สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 | |
---|---|
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1967 – 1991 (24 ปี) |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระอินทราชา |
ถัดไป | สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 1929 |
สวรรคต | พ.ศ. 1994 (65 พรรษา) |
คู่อภิเษก | พระราชเทวี (พระราชธิดาในพระมหาธรรมราชาที่ 2) |
พระราชบุตร | พระนครอินทร์
(พระอินทราชา) เจ้าพญาแพรก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ |
ราชวงศ์ | สุพรรณภูมิ |
พระราชบิดา | สมเด็จพระอินทราชา |
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา (พ.ศ. 1929 – 1994) เป็นพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 7 ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1967 – 1991 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในการปกครอง และการรบ ดังจะเห็นได้จากกรณีการตีอาณาจักรล้านนาและประเทศกัมพูชา นับเป็นการขยายพระราชอาณาเขตของ อาณาจักรอยุธยาตอนต้นอย่างเป็นรูปธรรม
พระราชประวัติ
[แก้]พระราชสมภพ
[แก้]สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 มีพระนามเดิมว่าเจ้าสามพระยา เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระนครินทราธิราชหลังจากพระราชบิดาตีได้หัวเมืองเหนือแล้ว ก็โปรดให้มีพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ทั้ง 3 พระองค์ไปครองเมืองต่าง ๆ คือ เจ้าอ้ายพระยาเป็นผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยาเป็นผู้ครองเมืองแพรกศรีราชา (อำเภอสรรคบุรี) ส่วนพระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปปกครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญทางเหนือ และได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งกรุงสุโขทัย
การขึ้นครองราชย์
[แก้]เมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1967 เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ต่างยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อชิงราชสมบัติ ทั้งสองพระองค์ได้กระทำยุทธหัตถีกันที่เชิงสะพานป่าถ่านจนสิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ ขุนนางผู้ใหญ่จึงไปกราบทูลเชิญเจ้าสามพระยาขึ้นเสวยราชสมบัติ เฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า แล้วโปรดให้ขุดพระศพพระเชษฐาทั้งสองพระองค์ไปถวายพระเพลิง แล้วสร้างวัดราชบูรณะในที่ถวายพระเพลิงนั้น ส่วนที่กระทำยุทธหัตถีให้ก่อเป็นเจดีย์ไว้ 2 องค์
สวรรคต
[แก้]สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 1994 พระองค์ครองราชสมบัติรวม 24 ปี โดยสมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อ มีพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
เหตุการณ์ในรัชสมัย
[แก้]- พ.ศ. 1959 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีเดียวกันสถาปนาวัดราชบูรณะ
- พ.ศ. 1969 สร้างวัดมเหยงค์ในปีเดียวกัน พระพุทธชินราช มีน้ำพระเนตรไหลออกมาเป็นโลหิต
ปราบเมืองพิมายและพนมรุ้ง
[แก้]เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ. 1982 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงให้ระดมกองทัพช้างม้า เตรียมจะยกไปตีเมืองพิมายและพนมรุ้ง เจ้าเมืองทั้งหลายจึงออกมาถวายบังคมสมเด็จพระบรมราชาธิราช พระองค์ก็โปรดพระราชทานรางวัล แล้วโปรดให้เจ้าเมืองเหล่านั้นกลับไปปกครองเมืองของตนตามเดิม[1]
พระราชพิธีโกษรกรรม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
