สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลในฤดูกาล 2003–04
ฤดูกาล 2003–04 | |||
---|---|---|---|
ประธานสโมสร | ปีเตอร์ ฮิล-วูด | ||
ผู้จัดการทีม | อาร์แซน แวงแกร์ | ||
สนาม | ไฮบรี | ||
พรีเมียร์ลีก | อันดับที่ 1 | ||
เอฟเอคัพ | รอบรองชนะเลิศ | ||
ลีกคัพ | รอบรองชนะเลิศ | ||
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ | รองชนะเลิศ | ||
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก | รอบก่อนรองชนะเลิศ | ||
ผู้ทำประตูสูงสุด | ลีก: ตีแยรี อ็องรี (30) ทั้งหมด: ตีแยรี อ็องรี (39) | ||
ผู้เข้าชมในบ้านสูงสุด | 38,184 คน พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (28 มีนาคม 2004)[1] | ||
ผู้เข้าชมในบ้านต่ำสุด | 27,451 คน พบกับรอเทอรัมยูไนเต็ด (28 ตุลาคม 2003)[1] | ||
ผู้เข้าชมในบ้านเฉลี่ย | 38,078 คน[2] | ||
| |||
ฤดูกาล 2003–04 เป็นฤดูกาลที่ 109 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2003 และสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 2004 ประกอบด้วยนัดแข่งขันตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม สโมสรฯ สิ้นสุดฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกโดยเป็นแชมป์ไร้พ่าย (สถิติชนะ 26 นัด และเสมอ 12 นัด) ส่วนในฟุตบอลชิงถ้วย สโมสรฯ ทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยตกรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพและลีกคัพ โดยพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและมิดเดิลส์เบรอตามลำดับ และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แพ้ต่อเชลซี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ช่วงต้นฤดูกาล อาร์เซนอลซื้อ-ขายนักเตะค่อนข้างน้อย เนื่องจากต้องการเก็บงบประมาณเพื่อโครงการสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ นักเตะคนสำคัญที่ย้ายเข้ามา อาทิ ผู้รักษาประตู เย็นส์ เลมัน (ค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์) ต่อมามีการซื้อกองหน้า โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส ในช่วงซื้อขายฤดูหนาว ส่วนนักเตะเดิมที่มีอยู่ สโมสรฯ สามารถเก็บรักษาไว้ได้ และเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับกัปตันทีม ปาทริก วีเยรา และกองกลาง รอแบร์ ปีแร็ส สำเร็จ เนื่องจากสมาชิกนิ่ง จึงมีการมองว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและเชลซี ซึ่งเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ซื้อไป
อาร์เซนอลเริ่มต้นฤดูกาลอย่างดี ได้อยู่หัวตารางตั้งแต่สี่นัดแรก แต่นัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนกันยายนสร้างเรื่องไม่ดีระหว่างสองสโมสร ผู้เล่นของอาร์เซนอลบางคนถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษปรับเงินจากเหตุทะเลาะวิวาทหมู่หลังจบการแข่งขัน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน อาร์เซนอลชนะดีนาโมคียิวด้วยประตูเดียว และต่อมามีผลงานน่าประทับใจด้วยการบุกไปยิง 5 ประตูต่ออินเตอร์มิลานที่ซานซีโร ถือเป็นการเริ่มต้นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ดี ต่อมาในช่วงปลายปี สโมสรสามารถเก็บชัยได้ถึง 9 นัดติดต่อกัน ทำให้ตำแหน่งจ่าฝูงมั่นคงขึ้น แต่ในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน สโมสรฯ ตกรอบทั้งเอฟเอคัพและแชมเปียนส์ลีก แต่ในปลายเดือนเดียวกัน สโมสรฯ ก็สามารถรับประกันแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากที่เสมอ 2–2 กับคู่ปรับท้องถิ่นทอตนัมฮอตสเปอร์
มีผู้เล่น 34 คนลงเล่นให้กับสโมสรฯ ในการแข่งขัน 5 รายการ และมีผู้ทำประตู 15 คน โดยผู้ทำประตูสูงสุดเป็นปีที่สามติดต่อกันคือ ตีแยรี อ็องรี ยิงได้ 39 ประตูใน 51 เกม ทั้งยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอจากคะแนนของเพื่อนร่วมอาชีพและรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลจากผู้สื่อข่าวฟุตบอล แม้ว่าอาร์เซนอลจะไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลชิงถ้วย แต่นักวิจารณ์หลายคนก็ถือว่าความสำเร็จในลีกเป็นความสำเร็จแล้ว ทีมได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิล" เหมือนกับเพรสตันนอร์ทเอนด์เคยทำได้ในสมัยฤดูกาลประเดิมของฟุตบอลลีก และหลังจากจบฤดูกาล สโมสรฯ ได้รับถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกสีทองเมื่อจบฤดูกาล และทีมยังไม่แพ้ทีมใดเป็นจำนวน 49 นัดเป็นสถิติใหม่ ในปี 2012 ทีมอาร์เซนอลชุดฤดูกาล 2003–04 ชนะรางวัล "ทีมยอดเยี่ยม" จากรางวัลพรีเมียร์ลีก 20 ฤดูกาล
ภูมิหลัง
[แก้]อาร์เซนอลจบฤดูกาลที่แล้วด้วยอันดับรองชนะเลิศในพรีเมียร์ลีก หลังถูกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำคะแนนแซงในช่วงสิบสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล[3] อย่างไรก็ตาม สโมสรฯ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพ โดยชนะเซาแทมป์ตัน 1–0[4] และผลจากการเริ่มต้นฤดูกาล 2002–03 ที่ดีนั้น ผู้จัดการทีม อาร์แซน แวงแกร์ บอกเป็นนัยว่าทีมของเขาอาจไม่แพ้ทุกการแข่งขันของฤดูกาล "ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับที่เอซี มิลานเคยทำได้ แต่ผมมองไม่ออกเลยว่าทำไมแค่พูดถึงก็น่าตกใจหนักหนา คุณคิดว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรือเชลซีไม่คิดฝันอย่างนี้บ้างหรือ พวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาเพียงไม่พูดเพราะกลัวคนมองว่าน่าตลกขบขัน แต่ไม่มีใครขำขันกับงานแบบนี้หรอก เพราะเรารู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้"[nb 1][6] ทีมของเขาพ่ายต่อเอฟเวอร์ตันเพียงหนึ่งเดือนหลังประกาศของแวงแกร์ โดยนักเตะดาวรุ่งอย่างเวย์น รูนีย์ เป็นผู้ทำประตูชัย หยุดสถิติไร้พ่าย 30 นัดของอาร์เซนอล[7] ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2003 อาร์เซนอลเป็นจ่าฝูง มีแต้มเหนือกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ 5 แต้ม แต่เนื่องจากการบาดเจ็บของผู้เล่นคนสำคัญ รวมทั้งกัปตันทีมปาทริก วีเยรา ทำให้ทีมขาดเสถียรภาพ[8] อาร์เซนอลเสมอหลายนัดในเดือนเมษายน ประกอบกับแพ้ในบ้านต่อลีดส์ยูไนเต็ด ทำให้อาร์เซนอลหมดโอกาสรักษาแชมป์ลีก[3] แวงแกร์หักล้างความคิดเห็นจากสื่อที่กล่าวว่าเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลว แวงแกร์กล่าวว่า
แน่นอนเราต้องการแชมป์ลีก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับสโมสรคือความคงเส้นคงวา และเรามีความคงเส้นคงวาอย่างมาก เราเสียแชมป์ลีกให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งใช้เงินมากกว่า 50% ทุกปี ปีที่แล้วพวกเขาใช้เงินซื้อนักเตะ 30 ล้านปอนด์หลังจากเสียแชมป์ พวกเขาจะทำแบบนี้อีกในปีหน้า และพวกเราสร้างปาฏิหาริย์ที่ต่อกรกับพวกเขา[9]
ช่วงปิดฤดูกาล เชลซีถูกขายให้กับเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ด้วยมูลค่า 140 ล้านปอนด์ ถือเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้น[10][nb 2] แดเนียล คิง นักหนังสือพิมพ์ต้อนรับการซื้อกิจการครั้งนี้ โดยแสดงความคิดเห็นว่าสโมสรฯ จะสามารถ "ยุติการผูกขาดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด-อาร์เซนอล" ในลีกได้ดีขึ้น[12] รองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เดวิด ดีน รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และเหน็บอับราโมวิชว่า "จอดรถถังรัสเซียของเขาบนสนามหญ้าของพวกเรา แล้วก็ยิงธนบัตร 50 ปอนด์ใส่เรา"[13] กล่าวกันว่าอับราโมวิชประมูลซื้อกองหน้าอาร์เซนอล ตีแยรี อ็องรี แต่ถูกปฏิเสธทันควัน[14]
สำนักข่าว | อันดับ |
---|---|
เดอะการ์เดียน[nb 3] | 3[15] |
การ์เดียนอันลิมิตเต็ด | 1[16] |
ดิอินดิเพนเดนต์ | 3[17] |
ดิอินดิเพนเดนต์ออนซันเดย์ | 5[18] |
ดิอับเซิร์ฟเวอร์ | 1[19] |
เดอะซันเดย์ไทม์ | 3[20] |
ซันเดย์ทริบูน | 2[21] |
การซื้อขายนักเตะช่วงฤดูร้อนของอาร์เซนอลค่อนข้างเงียบ เนื่องจากงบประมาณที่จำกัดจากโครงการสนามแห่งใหม่[22][nb 4] แต่สโมสรก็สามารถรั้งนักเตะคนสำคัญ ๆ ชุดเดิมไว้ได้ และยังเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับปาทริส เอวรา และตำแหน่งปีก รอแบร์ ปีแร็สได้สำเร็จ[25] มีการซื้อตัวนักเตะเพิ่มสำคัญมีเฉพาะผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน เย็นส์ เลมัน เขาเข้ามาแทนเดวิด ซีแมน ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ซิตี[26] กองหลังชาวยูเครน ออเลก ลุชนี (Oleh Luzhny) หมดสัญญา 4 ปีกับสโมสรและย้ายไปวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์แบบไม่มีค่าตัว ในขณะที่กองหน้า เกรอัม แบร์เรตต์ ย้ายไปคอเวนทรีซิตี[27] กองหน้า ฟรานซิส เจฟเฟอส์ ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสลงเล่นชุดใหญ่ ก็ถูกปล่อยยืมตัวให้กับเอฟเวอร์ตัน สโมสรเก่าของเขา หนึ่งฤดูกาล[28] โจฟันนี ฟัน โบรงก์ฮอสต์ ย้ายไปบาร์เซโลนาในข้อตกลงคล้ายกัน โดยมองว่าอาจย้ายถาวรเมื่อจบฤดูกาล[29] สโมสรได้ผู้เล่นเยาวชนจากอะคาเดมีต่างประเทศ ได้แก่ กาแอล กลีชี จากสโมสรกาน และโยฮัน จูรูจากเอตวลการูฌ[30] ในเดือนมกราคม 2004 อาร์เซนอลเซ็นสัญญากับกองหน้าชาวสเปน โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส (José Antonio Reyes) จากเซบิยา และในเดือนเมษายนบรรลุข้อตกลงซื้อตัวตำแหน่งปีก โรบิน ฟัน แปร์ซี กับไฟเยอโนร์ด[31]
ต้นฤดูกาลแวงแกร์ให้ความความสำคัญกับการทวงแชมป์ลีกไว้ว่า "ผมรู้สึกว่าการทำดังนี้สำคัญมากในใจเรา และผมทราบว่าความกระหายที่จะลงมือแรงกล้า" และออกชื่อนิวคาสเซิลยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล รวมไปถึงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับเชลซี เป็นคู่แข่งหลักในพรีเมียร์ลีก[32][33] อดีตกองกลางอาร์เซนอล พอล เมอร์สัน ยืนยันว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็ง เพราะพวกเขามี "ผู้เล่นยอดเยี่ยม … ถ้าพวกเขามีความพร้อมคงเส้นคงวาแล้วพวกเขาจะไม่แพ้"[34] เกล็น มัวร์จาก ดิอินดิเพนเดนต์ เขียนถึงโอกาสของอาร์เซนอลว่า "พวกเขาจะเข้าใกล้แชมป์ แต่จนกว่าแวงแกร์จะให้ความเชื่อมั่นกับเยาวชน และผู้เล่นอย่างเฌเรมี อาลียาเดียร์ (Jérémie Aliadière), เจอร์เมน เพนนันต์ (Jermaine Pennant), ฟีลิป แซนเดอร็อส เล่นคุ้มค่าตอบแทน พวกเขาอาจขาดความสามารถในการรักษาหนทางชิงแชมป์"[17] กองหลัง โซล แคมป์เบลล์ เชื่อว่าผู้เล่นชุดนี้ "แข็งแกร่งพอสำหรับลีกและเอฟเอคัพ" แต่ข้องใจกับการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[35]
สีชุดเหย้าไม่เปลี่ยนจากฤดูกาลที่แล้ว เป็นชุดสีแดง แขนเสื้อ กางเกง และถุงเท้าสีขาว[36] ส่วนชุดเยือนสีใหม่ เป็นเสื้อสีเหลืองแนวย้อนยุค ปกเสื้อและกางเกงสีน้ำเงิน ชุดนี้มาจากชุดที่ใส่แข่งขันเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979[37][38]
การซื้อขายนักเตะ
[แก้]
เข้า
|
ออก
|
ยืมตัว (เข้า)
|
ยืมตัว (ออก)
|
ก่อนเปิดฤดูกาล
[แก้]เพื่อเตรียมตัวก่อนเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลได้ลงแข่งนัดกระชับมิตรในยุโรปตะวันตก นัดแรกพ่ายต่อปีเตอร์โบโรยูไนเต็ดจากเซคกันด์ดิวิชั่น โดยผู้รักษาประตู สจวต เทย์เลอร์ ถูกไล่ออกจากสนามหลังไปปะทะกับ ลี คลาร์ก ผู้เล่นปีเตอร์โบโรตัวสำรอง ในครึ่งหลัง[60] ต่อมาอาร์เซนอลเสมอกับบาร์นิต ซึ่งมียาย่า ตูเร น้องชายของโกโล ตูเร อยู่ในทีมด้วย[61] ในการสัมภาษณ์ในปี 2011 แวงแกร์กล่าวถึงผลงานของยาย่าว่า "กลาง ๆ โดยสิ้นเชิงในเวลานั้น" และสังเกตว่าความใจร้อนทำให้เขาไม่ได้เข้าอาร์เซนอล ตูเรจึงย้ายไปบาร์เซโลนาก่อนไปแมนเชสเตอร์ซิตีในปี 2010[62] ภายหลังจากการเสมอกับบาร์นิต อาร์เซนอลทัวร์ในประเทศออสเตรีย ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายฝูงชนในนัดกระชับมิตรที่ไอเซินชตัทเมื่อปีก่อนทำให้ต้องยกเลิก[63] วันนั้น แวงแกร์ไม่ได้เข้าร่วมเพราะมีอาการปวดมวนท้อง จึงให้ผู้ช่วยผู้จัดการ แพต ไรซ์ คุมทีมชั่วคราว ในนัดที่พบกับริทซิง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2003 ทีมยิงตามตีเสมอได้หลังตามอยู่สองประตู เป็นการเสมอนัดกระชัดมิตรนัดที่สองติดต่อกัน[64] ไรซ์พอใจการเล่นเกมรับของฟีลิป แซนเดอร็อส และกล่าวว่า "ยังมีอุปสรรคข้างหน้า แต่เขาก็จะดีขึ้นเมื่อได้เล่นร่วมกับมาร์ติน คีโอน และโซล แคมป์เบลล์"[64]
อาร์เซนอลชนะนัดแรกช่วงก่อนเปิดฤดูกาลต่อเอาส์ทรีอาวีน โดยแบร์คกัมป์ทำ "ผลงานส่วนตัวได้สุดยอด" โดยยิงประตูแรก แล้วส่งให้เจฟเฟอร์ทำประตูที่สอง[65] นัดสุดท้ายของทัวร์พบกับเบชิกทัช ซึ่งต้องมีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่นเนื่องจากประวัติศาสตร์ระหว่างแฟนบอลชาวอังกฤษและตุรกี[66] ในนัดนั้น อาร์เซนอลได้ประตูชัยจากแบร์คกัมป์ในครึ่งหลังลอดขาของผู้รักษาประตู ออสการ์ กอร์โดบา[67] หลังจากนั้น อาร์เซนอลเดินทางกลับอังกฤษ และแข่งขันนัดกระชับมิตรกับเซนต์ออลบันส์ซิตีและชนะ 3–1 จากนั้นชุดหลักเดินทางต่อไปยังประเทศสกอตแลนด์พบกับเซลติกในวันที่ 2 สิงหาคม 2003 ผลเสมอ 1–1 มาจากครึ่งหลัง โดยนัดนั้นวีเยรากลับมาลงเล่นอีกครั้งในรอบสามเดือนหลังเจ็บเข่า[68] แวงแกร์เปิดเผยภายหลังว่าเขาตั้งใจใช้นัดกระชับมิตรเพื่อทดลองแนวรับ[69] เขาจัดวางเซ็นเตอร์แบ็ก แคมป์เบลล์คู่กับตูเร ซึ่งในฤดูกาลก่อนส่วนใหญ่เล่นตำแหน่งกองกลาง[68] แวงแกร์พอใจการเล่นของโกโล ตูเร ในนัดพบกับเซลติก เขากล่าวว่า "เขามีคุณภาพ เดิมเขาเป็นกองหลังกลาง และเนื่องจากเราเก็บคลีนชีตได้บ้างในช่วงหลัง และเขาเล่นได้ดี ผมคิดว่าเราควรให้เขาเล่นตำแหน่งนั้นต่อ"[69] หลังจากนั้น ชุดหลักเดินทางไปประเทศเบลเยียมเพื่อลงเล่นกับเบเฟอเรินและเสียสองประตูในช่วงห้านาทีสุดท้าย ทำให้เสมอกัน 2–2 และนัดกระชับมิตรนัดสุดท้าย พวกเขาบุกไปชนะเรนเจอส์ 3–0 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2003[70]
