วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์
วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์ | |||||
---|---|---|---|---|---|
ยุวกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก | |||||
พระบรมสาทิสลักษณ์ภาพเฟรสโกในโบสถ์นักบุญเบ็นท์ ริงสเต็ด | |||||
ยุวกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก | |||||
ครองราชย์ | 1215 – 28 พฤศจิกายน 1231 | ||||
พระมหากษัตริย์พระองค์ใหญ่ | พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | ||||
พระราชสมภพ | ราวค.ศ. 1209 | ||||
สวรรคต | 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1231 เรฟเน ใกล้เมืองคาลุนด์บอร์ก, เดนมาร์ก | (22 ปี)||||
ฝังพระศพ | โบสถ์นักบุญเบ็นท์, ริงสเต็ด, เดนมาร์ก | ||||
คู่อภิเษก | ลียูโนร์แห่งโปรตุเกส | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | แอสตริดเซน | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | ||||
พระราชมารดา | ดักมาร์แห่งโบฮีเมีย | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์ (เดนมาร์ก: Valdemar den Unge; ราวค.ศ. 1209 - 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1231) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1218 จนกระทั่งสวรรคต
วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์กกับพระมเหสีพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงดักมาร์แห่งโบฮีเมีย พระองค์สวรรคตก่อนพระราชบิดาจึงไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว บางครั้งมีการขานพระนามของพระองค์ว่า พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 3 ตามที่จารึกบนโลงพระบรมศพใน ละติน: Waldemarus Tertius Rex Daniae, Filius Waldemari Secundi "วัลเดมาร์ที่ 3 พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก โอรสในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2" แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วในเวลาต่อมา วัลเดมาร์แห่งชเลสวิกจะเถลิงราชย์เป็นพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 3 ก็ตาม
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
[แก้]ธรรมเนียมพระยศของ พระเจ้าวัลเดมาร์ | |
---|---|
ตราประจำพระอิสริยยศ | |
การทูล | Hans Majestæt (ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท) |
การแทนตน | ข้าพระพุทธเจ้า |
การขานรับ | Deres Majestæt (พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ) |
เจ้าชายวัลเดมาร์ประสูติในปีค.ศ. 1209[1] เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของกษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 ที่ประสูติแต่พระราชินีดักมาร์ พระมเหสีองค์แรก พระราชินีดักมาร์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สองซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อแรกประสูติเช่นกันในปีค.ศ. 1212 ทำให้กษัตริย์ทรงเป็นม่ายพร้อมพระโอรสวัยเยาว์ พระราชินีดักมาร์เป็นราชินีที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเดนมาร์ก ด้วยความเคร่งศาสนาและความมีพระเมตตาต่อประชาชนคนธรรมดา
กษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 อภิเษกสมรสใหม่กับเจ้าหญิงบึเร็งการียาแห่งโปรตุเกส การอภิเษกสมรสครั้งนี้ทำให้ทรงมีพระอนุชาและพระขนิษฐาต่างพระชนนีได้แก่ เจ้าชายอีริค, เจ้าหญิงโซฟี, เจ้าชายอเบล และเจ้าชายคริสตอฟเฟอร์ พระมารดาเลี้ยงของเจ้าชายวัลเดมาร์เป็นสตรีผู้ทรงพระสิริโฉมและหยิ่งยะโส พระนางไม่เป็นที่นิยมและถูกดูหมิ่นจากชาวเดนมาร์ก ด้วยการเปรียบเทียบกับอดีตพระราชินีดักมาร์ เมื่อพระราชินีเบ็งเจิร์ด หรือ บึเร็งการียา สิ้นพระชนม์ขณะมีพระประสูติกาลในปีค.ศ. 1221 กษัตริย์วัลเดมาร์ก็ไม่ทรงอภิเษกสมรสใหม่อีก
ยุวกษัตริย์
