ลี ยวน กวง, ชู ชิน ก้วย และบุญเกิด จิตปราณี
ลี ยวน กวง | |
---|---|
ภาพถ่ายหน้าตรงของลีในปี พ.ศ. 2540 | |
เกิด | พ.ศ. 2496 ฮ่องกงของบริเตน |
เสียชีวิต | 18 เมษายน พ.ศ. 2544 (อายุ 48 ปี) เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย |
สาเหตุเสียชีวิต | ประหารชีวิตด้วยการยิง |
สัญชาติ | ฮ่องกง |
อาชีพ | พ่อค้ายาเสพติด |
สถานะทางคดี | ถูกประหารชีวิต |
พิพากษาลงโทษฐาน | ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย |
บทลงโทษ | ประหารชีวิต |
ชู ชิน ก้วย | |
---|---|
ภาพถ่ายหน้าตรงของชู ในปี พ.ศ. 2540 | |
เกิด | พ.ศ. 2510 ไต้หวัน |
เสียชีวิต | 18 เมษายน พ.ศ. 2544 (อายุ 34 ปี) เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย |
สาเหตุเสียชีวิต | ประหารชีวิตด้วยการยิง |
สัญชาติ | พม่า |
อาชีพ | พ่อค้ายาเสพติด |
สถานะทางคดี | ถูกประหารชีวิต |
พิพากษาลงโทษฐาน | ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด |
บทลงโทษ | ประหารชีวิต |
บุญเกิด จิตรปราณี | |
---|---|
บุญเกิดในการแถลงข่าวการจับกุม | |
เกิด | พ.ศ. 2503 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย |
เสียชีวิต | 18 เมษายน พ.ศ. 2544 (อายุ 41 ปี) เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย |
สาเหตุเสียชีวิต | ประหารชีวิตด้วยการยิง |
สัญชาติ | ไทย |
อาชีพ | ขับรถส่งยาเสพติด |
สถานะทางคดี | ถูกประหารชีวิต |
พิพากษาลงโทษฐาน | ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย |
บทลงโทษ | ประหารชีวิต |
ลี ยวน กวง (อังกฤษ: Lee Yuan Kuang; พ.ศ. 2496 – 18 เมษายน พ.ศ. 2544) และ ชู ชิน ก้วย (อังกฤษ: Chu Chin Kuay; พ.ศ. 2510 – 18 เมษายน พ.ศ. 2544) เป็นผู้ค้ายาเสพติดชาวต่างชาติซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตในความผิดฐานร่วมกันครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตและมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกิน 20 กรัมขึ้นไป โดยผู้สมรู้ร่วมคิดของทั้งสอง บุญเกิด จิตรปราณี (พ.ศ. 2503 – 18 เมษายน พ.ศ. 2544) ซึ่งเป็นผู้ขนส่งยาเสพติดก็ถูกจับกุมและถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน[1][2]
ลี, ชู และบุญเกิดถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2544 ซึ่งการประหารชีวิตดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน[3][4][5]
ประวัติ
[แก้]ลี ยวน กวง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2496 ที่บริติชฮ่องกง ส่วนชู ชิน ก้วย เกิดเมื่อ พ.ศ. 2510 ที่สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) โดยเขาถือสัญชาติเมียนมา ต่อทั้งสองได้ร่วมกันค้าสารเสพติด โดยซื้อเฮโรอีนจากสามเหลี่ยมทองคำมาจำหน่ายในฮ่องกง[6] ต่อมาทั้งสองได้เสนอค่าจ้างให้บุญเกิด จิตปราณี เพื่อทำหน้าที่ขับรถขนส่งสารเสพติด บุญเกิดตกลงรับงานดังกล่าวและทำหน้าที่เป็นคนขับรถขนส่งยาเสพติดให้กับทั้งสอง[7]
การจับกุม
[แก้]วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด ซึ่งใช้ชื่อสมมติว่านายโจได้รับการติดต่อจากพ่อค้ายาเสพติดชื่ออัลเบิร์ต[8]
ในเวลา 19.00 น. โจได้ไปพบอัลเบิร์ตที่โรงแรมดุสิตธานี อัลเบิร์ตบอกว่าเขารู้จักกับพ่อค้ายาเสพติดซึ่งต้องการส่งเฮโรอีนจำนวนมากยังประเทศไต้หวัน อัลเบิร์ตถามโจว่า โจจะขนเฮโรอีนให้พ่อค้ายาเสพติดคนดังกล่าวหรือไม่ โจตอบตกลงแต่ขอพบพ่อค้ายาเสพติดคนดังกล่าวก่อน อัลเบิร์ตจึงพาโจไปหาลี ยวน กวง ที่โถงรับแขกของโรงแรมแอมบาสเดอร์ แต่บริเวณดังกล่าวมีคนพลุกพล่านจึงย้ายไปตกลงกันที่ห้องอาหารบางกะปิเทลเรสของโรงแรม โดยมีอัลเบิร์ตทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษา โจได้ตกลงว่าจะขนเฮโรอีนน้ำหนัก 35 กิโลกรัม ไปยังประเทศไต้หวัน ลีสัญญาว่าจะให้ค่าจ้างจำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ[9][10]
วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ลีได้ติดต่อโจให้ไปพบที่ห้องอาหารของโรงแรมในเวลา 11.00 น. เมื่อโจเดินทางไปถึง โจได้พบกับลี ยวน กวง และชู ชิน ก้วย ต่อมาทั้งสองได้บอกให้โจไปรับเฮโรอีนที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 3 ถนนรามคำแหง ทั้งหมดได้เดินทางไปยังห้างสรรสินค้าด้วยรถแท็กซี่ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบได้ปลอมตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่ เมื่อเดินทางไปถึง ชูได้แวะพูดคุยบุญเกิดและให้โจกับลีรอในห้าง ต่อมาบุญเกิดกับชูได้เดินเข้ามารวมกลุ่ม ลีกับชูจึงให้โจตามบุญเกิดไปตรวจสอบเฮโรอีนที่ลานจอดรถ ส่วนลีกับชูจะนั่งรอภายในห้าง เมื่อโจไปถึงรถกระบะมิซูบิชิซึ่งจอดที่ลานจอดรถด้านหลังห้าง บุญเกิดได้ให้โจตรวจสอบเฮโรอีนในกระเป๋าเดินทางที่เบาะหลัง เมื่อโจเปิดกระเป๋าพบเฮโรอีนจำนวนมาก โจจึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเข้าจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมบุญเกิดได้ที่ลานจอดรถ ส่วนลีกับชูได้แยกย้ายกันหลบหนี ชูสามารถนั่งรถแท็กซี่หลบหนีออกไปได้[11][10] แต่ลีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมไว้ได้ จากการตรวจค้นรถกระบะพบเฮโรอีน ตราสิงโตเกาะลูกโลกเบอร์ 999 จำนวน 100 แท่ง มีน้ำหนักรวม 34,589 กรัม มูลค่าประมาณ 7 ล้านบาท[12]
จากการสอบสวน บุญเกิดได้ยอมรับว่าคนเองเป็นแค่คนขับรถส่งยาเสพติดเท่านั้น ไม่มีส่วนร่วมกับขบวนการค้ายาเสพติด เขาสารภาพว่าลีเป็นเจ้าของยาเสพติทั้งหมดโดยสั่งซื้อมาจากโรงงานผลิตเฮโรอีนในภาคเหนือ และลีสั่งให้นำมาส่งยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 3 ถนนรามคำแหง เพื่อนำไปส่งขายต่อที่ตลาดในฮ่องกง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวทั้งสองไว้ดำเนินคดี[13]
ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมชูได้ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขารัชดาภิเษก[14] จึงคุมตัวมาสอบสวนร่วมกับลี และบุญเกิด โดยทั้งสามได้ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวมาก่อน[10]
การพิจารณาคดี
[แก้]วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2540 ศาลอาญารัชดามีคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าทั้งสามมีความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออกยาเสพติดประเภทที่ 1 เพื่อจำหน่าย โดยมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20 กรัมขึ้นไป โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำที่ทำลายสภาพสังคม,เศรษฐกิจ ถือเป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศชาติ จึงมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตลี ,ชู และบุญเกิด พร้อมกับริบเฮโรอีนของกลาง หลังจากนั้นได้ส่งตัวทั้งสามจากฑัณฑสถานบำบัดพิเศษบางเขนมายังเรือนจำกลางบางขวาง[15][16]
ทั้งสามได้ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2540 ต่อมาในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2541 ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษา และได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิตทั้งสาม ทั้งสามจึงใช้สิทธิ์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ต่อมาในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2542 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนประหารชีวิต[17] ทั้งสามจึงทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้า แต่ก็ถูกยกฎีกา[10][18]
การประหารชีวิต
[แก้]วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2544 เวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงของเรือนจำได้เบิกตัวลี, ชู, บุญเกิด, วิเชียร แสนมหายักษ์ และรอมาลี ตาเย๊ะ ออกจากแดนที่คุมขังภายในเรือนจำกลางบางขวาง[19][20] หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้นำตัวของนักโทษทั้ง 5 คนมายังหมวดผู้ช่วยเหลือฯ ระหว่างเดิน ลีได้ขอบุหรี่จากเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยง โดยสูบแบบมวนต่อมวน[15]
