ข้ามไปเนื้อหา

ทศวรรษที่สาบสูญ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่น

ทศวรรษที่สาบสูญ (ญี่ปุ่น: 失われた10年โรมาจิUshinawareta Jūnen) เป็นความซบเซาทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากการล้มลงของภาวะฟองสบู่ขึ้นในตลาดสินทรัพย์ในช่วงท้าย ค.ศ. 1991 นักวิจารณ์ใช้ถ้อยคำว่า "ทศวรรษที่สาบสูญ" เมื่อกล่าวถึงภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990[1] ขณะที่ "20 ปีที่สาบสูญ" (失われた20年) และ "30 ปีที่สาบสูญ" (失われた30年) จะใช้เมื่อกล่าวถึงภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2000 และ คริสต์ทศวรรษ 2010 ตามลำดับ[2][3][4]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเมื่อวัดด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) นั้นเติบโตเพียง 1.14% ทุกปี ขณะที่อัตราการเติบโตจริงเฉลี่ยระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2010 อยู่เพียงที่ 1% ซึ่งถือว่าอยู่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ[5][4] หนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเกิดมาจากวิกฤตการณ์การเงินในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ค.ศ. 2008 ประกอบกับแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ ใน ค.ศ. 2011 และ การระบาดทั่วของโควิด-19 ใน ค.ศ. 2020 ซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและก่อความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ตลอดช่วง ค.ศ. 1995 ถึง ค.ศ. 2007 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ของประเทศญี่ปุ่นจาก 5.33 ล้านล้าน ตกลงมาอยู่ที่ 4.36 ล้านล้าน[6] ค่าจ้างแท้จริงตกลงมาที่ประมาณ 5%[7] ขณะที่ประเทศในภาพรวมประสบกับปัญหาระดับราคาหยุดนิ่ง[8] ในปี 2024 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค จากการที่ GDP หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สูญเสียตำแหน่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสามของโลกให้เยอรมนี[9]

ในปัจจุบันมีการถกเถียงกันในประเด็นเกี่ยวกับขอบข่ายและเกณฑ์วัดการถดถอยของญี่ปุ่น[10][11] ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากทศวรรษที่สาบสูญถูกยอมรับอย่างดี และผู้กำหนดนโยบายของญี่ปุ่นยังต้องต่อสู้กับผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา

สาเหตุ

[แก้]
พันธบัตรญี่ปุ่น ในค.ศ. 1990 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว                      30 ปี                      20 ปี                      10 ปี                      5 ปี                      2 ปี                      1 ปี
ปริมาณเงินและอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่น (เทียบปีต่อปี)                      ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2)                      เงินเฟ้อ
อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาทรัพย์สินในญี่ปุ่น (เทียบปีต่อปี)

จากปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้ยุติลงอย่างกะทันหันในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เนื่องจากปลายทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจญี่ปุ่นประสบกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เกิดจากนโยบายการเติบโตของสินเชื่อที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นผ่านกลไกนโยบายที่เรียกว่า "Window guidance" [12][13] ดังที่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อพอล ครุกแมนอธิบายว่า "ธนาคารของญี่ปุ่นนั้นปล่อยสินเชื่อมากกว่าธนาคารอื่น ๆ และยังมีการคำนึงถึงเครดิตผู้กู้น้อยกว่าธนาคารอื่น ๆ ด้วย การทำเช่นนั้นทำให้ธนาคารเหล่านี้เป็นตัวการขยายเศรษฐกิจฟองสบู่จนมีสัดส่วนที่แปลกประหลาด" [14] นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ริชาร์ด เวอร์เนอร์ กล่าวว่าแรงกดดันจากภายนอก เช่น ข้อตกลงพลาซา รวมถึงนโยบายของกระทรวงการคลัง (ญี่ปุ่น)ในการลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไม่เพียงพอที่จะอธิบายการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น [12][13]

จากความพยายามที่จะลดการเก็งกำไรและควบคุมอัตราเงินเฟ้อธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรวดเร็วในปลายปี 1989 [15]นโยบายที่เฉียบขาดนี้ทำให้เกิดฟองสบู่แตกและเกิดสภาวะตลาดหุ้นล้มในญี่ปุ่นดัชนีราคาหุ้นและสินทรัพย์ลดลง ส่งผลให้ธนาคารและบริษัทประกันภัยของญี่ปุ่นเกิดหนี้เสียค้างจำนวนมากส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อธนาคารซบเซา[16] สถาบันการเงินได้รับการช่วยเหลือผ่านการระดมทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและได้รับเงินกู้ยืมสินเชื่อราคาถูกจากธนาคารกลาง แต่ก็ทำให้เสียความตระหนักจากการบริหารงานที่เสี่ยงต่อการขาดทุนเพราะหากขาดทุนธนาคารเหล่านั้นก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลและในที่สุดก็กลายเป็นธนาคารซอมบี้ (ธนาคารซอมบี้ หมายถึง บริษัทที่มีหนี้สินจำนวนมาก และไม่มีความสามารถที่จะสร้างกำไรเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ แต่ยังสามารถทำธุรกิจต่อได้ด้วยความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากรัฐบาลหรือธนาคารกลาง) [17] บทความจากบลูมเบิร์ก นิวส์ที่เขียนโดยยัลมาน โอนารานซึ่งเป็นนักข่าวการเงินระบุว่าธนาคารซอมบี้นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของความซบเซาทางเศรษฐกิจที่ยาวนานของญี่ปุ่น[18] ไมเคิล ชูแมนจากนิตยสารไทม์เขียนว่า "ธนาคารเหล่านี้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทซอมบี้โดยที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนอะไรเลย โดยให้เหตุผลว่าบริษัทใหญ่เกินกว่าจะล้มละลาย" บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหนี้สินจำนวนหมาศาลไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีเงินสนับสนุน ไมเคิล ชูแมนเชื่อว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาจนกว่ารัฐบาลจะหยุดให้เงินช่วยเหลือแก่บริษัทซอมบี้เหล่านี้[19]

ในที่สุดบริษัทที่ล้มเหลวหลายแห่งก็อยู่ไม่ยั่งยืนทำให้เกิดการควบรวมกิจการตามมา ส่งผลให้เกิดธนาคารระดับชาติสี่แห่งในญี่ปุ่น บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งมีภาระหนี้สินจำนวนมากการขอสินเชื่อจากธนาคารปกติจึงทำได้ยากลำบากผู้ต้องการกู้ยืมจึงใช้บริการซาราคิน (บริษัทเงินทุนให้กู้ไมโครไฟแนนซ) สำหรับอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นก็อยู่ในระดับต่ำในปี 2012 อัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 0.1%[20] อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่า 1% ตั้งแต่ปี 1994[21]

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

[แก้]

แม้ภาคเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงทศวรรษปี 2000 แต่ภาคการบริโภคเพื่อแสดงสถานะ (การบริโภคสินค้าที่มีความหรูหรา)[22] ก็ยังไม่กลับไปเท่าช่วงทศวรรษปี 1980 บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า โซนี่ พานาโซนิค ชาร์ป และโตชิบาที่เคยครองอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1990 ในภาคการผลิตของตน ต้องต่อสู้กับการแข่งขันจากบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะกับเกาหลีใต้และจีนที่ขึ้นมาแข่งขันได้อย่างดีในทศวรรษที่ 2000 จากสถิติในปี 1989 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ 50 อันดับแรกของโลกมีบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นถึง 32 แห่ง แต่ใน ค.ศ. 2018 เหลือเพียงบริษัทโตโยต้าบริษัทเดียวที่ยังคงอยู่ใน 50 อันดับแรก[23] บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้เปลี่ยนรูปแบบพนักงานไปเป็นพนักงานชั่วคราวที่มีความมั่นคงในการทำงานน้อยลงและได้รับสวัสดิการน้อยกว่าเดิม คาดว่าในปี ค.ศ. 2009 มีพนักงานในรูปแบบชั่วคราวนี้มากกว่าหนึ่งในสามของกำลังแรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่น[24] ค่าจ้างของแรงงานซบเซาลงมากแทบไม่เพิ่มตั้งแต่ปี 1997 อัตราค่าจ้างที่แท้จริงลดลงประมาณ 13% ภายในปี 2013[7]ซึ่งเป็นอัตราลดลงที่ไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จากการสำรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการพบว่ารายได้ของครัวเรือนชาวญี่ปุ่นในปี 2010 ลดลงเทียบเท่ากับรายได้ครัวเรือนในปี 1987[25] จากข้อมูลของ เทโกกุ ดาด้าแบงค์ (teikoku databank) ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดอันดับที่มีความน่าเชื่อถือที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นพบว่ายอดขายรวมของบริษัททั้งหมดในญี่ปุ่นหดตัวลงราว 3.9% ในปี 2010 เมื่อเทียบกับปี 2000 หรือสูญเสียมูลค่าไป 13,848.2 พันล้านเยน[26]

เศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในกระบวนการฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1991 และช่วง "ทศวรรษที่สาบสูญ" โดยใช้เวลาถึง 12 ปีในการฟื้นตัวให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ให้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปี ค.ศ. 1995 สัญญาณที่เด่นเจนยิ่งขึ้นของปัญหาเศรษฐกิจคือญี่ปุ่นได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 1991 GDP per capita ของญี่ปุ่นสูงกว่าของออสเตรเลีย 14% แต่ในปี 2011 GDP per capita ของญี่ปุ่นกลับลดลงต่ำกว่าของออสเตรเลีย 14% [27]ในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นยังมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานที่ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ โดยในปี 1990 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 6 ของกลุ่มประเทศ G7 และมีอันดับสูงกว่าสหราชอาณาจักร แต่ในปี 2021 ผลิตภาพแรงงานของญี่ปุ่นกลับลดลงมาอยู่ในอันดับสุดท้ายของกลุ่ม G7 และอันดับที่ 29 จาก 38 ประเทศสมาชิกของ OECD[28]

กว่า 25 ปีหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ญี่ปุ่นยังคงเผชิญผลกระทบจาก "ทศวรรษที่สาบสูญ" มาอย่างต่อเนื่อง แต่มีนักการเมืองหลายคนพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยหนึ่งในนั้นคือ ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 เขาได้เสนอแผนเศรษฐกิจที่เรียกว่า อาเบะโนมิกส์ ซึ่งประกอบด้วย "ลูกศรสามดอก" เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อต่ำ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน และรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ[29] ในช่วงแรก นักลงทุนตอบรับแผนนี้อย่างดี ดัชนีหุ้น Nikkei 225 เพิ่มขึ้นถึง 20,000 จุดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 จากจุดต่ำสุดราว 9,000 จุดใน ค.ศ. 2008 ธนาคารกลางญี่ปุ่นตั้งเป้าเงินเฟ้อผู้บริโภคไว้ที่ 2% แต่ความสำเร็จในช่วงแรกกลับถูกขัดขวางจากการขึ้นภาษีการขายเพื่อปรับสมดุลงบประมาณรัฐบาล[30] อย่างนั้นผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปยังไม่ชัดเจนนัก ผลสำรวจจาก เกียวโด นิวส์ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 พบว่า 73% ของชาวญี่ปุ่นยังไม่รู้สึกถึงผลของนโยบายอาเบะโนมิกส์โดยตรง และมีเพียง 28% เท่านั้นที่คาดว่าจะได้ขึ้นเงินเดือน ขณะเดียวกัน 70% ของผู้ตอบสำรวจกำลังพิจารณาลดการใช้จ่ายหลังจากการขึ้นภาษีการบริโภค[31]

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2020 เมื่อญี่ปุ่นเริ่มประสบกับการระบาดของโควิด-19 จุน ไซโตะ จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจญี่ปุ่นกล่าวว่าผลกระทบของการระบาดใหญ่เป็น "การซ้ำเติมครั้งสุดท้าย" ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซามาเป็นเวลานาน หลังจากก่อนหน้านี้ได้กลับมาเติบโตอย่างช้า ๆ ในปี ค.ศ. 2018 [32]

แปลความหมาย

[แก้]

นักเศรษฐศาสตร์ พอล ครุกแมน ได้ให้เหตุผลว่าทศวรรษที่สาบสูญของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของกับดักสภาพคล่อง อธิบายได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ผู้กำหนดนโยบายการเงินไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก เนื่องจากอยู่ในระดับใกล้ศูนย์แล้ว ครุกแมนอธิบายถึงขนาดของฟองสบู่สินทรัพย์ในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1990 ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก โดยในช่วงทศวรรษ 1980 ราคาที่ดินและตลาดหุ้นได้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการออมส่วนบุคคลที่สูงมาก มีสาเหตุมาจากโครงสร้างประชากรสูงวัย ส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นจำต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารแบบดั้งเดิม แทนการระดมทุนผ่านตลาดทุนด้วยการออกหุ้นหรือตราสารหนี้ เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างบริษัทและธนาคาร รวมถึงการค้ำประกันโดยนัยว่ารัฐบาลจะเข้ามาอุ้มระบบเงินฝากธนาคารหากเกิดปัญหา จากเหตุผลดังกล่าวจึงเกิดเป็นหาอันตรายบนศีลธรรมตามมา นำไปสู่ทุนนิยมแบบพวกพ้อง และการลดมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นตัวเร่งให้ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว [14]

ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใน ค.ศ. 1990 ส่วนหนึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงจากฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ ในปี ค.ศ. 1991 ราคาที่ดินและตลาดหุ้นก็เริ่มปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยในเวลาไม่กี่ปี ราคาทรัพย์สินเหล่านี้ได้ลดลงถึง 60% จากจุดสูงสุด[14]

นักเศรษฐศาสตร์ ริชาร์ด คู ได้เขียนว่า "ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่" ของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มขึ้นในปี 1990 เป็นภาวะถดถอยของงบดุลเกิดจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปจากการมีภาระหนี้จนส่งผลให้คนไม่กล้าใช้จ่าย เกิดจากการที่ราคาที่ดินและหุ้นตกลงอย่างรุนแรง ทำให้บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากประสบปัญหาทางการเงิน แม้ว่ารัฐบาลจะลดดอกเบี้ยเป็นศูนย์และเพิ่มปริมาณเงินในระบบเพื่อกระตุ้นการกู้ยืม แต่บริษัทของญี่ปุ่นกลับเลือกชำระหนี้จากรายได้ของตัวเอง แทนที่จะกู้เงินเพื่อนำไปลงทุน ส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ GDP ลดลงถึง 22% ระหว่างปี 1990 ถึงปี 2003 นับแต่ปี 1998 เป็นต้นมา บริษัทญี่ปุ่นภาพรวมมักเก็บออมแทนที่จะเป็นผู้กู้ยืม ชาร์ด คู เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการกู้เงินและการใช้จ่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาระดับ GDP ของญี่ปุ่นไว้ได้ และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจทรุดหนักเหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในช่วงนั้น GDP ของสหรัฐฯ ลดลงถึง 46% ในแง่ของญี่ปุ่น ริชาร์ด คู มองว่านโยบายการเงินใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์นี้ เพราะบริษัทต่าง ๆ มุ่งเน้นการลดหนี้มากกว่าการกู้ยืมและลงทุน ในภาวะถดถอยของงบดุล GDP จะลดลงในปริมาณที่เท่ากับการชำระหนี้และการออม ส่งผลให้การใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลกลายเป็นมาตรการแก้ไขหลัก [33][34]

นักเศรษฐศาสตร์ สก็อตต์ ซัมเนอร์ กลับมองต่างออกไป โดยเชื่อว่านโยบายการเงินของญี่ปุ่นในช่วงที่เรียกว่า "ทศวรรษที่สาบสูญ" เข้มงวดเกินไป และเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวช้า[35][36][37][38]

ส่วน ฟูมิโอะ ฮายาชิ และ เอ็ดเวิร์ด เพรสคอตต์ เห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาเกิดจากการเติบโตของผลิตภาพรวมที่ต่ำ ซึ่งแตกต่างจากคำอธิบายทั่วไปที่มุ่งเน้นไปที่ปัญหาวิกฤตสินเชื่อหลังจากการล่มสลายของฟองสบู่สินทรัพย์ ทั้งสองศึกษาประเด็นนี้โดยอ้างอิงหลักฐานที่แสดงว่า แม้ภาคธนาคารญี่ปุ่นจะเผชิญความยากลำบากในช่วงเศรษฐกิจซบเซาแต่ในภาพรวมบริษัทต่างๆ ยังคงสามารถเข้าถึงเงินทุนสำหรับการลงทุนได้อย่างเพียงพอ ฮายาชิและเพรสคอตต์กล่าวว่าการลงทุนที่ลดลงของภาคเอกชนในญี่ปุ่นควรถูกอธิบายด้วยเหตุที่ว่าเกี่ยวกับระดับความต้องการลงทุนที่ต่ำมากกว่าข้อจำกัดทางสินเชื่อ [39][40]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Hayashi Prescott" (PDF).
  2. Leika Kihara (August 17, 2012). "Japan eyes end to decades long deflation". Reuters. สืบค้นเมื่อ September 7, 2012.
  3. "円は一段と上昇か、日本は次の失われた10年に直面-ムーディーズ". Bloomberg.com (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
  4. 4.0 4.1 "「失われた30年」に向かう日本". Newsweek日本版 (ภาษาญี่ปุ่น). 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
  5. Nielsen, Barry. "The Lost Decade: Lessons From Japan's Real Estate Crisis". Investopedia (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
  6. "Japanese GDP, nominal".
  7. 7.0 7.1 "Waging a New War". March 9, 2013.
  8. "Inflation Japan - CPI inflation".
  9. "ญี่ปุ่นสูญตำแหน่งอันดับ Top 3 เศรษฐกิจโลก หลัง GDP หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะถดถอย". THE STANDARD. 16 February 2024.
  10. Fingleton, Eamonn (January 6, 2012). "The Myth of Japan's Failure". The New York Times.
  11. Fingleton, Eamonn (January 12, 2012). "Video interview on BBC News with Eamonn Fingleton". BBC News, 5 min. 26 sec.
  12. 12.0 12.1 Werner, Richard (2005). New Paradigm in Macroeconomics. doi:10.1057/9780230506077. ISBN 978-1-4039-2074-4.
  13. 13.0 13.1 Werner, Richard A. (2002). "Monetary Policy Implementation in Japan: What They Say versus What They Do". Asian Economic Journal. 16 (2): 111–151. doi:10.1111/1467-8381.00145.
  14. 14.0 14.1 14.2 Krugman, Paul (2009). The Return of Depression Economics and the Crisis of 2008. W.W. Norton Company Limited. ISBN 978-0-393-07101-6.
  15. "Japan Raised Interest Rates". Reuters via The New York Times. December 25, 1989.
  16. Princes of the Yen. Japan's Central Bankers and the Transformation of the Economy. quantumpublishers.com. 2003.
  17. "รู้จัก "Zombie Company" บริษัทผีดิบ ในโลกของธุรกิจ". www.longtunman.com. 27 October 2022. สืบค้นเมื่อ 2 March 2024.
  18. Onaran, Yalman (2011-11-25). "Kill the zombie banks!". Salon Media Group. สืบค้นเมื่อ 2013-01-16.
  19. Schuman, Michael (2008-12-19). "Why Detroit Is Not Too Big to Fail". Time Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-23. สืบค้นเมื่อ 2008-12-23.
  20. Ohno, Kenichi. "Economic Development of Japan". National Graduate Institute for Policy Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-14. สืบค้นเมื่อ 3 April 2011.
  21. "Bank of Japan Interest Rates".
  22. "เมื่อมือถือเป็นมากกว่ามือถือ: รู้จักกับตลาดมือถือหรู | Blognone". www.blognone.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 March 2024.
  23. "昭和という「レガシー」を引きずった平成30年間の経済停滞を振り返る". ダイヤモンド・オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 20 August 2018. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
  24. Tabuchi, Hiroko (2009-02-22). "When Consumers Cut Back: An Object Lesson From Japan". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2010-05-11.
  25. "世帯所得、昭和に逆戻り…10年平均538万円". 日本経済新聞 電子版 (ภาษาญี่ปุ่น). 5 July 2012. สืบค้นเมื่อ 2020-10-18.
  26. 田中秀臣 『日本経済復活が引き起こすAKB48の終焉』 主婦の友社、2013年、84頁。
  27. "The Japanese Tragedy". The Economist Blog.
  28. "労働生産性の国際比較 | 調査研究・提言活動". 公益財団法人日本生産性本部 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2023-10-17.
  29. "The third arrow". 28 June 2014.
  30. "Inflation in Japan rises to 30-year high". 27 June 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-12.
  31. "Over 70% of Japanese not feeling benefits of Abenomics". AFP. 27 January 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 February 2014. สืบค้นเมื่อ 28 January 2014.
  32. Huang, Eustance (7 April 2020). "Japan's economy has been dealt the 'final blow' by the coronavirus pandemic, says analyst". CNBC. สืบค้นเมื่อ 7 April 2020.
  33. Koo, Richard (2009). The Holy Grail of Macroeconomics-Lessons from Japan's Great Recession. John Wiley & Sons (Asia) Pte. Ltd. ISBN 978-0-470-82494-8.
  34. White, Gregory. "Richard Koo's Awesome Presentation On The Real Reason Why This Recession Is Completely Different". Business Insider.
  35. Sumner, Scott. "Why Japan's QE didn't "work"". The Money Illusion. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  36. Sumner, Scott. "More evidence that the BOJ is not trying to create inflation". The Money Illusion. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  37. Sumner, Scott. "Rooseveltian Resolve". The Money Illusion. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  38. Sumner, Scott. "The other money illusion". The Money Illusion. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  39. Hayashi, Fumio; Prescott, Edward (2002). "The 1990s in Japan: A Lost Decade". Review of Economic Dynamics (ภาษาอังกฤษ). 5 (1): 206–235. doi:10.1006/redy.2001.0149.
  40. Dept, International Monetary Fund External Relations (1 January 2002). "Interview with Edward Prescott: Japan's prolonged slowdown parallels sharp decline in productivity growth". IMF Survey (ภาษาอังกฤษ). 31 (6). doi:10.5089/9781451934359.023.A005 (inactive 1 November 2024).{{cite journal}}: CS1 maint: DOI inactive as of พฤศจิกายน 2024 (ลิงก์)