[แก้]เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1982 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 จัดให้มีพระราชพิธีโกษรกรรม(พระราชพิธีโสกันต์) ให้กับพระบรมเชษฐาธิราช พระราชโอรส แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า "สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนารถบพิตร"[1]
ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ ความว่า :-
"๏ ศักราช 801 มะแม เอกศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าก็ให้ประชุมพราหมณาจารย์แลท้าวพญาเสนามาตย์ทั้งหลายเล่นมหรสพ ตั้งพระราชพิธีโกษ(ร)...กรรมสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชกุมารท่าน แลประสาทพระนาม...สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนารถบพิตร"[1]
- เพลิงไหม้พระราชมณเทียร
- พ.ศ. 1974 เสด็จยกทัพไปตีเมืองพระนครหลวงของกัมพูชาได้สำเร็จและสถาปนาพระนครอินทร์พระโอรสองค์ใหญ่ให้เสวยราชย์เป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา
- พ.ศ. 1984 เกิดเพลิงไหม้พระที่นั่งตรีมุข
- พ.ศ. 1985 เสด็จยกทัพตีเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ
- พ.ศ. 1986 พระนครอินทร์ประชวรสวรรคต ที่กัมพูชาโปรดให้สถาปนาเจ้าพญาแพรกพระโอรสองค์รองขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาต่อจากพระนครอินทร์
- พ.ศ. 1987 เสด็จยกทัพปราบจราจล แลตั้งทัพหลวงที่ปะทายเขษม (กัมพูชา) ได้เชลย120,000 คน ทัพหลวงเสด็จกลับคืน
ราชการสงคราม
[แก้]การศึกกับเขมร
[แก้]ปี พ.ศ. 1974 สมเด็จพระบรมราชาธิราชได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองนครหลวง (นครธม) ในรัชสมัยพระธรรมาโศกราชได้ ศึกครั้งนี้กองทัพอยุธยาล้อมเมืองพระนครหลวง (นครธม) ได้ 7 เดือน ก่อนจะยึดเมืองได้ พระธรรมาโศกราชประชวรและสวรรคตในเมืองพระนครหลวง (นครธม) ฝ่ายกัมพูชายอมแพ้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชจึงโปรดให้จัดงานศพและสร้างวัดบำเพ็ญกุศลถวายให้แก่พระธรรมโศกราช ก่อนจะสถาปนาให้พระนครอินทร์พระราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาอยู่ปกครองเมืองพระนครหลวงแทนในฐานะเมืองประเทศราช แล้วให้นำพระยาแก้วพระยาไท พร้อมทั้งพระประยูรญาติ เหล่าขุนนาง และกวาดต้อนครัวชาวกัมพูชาได้ 40,000 คนกับทั้งรูปหล่อพระโคสิงห์สัตว์ต่าง ๆ และทรัพย์สินอื่นๆ กลับมากรุงศรีอยุธยาด้วย ทำให้อิทธิพลของเขมรในด้านการปกครอง ประเพณี ตลอดจนงานศิลปะมาปรากฏชัดในอยุธยา แต่พระนครอินทร์อยู่ปกครองกรุงกัมพูชาได้ประมาณ 12 ปี ครั้งนั้นเจ้าญาติ บุตรพระรามเจ้า (คำขัด) เชื้อพระวงศ์กัมพูชาเดิมได้ระดมมหาพรรคเขมรก่อกบฏที่เมืองจตุรมุข (พนมเปญ) พระนครอินทร์ส่งกองทัพไปปราบแต่ไม่สามารถปราบได้เด็ดขาดจึงได้ขอกำลังช่วยเหลือจากอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราช จึงโปรดให้เจ้าพญาแพรก พระโอรสองค์รองยกทัพอยุธยาไปช่วยเหลือและให้พระนครอินทร์ยกทัพเขมรเมืองพระนครหลวงอีกหนึ่งทัพร่วมกันยกไปปราบกบฏจนสามารถปราบกบฏได้สำเร็จ บรรดามหาพรรคเขมรแตกพ่าย จับเจ้าญาติได้จะให้ส่งตัวไปอยุธยาแต่พระนครอินทร์[2]กลับประชวร และ สวรรคตอย่างกะทันหันที่กัมพูชา ส่วนเจ้าญาติหลบหนีไปได้จึงระดมมหาพรรคเขมรขึ้นต่อต้านฝ่ายอยุธยาอีกครั้ง ในปี พ.