาส ปราศจากความเป็นธรรมทางเพศ และเทียนวรรณนำเสนอแนวคิดให้ประชาชนมีเสรีภาพกับรัฐสภา[11] และบางแหล่งว่า เทียนวรรณถูกจำคุก เนื่องจากรับเขียนฎีการ้องทุกข์ให้ราษฎรผู้หนึ่งโดยไม่ขออนุญาตจากกระทรวงวังก่อน จึงมีความผิดฐานหมิ่นตราพระราชสีห์[8] บางแหล่งว่า ราษฎรที่เทียนวรรณรับเขียนฎีกาให้นั้นชื่อว่า "นายช้าง" และนายช้างผู้นี้เป็นเครื่องมือของขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งไม่พอใจเทียนวรรณที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในสังคม เห็นได้จากที่การพิจารณาคดีเทียนวรรณนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่ให้โอกาสเทียนวรรณสู้คดี และไม่เอาผิดนายช้างด้วย[12]
เทียนวรรณถูกจำคุกถึง 16 ปีเศษ[2] บางแหล่งว่า 16 ปี 7 เดือน[12] บางแหล่งว่า 17 ปี[11] ระหว่างอยู่ในคุก เทียนวรรณใช้เวลาว่างเขียนหนังสือ[8]
เทียนวรรณได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เสด็จตรวจคุกและพบเทียนวรรณเข้า ทรงไต่ถามจนได้ความว่า ถูกกลั่นแกล้ง จึงรับสั่งให้ปล่อยทันที[9] เทียนวรรณได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2441)[13]
งานด้านวารสารศาสตร์
[แก้]เมื่อพ้นคุกแล้ว เทียนวรรณออกวารสารรายปักษ์[8] ชื่อ ตุละวิภาคพจนกิจ โดยให้คำแปลว่า "หนังสือพิมพ์นี้เสนอข่าวสารตรงไปตรงมาดุจตราชั่ง" เพื่อเผยแพร่ความคิดเห็นของตนในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมือง โดยเสนอให้ปรับปรุงกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เลิกทาส เลิกการพนัน เลิกฝิ่น จัดตั้งโรงเรียนสตรี จัดตั้งธนาคาร รวมถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐสภา[14]
วารสารนี้มีสำนักงานอยู่ที่ถนนตะนาว ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า[11] ออกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2443) ในรัชกาลที่ 5 ออกได้ 6 ปีก็เลิกไป เพราะขาดทุน[14] แต่บางแหล่งว่า ออกในระหว่าง พ.ศ. 2446–2449[8]
เทียนวรรณเคยขอให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงนำวารสาร ตุละวิภาคพจนกิจ พร้อมกับหนังสือที่ตนเขียนด้วยลายมือตนเองขอให้ตนได้เข้ารับราชการ ขึ้นถวายรัชกาลที่ 5 แต่ไม่ปรากฏการตอบรับจากรัชกาลที่ 5[8]
ต่อมา เทียนวรรณออกวารสารชื่อ บำรุงนารี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449) มีเนื้อหาเกี่ยวกับสตรี เช่น การทะนุบำรุงสตรี การวางตัวของสตรี การบำรุงครรภ์ และการเลี้ยงดูบุตร วารสารนี้ออกได้ 4 เล่มก็เลิกไป[4] ใน พ.ศ. 2451 เทียนวรรณยังออกวารสารรายเดือนชื่อ ศิริพจนภาค โดยมีจุดประสงค์จะให้คนรุ่นหลังทราบว่า เทียนวรรณได้ต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ชาวสยามอย่างไรบ้าง[8] แต่บางแหล่งว่า ศิริพจนภาค ออกตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2450)[4]
ชีวิตบั้นปลาย
[แก้]ปรีดี พนมยงค์ บันทึกว่า ตนเองได้พบเทียนวรรณในวัยชราครั้งที่ตนเรียนมัธยมศึกษาเบื้องต้น โดยเขียนว่า "ท่านผู้นี้มีคติประชาธิปไตยมาก ขณะนั้นท่านหนวดขาวแล้ว ประมาณว่าขณะนั้นมีอายุเกือบ 70 ปี ข้าพเจ้าพบที่ตึกแถวใกล้วัดบวรนิเวศน์" ทั้งระบุว่า ได้สนทนากับเทียนวรรณในเรื่องทัศนะที่มีต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[15] อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เห็นว่า การพบกันนั้นน่าจะเกิดในช่วง พ.ศ. 2454–2455[15]
เทียนวรรณเสียชีวิตใน ร.ศ. 133 (พ.ศ. 2457) ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) รวมอายุได้ 73 ปี[2] แต่บางแหล่งว่า เสียชีวิตใน พ.ศ. 2458[3]
สถานที่เสียชีวิต คือ บ้านของตนเองที่เวิ้งนาครเขษม[4] สาเหตุแห่งการเสียชีวิต คือ โรคเบาหวานและต้อกระจก[4] ศพได้รับการฌาปนะที่วัดตึก (ปัจจุบันคือวัดชัยชนะสงคราม)[4]
การสมรส
[แก้]เทียนวรรณสมรสครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกไว้เองว่า เมื่ออายุ 29 ปี ได้ภริยาคนที่ 3 ที่เมืองตราด ชื่อ "เปี๊ยก"[5] และบันทึกไว้คร่าว ๆ ว่า ภริยาคนแรกเป็นญาติกัน อยู่ด้วยกันไม่นานก็เลิกร้าง มีบุตรด้วยกัน 1 คน ภริยาคนที่ 2 มีบุตรด้วยกัน 4 คน[5] เทียนวรรณมีบุตร 11 คนกับภริยาคนที่ 3 นี้[5] เทียนวรรณจึงมีบุตรทั้งสิ้น 16 คน[5]