เมื่อถึงหมวดผู้ช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ได้เข้าไปพิมพ์ลายนิ้วมือของทั้งห้าคน ระหว่างพิมพ์ลายนิ้วมือ ลีกับชูได้ขอบุหรี่สูบและคุยกันเป็นภาษาจีน ส่วนบุญเกิดขอน้ำเย็นดื่มเมื่อเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือของเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้เข้ามาทำการตรวจสอบประวัติบุคคล[10]
หลังจากตรวจสอบประวัติบุคคล เวรผู้ใหญ่ได้เข้าทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีและให้เซ็นลงในคำสั่ง ถัดจากนั้นได้ให้นักโทษทั้งหมดเขียนพินัยกรรมและจดหมาย ลีกับชูได้เขียนจดหมายจำนวน 2 ฉบับและฝากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนช่วยเป็นธุระจัดส่งให้ถึงสถานทูตฮ่องกงกับสถานทูตไต้หวัน [21][10]
เวลา 17.40 น. พี่เลี้ยงได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาได้แก่ แกงเขียวหวานไก่, ต้มจืดเต้าหู้, แกงสับปะรดหอยแมลงภู่ และข้าวมันไก่ทอด แต่นักโทษทุกคนได้ปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย โดยขอน้ำเย็นดื่มเท่านั้น ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวลี,ชู,บุญเกิดและวิเชียรไปฟังเทศน์จากพระสงฆ์ที่ห้องเยี่ยมสำหรับทนาย ส่วนรอมาลีซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เจ้าหน้าที่ได้ให้รอมาลีละหมาดอยู่ที่หมวดผู้ช่วยเหลือ หลังจากฟังเทศน์เสร็จ ในเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้นำตัวของลีไปประหารชีวิตก่อนเป็นคนแรก[10][22]
ลีเดินตัวตรง ตาขวาง โดยสามารถควบคุมสติได้ดีเมื่อลีเดินผ่านศาลาเฉลิมพระเกียรติ ได้มีนักข่าวจำนวนมากถ่ายรูปเขา เขาจึงยิ้มให้ช่างภาพ[23] เมื่อถึงศาลาเย็นใจเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้ให้เขานั่งบนเก้าอี้ขาว หยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ แล้วนำผ้าดิบผูกตา แล้วประคองตัวเขาเข้าไปยังสถานที่หมดทุกข์ ถัดจากนั้นได้นำตัวเขามัดกับหลักประหาร[24][25][15][10]
หลังจากที่ธงแดงสะบัดลง เชาวน์เรศน์ จารุบุศย์ เพชฌฆาต ได้เหนี่ยวไกปืนเฮคแลร์อุนด์คอค เอ็มเพ5โดยใช้กระสุนจำนวน 8 นัด โดยทำการประหารชีวิตเขาเมื่อเวลา 17.50 น. แต่เขายังไม่เสียชีวิตพร้อมกับส่งเสียงครางเป็นภาษาจีนและสะบัดหัวไปมา เชาวน์เรศน์ จารุบุศย์จึงยิงชุดที่ 2 โดยใช้กระสุนปืนจำนวน 7 นัด และเขาก็เสียชีวิต[26][10]
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้รับตัวชู และบุญเกิดมายังศาลาเย็นใจเพื่อทำการประหารชีวิตเป็นชุดที่สอง ขณะเดินบุญเกิดได้พนมมือไหว้สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่เรือนจำไปตลอดทาง[15]
เมื่อนำตัวชูและบุญเกิดถึงศาลาเย็นใจ อรรถยุทธได้ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้ทั้งสอง เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้ผูกตาทั้งสองและนำตัวเข้าสู่สถานที่หมดทุกข์แล้วนำชูไปมัดกับหลักประหารหลักที่ 1 ส่วนบุญเกิดมัดกับหลักประหารหลักที่ 2 ทั้งสองถูกประหารชีวิตเมื่อเวลา 18.13 น. ชูถูกประหารชีวิตโดยเพชฌฆาตเชาวเรศน์ จารุบุณย์ โดยใช้กระสุน 11 นัดสำหรับชู บุญเกิดถูกประหารชีวิตโดยเพชฌฆาตพิทักษ์ เนื่องสิทธะ ใช้กระสุนจำนวน 9 นัดสำหรับบุญเกิด โดยทั้งสองเสียชีวิตจากการยิงเพียงชุดเดียว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้นำตัววิเชียร และรอมาลีมาประหารชีวิตเป็นชุดสุดท้าย[27][28][29][30]
ลีนับเป็นชาวฮ่องกงคนแรกที่ถูกประหารชีวิตโดยประเทศไทยในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การประหารชีวิตนายปังจอง แซ่อึ้ง หรือ อึ้งปังจอง, พังฉ่าง ผู้ค้ายาเสพติดชาวฮ่องกง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ซึ่งถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจมาตรา 27 ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 จากการร่วมกับพวกขนเฮโรอีน,มอร์ฟีน และฝิ่นสุกจำนวนมาก จากบริติชฮ่องกงมายังประเทศไทยเพื่อเตรียมนำขึ้นเรือประมงขนส่งออกนอกประเทศ[31]