ศ.1986 ฝ่ายอยุธยาสมเด็จพระบรมราชาธิราชได้สถาปนาเจ้าพญาแพรกพระโอรสองค์รองขึ้นครองกัมพูชา ต่อจากพระนครอินทร์เมื่อเจ้าพญาแพรกปกครองกัมพูชาพระองค์ได้พยายามส่งกองทัพไปปราบปรามฝ่ายเจ้าญาติแต่ไม่สำเร็จ เจ้าญาติกลับเป็นฝ่ายรบชนะและยึดเมืองต่างๆของกัมพูชาคืนได้ตามลำดับเมื่อได้โอกาสที่เหมาะสม เจ้าญาติจึงได้สถาปนาตัวเองขึันเป็นกษัตริย์กัมพูชานามว่า พระบรมราชา (เจ้าพญาญาติ) ทำให้ในเวลานั้นกัมพูชามี กษัตริย์ 2 พระองค์ แต่เจ้าพญาแพรกปกครองกัมพูชาได้เพียงไม่นานพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ พระบรมราชา (เจ้าพญาญาติ) ยึดเมืองพระนครหลวงคืนจากฝ่ายอยุธยาได้ก่อนจะย้ายเมืองหลวงกัมพูชาไปยังเมืองบาสานและเมืองจตุรมุข (พนมเปญ) ตามลำดับ ต่อมาสมเด็จพระบรมราชาธิราช จึงเสด็จไปปราบพรรคเขมรในกัมพูชา ด้วยพระองค์เองเมื่อปี พ.ศ. 1987 ก่อนจะถอยกลับอยุธยา ครั้งนั้นได้เชลย 120,000 คน
การศึกกับล้านนา
[แก้]ในปี พ.ศ. 1985 พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้รบกับท้าวช้อยผู้เป็นพระอนุชา ท้าวช้อยแพ้หนีไป เจ้าเมืองเทิงได้มาขอสวามิภักดิ์กับกรุงศรีอยุธยาและขอให้ส่งกองทัพไปช่วยรบ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 จึงทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ของอาณาจักรล้านนาแต่ก็ตีไม่สำเร็จประกอบกับทรงพระประชวรจึงทรงยกกองทัพกลับกรุงศรีอยุธยา
ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) พระองค์ทรงยกกองทัพไปตีเชียงใหม่อีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 1987 ทรงตั้งทัพหลวงที่ตำบลปะทายเขษม ครั้งนี้ได้หัวเมืองชายแดนของเชียงใหม่กับเชลยอีก 120,000 คน จึงยกทัพหลวงกลับพระนคร แต่ศึกครั้งนี้ไม่ปรากฏในหลักฐานฝ่ายล้านนา ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ กล่าวเพียงแค่เสด็จไปปราบพรรค ตั้งทัพหลวงที่ตำบลปะทายเขษม ได้เชลย 120,000 คน เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงเมืองเชียงใหม่
จากข้อมูลอื่นใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีกหมายเลข 223,2/ก.125 กล่าวว่า เจ้าอยาด บุตรพระรามเจ้า (พระรามาธิบดี (คำขัด)) ที่ถูกส่งไปอยู่จัตุรมุข (พนมเปญ) นั้น ได้ก่อกบฏต่อพระอินทราชา ชักชวนชาวเขมรให้แข็งเมืองขึ้นจนใหญ่โตเป็นมหาพรรค พระอินทราชายกทัพไปตีเจ้าอยาดแตกพ่าย จับเจ้าอยาดส่งไปกรุงศรีอยุธยา แต่ขุนนครไชยกลับแอบปล่อยตัวให้เจ้าอยาดหนีไป เจ้าอยาดเลยระดมกองทัพมหาพรรคชาวเขมรขึ้นใหม่ ในขณะนั้นพระอินทราชาเกิดประชวรสวรรคต เจ้าสามพระยาจึงส่งเจ้าพระยาแพรก ราชบุตรอีกองค์ไปครองพระนครธม และยกทัพใหญ่เข้ามายังกัมพูชาเพื่อปราบพรรคในปี พ.ศ. 1987 จึงน่าจะเป็นเหตุการณ์นี้มากกว่าสงครามกับล้านนา และเมื่อพิจารณาจากชื่อสถานที่ตั้งทัพคือปะทายเขษม คำว่าปะทายน่าจะเพี้ยนมาจากภาษาเขมรคือ บันทาย (បន្ទាយ) ซึ่งมักพบเป็นชื่อสถานที่หรือชื่อเมืองในกัมพูชา
พระราชกรณียกิจ
[แก้]ด้านการพระศาสนา
[แก้]เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดให้สถาปนาเจดีย์ใหญ่ สองพระองค์ ไว้ตรงบริเวณที่เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาชนช้างสู้รบกันถึงสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ ณ ตำบลป่าถ่าน พร้อมกับได้โปรดให้สถาปนาวัดราชบูรณะ ประกอบด้วยพระธาตุ และพระวิหาร โดยสร้างไว้ ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงศพเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาและสร้างพระปรางค์ใหญ่ขึ้นเพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลแด่สมเด็จพระอินทราชา พระราชบิดาในวาระนั้นด้วย
พ.ศ. 1969 สมเด็จพระบรมราชาธิราชได้ทรงสร้างวัดมเหยงคณ์
ด้านการปกครอง
[แก้]ทรงตรากฎหมายลักษณะอาญาศึก (อยู่ในลักษณะกบฏศึก) ขึ้น
การรวมสุโขทัยกับอยุธยา