[แก้]ในการประชุมกับผู้มีอิทธิพลในเดนมาร์ก ที่กษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 ทรงจัดขึ้นที่แซมเซอ ในปีค.ศ. 1215 ทุกคนสาบานที่จะถวายความจงรักภักดีต่อเจ้าชายวัลเดมาร์ และหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ร่วมแห่งเดนมาร์กที่วีบอร์ก ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติดั้งเดิมของราชวงศ์กาเปเซียงและระบอบกษัตริย์ในหลายๆ ที่ของยุโรป ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์ได้ส่งผ่านดัชชีชเลสวิชไปให้แก่พระอนุชา คือ เจ้าชายอีริค
มีการจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ในชเลสวิช ฤดูร้อนปีค.ศ. 1218 โดยมีบิชอป 15 คนและขุนนางดยุก 3 คน มาร่วมงาน ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์ได้รับศีลเจิมและสวมมงกุฎเป็นยุวกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก พระองค์และพระราชบิดาได้เสด็จออกล่าสัตว์ที่เกาะเลิร์ท ใกล้เกาะฟึน ในปีค.ศ. 1223 ซึ่งโชคร้ายกษัตริย์ทั้งสองถูกลักพาตัวและจับกุมโดยไฮน์ริชที่ 1 เคานท์แห่งชเวรีน และทรงถูกคุมขังจนถึงช่วงเทศกาลอีสเตอร์ในปีค.ศ. 1226[2] เคานท์ไฮน์ริชเรียกร้องให้ยอมคืนดินแดนฮ็อลชไตน์ที่ยึดครองมากว่า 20 ปี และให้ยอมเป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวกษัตริย์ทั้งสอง คณะผู้แทนเดนมาร์กปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้และประกาศสงคราม ในช่วงที่กษัตริย์วัลเดมาร์ถูกคุมขัง ดินแดนเยอรมันทั้งหลายก็แยกตัวออกจากเดนมาร์ก กองทัพเดนมาร์กต้องถูกส่งไปยึดดินแดนคืน สงครามสิ้นสุดด้วยความพ่ายแพ้ของเดนมาร์กซึ่งพ่ายแพ้ต่อกองทัพที่บัญชาการโดยอัลแบร์ชที่ 2 แห่งออร์ลามุนด์ ซึ่งพ่ายแพ้ที่เมืองมืนล์ในปีค.ศ. 1225 เพื่อให้ได้ปล่อยตัวกษัตริย์วัลเดมาร์ เดนมาร์กต้องยอมรับให้ดินแดนที่แยกตัวให้เข้ากับเยอรมัน และต้องจ่ายเงิน 44,000 มาร์ก รวมถึงลงนามสัญญาว่าจะไม่แก้แค้นเคานท์ไฮน์ริชที่ลักพาตัวพระองค์ไป
ในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1229 ยุวกษัตริย์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงลียูโนร์แห่งโปรตุเกส พระราชธิดาในพระเจ้าอาฟงซูที่ 2 แห่งโปรตุเกสกับอูร์รากาแห่งกัสติยา พระราชพิธีจัดที่เมืองรีเบ และดำเนินพิธีโดยบิชอปกุนเนอร์แห่งสังฆมณฑลวีบอร์ก ผู้ซึ่งคู่บ่าวสาวเคารพรักราวกับเขาเป็นพระบิดา ทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสได้สองปี พระราชินีลียูโนร์ หรือ พระราชินีเอเลโอนอรา สิ้นพระชนม์ขณะมีพระประสูติกาลในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1231 บุตรที่คลอดออกมาก็สิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1231 ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์ทรงประสบอุบัติเหตุโดยทรงต้องลูกธนูขณะออกล่าสัตว์ที่เรฟเน ใกล้เมืองคาลุนด์บอร์ก พระองค์สวรรคตในวันนั้น ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์ทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้อ่อนโยนและมีความเมตตาต่อทุกคน และทรงเป็นที่นิยมอย่างมาก มีบทกวีไว้อาลัยแด่ผู้วายชนม์เป็นภาษาละตินที่นักบวชได้เขียนขึ้นในช่วงที่กษัตริย์ทั้งสองถูกจับ ได้กลายเป็นบทสรรเสริญพระองค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อพระองค์สวรรคตกลายเป็นความโศกเศร้าทั่วราชอาณาจักร พระบรมศพถูกฝังที่โบสถ์นักบุญเบ็นท์ในริงสเต็ด เคียงข้างพระศพสมเด็จพระราชินีลียูโนร์ พระราชบิดาของพระองค์แต่งตั้งพระอนุชาของยุวกษัตริย์วัลเดมาร์คือ เจ้าชายอีริคเป็นกษัตริย์ร่วมและยุวกษัตริย์ จนกระทั่งพระองค์สวรรคตในอีกสิบปีต่อมา และยุวกษัตริย์อีริคก็ได้ขึ้นครองราชย์แต่เพียงผู้เดียว
อ้างอิง
[แก้]ก่อนหน้า | วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 พระประมุขแต่เพียงผู้เดียว |
(ยุวกษัตริย์)แห่งเดนมาร์ก ร่วมกับ พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 (ค.ศ. 1215 - ค.ศ. 1231) |
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 พระประมุขแต่เพียงผู้เดียว | ||
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 พระประมุขแต่เพียงผู้เดียว |
ดยุกแห่งชเลสวิก ร่วมกับ พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 (ค.ศ. 1209 - ค.ศ. 1216) |
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 พระประมุขแต่เพียงผู้เดียว |