ภายหลังการประหารชีวิต
[แก้]การประหารชีวิตครั้งดังกล่าวได้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากกลุ่มสิทธิมนุษย์ชน โดยมีองค์กรเอกชนจำนวน 16 องค์กรได้ประณามการประหารชีวิตในครั้งนี้[32][33][34]
ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของวุฒิสภา กล่าวว่า "ผมไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต ผมขอเสนอให้รัฐบาลจัดการลงประชามติเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เพื่อดูว่าการประหารชีวิตซึ่งเป็นที่พูดถึงกันมากเช่นนี้ ซึ่งปฏิบัติต่อมนุษย์เหมือนสัตว์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่"[35] [36]
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ประนามการประหารชีวิตว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวที่รัฐบาลทักษิณชุดใหม่แสดงจุดยืนอันแข็งกร้าวในการต่อต้านยาเสพติดด้วยการประหารชีวิตผู้คน[37]
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง วุฒิสมาชิกกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ควรยกเลิกโทษประหารชีวิต เพราะไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมในการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติด เขากล่าวว่า “โทษจำคุกตลอดชีวิตก็เพียงพอแล้ว หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ใช่การฆ่า (ผู้ค้ายาเสพติด) แต่คือการช่วยฟื้นฟูพวกเขา”[38]
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีนักสิทธิมนุษย์ชนไม่พอใจต่อการประหารชีวิตว่า"ประเทศสหรัฐก็มีโทษประหารเหมือนกัน และประหารอยู่เรื่อยๆ ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องประหารชีวิตผู้ค้ายาเสพติดต่อไปอีกเพราะทำลายอนาคตเยาวชนของชาติ จึงต้องได้รับสาสมกัน"[39][40][41]
พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวถึงการประหารชีวิตนักโทษยาเสพติดที่บางฝ่ายเห็นว่ารุนแรงเกินไปว่า"ถือเป็นประเด็นสังคมที่ไม่มีสูตรสำเร็จว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ลงโทษเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ รวมทั้งขณะนี้บ้านเมืองเผชิญกับปัญหายาเสพย์ติดรุนแรง เราก็ต้องดำเนินหลายมาตรการหลายด้านเพื่อหยุดยั้งให้ได้ ส่วนคนท่าผิดจะได้ตระหนักเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิดกันอีก[42]"
ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวว่า "การเชิญสื่อมวลชนเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้ถึงโทษภัย และเป็นหลักของวิชาการมีอยู่ด้วยกัน 2 ด้าน คือการป้องปรามกับมุ่งกระทำโดยตรงต่อผู้กระทำผิด ส่วน กรณีมีข่าวการยกเลิกสิทธิยื่นฎีกาของนักโทษประหารในคดียาเสพติด เรื่องนี้ยังไม่มีการพูดถึงในคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ไม่ทราบว่าข่าวออกมาได้อย่างไร ที่จริงเรื่องนี้ไม่ควรจะพูดถึงหรือเสนอข่าวนี้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของพระราชอ๋านาจที่เราไม่ควรไป ก้าวก่ายแต่อย่างใด ตนขอยืนยันว่าในคณะทำงานว่าไม่เคยมีการพูดถึงประเด็นนี้"[43]
บรรณานุกรม
[แก้]- สื่อลำดับที่ 9 เรื่องสู่แดนประหาร รายการตามล่าหาความจริง
- อรรถยุทธ พวงสุวรรณ (2565). คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร. กรุงเทพ: เพชรประกาย. ISBN 9786165786645.
- เชาวเรศน์ จารุบุณย์ (2549). เพชฌฆาตคนสุดท้าย. กรุงเทพ: ดอกหญ้ากรุ๊ป,. ISBN 9789749244463.
{{cite book}}
: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2536 หน้าที่16
- ↑ หนังสือพิมพ์The nation ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่2A
- ↑ "Rights groups condemn Thai executions". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-18. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
- ↑ Thai executions condemned