เทียนวรรณกล่าวด้วยว่า บุตรบางคนไม่ได้ดีดังใจ เพราะเทียนวรรณต้องโทษจำคุก ทำให้ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนบุตร ส่วนภริยาก็ต้องใช้เวลาไปกับการทำมาหาเลี้ยงครอบครัวแทนเทียนวรรณ[5]
เทียนวรรณเป็นต้นสกุล "โปรเทียรณ์"[2] บ้างเขียน "โปรเฑียรณ์"[4] ผู้ตั้งนามสกุลนี้ให้แก่ลูกหลานของเทียนวรรณ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์[4]
ผลงาน
[แก้]ผลงานของเทียนวรรณไม่ได้รับการเผยแพร่มากนัก และส่วนใหญ่เก็บรักษาไว้ในรูปแบบไมโครฟิล์ม ทำให้หาอ่านยาก[16] บางส่วนมีต้นฉบับและจัดแสดงอยู่ที่หอสมุดดำรงราชานุภาพ กรมศิลปากร[14]
ในบรรดาผลงานของเทียนวรรณ มี
- วารสาร
- งานที่เป็นบรรณาธิการ
- ไซอิ๋ว ของอู๋ เฉิงเอิน นายติ่นแปลเป็นภาษาไทย (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2449)[20]
- เปาเล่งถูกงอั้น ของอัน ยฺวี่ฉือ นายหยองแปลเป็นภาษาไทย (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2441)[20]
- งานอื่น ๆ
- สุภาษิตเทียนวรรณ (ไม่ปรากฏปี)[18]
แนวคิด
[แก้]ในงานเขียนของตน เทียนวรรณนำเสนอการมีคู่ครองคนเดียว โดยกล่าวว่า "การที่มีเมียมาก ส่อให้เห็นความฉิบหาย" เนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจที่ทำให้มีรายจ่ายมาก และทำให้สตรีเสียเปรียบ และด้านสังคมที่ต้องเผชิญความระหองระแหงในหมู่ภรรยาคนต่าง ๆ ของชายอยู่เสมอ จึงเสนอให้เลิกความนิยมแบบ "ผัวเดียวหลายเมีย" แต่ก็กล่าวว่า คงเป็นไปได้ยาก เพราะการมีหลายเมียนั้นฝักรากมานานจน "เป็นที่คุ้นเคยพอใจแล้ว พวกเราไทย ๆ ชอบด้วยกันมากเป็นพื้นประเพณี"[21]
อนึ่ง เทียนวรรณยังนำเสนอเรื่องราษฎรเป็นใหญ่ โดยเปรียบราษฎรเป็นสายโลหิตของแผ่นดิน และกล่าวว่า ตนมีความฝันว่า สักวันต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านเมือง โดย "ตั้งปาลิเมนต์ [รัฐสภา] อนุญาตให้มีหัวหน้าราษฎรมาพูดธุระชี้แจงของตนแก่รัฐบาลได้ในข้อที่มีคุณแลมีโทษทางความเจริญแลไม่เจริญนั้น ๆ ได้ตามเวลาที่กำหนดอนุญาตไว้ ในความฝันที่เราฝันมานี้ ในชั้นต้นจะโวด [โหวต] เลือกผู้มีสะติปัญญาเปนชั้นแรกคราวแรกที่เริ่มจัด ให้ประจำการในกระทรวงทุกอย่างไปก่อนกว่าจะได้ดำเนินให้เปนปรกติเรียบร้อยได้"[22] ที่เทียนวรรณเรียกร้องให้มีรัฐสภานั้น สืบเนื่องมาจากเทียนวรรณไม่พอใจที่กระบวนการยุติธรรมให้ศาลมีอำนาจมากเกินในการพิจารณาคดีโดยไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล[11]
แนวคิดข้างต้นทำให้เทียนวรรณถูกชนชั้นนำสยามประณามว่า "เป็นพวกชอบชิงสุกก่อนห่าม" และ "อย่าเพิ่งฝันถึง 'ปาลิเมนต์' เลย ตราบที่ประเทศนี้ราษฎรยังขาดการศึกษาและยังยากจนอยู่"[11] แต่ก็ทำให้เทียนวรรณได้รับยกย่องจากวงวิชาการว่า เป็นปัญญาชนคนสำคัญ[2] และการที่เทียนวรรณคอยช่วยเหลือประชาชนผู้ไม่ได้รับความยุติธรรมทางกฎหมาย ทำให้กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยกย่องเทียนวรรณว่า เป็น "บุรุษรัตน์ของสามัญชน"[9]
นิธิ นิธิวีรกุล เห็นว่า แนวคิดของเทียนวรรณมีอิทธิพลให้เกิดกบฏ ร.ศ. 130[22]
อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช ตั้งข้อสังเกตว่า เทียนวรรณไม่เคยกล่าวถึงการจัดให้มีกฎหมายสูงสุดเพื่อจำกัดอำนาจผู้ปกครองและกำหนดแนวทางปกครองประเทศ ดังที่สมัยใหม่เรียกว่า รัฐธรรมนูญ[22]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 10)
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 2.16 2.17 2.18 2.19 2.20 กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม (2021)
- ↑ 3.0 3.1 3.2 พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย (2022)
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 13)
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 11)
- ↑ สุมาลี แก่นการ (2005, p. 14)
- ↑ 7.0 7.1 7.2 นิธิ นิธิวีรกุล (2020)
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 8.17 8.18 8.19 8.20 8.21 8.22 8.23 ยุพร แสงทักษิณ (2015)
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 โรม บุนนาค (2017)
- ↑ 10.0 10.1 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 15)
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 เพ็ญสุภา สุขคตะ (2017)
- ↑ 12.0 12.1 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 12)
- ↑ สุมาลี แก่นการ (2005, p. 12–13)
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 รวิวรรณ พุฒซ้อน (n.d.)