11 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | ปีเตอร์โบโรยูไนเต็ด | 1–0 | อาร์เซนอล | ปีเตอร์โบโร |
19:30 | กรีน 29' | รายงาน | สนามกีฬา: สนามกีฬาลอนดอนโรด ผู้ชมในสนาม: 8,756 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
19 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | บาร์นิต | 0–0 | อาร์เซนอล | บาร์นิต |
15:00 | รายงาน | สนามกีฬา: สนามกีฬาอันเดอร์ฮิลล์ ผู้ชมในสนาม: 4,778 คน |
22 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | ริทซิง | 2–2 | อาร์เซนอล | ริทซิง |
19:00 | เซบัสทา 20' เอ็ล เซโนซี 25' |
รายงาน | ซีก็อง 60' ยุงแบร์ย 85' (ลูกโทษ) |
สนามกีฬา: สนามกีฬาริทซิง ผู้ชมในสนาม: 4,200 คน |
25 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เอาส์ทรีอาวีน | 0–2 | อาร์เซนอล | ชเว็ชชัท |
19:00 | รายงาน | แบร์คกัมป์ 29' เจฟเฟอส์ 44' |
สนามกีฬา: สนามกีฬาชเว็ชชัท ผู้ชมในสนาม: 4,800 คน[71] |
29 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | อาร์เซนอล | 1–0 | เบชิกทัช | สตีเรีย |
18:00 | แบร์คกัมป์ 48' | รายงาน | สนามกีฬา: บาทวัลเทิร์สดอร์ฟชตาดีอ็อน |
31 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เซนต์ออลบันส์ซิตี | 1–3 | อาร์เซนอล | เซนต์ออลบันส์ |
19:30 | มักดอนเนลล์ 44' | รายงาน | ฟ็อลทซ์ 19', 51' ฮอลส์ 60' |
สนามกีฬา: แคลเรนซ์พาร์ก ผู้ชมในสนาม: 1,500 คน ผู้ตัดสิน: แกรี เอฟวิตส์ |
2 สิงหาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เซลติก | 1–1 | อาร์เซนอล | กลาสโกว์ |
15:00 | มิลเลอร์ 57' | รายงาน | คานู 70' | สนามกีฬา: เซลติกพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 44,396 คน ผู้ตัดสิน: ดักกี แมกดอนัลด์ |
3 สิงหาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เบเฟอเริน | 2–2 | อาร์เซนอล | เบเฟอเริน |
17:00 | กาอีแปร์ 85' ยาปี ยาโป 88' |
รายงาน | Nicolau 55' โอวูซู-อาเบยี 76' |
สนามกีฬา: สนามกีฬาเฟรตีล ผู้ชมในสนาม: 2,500 คน |
5 สิงหาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เรนเจอส์ | 0–3 | อาร์เซนอล | กลาสโกว์ |
19:45 | รายงาน | เอดู 31' โลแรน 47' (ลูกโทษ) แคมป์เบลล์ 58' |
สนามกีฬา: สนามกีฬาไอบรอกซ์ ผู้ชมในสนาม: 37,000 คน ผู้ตัดสิน: เคนนี คลาร์ก |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
[แก้]การแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2003 นัดฟุตบอลอังกฤษประจำปี เป็นการแข่งขันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับอาร์เซนอลที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์ในวันที่ 10 สิงหาคม โดยเลมันลงเล่นนัดแรกให้กับอาร์เซนอล และตูเรยังคงเล่นกองหลังกลางคู่กับแคมป์เบลล์[72] ยูไนเต็ดได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 15 จากมีกาแอล ซีลแว็สทร์ แต่ไม่นานจากนั้นตีแยรี อ็องรี ก็ตีเสมอให้อาร์เซนอลจากลูกฟรีคิก[73] เจฟเฟอส์ถูกไล่ออกจากสนามจากการไปเตะฟิล เนวิล และไม่มีประตูเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ[73] ผู้รักษาประตู ทิม ฮาวเวิร์ด เซฟจุดโทษของฟัน โบรงก์ฮอสต์ และปีแร็สทำให้ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายชนะ 4–3[73] แวงแกร์พาดพิงถึงผู้ชมอาร์เซนอลที่ไปชมการแข่งขันน้อยและเสนอว่ามี "ความกระหายน้อยลงทุกที" สำหรับคอมมิวนิตีชีลด์ [74] เขาไม่มีความสุขกับช่วงก่อนเปิดลีกในวันเสาร์ที่จะมาถึง "ผมอยากมีเวลาอีกสักสองสัปดาห์ โดยเฉพาะกับผู้เล่นชาวฝรั่งเศสที่ไปเล่นคอนเฟเดอเรชันส์คัพ พวกเรายังไม่พร้อมเท่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และรู้ว่าผู้เล่นหลายคนยังไม่มีร่างกายพร้อม"[74]
พรีเมียร์ลีก
[แก้]ฤดูกาล 2003–04 ของพรีเมียร์ลีกมี 20 ทีม แต่ละทีมลงเล่น 38 นัด โดยแข่งกับทีมอื่นทุกทีมทีมละ 2 นัด ที่สนามเหย้าของแต่ละฝ่ายครั้งละนัด ถ้าชนะได้สามคะแนน เสมอได้หนึ่งคะแนน และถ้าแพ้จะไม่ได้คะแนน เมื่อจบฤดูกาล 2 ทีมแรกจะได้สิทธิแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนอันดับที่ 3 และ 4 ต้องเล่นรอบคัดเลือกก่อน[75]
มีการออกกำหนดการแข่งขันมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2003 แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีชนกับการแข่งขันอื่น การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยหรือนัดที่เลือกให้แพร่สัญญาณโทรทัศน์ โดย 5 จาก 8 นัดแรกของอาร์เซนอลมีการแร่ะสัญญาณผ่านทางช่องสกายสปอร์ต และในจำนวนนั้น 3 นัดจะอยู่ในรายการหลักของเครือข่ายในรายการ ซูเปอร์ซันเดย์[76]
สิงหาคม–ตุลาคม
[แก้]นัดเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลลงเล่นในบ้านพบกับเอฟเวอร์ตันที่ไฮบรี แคมป์เบลล์ถูกไล่ออกในนาทีที่ 25 จากการทำฟาวล์ที่กีดขวางการเล่น (professional foul) ใส่ทอมัส กราเวอเซิน กองกลางเอฟเวอร์ตัน แม้ว่าอาร์เซนอลจะเสียเปรียบจำนวนผู้เล่น แต่ก็นำสองประตูเมื่อเวลา 58 นาที ก่อนที่ตอมัช ราจินสกี จะยิงประตูให้ทีมเยือน[77] นัดต่อมาหลังจากนัดแรกหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาไปเยือนมิดเดิลส์เบรอที่ริเวอร์ไซด์สเตเดียม จบด้วยชัย 4–0 โดยได้ 3 ประตูจากอ็องรี, ชิลเบร์ตู ซิลวา และซีลแว็ง วีลตอร์ในครึ่งแรก[78] สามวันถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา โดยแคมป์เบลล์และอ็องรีทำประตูได้คนละประตู[79] อาร์เซนอลยังรักษาช่วงต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2003 เมื่อแคมป์เบลล์ถูกพักการเล่น มาร์ติน คีโอนเข้ามาเล่นตัวจริงคู่กับตูเรแทน[80] แม้ว่าอาร์เซนอลทำเข้าประตูตัวเองโดยโลแรนในครึ่งแรก และเล่น "45 นาทียอดแย่ที่แฟนคนใดจะจำได้" ตามคำบรรยายของนักหนังสือพิมพ์ แมต ดิกคินสัน แต่ในครึ่งหลังวีลตอร์ตามตีเสมอในครึ่งหลัง ก่อนเฟรดริก ยุงแบร์ย ใช้ข้อผิดพลาดของซีแมนทำประตูชัย[80] จบ 4 นัดแรก อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่สามแต้ม[81]
เนื่องจากกำหนดการแข่งขันทีมชาติ ทำให้สโมสรได้พักสองสัปดาห์ พวกเขากลับมาลงเล่นในบ้านพบกับพอร์ตสมัทที่เพิ่งเลื่อนชั้น โดยกองหน้า เท็ดดี เชริงงัม ยิงให้ทีมเยือนขึ้นนำก่อน ก่อนที่อาร์เซนอลได้จุดโทษเมื่อปีแร็สถูกเดยัน สเตฟานอวิช กรรมการตัดสินว่าทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ[82] อ็องรียิงประตูเข้า และแม้การเล่นของทีมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในครึ่งหลัง แต่เกมก็จบด้วยผลเสมอ[82] ทำให้ผู้จัดการทีมพอร์ตสมัท แฮร์รี เรดแนปป์ บ่นถึงการเสียจุดโทษและรู้สึกว่าปีแร็ส "... กำลังจะได้ใบเหลือง [จากการพุ่งล้ม]"[82] แต่ปีแร็สปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าวที่ว่าเขาตบตากรรมการ "ผมไม่ได้พุ่งล้มและผมไม่ได้โกง ไม่ใช่วิธีการเล่นของผม"[83]
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลไปพบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โดยแวงแกร์ให้ปีแร็สและวีลตอร์เป็นสำรอง และให้เรย์ พาร์เลอร์ กับยุงแบร์ยลงเล่นแทน ส่วนแคมป์เบลล์ไม่ได้เดินทางไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกครอบครัวเสียชีวิต[84] ในนาทีที่ 80 วีเยราถูกไล่ออกจากสนามจากการได้ใบเหลืองที่สอง โดยเขาพยายามเตะกองหน้า รืด ฟัน นิสเติลโรย ซึ่งผู้ตัดสิน สตีฟ เบนนิตต์ เห็นการกระทำดังกล่าว[84] ขณะผลประตู 0–0 ยูไนเต็ดได้จุดโทษในนาทีที่ 90 แต่ลูกยิงของฟัน นิสเติลโรย ไปชนคาน กลับมาเล่นต่อ[84] หลังจบเกม ผู้เล่นอาร์เซนอลหลายคนไปล้อมฟัน นิสเติลโรย ซึ่งบานปลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองทีม[84] ผู้เล่นของอาร์เซนอล 6 คน (แอชลีย์ โคล, โลแรน, คีโอน, พาร์เลอร์, เลมัน, วีเยรา) ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ตั้งข้อหาประพฤติไม่เหมาะสม และสโมสรถูกปรับเงิน 175,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นค่าปรับมากที่สุดที่สั่งลงโทษสโมสรใด ๆ[85] โลแรนถูกแบน 4 นัด ในขณะที่วีเยรากับพาร์เลอร์ถูกแบนนัดเดียว[86]
ในนัดถัดมา อาร์เซนอลชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3–2 โดยได้ประตูชัยจากจุดโทษของอ็องรี[87] วีเยราได้รับบาดเจ็บระหว่างเกม ทำให้ลงเล่นไม่ได้สองเดือน[88] หลังจากนั้นอาร์เซนอลบุกไปเยือนลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม แต่วีเยราไม่ได้ลงเล่น ทำให้พาร์เลอร์รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมแทน ส่วนแคมป์เบลล์ลงเล่นตำแหน่งกองหลังแทนคีโอน[89][90] อาลียาเดียร์เล่นกองหน้าคู่กับอ็องรี[90] อาร์เซนอลตามหลังในนาทีที่ 11 แต่ก็ตีเสมอได้เมื่อซามี ฮือปิแอ เปลี่ยนทิศทางลูกโหม่งของเอดูโดยไม่ได้ตั้งใจจากฟรีคิกของอาร์เซนอล[91] ปีแร็สยิงประตูชัยในครึ่งหลัง ทำให้ทีมยังเป็นจ่าฝูงในตารางลีกอยู่[91][92] ผู้สื่อข่าวของเดอะไทมส์ โอลิเวอร์ เคย์ บรรยายการกลับมาชนะของอาร์เซนอลว่า "มุ่งมั่นมาก" และสังเกตข้อแตกต่างของทีมเทียบกับฤดูกาลก่อนว่า[91]
... เหตุการณ์ล่าสุดสอนพวกเขาให้จัดสาระก่อนลีลา อาจดูไม่ดึงดูดสำหรับผู้เน้นความถูกต้อง แต่ไม่มีข้อสงสัยว่าแนวทางโผงผางแบบใหม่ของพวกเขาทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น หนึ่งปีก่อนพวกเขากำลังผลิตฟุตบอลที่มีความงามที่พบเห็นได้น้อยครั้งในประเทศนี้หรือที่อื่น ฤดูกาลนี้ ด้วยความคล่องที่พิสูจน์แล้วว่าลื่นไหล พวกเขากำลังทำผลงานโดยมีประสิทธิภาพเทียบได้กับทิวทอนิก[91]
นัดถัดมา อาร์เซนอลสามารถชนะเชลซีได้ในนัดที่สูสี จากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู การ์โล กูดีชีนี ในครึ่งหลัง ทำให้อ็องรียิงประตูที่ 7 จาก 9 นัดแรก[93] จนถึงขณะนั้นทั้งสองทีมเป็นจ่าฝูงของตารางและไม่แพ้ทีมใด[94] แวงแกร์ตั้งข้อสังเกตหลังจบการแข่งขันว่า ทีมของเชลซีที่ใหญ่กว่าจะมีประโยชน์เมื่อฤดูกาลผ่านไป แต่เน้นย้ำว่าทีมเล็กของเขามีเสถียรภาพ "เราอยู่ด้วยกันหลายปีและมีความอุ่นใจที่ทราบว่าเราเคยคว้าแชมป์มาก่อน เมื่อเราถูกท้าทาย เรายิ่งสามัคคีกันมากขึ้น"[95] ปลายเดือนตุลาคม อาร์เซนอลเสมอชาร์ลตันแอธเลติก 1–1[96] ผ่านไป 10 นัด อาร์เซนอลเก็บได้ 24 แต้ม กลับเป็นจ่าฝูงอีกครั้งหลังจากเสียอันดับให้กับเชลซีชั่วคราว[97]
พฤศจิกายน–ธันวาคม
[แก้]อาร์เซนอลเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยการเยือนลีดส์ยูไนเต็ด ณ เอลแลนด์โรด ไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นจากเกมที่พบชาร์ลตัน โดยผู้เล่นของลีดส์อย่างเพนนันต์ลงเล่นพบกับสโมสรแม่ของเขาหลังแวงแกร์อนุญาต[98] อาร์เซนอลชนะ 4–1 เหมือนกับนัดที่พบกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว[99] ในรายงานการแข่งขันของ นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ นักข่าว มาร์ติน ซามูเอล ยกให้อ็องรีเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด และยืนยันว่าอาร์เซนอลคือทีมที่ลุ้นแชมป์เต็มตัว[100] นัดถัดมา อาร์เซนอลแข่งดาร์บีลอนดอนเหนือ พบกับทอตนัมฮอตสเปอร์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2003 โดยทอตนัมไม่ชนะอาร์เซนอลมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1999 และชัยของทอตนัมครั้งล่าสุดที่สนามไฮบรีเกิดเมื่อทศวรรษก่อน[101][102] นัดนี้ คานูถูกจัดเป็นตัวจริงคู่กับอ็องรี เนื่องจากวีลตอร์มีกล้ามเนื้อน่องล้า[103] อาร์เซนอลเสียประตูเร็วหลังดาร์เรน แอนเดอร์ตันใช้โอกาสที่กองหลังสับสน แต่สามารถยิงสองประตูในช่วงท้ายเกม โดย ดิอับเซิร์ฟเวอร์ อธิบายว่าเป็นการเล่นที่ "ติดขัดอีกครั้ง"[102] ผลทำให้อาร์เซนอลนำอันดับที่สองอยู่ 4 แต้มชั่วคราวก่อนเชลซีชนะนิวคาสเซิลในบ้านในหนึ่งวันต่อมา ทำให้แต้มห่างกันเหลือหนึ่งแต้ม[104]
อาร์เซนอลไม่ได้ลงเล่นเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากช่วงพักฟุตบอลระหว่างประเทศ ก่อนบุกไปเยือนเบอร์มิงแฮมซิตี เนื่องจากการพักการแข่งขันมีผลและมีผู้เล่นตัวจริงได้รับบาดเจ็บหลายคน ทำให้แวงแกร์ต้องปรับเปลี่ยนผู้เล่น โดยกลีชีได้ลงเล่นตัวจริงนัดแรก ส่วนปัสกาล ซีก็อง ลงเล่นเป็นนัดแรกของฤดูกาล โดยลงตำแหน่งคู่กับแคมป์เบลล์[105] อาร์เซนอลยิงสามประตูจนได้รับชัยชนะเป็นนัดที่สามติดต่อกันของเดือน[106] จนถึงขณะนั้นอาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 13 นัดติดต่อกัน นับเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก[106] นัดถัดมา ทีมเสมอฟูลัม 0–0 เป็นทีมแรกที่อาร์เซนอลยิงประตูในบ้านไม่ได้ครั้งแรกใน 46 นัดที่ไฮบรี[107] เดวิด เลซีย์ ผู้สื่อข่าวของ เดอะการ์เดียน สรุปการเล่นของอาร์เซนอลในวันนั้นว่า "เข้มแข็งในส่วนเครื่องสาย แต่ขาดเครื่องเคาะจังหวะ" และตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขากลับไปมีรูปแบบทำประตูสมบูรณ์แบบแทนที่จะเล่นแบบมีประสิทธิภาพ[108] ในสัปดาห์เดียวกัน เชลซีชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1–0 ทำให้อาร์เซนอลตกลงมาอยู่อันดับที่ 2 ในวันสุดท้ายของเดือน[109]
ในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม อาร์เซนอลบุกไปเยือนเลสเตอร์ซิตีและพลาดอีก 2 แต้ม ในนัดนั้นอ็องรีไม่ได้ลงเล่นเช่นเดียวกับวีเยรากัปตันทีม อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนเมื่อเวลา 60 นาทีจากลูกโหม่งของชิลเบร์ตู แต่ถูกตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ[110] นัดนั้นโคลได้รับใบแดงจากการพุ่งเสียบเบน แทตเชอร์โดยใช้สองเท้า ทำให้ลงเล่นไม่ได้อีก 3 นัด[111] แวงแกร์กล่าวหลังจากนั้นว่า "ดูเหมือนว่าแอชลีย์ต้องการพุ่งเอาบอล แต่เมื่อมันเป็นการเข้าแย่งสองเท้าที่สูงเกินไป จึงเป็นใบแดงและเราต้องยอมรับ"[111] อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ 1–0 จากประตูของแบร์คกัมป์ เชลซีที่แพ้เมื่อวันก่อนก็ทำให้อาร์เซนอลกลับไปอยู่หัวตารางอีกครั้ง นำหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อันดับที่สองอยู่หนึ่งแต้ม[112]