[แก้]พระเจ้าติโลกราชเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในการสงคราม ได้พยายามที่จะขยายอาณาเขตของเมืองเชียงใหม่ลงมาทางใต้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชทรงเห็นว่าหากปล่อยให้เชื้อสายราชวงศ์พระร่วง ปกครองสุโขทัยในฐานะเมืองประเทศราชอยู่เช่นนั้นแล้ว จะทำให้ผู้คนในหัวเมืองพากันไปเข้ากับล้านนา หรือไม่ก็ถูกล้านนาลงมารุกราน ด้วยสุโขทัยนั้นอ่อนแอลงไม่เข้มแข็งพอ ที่จะดูแลหัวเมืองต่าง ๆ นั้นได้
เพื่อให้หัวเมืองฝ่ายเหนือหรืออาณาจักรสุโขทัยในการดูแลของเมืองพิษณุโลก อยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยาโดยสมบูรณ์ ดังนั้นใน พ.ศ. 1981 เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 4 ได้สวรรคตลง สมเด็จพระบรมราชาธิราชจึงทรงให้รวบรวมหัวเมืองเหนือที่เคยแยกการปกครองเป็นสองเขตนั้น รวมเป็นเขตเดียวกัน แล้วแต่งตั้งพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระราชเทวี (ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระมหาธรรมราชาที่ 2) เป็นสมเด็จพระราเมศวรเจ้า ให้ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเพื่อกำกับดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมด ทำให้ราชวงศ์พระร่วงหมดอำนาจในการปกครองสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยจึงค่อย ๆ ถูกรวมกับกรุงศรีอยุธยา
พระราชสันตติวงศ์
[แก้]พระองค์มีพระราชโอรส 3 พระองค์ ได้แก่
- พระนครอินทร์ โปรดให้ไปครองเมืองนครหลวงได้ 12 ปี จนกระทั่งประชวรหนักจนสวรรคตที่กัมพูชา
- เจ้าพญาแพรก โปรดให้ไปครองเมืองนครหลวง ต่อจากพระนครอินทร์ ได้ 1 ปีแต่ต่อมาถูกพระบรมราชา (เจ้าพระยาญาติ) ส่งคนมาลอบปลงพระชนม์และชิงเมืองพระนครหลวงคืน
- สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ประสูติแต่พระราชเทวีที่เป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งกรุงสุโขทัยทรงสถาปนาให้ครองเมืองพิษณุโลกปกครองหัวเมืองเหนือ 7 แห่งแทนที่ สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) ที่เสด็จสวรรคตในปี 1981
พระองค์มีพระธิดา 1 พระองค์
- พระอินทมิตราหรือนางเกสร เดิมเป็นมเหสีของเจ้าพญาแพรก ต่อมาได้เป็นมเหสีฝ่ายซ้ายของพระบรมราชา (เจ้าพญาญาติ) พงศาวดารเขมรฉบับนักองค์เองกล่าวว่า พระอินทมิตราเป็นน้องร่วมบิดากับเจ้าพญาแพรก
พงศาวลี
[แก้]พงศาวลีของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
[แก้]เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 ปกรณ์ ทรงม่วง. 2539. ปริญญานิพนธ์ เรื่อง การวิเคราะห์พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- ↑ "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ", วิกิพีเดีย, 2023-02-20, สืบค้นเมื่อ 2024-11-26
บรรณานุกรม
[แก้]- ตรงใจ หุตางกูร. การปรับแก้เทียบศักราชและอธิบายความพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร, 2561. 200 หน้า. ISBN 978-616-7154-73-2
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554. 264 หน้า. ISBN 978-616-7308-25-8
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9
ดูเพิ่ม
[แก้]ก่อนหน้า | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระนครินทราธิราช (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) (พ.ศ. 1938 - พ.ศ. 1959) |
พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) (พ.ศ. 1959 - พ.ศ. 1994) |
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) (พ.ศ. 1994 - พ.ศ. 2032) |