- ↑ 93% of Thai people want to see the death penalty put to use to curb shocking murders and drug gangs
- ↑ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 7 December 1993. p. 16.
{{cite news}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ หนังสือพิมพ์ The nation ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่2A
- ↑ หนังสือพิมพ์The nation ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่2A
- ↑ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๖/๒๕๔๒
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 10.8 คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร, p. 309-323
- ↑ หนังสือพิมพ์The nation ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่ 2A
- ↑ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า11
- ↑ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2536 หน้า16
- ↑ หนังสือพิมพ์The nation ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่ 2A
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 เพชฌฆาตคนสุดท้าย p. 149-156
- ↑ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า11
- ↑ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๖/๒๕๔๒
- ↑ Three convicted drug traffickers and producers, two
- ↑ สกู๊ปของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544:ประหารหนทางที่ไม่ล้าสมัย หน้า 2
- ↑ หนังสือพิมพ์Bankok post ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าที่2A
- ↑ เพชฌฆาตคนสุดท้าย p. 149-156
- ↑ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า14
- ↑ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 11
- ↑ Eyewitness: Thailand's public executions
- ↑ หนังสือพิมพ์The Bankok post ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้าแรก
- ↑ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2544 หน้า 12
- ↑ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 9
- ↑ หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 20
- ↑ The government executed five condemned prisoners, four
- ↑ Eyewitness: Thailand's public executions
- ↑ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2521 หน้า 20
- ↑ Thai executions condemned
- ↑ "Rights groups condemn Thai executions". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-18. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
- ↑ Human rights groups in Thailand started a petition...
- ↑ "Rights groups condemn Thai executions". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-18. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
- ↑ [1]
- ↑ "Thai executions condemned". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-18. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
- ↑ Senator Chirmsak Pinthong said that capital
- ↑ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 14
- ↑ "Rights groups condemn Thai executions". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-18. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
- ↑ Amnesty activists should consider the dangers of drugs
- ↑ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 14
- ↑ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2544 หน้า 14
ก่อนหน้า สมคิด นามแก้ว |
บุคคลที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในประเทศไทย ลี ยวน กวง, ชู ชิน ก้วย, บุญเกิด จิตปราณี, วิเชียร แสนมหายักษ์ และรอมาลี ตาเย๊ะ |
ถัดไป สุชาติ ท้าวคำหลง |
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- ค้นหาข้อมูลคดี/คำสั่งศาล (คดีหมายเลขคดีดำที่ 890/37 คดีหมายเลขคดีแดงที่ 1662/40)