- ↑ 15.0 15.1 อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ (2022)
- ↑ สุมาลี แก่นการ (2005, p. 25)
- ↑ สุมาลี แก่นการ (2005, p. 25–29)
- ↑ 18.0 18.1 สุมาลี แก่นการ (2005, p. 31)
- ↑ สุมาลี แก่นการ (2005, p. 28–31)
- ↑ 20.0 20.1 ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ (1928, p. 18)
- ↑ สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ (2021)
- ↑ 22.0 22.1 22.2 ศิรินภา โปรเทียรณ์ (2021)
บรรณานุกรม
[แก้]- กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม (2021-05-06). "เทียนวรรณบันทึก "ว่าด้วยความฝันฯ" เมื่อ 100 ปีก่อน เห็นไทยเลิกทาส ตั้งธนาคาร มีสภาผู้แทนฯ". ศิลปวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ (1928). . พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
- นิธิ นิธิวีรกุล (2020-05-30). "บริบทของอิสรภาพ บทที่ 5". สำนักพิมพ์สมมติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สมมติ. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย (2022). "เทียนวรรณ". พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- เพ็ญสุภา สุขคตะ (2017-04-30). "จาก "เทียนวรรณ" "นรินทร์กลึง" ถึง "สมยศ" กบฏบรรณาธิการ". มติชน. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- ยุพร แสงทักษิณ (2015). "เทียนวรรณ, เทียน". นามานุกรมวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- รวิวรรณ พุฒซ้อน (n.d.). "เรื่องเล่าจากหอสมุดแห่งชาติ "ตุละวิภาคพจนกิจ" หนังสือพิมพ์ของ ต.ว.ส. วัณณาโภ". กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- โรม บุนนาค (2017-10-02). ""เทียนวรรณ" ปัญญาชนผู้ถูกขังลืม 17 ปี เสนอให้ญี่ปุ่นเป็นสมอง จีนเป็นทหาร ไทยเป็นเสบียง สู้ตะวันตก". ผู้จัดการออนไลน์. กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- ศิรินภา โปรเทียรณ์ (2021-06-03). "ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ: สองปัญญาชนหัวก้าวหน้ากับการการท้าทายระบอบศักดินา". สถาบันปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: สถานบันปรีดี พนมยงค์. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- สุมาลี แก่นการ (2005). โลกทัศน์ของเทียนวรรณ (PDF). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ (2021-08-20). ""เทียนวรรณ" ปัญญาชนสยาม วิจารณ์สังคม "ผัวเดียวหลายเมีย"". ศิลปวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ (2020-10-19). "ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ". สถาบันปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- ชิษณุพงศ์ แจ่มปัญญา (2022-07-17). ""เทียนวรรณ" วิจารณ์งานสุนทรภู่ กำเนิด "พระอภัยมณี" ที่มาจาก "แหวนทองคำประดับเพ็ชร์"". ศิลปวัฒนธรรม.
- ศิรินภา โปรเทียรณ์ (2014). อิทธิพลของวรรณกรรมของเทียนวรรณต่อการพัฒนาการกฎหมายมหาชนของไทย. มหาวิทยาลัยบูรพา.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2385
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2457
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2458
- บุคคลจากเขตธนบุรี
- นักสิทธิมนุษยชน
- นักปรัชญา
- นามปากกา
- นักธุรกิจชาวไทย
- นักเขียนชาวไทย
- นักเคลื่อนไหวชาวไทย
- นักหนังสือพิมพ์ชาวไทย
- บรรณาธิการหนังสือพิมพ์
- นักกฎหมายชาวไทย
- การเมืองภาคประชาชน
- นักโทษของประเทศไทย
- บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
- เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน