ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์
ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ | |
---|---|
กำกับ | ฮายาโอะ มิยาซากิ |
บทภาพยนตร์ | ฮายาโอะ มิยาซากิ |
สร้างจาก | ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ โดย Diana Wynne Jones |
อำนวยการสร้าง | โทชิโอะ ซูซูกิ |
ตัดต่อ | Takeshi Seyama |
ดนตรีประกอบ | โจ ฮิไซชิ |
บริษัทผู้สร้าง | |
ผู้จัดจำหน่าย | โตโฮ (ญี่ปุ่น) วอลต์ดิสนีย์พิกเจอส์ (อเมริกาเหนือ) |
วันฉาย | 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 |
ความยาว | 120 นาที |
ประเทศ | ญี่ปุ่น |
ภาษา | ญี่ปุ่น |
ทุนสร้าง | 2.4 พันล้านเยน 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ |
ทำเงิน | 23.2 พันล้านเยน 231,711,096 ดอลลาร์ (ทั่วโลก) |
ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ (ญี่ปุ่น: ハウルの動く城; โรมาจิ: Hauru no Ugoku Shiro) หรือในชื่อภาษาอังกฤษ Howl's Moving Castle เป็นภาพยนตร์อนิเมะแฟนตาซีของญี่ปุ่น เขียนบทและกำกับโดยฮายาโอะ มิยาซากิแห่งสตูดิโอจิบลิ ได้เค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือชื่อเดียวกันของไดอาน่า ไวนน์ โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายรอบปฐมทัศน์ เมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2547 ณ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส และเผยแพร่ในโรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นเมื่อ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 ทำรายได้ทั่วโลก 231.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จด้านการสร้างรายได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการพากษ์เสียภาษาอังกฤษโดยค่าย Peter Docter แห่งพิกซาร์ วอลต์ดิสนีย์พิกเจอส์ได้รับสิทธิ์แผยแพร่ในอเมริกาเหนือ ในตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่ในอเมริกาและแคนาดาในวงจำกัด และต่อมาเผยแพร่ในออสเตรเลียทั่วประเทศเมื่อ 22 กันยายน และในสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 78 พ.ศ. 2549
นิยายของโจนส์เปิดโอกาสให้ผู้กำกับมิยาซากิเติมความเป็นสาวแกร่งและความเป็นแม่ลงไปในตัวนางเอก แรกทีเดียวโซฟีเป็นสาวทำหมวกอายุ 18 ปี แต่ด้วยคำสาปของแม่มดทำให้เธอกลายเป็นหญิงอายุ 90 ปี แม้มันจะทำให้เธอหวาดกลัวในตอนต้น แต่ในที่สุดเธอก็ใช้มันทำลายความกังวล ความกลัว และความหมกมุ่นในตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการผจญภัย[2]
เนื้อเรื่อง
[แก้]โซฟี แฮตเตอร์ อายุ 18 ปี เป็นลูกสาวคนโตของร้านทำหมวกที่ดูแลร้านต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ วันหนึ่งขณะโซฟีเดินทางไปหาเล็ตตี้ น้องสาว ระหว่างทางพบกับทหารที่กำลังจะลวนลามเธอ แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อมดหนุ่มปริศนา ในคืนนั้นนางแม่มดมาที่ร้านหมวกของโซฟีและสาปให้เธอกลายเป็นหญิงชราและไม่ให้เธอสามารถบอกใครเกี่ยวกับเรื่องราวที่เธอกลายเป็นคนแก่ด้วย โซฟีตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางเธอได้พบเพื่อนใหม่เป็นหุ่นไล่กาพูดไม่ได้ที่เธอให้ชื่อเขาว่า หัวผักกาดโซฟีต้องการหาที่หลบความหนาว หัวผักกาดจึงนำเธอมาสู่ปราสาทของฮาวล์ที่เดินผ่านมา
เมื่อเข้าไปในปราสาทโซฟีพบกับปีศาจไฟ แคลซิเฟอร์ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนปราสาท แคลซิเฟอร์รู้ว่าโซฟีต้องคำสาปจึงยื่นข้อเสนอกับโซฟีว่าจะถอนคำสาปให้เธอ ถ้าเธอสามารถถอนมนต์ที่ฮาวล์สะกด แคลซิเฟอร์เอาไว้ในปราสาทได้ มาร์เคิลเด็กฝึกงานของฮาวล์ตกใจเมื่อพบโซฟีในบ้าน แต่ในที่สุดก็รักเธอเหมือนพี่สาว เมื่อฮาวล์กลับมาโซฟีประกาศตัวว่าเป็นคนทำความสะอาด ซึ่ง แคลซิเฟอร์จ้างไว้เพราะปราสาทอยู่ในสภาพสกปรกทรุดโทรมก่อนเธอมาถึง ฮาวล์สงสัยว่า แคลซิเฟอร์อาจมีลับลมคมใน เพราะยอมให้โซฟีใช้ไฟของเขาปรุงอาหาร ซึ่งปกติแล้ว แคลซิเฟอร์จะยอมแต่ฮาวล์เท่านั้น แต่ก็ไม่สนใจเอาความต่อไป เรื่องระหว่าง แคลซิเฟอร์และโซฟีจึงเป็นความลับของทั้งสอง
ฮาวล์พบกระดาษคำสาปที่ แม่มดแห่งทุ่งร้างใส่ไว้ในตัวโซฟี คำสาปนั้นกล่าวว่า "เจ้าผู้กลืนกินดาวตก โอ้ชายผู้ไร้หัวใจ หัวใจของเจ้าจะตกเป็นของข้าในไม่ช้า" แม้ฮาวล์จะสามารถใช้เวทมนตร์ลบข้อความดังกล่าวไปได้แต่มันก็ยังเป็นผลอยู่ โซฟีเรียนรู้ว่าประตูหน้าของปราสาทเป็นช่องทางวิเศษที่เปิดออกไปสู่สถานที่ที่แตกต่างกันได้ เมื่อฮาวล์ออกจากปราสาทไปโซฟีก็ทำความสะอาดปราสาทขนานใหญ่ เมื่อฮาวล์กลับมาสระผมแล้วสีผมเปลี่ยนไปเพราะโซฟีทำขวดน้ำยาปะปนกัน ฮาวล์ก็ฟูมฟายขนานใหญ่ถึงกับพูดว่า ถ้าเขาดูไม่ดีแล้วก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ทำให้โซฟีในสภาพคนแก่ฟังแล้วทนไม่ได้เพราะกระทบเธออย่างแรง เธอจึงเดินหนีออกจากบ้านไป มาร์เคิลต้องตามโซฟีกลับไปในปราสาทเพราะฮาวล์ฟูมฟายหนักหมดสติ เนื้อตัวมีเมือกสีเขียวไหลออกมาเลอะปราสาท โซฟีและมาร์เคิลช่วยอุ้มฮาวล์ขึ้นไปอาบน้ำและนำฮาวล์ไปนอน เมื่อเขาตื่นขึ้นฮาวล์จึงเล่าให้ฟังว่าเขาเคยพลาดไปจีบ แม่มดแห่งทุ่งร้างเพราะคิดว่าเธอน่าสนใจ แต่กลับพบว่าแท้จริงนางเป็นแม่มดชราที่น่าเกลียดจึงขอเลิกลา แต่นางไม่ยอมเลิกด้วย
ในบ้านเมืองที่โซฟีเคยอยู่กำลังเกิดสงครามขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านหลังการหายตัวไปของมกุฎราชกุมารจัสตินของอาณาจักรเพื่อนบ้าน และสงครามก็ได้แผ่ขยายออกไปสู่ประเทศอื่นๆ ฮาวล์ได้รับพระราชโองการจากกษัตริย์ซึ่งบัญชาให้เข้าร่วมรบกับกองทัพในสงคราม ฮาวล์ได้รับพระบรมราชโองการในนามแฝงต่างๆ หลายชื่อ อย่างไรก็ดีฮาวล์กลัว มาดามซาลิมาน จอมเวทย์ประจำราชสำนักซึ่งเป็นอาจารย์ของเขา จึงวางแผนส่งโซฟีเข้าไปในท้องพระโรงแทนโดยให้เธออ้างตัวว่าเป็นมารดาของฮาวล์และบอกว่าฮาวล์ปฏิเสธการเข้าร่วมรบ ที่พระราชวังโซฟีพบ แม่มดแห่งทุ่งร้างซึ่งเคยถูกขับออกจากวังและต้องการกลับมาอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์อีกครั้ง แต่ไม่เป็นดังที่คาดหวังแม่มด ซาลิมานลงโทษ แม่มดแห่งทุ่งร้างด้วยการทำลายอำนาจเวทมนตร์ของ แม่มดแห่งทุ่งร้างจนหมดสิ้นและทำให้เธอกลับกลายเป็นหญิงชราขี้โรคดังเดิม ซาลิมานบอกกับโซฟีว่าฮาวล์จะต้องประสบกับโชคชะตาเดียวกันหากเขาไม่ร่วมรบในมหาสงคราม ขณะที่โซฟีกำลังปฏิเสธอย่างแข็งขัน ซาลิมานก็พบเห็นร่างจริงที่เธอเป็นหญิงสาวมิใช่แม่ของฮาวล์ ฮาวล์ช่วยโซฟีออกมาจากวังได้ โดยมี แม่มดแห่งทุ่งร้างและเฮนสุนัขของซาลิมานติดมาด้วย ฮาวล์มอบแหวนที่จะนำทางไปสู่แคลซิเฟอร์ให้ และหลอกคนที่ตามล่าไปทางอื่น โซฟีต้องขับเครื่องบินที่มีผู้โดยสารทั้งสองกลับสู่ปราสาทเอง ซาลิมานเริ่มติดตามฮาลว์จากหมวกของโซฟีที่หล่นระหว่างการต่อสู้
โซฟีพบว่าฮาวล์ต้องแปลงกายเป็นนกยักษ์เพื่อต่อสู้ ในการแปลงกายแต่ละครั้งจะแปลงร่างกลับมาเป็นมนุษย์ได้ยากขึ้นทุกที (พ่อมดที่แปลงกายแบบนี้อาจสิ้นสติและสูญเสียความเป็นตนเองไปได้) ฮาวล์แสดงความรักต่อโซฟีโดยปรับปรุงปราสาทใหม่ มีห้องพิเศษสำหรับเธอและทำประตูวิเศษให้เปิดไปสู่บ้านเก่าของโซฟีและเปิดไปสู่ที่ซ่อนในวัยเด็กของฮาวล์ โซฟีกลัวว่าฮาวล์กำลังจะจากไปเพราะเขารู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่เป็นมนุษย์นั้นน้อยเต็มที่ หลังจากนั้นไม่นานแม่ของโซฟีก็มาหาที่บ้านและจำโซฟีได้อย่างไม่น่าเชื่อแม้เธอจะอยู่ในร่างของคนแก่ โซฟีมีความสุขมากที่แม่มาเยี่ยม แต่ความจริงแล้วแม่ของเธอเข้ามาเพราะถูก ซาลิมานบังคับ ก่อนจากไปแม่ของโซฟีแอบทิ้ง "peeping bug" ไว้แต่ แม่มดแห่งทุ่งร้างซึ่งอาศัยอยู่ในปราสาทด้วยพบเห็นเข้าจึงกำจัดโดยทันทีโดยโยนให้ แคลซิเฟอร์กิน แต่ว่า แคลซิเฟอร์กินแล้วป่วยทำให้หมดอำนาจในการซ่อนปราสาทจากสายตาคนภายนอกได้ เมื่อ มาร์เคิลเปิดหน้าต่างปราสาทจึงถูกค้นพบ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เมืองก็ถูกระเบิดของข้าศึกถล่ม สมุนของ ซาลิมานก็บุกไปยังร้านหมวก หลังจากปกป้องร้านหมวกและรักษา แคลซิเฟอร์ฮาวล์แปลงร่างและล่อพวกนั้นออกไป โซฟีจึงตัดสินใจย้ายปราสาทไปที่ทุ่งร้าง โดยเปิดประตูวิเศษออกอีกทางหนึ่งแล้วนำ แคลซิเฟอร์ออกไป ทำให้ปราสาทตัดความเชื่อมโยงกับเมือง เพื่อฮาวล์ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ปกป้องเมืองอีกต่อไป จากนั้นโซฟีจึงเอา แคลซิเฟอร์กลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อสร้างปราสาทเคลื่อนที่ขนาดเล็กเพื่อกลับไปช่วยฮาวล์ ในขณะนั้น แม่มดแห่งทุ่งร้างพบหัวใจของฮาวล์ใน แคลซิเฟอร์จึงเก็บมันไว้และถูกเปลวไฟเผาผลาญ โซฟีช่วยโดยการเอาน้ำสาดไป ทำให้ปราสาทพังทลายลง โซฟีและ เฮนพลัดตกลงมาจากปราสาท
โซฟีฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ร้องไห้ฟูมฟายนึกว่าตนได้ฆ่า แคลซิเฟอร์และฮาวล์ไปแล้ว เพราะชีวิตของทั้งสองผูกโยงกันอยู่ แต่ระหว่างนั้นเองแหวนที่ฮาวล์มอบให้ก็มีแสงเรืองชี้ไปยังประตูที่เหลืออยู่ของปราสาท โซฟีเดินเข้าไปและพบว่าเธอเข้าไปในอดีตของฮาวล์ ซึ่ง แคลซิเฟอร์เป็นดาวตก ถูกฮาวล์เก็บไว้ได้ ทั้งสองเหมือนจะกล่าวพันธสัญญาบางอย่างต่อกัน แล้วฮาวล์ก็ตัดสินใจกลืนกิน แคลซิเฟอร์ลงไป จากนั้นก็คาย แคลซิเฟอร์ซึ่งมีหัวใจของฮาวล์อยู่ในท้องออกมา โซฟีเข้าใจพันธสัญญาและรู้หนทางที่จะช่วยปลดปล่อยทั้งสองแล้ว เธอกลับออกมาสู่โลกปัจจุบันโดยมี Heen ช่วยนำทางกลับมายังประตูวิเศษที่กำลังทลายลง
เมื่อเปิดประตูโซฟีเห็นฮาวล์ในร่างนกยักษ์รอคอยเธออยู่นานแล้ว เธอขอให้ฮาวล์บินพาเธอไปยัง แคลซิเฟอร์เธอพบว่าปราสาทในขณะนี้เหลือเพียงไม้กระดานต่อขามี แม่มดแห่งทุ่งร้างกุมหัวใจของฮาวล์ซึ่งก็คือตัว แคลซิเฟอร์ไว้อยู่ ฮาวล์กลับกลายร่างเป็นมนุษย์และหมดสติไป โซฟีขอร้อง แม่มดแห่งทุ่งร้างให้มองดวงใจฮาวล์แก่เธอ แม่มดแห่งทุ่งร้างเห็นความจริงใจของโซฟีและความดีของเธอที่ดูแลอดีตแม่มดที่กลายเป็นหญิงชราขี้โรคโดยไม่รังเกียจจึงมอบ แคลซิเฟอร์คืนให้แต่โดยดี จากนั้นโซฟีก็ถามความยินยอมของ แคลซิเฟอร์ว่าถ้านำหัวใจคืนแก่ฮาวล์ แคลซิเฟอร์จะเป็นอย่างไร แคลซิเฟอร์บอกว่าขนาดโดนน้ำสาดยังไม่เป็นไรเลย โซฟีจึงกดดวงใจนั้นกลับลงสู่อกของฮาวล์ที่สิ้นสติ เมื่อหัวใจคืนสู่เจ้าของ แคลซิเฟอร์ก็เป็นอิสระและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม้กระดานนั้นไม่มีผู้ขับเคลื่อน ทลายลงสู่ห้วงเหว หัวผักกาดต้องสละตัวเองเพื่อยับยั้งไม้กระดานนั้นทำให้ทุกคนปลอดภัย โซฟีจูบ หัวผักกาดหุ่นไล่กาที่พังยับเยินดูเหมือนไร้ชีวิตแล้ว ทันใดนั้นเอง หัวผักกาดก็กลายร่างเป็นเจ้าชายจัสตินที่หายสาบสูญ จูบของโซฟีทำให้คำสาปของเจ้าชายเสื่อมลงไป
ถึงในตอนนี้โซฟีเป็นหญิงสาวเหมือนเดิม เว้นแต่ผมสีเงินเท่านั้น ฮาวล์ก็ฟื้นขึ้นมาและรู้สึกถึงความหนักหน่วงของหัวใจตัวเอง ฮาวล์ชอบผมสีราวกับแสงดาวของโซฟี เจ้าชายจัสตินรู้ว่าโซฟีรักฮาวล์จึงจากไปเพื่อยุติสงคราม ซาลิมานซึ่งแอบดูอยู่ผ่าน เฮนก็ประกาศการสิ้นสุดของสงครามเช่นกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงอย่างมีความสุชเมื่อ แคลซิเฟอร์กลับมาขับเคลื่อนปราสาทด้วยความต้องการของตัวเอง มาร์เคิลเล่นกับเฮนอยู่ในสนามหญ้าของปราสาท มี แม่มดแห่งทุ่งร้างเฝ้าดูอยู่ราวกับคุณยายใจดี ส่วนฮาวล์และโซฟีกอดจูบกันอยู่บนระเบียงของปราสาท
ตัวละคร
[แก้]ตัวละคร | พากษ์เสียงญี่ปุ่นโดย | |
---|---|---|
โซฟี | ชิเอโกะ ไบโช | |
ฮาวล์ | ทากูยะ คิมูระ | |
แม่มดแห่งทุ่งร้าง | อากิฮิโระ มิวะ | |
แคลซิเฟอร์ | ทัตสึยะ กาชูอิง[3] | |
มาร์เคิล | เรียวโนซูเกะ คามิกิ[3] | |
มาดามซาลิมาน | ฮารูโกะ คาโต | |
เลตตี้ | ยาโยอิ คาซูมิ | |
ฮันนี่ | มายูโนะ ยาโซกาวะ | |
มกุฎราชกุมารจัสติน/หัวผักกาด | โย โออิซูมิ | |
กษัตริย์แห่งอิงการี | อากิโอะ โอสึกะ | |
เฮน (สุนัข) | ไดจิโร ฮาราดะ |
ความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์และนวนิยาย
[แก้]ไดอาน่า ไวนน์ โจนส์ ผู้แต่งนวนิยายได้พบกับตัวแทนของสตูดิโอจิบลิ แต่ไม่ได้มีส่วนในการสร้างภาพยนตร์ มิยาซากิได้เดินทางไปอังกฤษในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 2004 เพื่อให้โจนส์ดูภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการส่วนตัวด้วย โจนส์กล่าวว่า
มันเยี่ยมมาก ฉันไม่ได้ออกความเห็นในภาพยนตร์ ฉันเขียนหนังสือ ไม่ใช่ภาพยนตร์ มันจะต่างจากในหนังสือ แตกต่างมากทีเดียว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น มันจะเป็นหนังที่เยี่ยมมาก[4]
ภาพยนตร์แตกต่างจากเรื่องราวต้นฉบับของโจนส์ แม้โครงเรื่องจากคล้ายกันแต่ภาพยนตร์เต็มไปด้วยรูปแบบที่คุ้นเคยของภาพยนตร์โดยมิยาซากิ โครงเรื่องเน้นไปที่โซฟีและการผจญภัยของเธอขณะที่ถูกสาปให้เป็นคนแก่ การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่เกิดในระหว่างสงครามซึ่งมีเหตุการณ์คล้ายกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยมีเรือรบและเรือเหาะแบบเดรดนอต เรื่องในภาพยนตร์เกิดขึ้นในประเทศสมมติ ซึ่งได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมจากเมืองกอลมาร์และรีกวีรในแคว้นอาลซัส ประเทศฝรั่งเศส ที่มิยาซากิได้ไปเยือน[5]
นวนิยายกล่าวถึงความเจ้าชู้ประตูดินของฮาวล์และความพยายามของเขาที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมค้นหาพ่อมดและเจ้าชายที่หายไป ภาพยนตร์กลับกล่าวถึงความพยายามของฮาวล์ในการช่วยเหลือสงครามเพื่อเหตุผลทางสันตินิยม มุมมองนี้ของภาพยนตร์เป็นอิทธิพลมาจากความคิดทางการเมืองแบบสันตินิยามที่ฝังรากลึกอยู่ในมิยาซากิ ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารนิวส์วีกของสหรัฐ มิยาซากิบอกว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มสร้างขึ้นตอนที่ประเทศคุณเริ่มสงครามอิรัก" ความคับแค้นใจที่มิยาซากิมีแต่สงครามครั้งนั้นได้ส่งผลกระทบต่อภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมาก[6] หนังสือได้กล่าวถึงเวลส์ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งฮาวล์มีชื่อว่า Howell Jenkins และมีน้องสาวซึ่งมีลูกหลายคน ในภาพยนตร์ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ ใช้แต่เพียงนามแฝงของฮาวล์ว่า "The Great Wizard Jenkins" ("จอมเวทย์เจนกินส์")
ตัวละครหลายตัวจากหนังสือถูกดัดแปลง เด็กฝึกงานของฮาวล์ ไมเคิล ฟิชเชอร์ เป็นเด็กวัยรุ่น แต่ในภาพยนตร์เป็นเด็กชายตัวเล็กนามว่ามาร์เคิล ส่วนแม่มดแห่งทุ่งร้างในหนังสือเป็นผู้หญิงสาวสวย แต่ในภาพยนตร์เป็นหญิงร่างใหญ่อ้วนท้วนเหนื่อยง่าย ในหนังสือนางแม่มดนี้เป็นตัวร้ายถาวรที่ทำลายผู้อื่น แต่ในภาพยนตร์นางแม่มดนี้กลายเป็นคุณยายที่ได้รับการยอมรับในบ้านของฮาวล์ แคลซิเฟอร์ปีศาจไฟที่น่าเกรงขาม กลายเป็นเปลวไฟน้อยๆ ที่น่ารัก The Wizard ซาลิมานในหนังสือเป็นผู้ชายและเป็นมิตร แต่ในภาพยนตร์ ซาลิมานถูกควบรวมกับ Mrs. Pentstemmon กลายเป็น มาดามซาลิมานนางร้ายในเรื่อง ตัวละครอื่นๆ ในภาพยนตร์ก็เป็นการรวมตัวละครหลายตัวในหนังสือเข้าด้วยกันซึ่งมีแรงบันดาลใจและบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน
เพลงประกอบภาพยนตร์
[แก้]เพลงประกอบได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 โดยบริษัทโทกูมะ โจ ฮิไซชิเป็นผู้ประพันธ์และเป็นวาทยากรของ Howl's Moving Castle: Symphony Suite อันเป็นอัลบั้มที่ประกอบด้วย 10 เพลงที่เรียบเรียงเสียงประสานใหม่จากเพลงประกอบเดิม เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2547[7]
การตอบรับ
[แก้]ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ได้รับคำติชมที่เป็นบวกจากนักวิจารณ์ Claudia Puig จาก ยูเอสเอทูเดย์ ยกย่องภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าสามารถผสมผสาน "a childlike sense of wonder with sophisticated emotions and motives" ในขณะที่ Richard Roeper วิจารณ์ว่า "เป็นงานที่สร้างสรรค์อย่างบ้า" ส่วนนักวิจารณ์อื่นๆ ให้คำอธิบายภาพยนตร์นี้ว่า "a visual wonder", "A gorgeous life-affirming piece" และ "an animated tour de force." Roger Ebert จาก Chicago Sun-Times ให้ดาวสองดวงครึ่งจากสี่ดวงและรู้สึกว่านี่เป็นภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งของมิยาซากิ[8] ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอนิเมะชั่นเรื่องเดียวที่อยู่ในการจัดอันดับภาพยนตร์ที่ดีที่สุดใน พ.ศ. 2548 ของ Sight & Sound นิตยสารอย่างเป็นทางการของสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ
รางวัล
[แก้]ปี | รางวัล | ประเภท | ผล | ผู้รับ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|
2004 | 61st Venice Film Festival | Osella Awards for Technical Achievement | ชนะ | Howl's Moving Castle | [9] |
Mainichi Film Awards | ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมทุกสาขา (Readers' Choice Award) |
ชนะ | Howl's Moving Castle | [10] | |
Japan Media Arts Festival | รางวัลยอดเยี่ยมสาขาแอนิเมชั่น | ชนะ | Howl's Moving Castle | [11] | |
2005 | Tokyo Anime Award | แอนิเมชั่นแห่งปี | ชนะ | Howl's Moving Castle | [12] |
ผู้กำกับยอดเยี่ยม | ชนะ | ฮายาโอะ มิยาซากิ | [12][13] | ||
นักพากย์ยอดเยี่ยม | ชนะ | ชิเอโกะ ไบโช | [12][13] | ||
เพลงยอดเยี่ยม | ชนะ | โจ ฮิไซชิ | [12][13] | ||
Maui Film Festival | Audience Award | ชนะ | Howl's Moving Castle | [12][13] | |
Seattle International Film Festival | Golden Space Needle Award | รองอันดับที่ 1 | Howl's Moving Castle | [12][13] | |
2006 | 78th Academy Awards | Best Animated Feature | เสนอชื่อเข้าชิง | Howl's Moving Castle | [14] |
Saturn Awards | ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | Howl's Moving Castle | [15] | |
2007 | Nebula Award | บทยอดเยี่ยม | ชนะ | ฮายาโอะ มิยาซากิ | [16] |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "All-Time Worldwide Box office". Internet Movie Database. สืบค้นเมื่อ May 8, 2008.
- ↑ Howl's Moving Castle (2004) NYT Critics' A. O. Scott
- ↑ 3.0 3.1 Metacritic 2005.
- ↑ "FAQ / Howl's Moving Castle". The Hayao Miyazaki Web. สืบค้นเมื่อ 2008-05-08.
- ↑ The Anime Art of Hayao Miyazaki by Dani Cavallaro; Publisher: McFarland & Company (January 24, 2006) ; Page 168; ISBN 978-0786423699
- ↑ Devin Gordon (2005). "A 'Positive Pessimist'". The Hayao Miyazaki Web. สืบค้นเมื่อ 2008-05-08.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-02. สืบค้นเมื่อ 2020-04-01.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ "Howl's Moving Castle (2005)". Rotten Tomatoes. สืบค้นเมื่อ 2008-05-08.
- ↑ Biennale 2004.
- ↑ animenews 2016.
- ↑ Japan Media Arts 2004.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 imdb 2016.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 nausicaa2 2016.
- ↑ Oscars 2006.
- ↑ animenews 2006.
- ↑ Locus 2007.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Studioghibli.tv: STUDIO GHIBLI TV เก็บถาวร 2009-10-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (trailers and other related anime works)
- Howl's Moving Castle
- Hauru no Ugoku Shiro (Howl's Moving Castle) ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Hauru No Ugoku Shiro ที่บิกการ์ตูนเดตาเบส
- Hauru no Ugoku Shiro (Howl's Moving Castle) ที่ออลมูวี
- Howl's Moving Castle at Nausicaa.net
- "ハウルの動く城 (Hauru no Ugoku Shiro)" (ภาษาญี่ปุ่น). Japanese Movie Database. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2007-07-21.