วันที่ 20 ธันวาคม 2003 อาร์เซนอลบุกไปเยือนโบลตันวอนเดอเรอส์ที่สนามกีฬารีบ็อก ซึ่งเคยมีส่วนทำให้อาร์เซนอลพลาดแชมป์เมื่อแปดเดือนที่แล้ว[113] แม้ว่าทีมจะเก็บได้เพียงหนึ่งแต้ม แต่แวงแกร์ยังมองว่ามีประโยชน์ "หากโบลตันยังคงเล่นแบบนั้น เราจะมองย้อนกลับมาดูผลนี้และรู้สึกยินดีมาก ดีมากเท่ากับทีมที่เราเล่น"[113] ต่อมาในวันเปิดกล่องของขวัญ อ็องรียิงสองประตูช่วยให้ทีมชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3–0[114] สามวันถัดมา ทีมพบกับเซาแทมป์ตัน ประตูชัยมาจากครึ่งแรก คือ ลูกส่งผ่านของอ็องรีเข้าเท้าของปีเรส "ที่สไลด์บอลลอดใต้อันต์ตี นิเอมี"[115] ผลชนะทำให้อาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดมาครึ่งฤดูกาลแล้ว และ เดอะไทมส์ เขียนว่าทีมเริ่ม "สร้างรัศมีไร้พ่าย"[115] อาร์เซนอลจบปีปฏิทินด้วยอันดับที่สอง มี 45 แต้มจาก 19 นัด ตามหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงหนึ่งแต้ม และนำเชลซีอยู่สามแต้ม[116]
มกราคม–กุมภาพันธ์
[แก้]วันที่ 7 มกราคม 2004 อาร์เซนอลพบเอฟเวอร์ตันที่กูดิสันพาร์ก ซึ่งแวงแกร์ได้สับเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่ง ซีก็องถูกเรียกกลับไปเล่นกองหลังกลาง หมายความว่าตูเรถูกเลื่อนเป็นปีกขวาและโลแรนถูกส่งเป็นตัวสำรอง และพาร์เลอร์ลงเป็นตัวจริงแทนชิลเบร์ตูในกองกลาง[117] คานูยิงประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำก่อนในครึ่งแรก แต่ราจินสกีทำประตู "ตีเสมอช่วงท้ายเกมอย่างสมควรอย่างยิ่ง" ให้กับเอฟเวอร์ตันในช่วง 15 นาทีสุดท้าย[118] คืนเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะโบลตันวอนเดอเรอส์ 2–1 ทำให้จ่าฝูงนำห่าง 3 แต้ม[119] สามวันถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบมิดเดิลส์เบรอ และทำผลงานที่แวงแกร์อธิบายว่าเป็นนัดยอดเยี่ยมนัดหนึ่งในฤดูกาล เขากล่าวว่า "เราเล่นเกมตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้"[120][121] โดยนัดนั้นพวกเขาชนะ 4–1 กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง แม้เป็นการจัดเรียงตามตัวอักษรเท่านั้น เนื่องจากแต้ม ผลต่างประตูได้เสียและประตูได้เท่ากับสถิติของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[120] สัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา 2–0 โดยอ็องรีเป็นผู้ทำประตูทั้งสองลูก[122] อย่างไรก็ตาม เกิดกรณีพิพาทในประตูแรกของอ็องรี ซึ่งได้จากลูกฟรีคิกที่ตั้งเร็วซึ่งทำให้ผู้เล่นของวิลลาสับสนและทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อผู้ตัดสิน มาร์ก แฮลซีย์ ซึ่งส่งสัญญาณว่าอนุญาตให้เล่น[122] ผ่านไป 22 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับที่ 1 นำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่สองแต้ม[123]
บันทึกของริก บรอดเบนต์ว่าด้วยนัดที่อาร์เซนอลชนะวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในเดอะไทม์ 9 กุมภาพันธ์ 2004[124]
อาร์เซนอลยังรักษาสถิติไร้พ่ายตลอดเดือนกุมภาพันธ์ โดยชนะทั้ง 5 นัด เริ่มจากเกมเหย้าที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยเรเยสลงเล่นนัดแรกให้กับสโมสรโดยลงสนามเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ส่วนประตูชัย "ดังสนั่นกะอย่างสวยงาม 25 หลา" ได้จากอ็องรี[125] ต่อมา ในนัดที่ 24 ของลีก อาร์เซนอลทำสถิติชนะเกมเยือนพบกับวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 ทำสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลของสโมสรนับแต่ทีมของจอร์จ เกรอัมในปี 1990–91[126] แวงแกร์กล่าวถึงสถิติไร้พ่ายในการประชุมผู้สื่อข่าวหลังนัด ว่า "คุณต้องการโชคเพียงเล็กน้อยและคุณภาพจิตใจที่ดี"[126] สามวันถัดมา อ็องรีทำสถิติส่วนตัวยิงประตูที่ 100 และ 101 ในพรีเมียร์ลีกของเขา นัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน[127] ผลชนะในนัดนั้นทำให้อาร์เซนอลนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอันดับสองอยู่ 5 แต้ม โดยแข่งมากกว่า 1 นัด[128]
อ็องรีกลับมาลงเล่นนัดวันเสาร์ช่วงมื้อกลางวันที่พบกับเชลซี เขาไม่ได้ลงในรอบที่ห้าเอฟเอคัพพบกับเชลซีเช่นกัน[129] อาร์เซนอลเสียประตูก่อนใน 27 วินาทีแรก แต่ก็กลับมาตีเสมอได้ในนาทีที่ 15 แบร์คกัมป์ "บรรจงส่งลูก" ให้กับวีเยราทางฝั่งซ้าย และยิงบอลผ่านผู้รักษาประตู นีล ซิลลิวัน[130] และได้ประตูชัยใน 6 นาทีถัดมา ซัลลิเวนกะลูกเตะมุมของอ็องรีผิด ซึ่งทำให้เอดูยิงเข้าตาข่าย[130] ตารางคะแนนตอนนี้ อาร์เซนอลนำห่าง 7 แต้ม ซึ่งแวงแกร์ว่าเป็น "ตำแหน่งที่ดีกว่าทีมใดเคยถือฤดูกาลที่แล้ว"[130] เดอะไทม์ เน้นการย้ายตูเรไปเล่นกองหลังว่า
ประกอบกับที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่มีริโอ เฟอร์ดินานด์[nb 5] การแจ้งเกิดของโกโล ตูเรในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟผู้มากความสามารถ อาจหมายถึง ทำให้มีคะแนนแกว่งเป็นสิบแต้มในพรีเมียร์ชิป หากตูเรและแคมป์เบลล์ยังฟิตอยู่เรื่อย ๆ อาร์เซนอลน่าจะยิ่งกว่าจะแค่เพียงรักษาผลต่าง 7 แต้ม ส่วนกาแอล กลีชี พวกเขาก็คาดไว้ว่าจะมาแทนแอชลีย์ โคล[133]
นัดสุดท้ายของเดือน อาร์เซนอลพบชาร์ลตันที่ไฮบรี โดยอาร์เซนอลทำได้สองประตูในสี่นาทีแรก แต่ในช่วงท้ายเกม "ยังรักษาตำแหน่งผู้นำ เหมือนลูกแมวกระวนกระวาย"[134] ผ่านไป 27 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง สะสมได้ 67 แต้ม นำห่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 9 แต้ม[135]
มีนาคม–พฤษภาคม
[แก้]อาร์เซนอลยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีในเดือนมีนาคม โดยอ็องรีและปีแร็สยิงคนละประตูในนัดที่บุกชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ เป็นการเล่นที่หมั่นเพียรจากจ่าฝูงสมคำกล่าวว่า "... สิ่งเตือนจำของภาษิตโบราณว่าทีมชนะแชมเปียนชิปคือทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดเมื่อพวกเขาไม่ได้เล่นดี"[136] นัดถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยในนัดนั้น แวงแกร์ได้จัดตัวแบร์คกัมป์ลงแทนเรเยสอยู่หน้า[137] ภาวะลมแรงทำให้เลื่อนการแข่งขัน 15 นาที ปีแร็สยิงประตูขึ้นนำก่อนในเวลาประมาณ 15 นาที[138] ต่อมานาทีที่ 24 ผลขยับเป็น 2–0 แม้ว่าโบลตันจะทำผลงานดีขึ้นหลังทำประตูได้ก่อนหมดครึ่งแรกเล็กน้อย แต่ผลสุดท้ายอาร์เซนอลชนะ 9 ติดต่อกัน และรักษาแต้มห่างอันดับที่สอง 9 แต้ม[138]
วันที่ 28 มีนาคม 2004 การพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในบ้านถือเป็นบททดสอบที่ดุดันของอาร์เซนอล เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองทีมหลังเหตุรุนแรงที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[139] กลีชีได้เป็นผู้เล่นตัวจริงแทนโคลซึ่งบาดเจ็บในเกมแชมเปียนลีกพบกับเชลซีเมื่อกลางสัปดาห์ ส่วนเรเยสได้เป็นตัวจริงแทนแบร์คกัมป์[140] อ็องรียิงประตูขึ้นนำให้อาร์เซนอลด้วยลูกยิงระยะไกลที่โค้งผ่านผู้รักษาประตู รอย แคร์รอลล์[141] แต่ในห้านาทีสุดท้าย ลูย ซาอา หลบหลีกกองหลังของอาร์เซนอล และทำประตูตีเสมอให้ทีมเยือน[141] อาร์เซนอลเกือบได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แต่ผู้รักษาประตูรับลูกยิงของโลแรนได้[141] ผลเสมอไม่ดีสำหรับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งยอมรับโอกาสของทีมเขาภายหลังว่า "ตอนนี้พวกเขา (อาร์เซนอล) กำลังจะเป็นแชมป์ลีก ผมแน่ใจเลย พวกเขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ... ทีมที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นควรชนะลีกจริง ๆ"[142] หลังจบนัดนั้น "อาร์เซนอลสร้างสถิติลีกใหม่ตลอดกาลของลีกไม่แพ้ทีมใด 30 นัดติดต่อกันตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ซึ่งผู้ถือสถิติเดิม ได้แก่ ลีดส์และลิเวอร์พูล[nb 6][147] จบเดือนมีนาคม พวกเขาอยู่อันดับที่หนึ่งของตาราง มีแต้มนำห่างเชลซี 7 แต้มในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด[148]
หลังตกรอบแชมป์ถ้วยสองรายการห่างกันหนึ่งสัปดาห์ อาร์เซนอลเปิดบ้านรับลิเวอร์พูลในวันศุกร์ประเสริฐ นัดนั้น ฮูเปีย้ฟยิงประตูขึ้นนำให้ทีมเยือนก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรก ต่อมาอ็องรีก็ยิงประตูตีเสมอหลัง 30 นาทีเล็กน้อย แต่ลิเวอร์พูลก็ขึ้นนำอีกครั้งก่อนหมดครึ่งแรก[149] อาร์เซนอลยิงสองประตูพลิกขึ้นนำในเวลา 1 นาที ประตูที่สองของอ็องรีเป็นการหยุดดีทมาร์ ฮามัน ในกลางสนาม เลี้ยงผ่านกองหลัง เจมี แคร์ราเกอร์ และวางบอลผ่านแยชือ ดูแด็ก[150] อ็องรีทำแฮตทริกได้ในนาทีที่ 78 หลังแบร์คกัมป์ช่วยส่งให้[149] ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เฌราร์ อูลีเย เปรียบอาร์เซนอลกับ "สัตว์บาดเจ็บ" หลังการแข่งขันและเชื่อว่าอ็องรีเป็น "ผู้สร้างความแตกต่าง ... เขาตั้งจังหวะการเล่น"[149] ต่อมาอาร์เซนอลเสมอ 0–0 กับนิวคาสเซิลในวันจันทร์หยุดธนาคาร และห้าวันถัดมาพบกับลีดส์ยูไนเต็ด[151] นัดนั้นอ็องรียิงสี่ประตู และได้รับคำชมจากแวงแกร์ว่าเป็น "กองหน้าดีที่สุดในโลก" อาร์เซนอลต้องการชนะอีกสองนัดก็จะคว้าแชมป์[152]
เนื่องจากเชลซีไม่สามารถเก็บแต้มเต็มได้อีกสองนัด อาร์เซนอลจึงทราบตั้งแต่ก่อนนัดที่ไปเยือนทอตนัมว่าผลเสมอจะรับประกันว่าได้แชมป์[153] โคลได้กลับมาลงเล่นในดาร์บีนัดนั้น หลังไม่ได้ลงในนัดที่พบลีดส์ เนื่องจากบาดเจ็บข้อเท้า[154] อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนในจังหวะโต้กลับของวีเยรา[2] อาร์เซนอลได้ประตูที่สอง ในช่วงสิบนาทีก่อนพักครึ่ง โดยแบร์คกัมป์ผ่านบอลให้วีเยรา ซึ่งตัดกลับให้ปีแร็สใช้ข้างเท้าเตะเข้า[154] แต่ทอตนัมก็ยิงสองประตูตีเสมอในครึ่งหลัง โดยเป็นลูกโทษหนึ่งลูก แต่ไม่หยุดผู้เล่นอาร์เซนอลมิให้เฉลิมฉลองเมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน "หน้ากองเชียร์ที่ไวต์ฮาร์ตเลน"[2] เป็นครั้งที่สองที่อาร์เซนอลได้แชมป์ลีกที่สนามของคู่แข่ง โดยครั้งแรกเกิดในปี 1971[155] แวงแกร์ชื่นชมความสำเร็จของลูกทีม พร้อมกล่าวกับบีบีซีว่า "พวกเรามีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แพ้สักเกม และเราเล่นฟุตบอลมีสไตล์ เราสร้างความบันเทิงให้ผู้รักฟุตบอล"[156]
ในเดือนพฤษภาคม อาร์เซนอลเสมอในบ้านสองนัดติดต่อกันต่อเบอร์มิงแฮมซิตีและพอร์ตสมัท ทำให้อาร์เซนอลมี 84 แต้มจาก 36 นัด[157][158][159] นัดถัดมา เรเยสยิงหนึ่งประตูช่วยให้ทีมเอาชนะฟูลัมจากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู แอ็ดวิน ฟัน เดอร์ซาร์ "ผู้รักษาประตูชาวดัตช์พยายามพุ่งผ่านกองหน้าของอาร์เซนอล แต่ให้อาร์เซนอลได้ครองบอลแทนและเป็นประตูโล่ง ๆ ที่ง่ายที่สุด"[160] นัดสุดท้ายของฤดูกาลอาร์เซนอลพบเลสเตอร์ซิตีในบ้าน พวกเขาเสียประตูก่อน แต่ก็พลิกกลับมาชนะจากสองประตูของอ็องรีกับวีเยรา จบฤดูกาล พวกเขาชนะ 26 นัด เสมอ 12 นัด และไม่แพ้สักนัด เป็นทีมแรกที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลนับตั้งแต่ที่เพรสตันนอร์ทเอนด์เคยทำได้ในฤดูกาล 1888–89 เมื่อทบทวนนัดและฤดูกาลทั้งหมดแล้ว เอมี โลแรนซ์แห่ง ดิอับเซิร์ฟเวอร์ เขียนว่า "ความสำเร็จของอาร์เซนอลไม่อาจทำให้พวกเขา 'ยิ่งใหญ่' ในความเห็นของทุกคนได้ ผู้ที่นิยามความยิ่งใหญ่เฉพาะจากถ้วยยุโรป แชมป์ติดต่อกันและตีลังกาสามรอบก่อนทำประตูทุกครั้ง แต่มันน่าประทับใจด้วยตัวมันเอง"[161]
นัด
[แก้]16 สิงหาคม ค.ศ. 2003 1 | อาร์เซนอล | 2–1 | เอฟเวอร์ตัน | ลอนดอน |
15:00 BST | แคมป์เบลล์ 25' อ็องรี 35' (ลูกโทษ) วีเยรา 41' ปีแร็ส 58' |
รายงาน | กราเวอเซิน 74' รูนีย์ 78' หลี 80' 87' ราจินสกี 84' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,014 คน ผู้ตัดสิน: มาร์ก แฮลซีย์ |
24 สิงหาคม ค.ศ. 2003 2 | มิดเดิลส์เบรอ | 0–4 | อาร์เซนอล | มิดเดิลส์เบรอ |
16:05 BST | คูเปอร์ 25' | รายงาน | อ็องรี 5' ชิลเบร์ตู ซิลวา 13' วีลตอร์ 22', 60' |
สนามกีฬา: ริเวอร์ไซด์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 29,450 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
27 สิงหาคม ค.ศ. 2003 3 | อาร์เซนอล | 2–0 | แอสตันวิลลา | ลอนดอน |
19:05 BST | ตูเร 40' แคมป์เบลล์ 57' วีเยรา 22' แบร์คกัมป์ 80' อ็องรี 90' |
รายงาน | เฮนดรี 16' ดิเลนีย์ 18' อังเฮล 37' วิตทิงงัม 71' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,010 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
31 สิงหาคม ค.ศ. 2003 4 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 1–2 | อาร์เซนอล | แมนเชสเตอร์ |
16:05 BST | โลแรน 10' (o.g.) บาร์ตัน 49' ซอแมย์ 56' ทาร์นัท 74' ทีแอตโต 75' |
รายงาน | โคล 34' วีลตอร์ 48' โลแรน 59' ยุงแบร์ย 72', 73' |
สนามกีฬา: ซิตีออฟแมนเชสเตอร์ ผู้ชมในสนาม: 46,436 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม โพลล์ |
13 กันยายน ค.ศ. 2003 5 | อาร์เซนอล | 1–1 | พอร์ตสมัท | ลอนดอน |
15:00 BST | แคมป์เบลล์ 10' อ็องรี 40' (ลูกโทษ) ตูเร 40' |
รายงาน | เชริงงัม 26' เดอ เซว 45' สเตฟานอวิช 48' เชมเมิล 65' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,052 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
21 กันยายน ค.ศ. 2003 6 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 0–0 | อาร์เซนอล | แมนเชสเตอร์ |
16:05 BST | คีน 22' ฟัน นิสเติลโรย 82' โรนัลโด 84' ฟอร์จูน 90' |
รายงาน | ตูเร 54' คีโอน 61' วีเยรา 79' 81' |
สนามกีฬา: โอลด์แทรฟฟอร์ด ผู้ชมในสนาม: 67,639 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ เบนนิตต์ |
26 กันยายน ค.ศ. 2003 7 | อาร์เซนอล | 3–2 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | ลอนดอน |
20:00 BST | อ็องรี 18', 80' (ลูกโทษ) ชิลเบร์ตู ซิลวา 67' |
รายงาน | รอแบร์ 26', 66' แบร์นาร์ 71' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,112 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ไรลีย์ |
4 ตุลาคม ค.ศ. 2003 8 | ลิเวอร์พูล | 1–2 | อาร์เซนอล | ลิเวอร์พูล |
12:30 BST | Kewell 14' Bišćan 67' Welsh 85' |
รายงาน | ฮูเปีย 31' (o.g.) โคล 34' พาร์เลอร์ 37' ปีแร็ส 68' |
สนามกีฬา: แอนฟีลด์ ผู้ชมในสนาม: 44,374 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
18 ตุลาคม ค.ศ. 2003 9 | อาร์เซนอล | 2–1 | เชลซี | ลอนดอน |
15:00 BST | เอดู 5' อ็องรี 75' |
รายงาน | เกรสโป 8' มาเกเลเล 11' ฮัสเซิลบังก์ 83' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,172 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
26 ตุลาคม ค.ศ. 2003 10 | ชาร์ลตันแอธเลติก | 1–1 | อาร์เซนอล | ลอนดอน |
14:00 GMT | Di Canio 28' (ลูกโทษ) Parker 35' |
รายงาน | โลแรน 27' อ็องรี 39' |
สนามกีฬา: เดอะแวลลีย์ ผู้ชมในสนาม: 26,660 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ ดันน์ |
1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 11 | ลีดส์ยูไนเต็ด | 1–4 | อาร์เซนอล | ลีดส์ |
15:00 GMT | แบตตี 30' ออแลมเบ 51' สมิท 64' |
รายงาน | อ็องรี 8', 33' ปีแร็ส 18' ชิลเบร์ตู ซิลวา 50' |
สนามกีฬา: เอลแลนด์โรด ผู้ชมในสนาม: 36,491 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 12 | อาร์เซนอล | 2–1 | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | ลอนดอน |
15:00 GMT | พาร์เลอร์ 10' ปีแร็ส 69' ยุงแบร์ย 79' |
รายงาน | แอนเดอร์ตัน 5' 20' คอนเชสกี 14' ริชาดส์ 20' ตาริกโก 27' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,101 คน ผู้ตัดสิน: มาร์ก แฮลซีย์ |
22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 13 | เบอร์มิงแฮมซิตี | 0–3 | อาร์เซนอล | เบอร์มิงแฮม |
15:00 GMT | ซีเซ 7' | รายงาน | ยุงแบร์ย 4' ตูเร 14' เอดู 78' แบร์คกัมป์ 80' ปีแร็ส 88' |
สนามกีฬา: เซนต์แอนดรูส์ ผู้ชมในสนาม: 29,588 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 14 | อาร์เซนอล | 0–0 | ฟูลัม | ลอนดอน |
14:00 GMT | เอดู 90' | รายงาน | แลกแว็งสกี 57' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,063 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
6 ธันวาคม ค.ศ. 2003 15 | เลสเตอร์ซิตี | 1–1 | อาร์เซนอล | เลสเตอร์ |
15:00 GMT | เฟอร์ดิแนนด์ 50' ฮิกนิตต์ 90' |
รายงาน | เลมัน 57' ชิลเบร์ตู ซิลวา 60' โคล 73' |
สนามกีฬา: วอล์กเกอร์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 32,108 คน ผู้ตัดสิน: ร็อบ สไตลส์ |
14 ธันวาคม ค.ศ. 2003 16 | อาร์เซนอล | 1–0 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | ลอนดอน |
14:00 GMT | แบร์คกัมป์ 11' ชิลเบร์ตู ซิลวา 29' ซีก็อง 67' |
รายงาน | เกร็ชกอ 6' เฟอร์กัสสัน 13' บับเบิล 42' ทอดด์ 77' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 37,677 คน ผู้ตัดสิน: แอนดี เดอร์โซ |
20 ธันวาคม ค.ศ. 2003 17 | โบลตันวอนเดอเรอส์ | 1–1 | อาร์เซนอล | โบลตัน |
15:00 GMT | กัมโป 52' โนลัน 58' Pedersen 83' |
รายงาน | วีเยรา 54' ปีแร็ส 57' อ็องรี 64' |
สนามกีฬา: สนามกีฬารีบอค ผู้ชมในสนาม: 28,003 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม โพลล์ |
26 ธันวาคม ค.ศ. 2003 18 | อาร์เซนอล | 3–0 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ลอนดอน |
12:00 GMT | แครดด็อก 13' (o.g.) อ็องรี 20', 89' อาลียาเดียร์ 73' วีเยรา 75' |
รายงาน | บัตเลอร์ 12' เร 28' อินซ์ 66' เนย์เลอร์ 79' ลุชนี 80' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,003 คน ผู้ตัดสิน: ฟิล ดาวด์ |
29 ธันวาคม ค.ศ. 2003 19 | เซาแทมป์ตัน | 0–1 | อาร์เซนอล | เซาแทมป์ตัน |
20:00 GMT | มักแคนน์ 87' | รายงาน | ปีแร็ส 35' | สนามกีฬา: เซนต์แมรีส์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 32,151 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ ดันน์ |
7 มกราคม ค.ศ. 2004 20 | เอฟเวอร์ตัน | 1–1 | อาร์เซนอล | ลิเวอร์พูล |
20:00 GMT | ราจินสกี 75' | รายงาน | พาร์เลอร์ 22' คานู 29' โลแรน 45' ยุงแบร์ย 54' |
สนามกีฬา: กูดิสันพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 38,726 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
10 มกราคม ค.ศ. 2004 21 | อาร์เซนอล | 4–1 | มิดเดิลส์เบรอ | ลอนดอน |
15:00 GMT | ชิลเบร์ตู ซิลวา 20' อ็องรี 38' (ลูกโทษ) เกอดรูว์ 45' (o.g.) ปีแร็ส 57' ยุงแบร์ย 68' |
รายงาน | ดูรีวา 30' มัคคาโรเน 86' (ลูกโทษ) |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,117 คน ผู้ตัดสิน: แอนดี เดอร์โซ |
18 มกราคม ค.ศ. 2004 22 | แอสตันวิลลา | 0–2 | อาร์เซนอล | เบอร์มิงแฮม |
14:00 GMT | ดิเลนีย์ 29' เม็ลแบร์ย 34' วิตทิงงัม 45' แบร์รี 59' |
รายงาน | อ็องรี 29', 53' (ลูกโทษ) วีเยรา 55' |
สนามกีฬา: วิลลาพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 39,380 คน ผู้ตัดสิน: มาร์ก แฮลซีย์ |
1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 23 | อาร์เซนอล | 2–1 | แมนเชสเตอร์ซิตี | ลอนดอน |
16:05 GMT | ทาร์นัท 7' (o.g.), 37' พาร์เลอร์ 63' อ็องรี 83' โคล 90' |
รายงาน | บาร์ตัน 60' ซิงแคลร์ 84' อาแนลกา 89', 90' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,103 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 24 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 1–3 | อาร์เซนอล | วุลเวอร์แฮมป์ตัน |
15:00 GMT | มิลเลอร์ 11' กาเนอา 26', 26' เออร์วิน 67' |
รายงาน | แบร์คกัมป์ 9', 31' อ็องรี 58' ตูเร 63' |
สนามกีฬา: สนามกีฬามอลินิว ผู้ชมในสนาม: 29,392 คน ผู้ตัดสิน: ฟิล ดาวด์ |
10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 25 | อาร์เซนอล | 2–0 | เซาแทมป์ตัน | ลอนดอน |
19:45 GMT | อ็องรี 31', 90' วีเยรา 38' พาร์เลอร์ 63' |
รายงาน | แบร์ด 71' สเว็นซอน 90' อันต์ตี นิเอมี 90' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,007 คน ผู้ตัดสิน: นีล แบร์รี |
21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 26 | เชลซี | 1–2 | อาร์เซนอล | ลอนดอน |
12:30 GMT | กวึดยอนแซน 1' 42' 60' มูตู 51' เทร์รี 67' แลมพาร์ด 67' |
รายงาน | วีเยรา 15' เอดู 21' โลแรน 60' อ็องรี 90' |
สนามกีฬา: สแตมฟอร์ดบริดจ์ ผู้ชมในสนาม: 41,847 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ไรลีย์ |
28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 27 | อาร์เซนอล | 2–1 | ชาร์ลตันแอธเลติก | ลอนดอน |
15:00 GMT | ปีแร็ส 2' อ็องรี 4' |
รายงาน | เยินเซิน 59' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,137 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
13 มีนาคม ค.ศ. 2004 28 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | 0–2 | อาร์เซนอล | แบล็กเบิร์น |
15:00 GMT | Andresen 54' | รายงาน | อ็องรี 57' เอดู 73' ปีแร็ส 87' |
สนามกีฬา: อีวุดพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 28,627 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
20 มีนาคม ค.ศ. 2004 29 | อาร์เซนอล | 2–1 | โบลตันวอนเดอเรอส์ | ลอนดอน |
15:00 GMT | ปีแร็ส 16' แบร์คกัมป์ 24' โคล 62' |
รายงาน | โนลัน 30' กัมโป 41' เพเดอร์เซิน 85' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,053 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
28 มีนาคม ค.ศ. 2004 30 | อาร์เซนอล | 1–1 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ลอนดอน |
16:05 BST | อ็องรี 50' กลีชี 70' |
รายงาน | สโกลส์ 25' ซาอา 86' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,184 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม โพลล์ |
9 เมษายน ค.ศ. 2004 31 | อาร์เซนอล | 4–2 | ลิเวอร์พูล | ลอนดอน |
12:30 BST | โคล 29' อ็องรี 31', 50', 78' ปีแร็ส 49' วีเยรา 65' โลแรน 73' |
รายงาน | ฮือปิแอ 5' โอเวน 42' ดียุฟ 83' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,119 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
11 เมษายน ค.ศ. 2004 32 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 0–0 | อาร์เซนอล | นิวคาสเซิลอะพอนไทน์ |
16:05 BST | รายงาน | วีเยรา 5' | สนามกีฬา: เซนต์เจมส์พาร์ก ผู้ชมในสนาม: 52,141 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
16 เมษายน ค.ศ. 2004 33 | อาร์เซนอล | 5–0 | ลีดส์ยูไนเต็ด | ลอนดอน |
20:00 BST | ปีแร็ส 6' อ็องรี 27', 33' (ลูกโทษ), 50', 67' |
รายงาน | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,094 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
25 เมษายน ค.ศ. 2004 34 | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 2–2 | อาร์เซนอล | ลอนดอน |
16:05 BST | เรดแนปป์ 58', 62' คีน 90+4' (ลูกโทษ) |
รายงาน | วีเยรา 3' ปีแร็ส 35' เลมัน 90' |
สนามกีฬา: ไวต์ฮาร์ตเลน ผู้ชมในสนาม: 36,097 คน ผู้ตัดสิน: มาร์ก ฮอลซีย์ |
1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 35 | อาร์เซนอล | 0–0 | เบอร์มิงแฮมซิตี | ลอนดอน |
12:30 BST | รายงาน | จอห์นสัน 16' แซวิจ 49' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,061 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม โพลล์ |
4 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 36 | พอร์ตสมัท | 1–1 | อาร์เซนอล | พอร์ตสมัท |
20:00 BST | ยาคูบู 30' | รายงาน | แคมป์เบลล์ 42' เรเยส 50' พาร์เลอร์ 49' |
สนามกีฬา: แฟรตตันพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 20,140 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ไรลีย์ |
9 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 37 | ฟูลัม | 0–1 | อาร์เซนอล | ลอนดอน |
16:05 BST | เดวิส 89' | รายงาน | เรเยส 9' วีเยรา 52' อ็องรี 69' พาร์เลอร์ 84' |
สนามกีฬา: ลอฟตัสโรด ผู้ชมในสนาม: 18,102 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
15 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 38 | อาร์เซนอล | 2–1 | เลสเตอร์ซิตี | ลอนดอน |
14:00 BST | อ็องรี 47' (ลูกโทษ) วีเยรา 66' |
รายงาน | ดิกคอฟ 26' ซิงแคลร์ 47' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,419 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
ตารางคะแนน
[แก้]อันดับ |
สโมสร |
แข่ง |
ชนะ |
เสมอ |
แพ้ |
ได้ |
เสีย |
ผลต่าง |
คะแนน |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | อาร์เซนอล (C) | 38 | 26 | 12 | 0 | 73 | 26 | +47 | 90 | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004–05 รอบแบ่งกลุ่ม |
2 | เชลซี | 38 | 24 | 7 | 7 | 67 | 30 | +37 | 79 | |
3 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 38 | 23 | 6 | 9 | 64 | 35 | +29 | 75 | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004–05 รอบคัดเลือกรอบสาม |
4 | ลิเวอร์พูล | 38 | 16 | 12 | 10 | 55 | 37 | +18 | 60 | |
5 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 38 | 13 | 17 | 8 | 52 | 40 | +12 | 56 | ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2004–05 รอบแรก |
แหล่งข้อมูล: [162]
กฎการจัดอันดับ:
1) คะแนน; 2) ผลต่างประตู; 3) ประตูรวม
(C) = ชนะเลิศ; (R) = ตกชั้น; (P) = เลื่อนชั้น; (O) = ผู้ชนะจากรอบคัดเลือก; (A) = ผ่านเข้ารอบต่อไป
ใช้ได้เฉพาะเมื่อฤดูกาลยังไม่สิ้นสุด:
(Q) = ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขันในระยะของทัวร์นาเมนต์ที่ระบุ; (TQ) = ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขัน แต่ยังไม่อยู่ในระยะที่ระบุ; (DQ) = ถูกตัดสิทธิ์จากทัวร์นาเมนต์
ผลแต่ละรอบ
[แก้]นัดที่ | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สนาม | H | A | H | A | H | A | H | A | H | A | A | H | A | H | A | H | A | H | A | A | H | A | H | A | H | A | H | A | H | H | H | A | H | A | H | A | A | H |
ผล | W | W | W | W | D | D | W | W | W | D | W | W | W | D | D | W | D | W | W | D | W | W | W | W | W | W | W | W | W | D | W | D | W | D | D | D | W | W |
อันดับที่ | 4 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 2 | 1 | 1 | 2 | 2 | 1 | 1 | 2 | 2 | 2 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 |
อ้างอิง: [163]
สนาม: A = เยือน; H = เหย้า ผล: D = เสมอ; L = แพ้; W = ชนะ; P = เลื่อนการแข่งขัน
เอฟเอคัพ
[แก้]เอฟเอคัพเป็นการแข่งขันถ้วยหลักของฟุตบอลอังกฤษ จัดครั้งแรกในปี 1871–72 โดยมี 15 ทีมเข้าแข่งขัน[164] การเติบโตของกีฬาฟุตบอลและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการแข่งขันทำให้ในปี 2000 มีกว่า 600 ทีมเข้าร่วม[165] สโมสรในพรีเมียร์ลีกเข้าสู่เอฟเอคัพในรอบสามและถูกจับสุ่มออกจากหมวกด้วยสโมสรที่เหลือ หากผลเสมอทั้งสองทีมต้องเล่นใหม่ เดิมเล่นที่สนามของทีมเยือนของเกมแรก ด้วยกำหนดการลีก นัดเอฟเอคัพจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีที่เกมได้รับคัดเลือกให้ออกอากาศทางโทรทัศน์และอาจชนกับการแข่งขันอื่นได้[166] ในกรณีของอาร์เซนอล มีการออกอากาศการแข่งขันทุกนัดยกเว้นนัดที่เสมอ (รอบที่สี่) ต่อผู้ชมบริติช[167][168][169][170]
อาร์เซนอลเข้าสู่ฤดูกาล 2003–04 ในฐานะแชมป์เก่า ทีมไร่พ่ายในการแข่งขันถ้วย 14 นัดนับแต่นัดที่แพ้ลิเวอร์พูล 2–1 ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ 2001 และหวังชนะการแข่งขันเป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน ซึ่งครั้งสุดท้ายสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1884 ถึง 1886[171] อ็องรีเชื่อว่ารูปแบบการเล่นที่ดีของอาร์เซนอลในบอลถ้วยแสดงว่าพวกเขา "สนใจ" ในการแข่งขันและหวังว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยังอยู่ต่อไป[171] เอฟเอคัพอยู่ไม่สูงในรายการลำดับความสำคัญของแวงแกร์ "พรีเมียร์ลีกและแชมเปียนลีกสำคัญกว่า" แต่เขาขยายความว่าไม่ได้หมายความว่าอาร์เซนอลจะละเลยการแข่งขันนี้ "คุณชนะเท่าที่ได้และไปให้ไกลที่สุด"[172]
อาร์เซนอลถูกจับสลากให้พบกับลีดส์ยูไนเต็ดแบบเยือนในรอบที่สาม มีการเล่นในสุดสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม[173] แวงแกร์เปลี่ยนตัวผู้เล่นหกตำแหน่งซึ่งเริ่มที่เซาท์แทมป์ตันในลีก ได้แก่ โคลแทนกลีชีเป็นกองหลังซ้ายหลังโทษพักเล่น 3 นัด หลังผ่านไป 8 นาที ลีดส์ขึ้นนำก่อนเมื่อลูกที่สกัดไม่หลุดของเลมันชนกองหน้า มาร์ก วิดูกา และกระดอนกลับเข้าตาข่าย[174] อาร์เซนอลตีเสมอได้ด้วยประตูของอ็องรี ซึ่งเปลี่ยนทิศทางลูกส่งข้ามของยุงแบร์ยจากฝั่งขวาด้วยวอลเลย์[174] อาร์เซนอลได้ประตูเพิ่มจากเอดู, ปีแร็ส และตูเร ทำให้อาร์เซนอลชนะ 4–1 ประตูต่อลีดส์เป็นครั้งที่สามติดต่อกันในเอลแลนด์โรด[174] ที่บ้านของมิดเดิลสเบรอในรอบที่สี่ แบร์คกัมป์ยิงประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำก่อนหลังการเล่นที่ดีจากพาร์เลอร์;[175] โฌแซ็ฟ-เดซีเร ฌอบ ยิงประตูตีเสมอให้ทีมเยือนอีกสี่นาทีถัดมา[175] แต่ยุงแบร์ยทำประตูทำให้อาร์เซนอลขึ้นนำอีกครั้งจากลูกยิงนอกกรอบเขตโทษ และยิงประตูที่สองเป็นลูกตรงจากการเตะมุม[175] จอร์จ โบอาเท็ง จากทีมเยือนถูกส่งออกจากสนามในนาทีที่ 86 จากใบเหลืองใบที่สอง และตัวสำรอง เดวิด เบนต์ลีย์ ยิงประตูที่สี่ให้อาร์เซนอล โดยชิปบอลข้ามผู้รักษาประตู ชวาร์ทเซอร์ ในนาทีสุดท้ายของเวลาปกติ[175]
ในรอบที่ห้า อาร์เซนอลพบเชลซีที่ไฮบรี ห้านาทีก่อนหมดครึ่งแรก กองหน้า อาดรีอัน มูตู ยิงให้เชลซีขึ้นนำก่อนจากลูกยิงระยะ 20 หลา[176] เรเยสซึ่งลงมาแทนอ็องรีเป็นตัวจริงในนัดนี้ ยิงไกลเข้าประตูตีเสมอให้กับเจ้าบ้าน[176] เขาวิ่งแข่งผู้รักษาประตูซัลลิวันเพื่อยิงประตูที่สองซึ่งเป็นประตูชัยของนัดนี้[176] รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นการพบกับพอร์ตสมัทที่แฟรตตันพาร์กในวันที่ 6 มีนาคม 2004 อ็องรีเปิดเกมด้วยการทำประตูในนาทีที่ 25 และยิงเข้าอีกประตู และยุงแบร์ยกับตูเรยิงเข้าอีกคนละประตู ผ่านเข้าเป็นสี่ทีมสุดท้ายของการแข่งขัน[177] ผู้สื่อข่าว เดอะการ์เดียน เควิน แม็กคารา ผู้ตื่นเต้นกับการเล่นของทีมเยือน ยกย่องเอดูว่า "อาร์เซนอลดำเนินตามปรัชญาของอายักซ์ที่ผู้เล่นสับเปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนจุดบุกเรื่อย ๆ ก่อนสะกดสายตาของเกมรับ"[177]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นคู่แข่งของอาร์เซนอลในรอบรองชนะเลิศ จัดที่วิลลาพาร์กเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2004 ทั้งสองทีมเสมอกันในลีกเมื่อวันอาทิตย์ก่อน แต่เนื่องจากนี่เป็นนัดเพื่อตำแหน่งในรอบชิงชนะเลิศ เดิมพันจึงสูงกว่ามาก กองหลังของยูไนเต็ด แกรี เนวิล อธิบายเกมนี้ว่าเป็นเกม "สำคัญที่สุด" ของทีมเขาในฤดูกาลนี้หลังตกรอบแชมเปียนลีกและเขามองว่า "ตามหลังเกินไป" ในพรีเมียร์ลีก[178] แวงแกร์ให้อ็องรีได้พัก เมื่อพิจารณากำหนดการแข่งขันแน่นของทีมในอนาคต แม้อาร์เซนอลเริ่มเกมได้ดีกว่า แต่กองกลางของยูไนเต็ด พอล สโกลส์ เป็นผู้ทำประตูชัยประตูเดียวของเกมนั้นและทำให้ทีมผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ[179]
4 มกราคม ค.ศ. 2004 รอบที่สาม | ลีดส์ยูไนเต็ด | 1–4 | อาร์เซนอล | ลีดส์ |
16:05 GMT | วิดูกา 8' Bakke 36' สมิท 42' |
รายงาน | อ็องรี 26' เอดู 33' ชิลเบร์ตู ซิลวา 84' ปีแร็ส 87' ตูเร 90' |
สนามกีฬา: Elland Road ผู้ชมในสนาม: 31,207 คน ผู้ตัดสิน: ร็อบ สไตลส์ |
24 มกราคม ค.ศ. 2004 รอบที่สี่ | อาร์เซนอล | 4–1 | มิดเดิลส์เบรอ | ลอนดอน |
15:00 GMT | แบร์คกัมป์ 19' ยุงแบร์ย 28', 68' เบนต์ลีย์ 90' |
รายงาน | ฌอบ 23' แซ็นเดิน 84' ริกกอตต์ 84' Parnaby 56' โบอาเท็ง 84' 85' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 37,256 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 รอบที่ห้า | อาร์เซนอล | 2–1 | เชลซี | ลอนดอน |
12:30 GMT | แคมป์เบลล์ 7' ชิลเบร์ตู ซิลวา 34' วีเยรา 45' เรเยส 56', 61' |
รายงาน | แม็ลคีโยต 16' มูตู 25', 40' มาเกเลเล 29' ฮัสเซิลบังก์ 60' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,136 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
6 มีนาคม ค.ศ. 2004 รอบก่อนรองชนะเลิศ | พอร์ตสมัท | 1–5 | อาร์เซนอล | พอร์ตสมัท |
18:00 GMT | เชริงงัม 90' | รายงาน | อ็องรี 25', 50' ยุงแบร์ย 43', 57' ตูเร 43' |
สนามกีฬา: แฟรตตันพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 20,137 คน ผู้ตัดสิน: เจฟฟ์ วินเตอร์ |
3 เมษายน ค.ศ. 2004 รอบรองชนะเลิศ | อาร์เซนอล | 0–1 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | เบอร์มิงแฮม |
12:00 GMT | ปีแร็ส 29' เลมัน 52' ตูเร 78' โลแรน 80' |
รายงาน | สโกลส์ 32', 73' | สนามกีฬา: วิลลาพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 39,939 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; แดง = คู่แข่งชนะ
ฟุตบอลลีกคัพ
[แก้]ฟุตบอลลีกคัพเป็นการแข่งขันถ้วยที่เปิดแก่สโมสรในพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีก แข่งแบบแพ้คัดออกเช่นเดียวกับเอฟเอคัพ โดยยกเว้นรอบรองชนะเลิศซึ่งแข่งสองผลัด ระยะเวลาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของแวงแกร์ที่อาร์เซนอล เขาใช้การแข่งขันให้ผู้เล่นอายุน้อยและมีชื่อเสียงน้อยกว่าลงเล่น ซึ่งเขาและเฟอร์กูสันถูกวิจารณ์ทีแรกในปี 1997[180] แม้เฟอร์กูสันรู้สึกว่าเป็นสิ่งไขว้เขวไม่พึงปรารถนาในขณะนั้น แต่แวงแกร์กล่าวว่า "หากการแข่งขันต้องการอยู่รอด จะต้องให้สิ่งจูงใจเป็นตำแหน่งในยุโรป [การแข่งขันต่าง ๆ ของยูฟ่า]"[181][182] ผู้ชนะลีกคัพในฤดูกาล 2003–04 จะได้เข้าไปเล่นยูฟ่าคัพ ยกเว้นได้รับสิทธิแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจากอันดับในลีก[183] นัดลีกคัพสามารถเปลี่ยนได้ในกรณีมีการเลือกเกมออกอากาศ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย และการแข่งขันชนที่อาจเกิดขึ้น ทุกรอบยกเว้นรอบชิงชนะเลิศเล่นกลางสัปดาห์[184]
อาร์เซนอลเข้าสู่ลีกคัพในรอบที่สาม และถูกจับสลากเล่นที่บ้านของรอเทอรัมยูไนเต็ด[185] แวงแกร์ให้กองกลาง เซสก์ ฟาเบรกัส ลงเล่นนัดแรกเมืออายุได้ 16 ปี 177 วัน จนถึงปี 2016 เขายังเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดที่ลงเล่นให้สโมสร[186] อาร์เซนอลนำตั้งแต่นาทีที่ 11 จากประตูของอาลียาเดียร์ แต่เสียประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมทำให้ต้องต่อเวลา[187] ผู้รักษาประตูรอเทอรัม ไมก์ พอลลิตต์ ถูกไล่ออกจากสนามเพราะถือบอลนอกกรอบเขตโทษ ส่วนตัวสำรอง แกรี มอนต์กอเมอรี ป้องกันประตูชัยของวีลตอร์ได้ เนื่องจากไม่มีทีมใดยิงประตูเพิ่มได้ จึงตัดสินด้วยจุดโทษซึ่งอาร์เซนอลชนะ 9–8[187] อาร์เซนอลชนะคู่แข่งจากดิวิชันวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ในรอบที่สี่ วีเยราซึ่งไม่ได้ลงเล่นจากอาการบาดเจ็บในเดือนกันยายนและตุลาคม กลับมาลงเล่นให้ทีมครั้งแรกและเล่นเต็มเวลา[188]
ในรอบที่ห้า อาร์เซนอลเดินทางไปเดอะฮอว์ทอนส์พบกับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน แวงแกร์เพิ่มนักฟุตบอลมากประสบการณ์เป็นตัวสำรองเพื่อลงแทนเยาวชน โดยมีชื่อของพาร์เลอร์, เอดู, คานู และคีโอน อาร์เซนอลขึ้นนำในนาทีที่ 25 จากคานู ลูกยิงข้ามจากฝั่งขวามือของโลแรนถูกเปลี่ยนทิศทางสู่คานู[189] ผู้รักษาประตู รัสเซลล์ โฮลต์ ป้องกันลูกโหม่งของเขา แต่ไม่สามารถรับลูกยิงที่กระดอนมาเข้าตาข่าย อาลียาเดียร์ทำประตูที่สองของอาร์เซนอลในนัดนี้หลัง โฮลต์เตะลูกทิ้งไม่ดี[189]
อาร์เซนอลออกจากการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศที่พบกับมิดเดิลส์เบรอ ที่ไฮบรีอันเป็นที่แข่งขันผลัดแรก ฌูนิญญูยิงประตูเดียวในนัดนั้น[190] ความพยายามผ่านเข้ารอบของอาร์เซนอลยากขึ้นเมื่อคีโอนถูกไล่ออกจากสนามในผลัดสอง และเบาเดอไวน์ แซ็นเดิน ยิงประตูเพิ่มให้มิดเดิลส์เบรอ แม้เอดูจะยิงประตูตีเสมอให้อาร์เซนอลในคืนนั้น แต่การทำเข้าประตูตัวเองของเรเยสทำให้มิดเดิลส์เบรอชนะ[191] แวงแกร์ออกความเห็นถึงผลการแข่งขันว่า "ผมไม่คิดว่าเราสมควรแพ้ แม้เมื่อเราเหลือผู้เล่น 10 คน เราก็กำลังเล่นเกม"[191]
28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 รอบที่สาม | อาร์เซนอล | 1–1 (ต่อเวลาพิเศษ) (9–8 ลูกโทษ) | รอเทอรัมยูไนเต็ด | ลอนดอน |
19:45 BST | อาลียาเดียร์ 11', 97' | รายงาน | สเวลส์ 20' เซ็ดกวิก 56' เอส. บาร์เกอร์ 86' ไบฟีลด์ 90' พอลลิตต์ 101' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 27,451 คน ผู้ตัดสิน: แบร์รี ไนต์ |
ยิงลูกโทษ | ||||
วีลตอร์ เอดู อาลียาเดียร์ ซีก็อง โอวูซู-อาเบยี คานู สมิท สไปเซอร์ กลีชี สแต็ก วีลตอร์ |
สเวลส์ แมกอินทอช มัลลิน โบแด ไบฟีลด์ เฮิสต์ วอร์น เอส. บาร์เกอร์ อาร์. บาร์เกอร์ มอนต์กอเมอรี สเวลส์ |
2 ธันวาคม ค.ศ. 2003 รอบที่สี่ | อาร์เซนอล | 5–1 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ลอนดอน |
19:45 GMT | อาลียาเดียร์ 24', 71' ซิเม็ก 35' ตัฟลารีดิส 54' คานู 68' วีลตอร์ 79' ฟาเบรกัส 88' |
รายงาน | เบลก 54' กวึดโยนซอน 72' เร 81' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 28,161 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
16 ธันวาคม ค.ศ. 2003 รอบที่ห้า | เวสต์บรอมมิชอัลเบียน | 0–2 | อาร์เซนอล | เวสต์บรอมมิช |
20:00 GMT | รายงาน | คานู 25' ตัฟลารีดิส 34' อาลียาเดียร์ 57' |
สนามกีฬา: เดอะฮอว์ทอนส์ ผู้ชมในสนาม: 20,369 คน ผู้ตัดสิน: แมตต์ เมสไซอัส |
20 มกราคม ค.ศ. 2004 รอบรองชนะเลิศ (เลกแรก) | อาร์เซนอล | 0–1 | มิดเดิลส์เบรอ | ลอนดอน |
19:45 GMT | รายงาน | ฌูนิญญู 14', 53' เกอดรูว์ 64' มิลส์ 71' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 31,070 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ ดันน์ |
3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 รอบรองชนะเลิศ (เลกที่สอง) | มิดเดิลส์เบรอ | 2–1 (3–1 ผลประตูรวม) | อาร์เซนอล | มิดเดิลส์เบรอ |
20:00 GMT | เกอดรูว์ 60' แซ็นเดิน 69' เรเยส 85' (o.g.) |
รายงาน | คีโอน 45' เบนต์ลีย์ 73' เอดู 77' |
สนามกีฬา: ริเวอร์ไซด์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 28,781 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
[แก้]ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรของทวีปยุโรปที่ยูฟ่าจัด ก่อตั้งในคริสต์ทศวรรษ 1950 ในชื่อ "ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ" การแข่งขันเปิดให้กับสโมสรแชมเปียนของแต่ละประเทศและจัดแบบทัวร์นาเมนต์แพ้คัดออก[192] การเติบโตของสิทธิโทรทัศน์ทำให้มีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ให้รวมรอบแบ่งกลุ่มและอนุญาตให้ประเทศหนึ่งมีสโมสรเข้าแข่งขันได้หลายสโมสร[192][193] อาร์เซนอลผ่านเข้าไปเล่นในแชมเปียนส์ลีกทุกฤดูกาลตั้งแต่ฤดูกาล 1998–99 แต่สโมสรไม่เคยไปไกลเกินรอบก่อนรองชนะเลิศ[194] ก่อนการแข่งขัน แวงแกร์ประเมินว่าทีมเขาจำเป็นต้องทำผลงานในเกมเหย้าว่า "เราโตพอแล้ว และเราต้องเพิ่มประกายเล็กน้อยเพื่อสร้างความแตกต่าง"[194]
รอบแบ่งกลุ่ม
[แก้]อาร์เซนอลถูกจับสลากอยู่กลุ่มบี ร่วมกับสโมสรอิตาลีอินเตอร์มิลาน, โลโกโมติฟมอสโกแห่งรัสเซียและดีนาโมคียิวของยูเครน[195] แวงแกร์เชื่อว่าการเดินทางไปยุโรปตะวันออกคุกคามโอกาสชนะพรีเมียร์ลีกของทีม "ทีมอังกฤษอื่นมีกลุ่มที่สบายกว่าเรา การไปรัสเซียมันยาก ผมบอกเสมอถ้าคุณต้องเดินทางมากกว่าสองชั่วโมงมันยาก บางทีผู้เล่นจ่ายราคาแพงในเกมหลังนัดแชมเปียนส์ลีก"[196]
อาร์เซนอลประเดิมแชมเปียนส์ลีกด้วยการแพ้ 3–0 ต่ออินเตอร์มิลานซึ่งได้ประตูจากฮูลิโอ ริการ์โด กรุซ, แอ็นดี ฟัน เดอร์ไมเดอ และโอบาเฟมี มาร์ตินส์ ในครึ่งแรกทั้งหมด ทำให้อาร์เซนอลได้สถิติแพ้ในบ้านในแชมเปียนส์ลีกเป็นนัดที่หกติดต่อกัน[197] แวงแกร์กล่าวหลังจากนั้นว่า "เราสามารถบ่นและร้องไห้ได้ทั้งคืน แต่มันจะไม่เปลี่ยนแปลงผล สิ่งเดียวที่เราทำได้คือโต้ตอบ"[198] ทีมอาร์เซนอลซึ่งไม่มีแคมป์เบลล์และวีเยราเสมอในนัดที่ไปเยือนโลโคโมติฟมอสโก แต่ยังอยู่ท้ายตาราง[199] อาร์เซนอลแพ้ดีนาโมคียิวในปลายเดือนตุลาคม การตัดสินใจของแวงแกร์เปลี่ยนจากรูปขบวน 4–4–2 ที่เขานิยมทำให้ทีมเล่นแคบกว่าปกติ[200] โคลทำประตูชัยในนัดเล่นที่ไฮบรีพบดีนาโมคียิว ลูกยิงข้ามจากวีลตอร์ถูกอ็องรีปักไปทางโคลที่กำลังพุ่งเข้ามา แล้วโหม่งบอลข้ามผู้รักษาประตู ออเลคซันดร์ ชอฟคอฟสกีย์[201]
ทีมทำประตูได้สี่ประตูในครึ่งหลังที่พบกับอินเตอร์มิลานและชนะ 5–1 แวงแกร์รู้สึกว่าผลนี้แสดงถึง "...ความเข้มแข็งทางจิตใจเป็นพิเศษในทีม" ส่วนโคลเปรียบเทียบว่าเหมือนชัยของอังกฤษต่อเยอรมนีในปี 2001 แต่เสริมว่า "นี่ดีกว่าอีก"[202] อาร์เซนอลชนะโลโคโมติฟมอสโก 2–0 เป็นแชมป์กลุ่มบี เจค็อบ เล็กเกโท ถูกไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 8 ทำให้ทีมเยือนแข่งในเวลาที่เหลือด้วยผู้เล่นสิบคน[203]
ทีม | แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ต่าง | คะแนน |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อาร์เซนอล | 6 | 3 | 1 | 2 | 9 | 6 | +3 | 10 |
โลโคโมติฟมอสโก | 6 | 2 | 2 | 2 | 7 | 7 | 0 | 8 |
อินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน | 6 | 2 | 2 | 2 | 8 | 11 | −3 | 8 |
ดีนาโมคียิว | 6 | 2 | 1 | 3 | 8 | 8 | 0 | 7 |
17 กันยายน ค.ศ. 2003 1 | อาร์เซนอล | 0–3 | อินแตร์นาซีโอนาเล | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 BST | รายงาน | กรุซ 22' ฟัน เดอร์ไมเดอ 24' มาร์ตินส์ 41' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 34,393 คน ผู้ตัดสิน: มานูเอล เมฆูโต กอนซาเลซ (สเปน) |
30 กันยายน ค.ศ. 2003 2 | โลโคโมติฟมอสโก | 0–0 | อาร์เซนอล | มอสโก รัสเซีย |
18:30 MSD | นีเจโกโรดอฟ 79' | รายงาน | สนามกีฬา: สนามกีฬาโลโคโมติฟ ผู้ชมในสนาม: 30,000 คน ผู้ตัดสิน: ยัน เวเคอเรฟ (เนเธอร์แลนด์) |
21 ตุลาคม ค.ศ. 2003 3 | ดีนาโมคียิว | 2–1 | อาร์เซนอล | เคียฟ ยูเครน |
20:45 EET | ชัตสกิค 27' เบียลเควิช 64' |
รายงาน | อ็องรี 80' | สนามกีฬา: โอลิมปิสกี ผู้ชมในสนาม: 80,000 คน ผู้ตัดสิน: ค็อนราท เพลาทซ์ (ออสเตรีย) |
5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 4 | อาร์เซนอล | 1–0 | ดีนาโมคียิว | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 GMT | ซิลวา 27' ตูเร 74' โคล 88' |
รายงาน | เลคอ 37' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 34,419 คน ผู้ตัดสิน: ลูซียู บาติชตา (โปรตุเกส) |
25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 5 | อินแตร์นาซีโอนาเล | 1–5 | อาร์เซนอล | มิลาน อิตาลี |
20:45 CET | วีเอรี 33' | รายงาน | อ็องรี 25', 85' ซีก็อง 61' ยุงแบร์ย 49' เอดู 88' ปีแร็ส 89' |
สนามกีฬา: ซานซีโร ผู้ชมในสนาม: 44,884 คน ผู้ตัดสิน: ว็อล์ฟกัง ชตาร์ค (เยอรมนี) |
10 ธันวาคม ค.ศ. 2003 6 | อาร์เซนอล | 2–0 | โลโคโมติฟมอสโก | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 GMT | ปีแร็ส 12' วีเยรา 14' ยุงแบร์ย 67' |
รายงาน | เอฟเซเยฟ 38' เล็กเกโท 8' ' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 35,343 คน ผู้ตัดสิน: ยูบ็อช มิเค็ลย์ (สโลวาเกีย) |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
รอบแพ้คัดออก
[แก้]รอบ 16 ทีมสุดท้าย
[แก้]อาร์เซนอลถูกจับคู่พบเซลตา เด บิโกในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และผลัดแรกจัดที่บาลาอิโดส[204] แม้เสียสองประตูจากลูกตั้งเตะ แต่อาร์เซนอลทำประตูคืนได้สามประตูทำให้ชนะนัดนั้น ทำให้ทีมอยู่ในสถานะได้เปรียบตามกฎประตูทีมเยือน[205] นัดถัดมาในวันที่ 10 มีนาคม 2004 อาร์เซนอลผ่านเข้ารอบโดยชนะ 2–0 ที่อ็องรีเป็นผู้ทำประตูทั้งสองลูก[206]
24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 เลกแรก | เซลตา บิโก | 2–3 | อาร์เซนอล | บิโก สเปน |
20:45 CET | เอดู 27' ซิลวิญญู 45' โฆเซ อิกนาซิโอ 64' |
รายงาน | เอดู 18', 58', 87' ปีแร็ส 80' อ็องรี 88' |
สนามกีฬา: บาลาอิโดส ผู้ชมในสนาม: 21,000 คน ผู้ตัดสิน: อันเดิร์ส ฟริสก์ (สวีเดน) |
10 มีนาคม ค.ศ. 2004 เลกที่สอง | อาร์เซนอล | 2–0 (5–2 ผลประตูรวม) | เซลตา บิโก | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 BST | อ็องรี 14', 34' | รายงาน | กาเซเรส 36' ' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 35,402 คน ผู้ตัดสิน: ปีแยร์ลูอีจี คอลลีนา (อิตาลี) |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
รอบก่อนรองชนะเลิศ
[แก้]ในรอบก่อนรองชนะเลิศ อาร์เซนอลพบสโมสรอังกฤษร่วมชาติเชลซี ผลจับสลากทำให้รองประธานดีนผิดหวัง เขาว่า "ความยินดีของการเล่นในยุโรปอย่างหนึ่งคือการเล่นกับทีมจากต่างประเทศ และการได้เล่นกับเชลซีสามครั้ง เป็นการชะลอความตื่นเต้นไปบ้าง"[207] ผลัดแรกแข่งที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ยุติด้วยการเสมอเมื่อกวึดยอนแซนและปีแร็สทำประตูให้สโมสรของตน อาร์เซนอลไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบจากการไล่มาร์แซล เดอซายี ออกในครึ่งหลัง แต่แวงแกร์รู้สึกว่าทีมเขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะผ่านเข้ารอบ "เป้าหมายหลักของเราจะเป็นการชนะเกมที่ไฮบรี และเรารู้ว่าเราทำได้"[208]
อ็องรีซึ่งพักสำหรับนัดรองชนะเลิศเอฟเอคัพ ลงเป็นตัวจริงคู่กับเรเยสในผลัดสอง เรเยสทำประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก แต่แฟรงก์ แลมพาร์ด ทำประตูตีเสมอให้เชลซีในนาทีที่ 51 และสามนาทีก่อนหมดเวลา กองหลัง เวย์น บริดจ์ ทำประตูได้ทำให้อาร์เซนอลตกรอบ[209]
24 มีนาคม ค.ศ. 2004 เลกแรก | เชลซี | 1–1 | อาร์เซนอล | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 BST | กวึดยอนแซน 53' มาเกเลเล 65' เดอซายี 80' 83' |
รายงาน | ปีแร็ส 59' | สนามกีฬา: สแตมฟอร์ดบริดจ์ ผู้ชมในสนาม: 40,778 คน ผู้ตัดสิน: มานูเอล เมฆูโต กอนซาเลซ (สเปน) |
6 เมษายน ค.ศ. 2004 เลกที่สอง | อาร์เซนอล | 1–2 (2–3 ผลประตูรวม) | เชลซี | ลอนดอน อังกฤษ |
19:45 BST | โลแรน 36' เรเยส 45+1' |
รายงาน | กาลัส 9' ฮัสเซิลบังก์ 15' แลมพาร์ด 51' โคล 84' บริดจ์ 87' |
สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 35,486 คน ผู้ตัดสิน: มาร์คุส แมร์ค (เยอรมนี) |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
สถิติผู้เล่น
[แก้]อาร์เซนอลใช้ผู้เล่นทั้งหมด 34 คนระหว่างฤดูกาล 2003–04 และมีผู้ทำประตูได้ 15 ประตู นอกจากนี้ยังมีสมาชิกทีมสามคนที่ไม่ได้ลงเป็นตัวจริงเลยตลอดฤดูกาล ทีมเล่นในรูปขบวน 4–4–2 ตลอดฤดูกาล โดยมีกองกลางกว้าง 2 คน ตูเรลงเล่น 55 นัด มากกว่าผู้เล่นอาร์เซนอลคนอื่นทุกคนในฤดูกาลและเลมันลงเป็นตัวจริงทั้ง 38 นัดในลีก
ทีมทำประตูได้รวม 114 ประตูในทุกการแข่งขัน อ็องรีทำประตูได้มากสุด 39 ประตู รองลงมาคือ ปีแร็สทำได้ 19 ประตู ประตูของอาร์เซนอลสามประตูในฤดูกาล 2003–04 (ของอ็องรีต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล, ของวีเยราต่อท็อตนัมฮอตสเปอร์) อยู่ในรายการประตูแห่งฤดูกาลที่จัดโดยผู้ชม เดอะพรีเมียร์ชิป ของไอทีวี[210] มีผู้เล่นอาร์เซนอลถูกไล่ออกจากสนามห้าคนในฤดูกาลนี้ ได้แก่ เจฟเฟอส์, วีเยรา, แคมป์เบลล์, โคล และคีโอน
- สัญลักษณ์
|
|
ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงการลงเล่นเป็นตัวสำรอง ผู้เล่นที่มีเครื่องหมายขีดและ † หมายถึง ผู้เล่นที่ออกจากสโมสรระหว่างฤดูกาล
หมาย เลข |
ตำแหน่ง | สัญชาติ | ชื่อ-สกุล | พรีเมียร์ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | คอมมิวนิตีชีลด์ | แชมเปียนส์ลีก | ทั้งหมด | การลงโทษ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||||||
1 | GK | เยอรมนี | เย็นส์ เลมัน | 38 | 0 | 5 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 10 | 0 | 54 | 0 | 3 | 0 |
3 | DF | อังกฤษ | แอชลีย์ โคล | 32 | 0 | 4 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 9 | 1 | 47 | 1 | 6 | 1 |
4 | MF | ฝรั่งเศส | ปาทริก วีเยรา | 29 | 3 | 5 | 0 | 2 | 0 | 1 | 0 | 6 (1) | 0 | 43 (1) | 3 | 13 | 1 |
5 | DF | อังกฤษ | มาร์ติน คีโอน | 3 (7) | 0 | 1 | 0 | 3 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 8 (7) | 0 | 1 | 1 |
7 | MF | ฝรั่งเศส | รอแบร์ ปีแร็ส | 33 (3) | 14 | 3 (1) | 1 | 0 | 0 | (1) | 0 | 10 | 4 | 46 (5) | 19 | 1 | 0 |
8 | MF | สวีเดน | เฟรดริก ยุงแบร์ย | 27 (3) | 4 | 4 | 4 | 0 | 0 | 1 | 0 | 8 (1) | 2 | 40 (4) | 10 | 2 | 0 |
9 | FW | อังกฤษ | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 1 | |
9 | FW | สเปน | โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส | 7 (6) | 2 | 2 (1) | 2 | 1 | 0 | 0 | 0 | 2 (2) | 1 | 12 (9) | 5 | 0 | 0 |
10 | FW | เนเธอร์แลนด์ | แด็นนิส แบร์คกัมป์ | 21 (7) | 4 | 3 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 4 (2) | 0 | 29 (9) | 5 | 2 | 0 |
11 | FW | ฝรั่งเศส | ซีลแว็ง วีลตอร์ | 8 (4) | 3 | 0 | 0 | 3 | 1 | (1) | 0 | 3 (1) | 0 | 14 (6) | 4 | 0 | 0 |
12 | DF | แคเมอรูน | โลแรน | 30 (2) | 0 | 5 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 8 | 0 | 45 (2) | 0 | 7 | 0 |
14 | FW | ฝรั่งเศส | ตีแยรี อ็องรี | 37 | 30 | 2 (1) | 3 | 0 | 0 | 1 | 1 | 10 | 5 | 50 (1) | 39 | 4 | 0 |
15 | MF | อังกฤษ | เรย์ พาร์เลอร์ | 12 (10) | 0 | 2 (1) | 0 | 3 | 0 | 1 | 0 | 4 (1) | 0 | 26 (12) | 0 | 8 | 0 |
16 | MF | เนเธอร์แลนด์ | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | |
17 | MF | บราซิล | เอดู | 12 (17) | 2 | 4 (1) | 1 | 4 | 1 | (1) | 0 | 7 (1) | 3 | 28 (20) | 7 | 5 | 0 |
18 | DF | ฝรั่งเศส | ปัสกาล ซีก็อง | 10 (8) | 0 | 0 | 0 | 3 | 0 | 0 | 0 | 2 (1) | 0 | 15 (9) | 0 | 2 | 0 |
19 | MF | บราซิล | ชิลเบร์ตู ซิลวา | 29 (3) | 4 | 3 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 5 (3) | 0 | 40 (6) | 4 | 5 | 0 |
22 | DF | ฝรั่งเศส | กาแอล กลีชี | 7 (5) | 0 | 1 (3) | 0 | 5 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 14 (8) | 0 | 1 | 0 |
23 | DF | อังกฤษ / จาเมกา | โซล แคมป์เบลล์ | 35 | 1 | 5 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 9 | 0 | 50 | 1 | 3 | 1 |
25 | FW | ไนจีเรีย | นวังโคว คานู | 3 (7) | 1 | 1 (2) | 0 | 4 | 2 | 0 | 0 | 1 (6) | 0 | 9 (15) | 3 | 0 | 0 |
27 | DF | กรีซ | สตาซิส ตัฟลารีดิส | 0 | 0 | 0 | 0 | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 3 | 0 | 1 | 0 |
28 | DF | โกตดิวัวร์ | โกโล ตูเร | 36 (1) | 1 | 4 (1) | 2 | 2 | 0 | 1 | 0 | 10 | 0 | 53 (2) | 3 | 6 | 0 |
30 | FW | ฝรั่งเศส / แอลจีเรีย | เฌเรมี อาลียาเดียร์ | 3 (7) | 0 | 1 | 0 | 3 | 0 | 0 | 4 | (1) | 0 | 7 (8) | 4 | 2 | 0 |
32 | FW | เช็กเกีย / กรีซ | มิคัล ปาปาโดปูโลส | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 |
33 | GK | ไอร์แลนด์ | เกรอัม สแต็ก | 0 | 0 | 0 | 0 | 5 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 5 | 0 | 0 | 0 |
39 | MF | อังกฤษ | เดวิด เบนต์ลีย์ | 1 | 0 | (2) | 1 | 4 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 5 (3) | 1 | 1 | 0 |
45 | DF | อังกฤษ | จัสติน ฮอยต์ | (1) | 0 | 0 | 0 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 2 (1) | 0 | 0 | 0 |
51 | DF | สหรัฐ | แฟรงก์ ซิเม็ก | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 |
52 | FW | อังกฤษ | จอห์น สไปเซอร์ | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 |
53 | MF | อังกฤษ | เจอโรม ทอมัส | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 (2) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 (2) | 0 | 0 | 0 |
54 | FW | กานา / เนเธอร์แลนด์ | ควินซี โอวูซู-อาเบยี | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 (2) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 (2) | 0 | 0 | 0 |
55 | MF | ไอซ์แลนด์ | โอว์ลาวืร์ อิญจี สกูลาซอน | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (1) | 0 | 0 | 0 |
56 | FW | อังกฤษ | ไรอัน สมิท | 0 | 0 | 0 | 0 | (3) | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | (3) | 0 | 0 | 0 |
57 | MF | สเปน | เซสก์ ฟาเบรกัส | 0 | 0 | 0 | 0 | 2 (1) | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 2 (1) | 1 | 0 | 0 |
แหล่งข้อมูล: [211]
รางวัล
[แก้]ในการยอมรับความสำเร็จของทีม แวงแกร์ได้รับรางวัลผู้จัดการแห่งปีของบาร์คลีย์การ์ด โฆษกของคณะกรรมการรางวัลกล่าวถึงการตัดสินว่า "อาร์แซน แวงแกร์เป็นผู้รับรางวัลนี้ที่คู่ควรอย่างยิ่ง และส่งทีมเขาสู่หนังสือประวัติศาสตร์ อาร์เซนอลเล่นฟุตบอลเชิงรุกที่น่าตื่นเต้นตลอดฤดูกาลและการจบฤดูกาลโดยไร้พ่ายเป็นปรากฏการณ์ที่อาจไม่ได้เห็นไปอีก 100 ปี"[212] อ็องรีได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอจากเพื่อนร่วมอาชีพ และนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน เขาเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นทั้งผู้เล่นแห่งปีของโลกฟีฟ่า 2003 และบาลงดอร์ 2003[213]
ผู้เล่นอาร์เซนอลสามคนได้รับรางวัลผู้เล่นพรีเมียร์ลีกประจำเดือน อ็องรีได้ในเดือนมกราคมและเมษายน 2004 และแบร์คกัมป์และเอดูได้รางวัลร่วมกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 หลังผู้ตัดสิน "รู้สึกว่าเหมาะสมที่เราจะให้รางวัลร่วม"[214] แวงแกร์เป็นผู้จัดการพรีเมียร์ลีกประจำเดือนสิงหาคม 2003 และกุมภาพันธ์ 2004[215]
ผลพวงและมรดก
[แก้]หนึ่งวันหลังนัดที่พบกับเลสเตอร์ซิตี อาร์เซนอลจัดการแห่ถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกบนรถโดยสารประจำทางเปิดประทุนต่อหน้าแฟนกว่า 250,000 คน[216] แห่ฉลองชัยเริ่มต้นจากไฮบรีไปสิ้นสุดที่ศาลากลางเมืองอิสลิงตัน ในเฉลียงของศาลากลาง วีเยรากล่าวต่อฝูงชนว่า "มันเป็นฤดูกาลวิเศษ เราทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือสำเร็จ แต่เราไม่สามารถทำได้หากปราศจากแฟน"[217] ในการสัมภาษณ์กับบีบีซี ดีนเสริมว่า "เราเห็นประวัติศาสตร์ถูกสร้าง และผมจะแปลกใจหากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเอกสิทธิ์จริง ๆ ที่ได้ชมอาร์เซนอลฤดูกาลนี้"[217]
ความสำเร็จไร้พ่ายของอาร์เซนอลตลอดฤดูกาลลีกได้รับการยกย่องจากผู้เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอล เดริก ชอว์ (Derek Shaw) ประธานสโมสรเพรสตันกล่าวแสดงความยินดีเมื่ออาร์เซนอลทำสถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาลเช่นเดียวกับสโมสรของเขาทำไว้เมื่อ 115 ปีก่อน[218] ชาวบราซิล โรแบร์ตู การ์ลุส เปรียบเทียบลีลาการเล่นของอาร์เซนอลกับ "ฟุตบอลแซมบา" ส่วนมีแชล ปลาตีนีปรบมือให้กับ "ความสามารถและสปิริตยิ่งใหญ่" ของทีม อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล จอร์จ เกรอัม ยกความสำเร็จให้การการปรับปรุงเกมรับ เนื่องจากความผิดพลาดในฤดูกาลที่แล้วมีราคาแพงและอดีตกองหน้า อลัน สมิท รู้สึกว่าทีมชุดนี้ "ดีที่สุดเท่าที่ไฮบรีเคยเห็นแน่นอน"
–อาร์แซน แวงแกร์, กันยายน 2009[219]
สื่อบริติชยกย่องความสำเร็จของอาร์เซนอลเป็นเอกฉันท์เมื่อใกล้จบฤดูกาล นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ เขียนว่าทีมนี้เป็น "อมตชน" ส่วน เดอะซันเดย์ไทมส์ ขึ้นพาดหัว "อาร์เซนอลไร้พ่ายทีมใหม่"[220] ในการสะท้อนทางบวกของฤดูกาลอาร์เซนอล เกล็น มัวร์ เขียนใน ดิอินดิเพนเดนต์ ว่า "ฉะนั้นอาจมีความจริงบ้างในประกาศของอาร์แซน แวงแกร์ว่าความสำเร็จของอาร์เซนอลเป็นชัยยิ่งใหญ่กว่าชนะแชมเปียนส์ลีก การเฉลิมฉลองยาวนานของอาร์เซนอลสะท้อนขนาดของหลักหมุดนี้ กระนั้นเมื่อพวกเขาสะท้อนในช่วงพักฤดูร้อน ผู้เล่นกี่คนจะเห็นด้วยกับแวงแกร์"[221]
หลังจากนั้นพรีเมียร์ลีกสั่งทำถ้วยรางวัลถอดแบบสีทองครั้งเดียว มีการมอบให้อาร์เซนอลก่อนเกมเหย้าเกมแรกในฤดูกาลถัดมา[222][223] ทีมยังทำลายสถิติไม่แพ้ในลีก 42 นัด (ของน็อตติงแฮมฟอร์เรสต์) ต่อแบล็กเบิร์นโรเวอส์ และเล่นอีกเจ็ดนัดก่อนแพ้ ในนัดเยือนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม 2004[224] แม้อาร์เซนอลได้แชมป์เอฟเอคัพจากแข่งยิงจุดโทษกับยูไนเต็ด แต่พวกเขาได้ที่สองตามหลังเชลซีในลีก[225] การย้ายไปเอมิเรตส์สเตเดียมในปี 2006 ตรงกับระยะเปลี่ยนผ่านของสโมสร ตัวจริงมากประสบการณ์หลายคนถูกเปลี่ยนตัวเป็นเยาวชนและลีลาการเล่นเปลี่ยนไปเน้นครองบอลมากขึ้น[226] นับแต่นั้นอาร์เซนอลไม่เคยคว้าแชมป์ลีกอีก กระนั้นยังมีตำแหน่งในแชมเปียนส์ลีกทุกปีภายใต้การคุมทีมของแวงแกร์[227]
การคว้าแชมป์ที่ไวต์ฮาร์ตเลนอยู่อันดับสามในรายการ 50 ขณะยิ่งใหญ่ที่สุดของอาร์เซนอล และผลงานที่ซานซีโรอยู่ในอันดับที่ 10;[228] ในปี 2012 ทีมอาร์เซนอลฤดูกาล 2003–04 ชนะหมวด "ทีมยอดเยี่ยม" ในรางวัล 20 ฤดูกาลพรีเมียร์ลีก[229]
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ ก่อนเริ่มฤดูกาลลีก แวงแกร์บอกผู้สื่อข่าวว่า "ไม่มีใครจะจบอันดับเหนือกว่าเราในลีก มันจะไม่ทำให้ผมประหลาดใจถ้าพวกเราไม่แพ้ตลอดฤดูกาล"[5]
- ↑ ในปี 2005 ตระกูลเกลเซอร์ได้ซื้อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยมูลค่า 800 ล้านปอนด์[11]
- ↑ ตำแหน่งที่ทำนายเฉลี่ยของผู้เขียนริชาร์ด วิลเลียมส์, เควิน แม็กคาร์รา, ไมเคิล วอล์กเกอร์, แดเนียล เทย์เลอร์, ดอมินิก ฟิฟีลด์, จอน บรอดกิน, และรอน แอตคินสัน
- ↑ เกิดความลำบากในการระดมเงินสด อาร์เซนอลจึงริเริ่มแผนพันธบัตรในฤดูร้อนปี 2003 ซึ่งให้ผู้สนับสนุนมีสิทธิซื้อตั๋วรายปี (season ticket) ที่ไฮบรีและที่สนามกีฬาใหม่ เช่นเดียวกับการมีสิทธิได้รับเงินปันผลไม่เกิน 100 ปอนด์ต่อฤดูกาลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของอาร์เซนอลในอีกห้าปีข้างหน้า มีการออกพันธบัตร 3,000 พันธบัตรราคาตั้งแต่ 3,500 ถึง 5,000 ปอนด์ อาร์เซนอลเคยมีแผนคล้ายกันในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 เพื่อเพิ่มรายได้สำหรับเทอร์เรสนอร์ทแบงก์ปรับปรุงใหม่ที่ไฮบรี ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าคิดราคาแพงจนผู้ไม่ร่ำรวยดูเกมไม่ได้ แผนครั้งแรกประสบความสำเร็จพอสมควรโดยสามารถขายพันธบัตรได้หนึ่งในสามของทั้งหมด อาร์เซนอลระดมเงินได้หลายล้านปอนด์ผ่านแผนครั้งที่สอง แม้ไม่เปิดเผยจำนวนผู้ซื้อ[23] นอกจากนี้ยังไม่เคยเจาะจงว่าใช้เงินนี้กับทีมหรือจัดหาเงินทุนแก่สนามกีฬา[24]
- ↑ เฟอร์ดินานด์ถูกพบว่ามีความผิดฐานประพฤติมิชอบหลังไม่ผ่านการทดสอบสารเสพติด ในเดือนธันวาคม 2003 เขาถูกห้ามลงแข่งฟุตบอลทุกประเภทแปดเดือน[131] การอุทธรณ์คำสั่งห้ามของยูไนเต็ดในอีกหลายเดือนต่อมาไม่สำเร็จ ต่อมาเฟอร์กูสันอ้างว่าการขาดเฟอร์ดินานด์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก[132]
- ↑ สองสโมสรดังกล่าวสร้างสถิติไม่แพ้ทีมใดในฤดูกาลลีก 42 และ 40 นัดตามลำดับ[143][144][145] แม้เพรสตันนอร์ทเอนด์เป็นฝั่งอังกฤษทีมแรกที่จบฤดูกาลโดยไม่แพ้ แต่ฤดูกาลนั้นเล่นเพียง 22 นัด[146]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Arsenal first team line up (2003–04)". The Arsenal History. สืบค้นเมื่อ 19 March 2013. Note: Information is in the section 2003–04. Attendances of friendlies not taken into account in average.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 McCarra, Kevin (26 April 2004). "Unbeaten champions earn a place in history". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013.
- ↑ 3.0 3.1 Fletcher, Paul (4 May 2003). "Ten weeks that turned the title". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 11 February 2012.
- ↑ Wilson, Paul (18 May 2003). "Pires aim is true for muted Gunners". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 23 June 2012.
- ↑ Clavan, Anthony (18 August 2002). "We won't lose a game". Sunday Mirror. London. p. 80.
- ↑ "Arsenal can go unbeaten all season, says Wenger". CNNSI.com. Associated Press. 20 September 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-04. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010.
- ↑ Fifield, Dominic (21 October 2002). "Youngest goalscorer gets into the habit of wrecking records". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 16 June 2012.
- ↑ Burt, Jason (4 May 2003). "United the champions as Arsenal collapse". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 8 July 2016.
- ↑ Arsenal boss Arsène Wenger (Radio). London: BBC. 4 May 2003.
- ↑ "Russian businessman buys Chelsea". BBC News. 2 July 2003. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010.
- ↑ Burt, Jason (2 March 2013). "Arsenal poised to be subjected to £1.5bn takeover bid from Middle East consortium within the next few weeks". The Sunday Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 30 June 2013.
- ↑ King, Daniel (19 July 2003). "Can football ever be the same now Chelsea have this Russian's fortune to spend?". Daily Mail. London. pp. 114–115.
- ↑ Fifield, Dominic (2 February 2011). "Arsène Wenger blasts Chelsea for hypocrisy over £75m transfer spree". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 June 2013.
- ↑ Hart, Michael; Dyer, Ken (19 July 2003). "Hands off Henry". Evening Standard. London. pp. 63–64.
- ↑ "Guardian writers predict the season's winners and losers". The Guardian. London. 16 August 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
- ↑ Ingle, Sean; Murray, Scott; Harper, Nick; Rookwood, Dan (15 August 2003). "The amazing (and probably inaccurate) Guardian Unlimited Premiership predictor". theguardian.com. สืบค้นเมื่อ 30 June 2013.
- ↑ 17.0 17.1 Moore, Glenn (16 August 2003). "Liverpool have the team to lift the crown". The Independent. London. p. S1.
- ↑ Hayes, Alex (10 August 2003). "Bolt from the Blues: Chelsea enrich the Premiership picture". The Independent on Sunday. London. p. S7.
- ↑ "Special review: Predictions". The Observer. London. 10 August 2003. p. S7.
- ↑ "Arsenal". The Sunday Times. 10 August 2003. p. S12.
- ↑ "Preview". Sunday Tribune. Dublin. 10 August 2003. p. S6–7.
- ↑ Cass, Simon (29 July 2003). "I won't be bringing in anyone else, says Wenger". Daily Mail. London. p. 68.
- ↑ Conn (2005), p. 69.
- ↑ Simons, Raoul (7 May 2003). "Arsenal fans give bond plan cold reception". Evening Standard. London. p. 70.
- ↑ Kempson, Russell (13 August 2003). "Vieira and Pires put end to speculation". The Times. สืบค้นเมื่อ 20 August 2009. (ต้องรับบริการ)
- ↑ Melling, Joe (19 July 2003). "Of course, it can as Fergie knows". Mail on Sunday. London. p. 111.
- ↑ "Team-by-team guide to the Premiership". The Independent. London. 16 August 2003. pp. 13–15.
- ↑ 28.0 28.1 "Jeffers joins Everton". BBC Sport. 1 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010.
- ↑ Hodges, Andy (27 August 2003). "Wenger goes Dutch in forward planning". The Independent. London. p. 26.
- ↑ "Fussball". Tages-Anzeiger. Zurich. 19 July 2003. p. 37.
- ↑ Edgar, Bill (29 April 2004). "Wenger goes Dutch in forward planning". The Times. p. 51.
- ↑ Booth, Martin (24 August 2003). "Wenger: Title is top priority". Sunday Mirror. London. p. 93.
- ↑ Hart, Michael (8 August 2003). "I've no reason to be pessimistic". Evening Standard. London. pp. 74–75.
- ↑ "Title rivals have their say". BBC Sport. 11 August 2003. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010.
- ↑ Paskin, Tony (28 July 2003). "Europe is out of our league says Campbell". Daily Express. London. p. 61.
- ↑ "Arsenal home kits". Arsenal F.C. 22 กุมภาพันธ์ 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2016.
- ↑ "Shades of 1971 for Arsenal". Evening Standard. London. 14 July 2003. p. 68.
- ↑ "Arsenal away kits". Arsenal F.C. 10 กรกฎาคม 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2016.
- ↑ "Arsenal sign Swiss defender". BBC Sport. 20 December 2002. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010.
- ↑ Martin, Neil (26 July 2003). "Lehmann ends Arsenal's goalkeeper search". The Guardian. London. p. S6.
- ↑ "Djourou reveals his desire to get nasty and cement a first-team place". The Guardian. London. 31 December 2008. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010.
- ↑ "Arsenal sign Clichy". BBC Sport. 4 August 2003. สืบค้นเมื่อ 3 August 2010.
- ↑ "Football: Young Gunner". Daily Mirror. London. 20 August 2003. p. 51.
- ↑ "Reyes passes Arsenal medical". BBC Sport. 28 January 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010.
- ↑ "Arsenal sign Van Persie". BBC Sport. 28 April 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010.
- ↑ Madill, Rob (30 May 2003). "Football: Bright move Graham". Coventry Evening Telegraph. p. 80.
- ↑ "Seaman to join Man City". BBC Sport. 4 June 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010.
- ↑ Halford, Brian (22 July 2003). "Luzhny can't wait to start". Birmingham Evening Mail. p. 45.
- ↑ "In brief: Warmuz leaves Arsenal for Dortmund". The Independent. London. 28 July 2003. p. 24.
- ↑ "Window shopping". Daily Mail. London. 17 January 2004. p. 93.
- ↑ "Cercle Bruges set to become feeder club for Blackburn". The Independent. London. 27 February 2004. p. 61.
- ↑ "Window of opportunity – The Premiership's arrivals and departures this summer". The Independent. London. 2 September 2003. p. 24.
- ↑ "Juan, details and stats". Soccerbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-01. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010.
- ↑ 54.0 54.1 "Sebastian Svärd, details and stats". Soccerbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-07. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010.
- ↑ "Fulham's volz deal". Daily Mirror. London. 8 August 2003. p. 69.
- ↑ "Phillips takes pay cut to join Saints". Daily Mail. London. 15 August 2003. p. 91.
- ↑ "Pennant completes Leeds switch". BBC Sport. 20 August 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010.
"Pennant extends Leeds stay". BBC Sport. 19 April 2004. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010. - ↑ "Van Bronckhorst moves". The Irish Times. Dublin. 27 August 2003. p. 25.
- ↑ "Transfers – January 2004". BBC Sport. 18 January 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2013.
"Target Srnicek". Daily Mirror. London. 17 February 2004. p. 55. - ↑ Carrick, Charles (12 July 2003). "Scare for Arsenal". The Daily Telegraph. London. p. S5.
- ↑ "Barnet 0–0 Arsenal". BBC Sport. 19 July 2003. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013.
- ↑ Hayward, Paul (16 August 2011). "Manchester City midfielder Yaya Toure the one who got away for Arsenal manager Arsene Wenger". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013.
- ↑ Stiles, Adrian (6 July 2003). "Arsenal in rapid return". Daily Star. London. p. 73.
- ↑ 64.0 64.1 Stammers, Steve (23 July 2003). "Wenger takes sick leave as Gunners scrape a draw". Evening Standard. London. p. 60.
- ↑ "Football: Dennis is a Happy Kamper". Daily Mirror. London. 26 July 2003. p. 68.
- ↑ Stammers, Steve (29 July 2003). "Vieira poised to play after topping the foreign legion". Evening Standard. London. p. 56.
- ↑ Sheehan, Pat (30 July 2003). "Wenger: My underdogs". The Sun. London. p. 61.
- ↑ 68.0 68.1 Driscoll, Matt (3 August 2003). "Pat's magic". News of the World. London. p. S6.
- ↑ 69.0 69.1 Irvine, Neil (3 August 2003). "Vieira returns to fray". The Sunday Telegraph. London. p. S6.
- ↑ Reynolds, Lee (6 August 2003). "Vieira all the range". Daily Mirror. London. p. 45.
- ↑ "0:2 gegen die Gunners". FK Austria Wien (ภาษาเยอรมัน). 25 July 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2003. สืบค้นเมื่อ 19 February 2012.
- ↑ Bradley, Nick (11 August 2003). "Howard's way is spot on as Reds lift Shield". Irish News. Dublin. p. 19.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 "Man Utd win Community Shield". BBC Sport. 10 August 2003. สืบค้นเมื่อ 13 August 2013.
- ↑ 74.0 74.1 Grant, Alistair (11 August 2003). "Less appetite for Shield – Wenger". Coventry Evening Telegraph. p. 47.
- ↑ "Frequently asked questions about the F.A. Premier League". Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2003. สืบค้นเมื่อ 27 July 2013.
- ↑ "TV Games". The Sun. London. 26 July 2003. p. 40.
- ↑ "Campbell off in Arsenal win". BBC Sport. 16 August 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (25 August 2003). "Arsenal get back to full power". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (28 August 2003). "Arsenal clamber back to the summit". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ 80.0 80.1 Dickinson, Matt (1 September 2003). "Wenger's blast lifts Arsenal". The Times. p. S13.
- ↑ "English Premier League table, 31-08-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 July 2013. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ 82.0 82.1 82.2 Malam, Colin (14 September 2003). "Portsmouth pass quality test". The Sunday Telegraph. London. p. S2.
- ↑ "Pires: I am not a cheat". BBC Sport. 15 September 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ 84.0 84.1 84.2 84.3 "Deadlock at Old Trafford". BBC Sport. 21 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013.
- ↑ "Eight charged after bust-up". BBC Sport. 24 September 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- ↑ "Arsenal players banned". BBC Sport. 30 October 2003. สืบค้นเมื่อ 14 April 2014.
- ↑ "Arsenal down battling Newcastle". BBC Sport. 26 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013.
- ↑ Ley, John (2 December 2003). "Vieira back for Arsenal after injury 'nightmare'". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013.
- ↑ Lynam, Des (presenter) (5 October 2003). The Premiership [Liverpool 1–2 Arsenal] (Television production). ITV Sport. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 09:27:07 am to 09:37:46 am.
- ↑ 90.0 90.1 "Owen injured in Arsenal win". BBC Sport. 4 October 2003. สืบค้นเมื่อ 26 July 2013.
- ↑ 91.0 91.1 91.2 91.3 Kay, Oliver (6 October 2003). "Arsenal up for a fight". The Times. p. S11.
- ↑ "English Premier League table, 05-10-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Dickinson, Matt (20 October 2003). "Cudicini slip keeps Arsenal in control". The Times. p. S10.
- ↑ "English Premier League table, 20-10-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Winter, Henry (20 October 2003). "Mixed-up Chelsea crumble in the face of Arsenal unity". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 26 July 2013.
- ↑ Edgar, Bill (27 October 2003). "Henry to the rescue again for Arsenal". The Times. p. S12.
- ↑ "English Premier League table, 26-10-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Thomson, Paul (31 October 2003). "Pennant: I will not go easy on Cole". Evening Standard. London. p. 83.
- ↑ Broadbent, Rick (3 November 2003). "Beauty tames Reid's beast". The Times. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013. (ต้องรับบริการ)
- ↑ Samuel, Martin (2 November 2003). "So poor for Reid". News of the World. London. p. 53.
- ↑ Cross, John (8 November 2003). "Sol: Spurs is just another game..I've moved on". Daily Mirror. London. p. 77.
- ↑ 102.0 102.1 Wilson, Paul (9 November 2003). "Freddie flatters Gunners". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013.
- ↑ "Match Report – Arsenal v Tottenham Hotspur". Arsenal F.C. 21 พฤษภาคม 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2016.
- ↑ "Chelsea thump sorry Magpies". BBC Sport. 9 November 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
"English Premier League table, 09-11-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มีนาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013. - ↑ "Arsenal stay top". BBC Sport. 22 November 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
- ↑ 106.0 106.1 Szczepanik, Nick (24 November 2003). "Arsenal kept flying at altitude by Bergkamp". The Times. p. S8.
- ↑ Szczepanik, Nick (1 December 2003). "Van Der Sar ensures Highbury hangover". The Times. p. S8.
- ↑ Lacey, David (1 December 2003). "Van der Sar puts brake on Arsenal juggernaut". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013.
- ↑ Dickinson, Matt (1 December 2003). "Money men at Chelsea make a quick profit". The Times. p. S12.
- ↑ Townsend, Nick (7 December 2003). "Hignett makes the Gunners pay for self-inflicted wound". The Independent on Sunday. London. p. S2.
- ↑ 111.0 111.1 "Cole apologises for dismissal". BBC Sport. 6 December 2003. สืบค้นเมื่อ 29 July 2013.
- ↑ Moore, Glenn (15 December 2003). "Tired Arsenal are indebted to Bergkamp". The Independent. London. p. 32.
- ↑ 113.0 113.1 Caulkin, George (22 December 2003). "Allardyce lifting the spirit". The Times. p. S10.
- ↑ "Arsenal 3–0 Wolves". BBC Sport. 26 December 2003. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ 115.0 115.1 Broadbent, Rick (30 December 2003). "Arsenal's French connection keep the pressure on United". The Times. p. 36.
- ↑ "English Premier League table, 29-12-2003". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013.
- ↑ "Everton 1–1 Arsenal". Arsenal F.C. 4 January 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 14 April 2014.
- ↑ Fifield, Dominic (8 January 2004). "Radzinski checks Arsenal's stride". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013.
- ↑ "Bolton 1–2 Man Utd". BBC Sport. 6 January 2004. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ 120.0 120.1 Lawrence, Amy (11 January 2004). "Henry enjoys toying with satanic Mills". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013.
- ↑ Samuel, Martin (11 January 2004). "Trouble at mills". News of the World. London. p. S2.
- ↑ 122.0 122.1 McCarra, Kevin (19 January 2004). "Henry's speed of thought catches Villa cold". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ "English Premier League table, 19-01-2004". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 เมษายน 2014. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Broadbent, Rick (9 February 2004). "Artistic Arsenal leave Wolves on the canvas". The Times. p. S8.
- ↑ McCarra, Kevin (2 February 2004). "Anelka spoils the portrait of Arsenal's three ages". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ 126.0 126.1 Thomas, Russell (9 February 2004). "They break records, they win games. But is it enough for Arsenal?". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ Winter, Henry (11 February 2004). "Henry puts Arsenal in clear". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ "English Premier League table, 10-02-2004". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Clarke, Richard (21 February 2004). "Chelsea 1–2 Arsenal". Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016.
- ↑ 130.0 130.1 130.2 McCarra, Kevin (23 February 2004). "Gunners turn ugly and hit new heights". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ "Ferdinand banned for eight months". BBC Sport. 19 December 2003. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013.
- ↑ Wallace, Sam (18 September 2004). "Ferguson still sore at loss of Ferdinand". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 4 August 2013.
- ↑ Dickinson, Matt (23 February 2004). "Ranieri heads for exit". The Times. p. S10.
- ↑ Mitchell, Kevin (29 February 2004). "Henry stars for leading lights". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
- ↑ "English Premier League table, 29-02-2004". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 เมษายน 2014. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Wilson, Paul (14 March 2004). "Henry graft pushes Gunners on". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 4 August 2013.
- ↑ Harris, Chris (20 March 2004). "Arsenal 2–1 Bolton Wanderers". Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016.
- ↑ 138.0 138.1 Dickinson, Matt (22 March 2004). "Arsenal get the jitters". The Times. p. S8.
- ↑ Lawton, James (27 March 2004). "Old Trafford was Arsenal's turning point". The Independent. London. p. 77.
- ↑ "Arsenal 1–1 Manchester United". Arsenal F.C. 28 March 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 21 August 2016.
- ↑ 141.0 141.1 141.2 Winter, Henry (29 March 2004). "Arsenal let United off the hook". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013.
- ↑ Keys, Richard (presenter); Tomlinson, Clare (interviewer) (28 March 2004). Ford Super Sunday: Arsenal vs. Manchester United [Post match thoughts of Manchester United manager, Sir Alex Ferguson] (Television production). Sky Sports.
- ↑ "Arsenal's unbeaten run". Evening Standard. London. 9 May 2004. สืบค้นเมื่อ 21 August 2016.
- ↑ "Season 1973–74". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 21 August 2016.
- ↑ "Season 1987–88". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 21 August 2016.
- ↑ "First unbeaten football Premier League season". Guinness World Records. สืบค้นเมื่อ 21 August 2016.
- ↑ McCarra, Kevin (29 March 2004). "Saha accepts a rare gift as United steal Arsenal's thunder". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013.
- ↑ "English Premier League table, 28-03-2004". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2013.
- ↑ 149.0 149.1 149.2 Winter, Henry (10 April 2004). "Henry reignites Arsenal". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 6 August 2013.
- ↑ "Arsenal 4–2 Liverpool". BBC Sport. 9 April 2004. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013.
- ↑ "Newcastle 0–0 Arsenal". BBC Sport. 11 April 2004. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013.
- ↑ Brodkin, Jon (17 April 2004). "Henry's awesome foursome caps a broadside from the Gunners". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 6 August 2013.
- ↑ Thompson, Georgie (narrator) (15 May 2004). The Premiership Years (Television production). Sky Sports. 89:52 นาที.
- ↑ 154.0 154.1 Clarke, Richard (20 พฤษภาคม 2004). "Tottenham 2–2 Arsenal". Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2016.
- ↑ Winter, Henry (26 April 2004). "Champions revel in title success". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013.
- ↑ "Wenger hails Arsenal unity". BBC Sport. 25 April 2004. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013.
- ↑ Brodkin, Jon (3 May 2004). "Arsenal coasting to the line and their place in history". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
- ↑ "Portsmouth 1–1 Arsenal". BBC Sport. 4 May 2004. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
- ↑ "English Premier League table, 04-05-2004". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2013.
- ↑ Burnton, Simon (10 May 2004). "Reyes puts Arsenal within one step of heaven". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013.
- ↑ Lawrence, Amy (16 May 2004). "Vintage Bergkamp uncorks Wenger's premier crew". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 20 August 2009.
- ↑ "Arsenal – 2003–04". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ "Arsenal – 2003–04". Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ "On This Day: 'FA Challenge Cup' born on 20 July 1871". The FA. 20 July 2014. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016.
- ↑ "The Cup's magic returns". BBC Sport. 25 October 2000. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016.
- ↑ "Rules of The FA Cup Challenge Cup". The FA. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016.
- ↑ "Gunners make it four-midable". The Sun. London. 3 January 2004. p. 74.
- ↑ "FA Cup Fifth Round on BBC One". BBC Press Office. 5 February 2004. สืบค้นเมื่อ 9 September 2013.
- ↑ "FA Cup Quarter-finals live on BBC One". BBC Press Office. 17 February 2004. สืบค้นเมื่อ 9 September 2013.
- ↑ Nancarrow, Keith (3 April 2004). "Giggs fits the bill to put one over Gunners". The Sun. London. p. 68.
- ↑ 171.0 171.1 Davies, Christopher (1 January 2004). "Arsenal finish first half with a zero from hero". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 12 August 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (3 January 2004). "Hat-trick stimulus raises the stakes for Wenger's men". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 12 August 2013.
- ↑ "FA Cup third round draw". BBC Sport. 17 December 2003. สืบค้นเมื่อ 1 May 2012.
- ↑ 174.0 174.1 174.2 "Leeds 1–4 Arsenal". BBC Sport. 4 January 2004. สืบค้นเมื่อ 2 May 2012.
- ↑ 175.0 175.1 175.2 175.3 "Arsenal 4–1 Middlesbrough". BBC Sport. 24 January 2004. สืบค้นเมื่อ 2 May 2012.
- ↑ 176.0 176.1 176.2 "Arsenal 2–1 Chelsea". BBC Sport. 15 February 2004. สืบค้นเมื่อ 4 May 2012.
- ↑ 177.0 177.1 McCarra, Kevin (8 March 2004). "Arsenal conjure up images of Ajax". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 26 June 2013.
- ↑ Neville, Gary (3 April 2004). "Now for the match United dare not lose". The Times. สืบค้นเมื่อ 4 September 2013. (ต้องรับบริการ)
- ↑ McCarra, Kevin (5 April 2004). "Scholes shows United's fight and Arsenal's fallibility". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 8 September 2013.
- ↑ Parkes, Ian (15 October 1997). "Graham sees no benefit in fielding below-par teams". The Independent. London. p. 32.
- ↑ "United kids needed cup says Albiston". The Independent. London. 16 October 1997. สืบค้นเมื่อ 15 August 2013.
- ↑ Irwin, Mark (14 October 1997). "The Joker-Cola Cup; Wenger and Fergie leave out 19 stars to spark league fury". The Mirror. London. pp. 4, 37.
- ↑ Soleim, Markus (15 February 2016). "England 2003–04". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 8 July 2016.
- ↑ "Rules". English Football League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2016.
- ↑ "Carling Cup draw". BBC Sport. 27 September 2003. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016.
- ↑ "Appearances/Attendances". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 30 January 2012.
- ↑ 187.0 187.1 "Arsenal 1–1 Rotherham". BBC Sport. 28 October 2003. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ Haylett, Trevor (3 December 2003). "Arsenal's reserves of strength". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ 189.0 189.1 Winter, Henry (17 December 2003). "Referee helps the Arsenal second string finish first". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ Brodkin, Jon (21 January 2004). "Juninho gives Middlesbrough a leg up". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ 191.0 191.1 Walker, Michael (4 February 2004). "Boro have history within their grasp". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ 192.0 192.1 "Football's top club competition". UEFA.com. สืบค้นเมื่อ 19 August 2016.
- ↑ "Wenger predicts even bigger Champions' League". Hürriyet Daily News. Istanbul. 22 October 1997. สืบค้นเมื่อ 19 August 2016.
- ↑ 194.0 194.1 McCarra, Kevin (17 September 2003). "Home has to be sweet for Arsenal". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 August 2016.
- ↑ "Man Utd face Rangers". BBC Sport. 28 August 2003. สืบค้นเมื่อ 3 November 2013.
- ↑ Rodgers, Martin (30 August 2003). "Man to Mann". Daily Mirror. London. สืบค้นเมื่อ 3 November 2013.
- ↑ "Inter stun Gunners". BBC Sport. 17 September 2003. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ "Wenger defiant in defeat". BBC Sport. 18 September 2003. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ Brodkin, Jon (1 October 2003). "Cole header keeps Arsenal afloat". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ Scott, Matt (22 October 2003). "Arsenal back on the right track". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (6 November 2003). "Cole header keeps Arsenal afloat". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ Winter, Henry (26 November 2003). "Goal blitz re-ignites Arsenal's campaign". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (11 December 2003). "Stylish Arsenal cruise through". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
- ↑ Lawrence, Amy (22 February 2004). "History on the side of Antic". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 8 July 2016.
- ↑ Brodkin, Jon (25 February 2004). "Spanish hoodoo banished by Pires". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ "Arsenal 2–0 Celta Vigo". BBC Sport. 10 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ "English clubs to meet". BBC Sport. 12 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ "Wenger targets victory". BBC Sport. 24 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ McCarra, Kevin (7 April 2004). "Chelsea tear heart out of Gunners". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ Lynam, Des (presenter) (15 May 2004). The Premiership [Goal of the Season competition] (Television production). ITV Sport. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 00:08.25 am to 00:13:00 am.
- ↑ "Arsenal squad statistics – 2003/04". ESPN FC. สืบค้นเมื่อ 10 April 2004.
- ↑ Pearson, James (17 May 2004). "Gunners duo land more awards". Sky Sports. สืบค้นเมื่อ 14 January 2012.
- ↑ "Nedved: Henry deserved to win". Evening Standard. London. 23 December 2003. สืบค้นเมื่อ 5 October 2013.
- ↑ "Arsenal treble". Evening Times. Glasgow. 13 March 2004. p. 40.
- ↑ "Manager profile, Arsene Wenger". Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-09-18. สืบค้นเมื่อ 10 July 2016.
- ↑ Brodkin, Jon (17 May 2004). "'I would love to win title and Champions League together'". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ 217.0 217.1 "Arsenal savour title glory". BBC Sport. 16 May 2004. สืบค้นเมื่อ 25 August 2010.
- ↑ "Preston applaud Arsenal". BBC Sport. 17 May 2004. สืบค้นเมื่อ 25 August 2010.
- ↑ "Wenger has 'no plans to retire'". BBC Sport. 24 September 2009. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ "Media praise for "Invincibles"". BBC Sport. 17 May 2004. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ Moore, Glenn (17 May 2004). "Wenger's invincibles need European success". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010.
- ↑ "Arsenal given 'special trophy'". Daily Mail. London. 18 May 2004. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ Hytner, David (24 August 2004). "Gunners spirit is untouchable". Daily Express. London. p. 61.
- ↑ McCarra, Kevin (26 August 2004). "Henry launches Arsenal to record mark". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010.
- ↑ Hughes, Rob (22 พฤษภาคม 2005). "Time for Wenger to ring changes". The Sunday Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2013. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013. (ต้องรับบริการ)
- ↑ Williams, Richard (28 May 2009). "Barcelona's triumph holds hope for Arsène Wenger's brand of football". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ Fifield, Dominic (29 April 2016). "Arsène Wenger reveals he rejected Real, Barcelona and Manchester City". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 10 July 2016.
- ↑ "Greatest 50 Moments". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
- ↑ "Arsenal's 'Invincibles' voted greatest Premier League team". BBC Sport. 15 May 2012. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
บรรณานุกรม
[แก้]- Conn, David (2005). The Beautiful Game?: Searching for the Soul of Football. London: Random House. ISBN 1-4464-2042-6.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Tribute to the Invincibles at Arsenal.com