การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่น
การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่น | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1941–1945 | |||||||||
แผนที่แสดงอาณาเขตของจักรวรรดิญี่ปุ่น ค.ศ. 1942. | |||||||||
สถานะ | เขตยึดครองโดยทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่น | ||||||||
เมืองหลวง | พนมเปญ | ||||||||
การปกครอง | รัฐหุ่นเชิด | ||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||
• 1941-1945 | พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สงครามโลกครั้งที่ 2 | ||||||||
• ก่อตั้ง | 1941 | ||||||||
• ญี่ปุ่นยึดดินแดนกัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส | สิงหาคม 1941 | ||||||||
กุมภาพันธ์ 1945 | |||||||||
15 สิงหาคม 1945 | |||||||||
• ฝรั่งเศสเข้าปกครองอินโดจีนอีกครั้ง | ตุลาคม 1945 | ||||||||
• สิ้นสุด | 1945 | ||||||||
สกุลเงิน | เรียลกัมพูชา | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | กัมพูชา |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
---|
ประวัติศาสตร์กัมพูชา |
ประวัติศาสตร์ยุคแรก |
ยุคมืด |
สมัยอาณานิคม |
เอกราชและความขัดแย้ง |
กระบวนการสันติภาพ |
กัมพูชายุคใหม่ |
ตามหัวข้อ |
การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่น เป็นเหตุการณ์ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์กัมพูชาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้ามายึดครองกัมพูชาและจัดตั้งรัฐบาลหุ่นของตนขึ้น ระหว่าง พ.ศ. 2484-2488 ซึ่งในช่วงแรก รัฐบาลวีชีของฝรั่งเศสยอมให้ญี่ปุ่นผ่านเข้ามาตั้งฐานทัพในอินโดจีนฝรั่งเศสได้ รัฐบาลอาณานิคมของฝรั่งเศสยังปกครองอยู่ตามเดิม ต่อมา ญี่ปุ่นจึงได้ตั้งรัฐหุ่นเชิดขึ้นในกัมพูชา สถานะของรัฐนี้สิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ. 2488[1] ซึ่งในช่วงที่กัมพูชาถูกญี่ปุ่นยึดครอง ดินแดนส่วนหนึ่งของกัมพูชาในปัจจุบันนั้น ฝรั่งเศสได้คืนให้แก่ไทยหลังจากกรณีพิพาทอินโดจีน คือ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง และบางส่วนของจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ เมื่อไทยได้คืนดินแดนเหล่านี้ให้ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2489 ดินแดนดังกล่าวก็รวมเข้ากับกัมพูชาดังเดิม
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
[แก้]กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ. 2483 – 2484 ทำให้การปกครองอินโดจีนในฐานะอาณานิคมของฝรั่งเศสอ่อนแอลง รัฐบาลวิชีของฝรั่งเศสยอมให้ญี่ปุ่นผ่านดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสและเข้ามาจัดตั้งฐานทัพในเวียดนามเหนือได้ โดยให้มีทหารไม่เกิน 25,000 คน[2] ในช่วงเวลานี้ รัฐบาลไทยได้รับมอบดินแดนในกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสคือ พระตะบอง เสียมราฐ และบริเวณแคบๆระหว่างเทือกเขาพนมดงรักไปจนถึงเส้นขนานที่ 15 ในจังหวัดสตึงแตรง[3]
ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกทัพเข้าสู่กัมพูชาและจัดตั้งกองทหารกว่า 8,000 แห่ง และยอมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลวิชีของฝรั่งเศสยังคงบริหารอยู่ได้ ต่อมา 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 ได้เกิดขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสกลุ่มใหญ่ในพนมเปญ หลังจากพระภิกษุ เฮม เชียว ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนบาลีระดับมัธยมถูกจับกุมเมื่อเทศนาต่อต้านรัฐบาลฝรั่งเศสโดยไม่ให้ลาสิกขาก่อน และถูกส่งไปคุมขังที่เกาะโกนเดา ทำให้มีการเดินขบวนประท้วงที่เรียกว่าสงครามร่ม (Umbrella war)[4] เซิง งอกทัญถูกทางการฝรั่งเศสจับตาในข้อหาสนับสนุนญี่ปุ่น ต่อมา ใน พ.ศ. 2486 ข้าหลวงใหญ่แห่งฝรั่งเศส เสนอให้ยกเลิกการใช้อักษรเขมรและเขียนภาษาเขมรด้วยอักษรโรมันแทน พระภิกษุได้เป็นแกนนำในการต่อสู่คัดค้านอย่างหนัก จนต้องยกเลิกไป[4]
ใน พ.ศ. 2488 ญี่ปุ่นได้กำจัดอำนาจของฝรั่งเศสออกจากอินโดจีน โดยกำจัดเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและปลดอาวุธทหารฝรั่งเศส และสนับสนุนให้กัมพูชาประกาศเอกราช ต่อมา 9 มีนาคม พ.ศ. 2488 พระนโรดม สีหนุกษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้นได้ประกาศเอกราชของกัมพูชา โดยได้รับการรับรองจากญี่ปุ่น ในวันที่ 13 มีนาคม พระนโรดม สีหนุ ได้เปลี่ยนชื่อที่เป็นทางการของประเทศที่เขียนด้วยอักษรโรมันจาก Cambodge ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศสเป็น Kampuchea ซึ่งมาจากภาษาเขมร เซิง งอกทัญ กลับมาถึงกัมพูชาในเดือนพฤษภาคมและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอีกสองเดือนถัดมา.[5]
ในวันที่ 9-10 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เกิดการรับประหารต่อต้านพระนโรดม สีหนุ ผู้นำในการรัฐประหารคือเซิง งอกทัยและผู้สนับสนุนเพื่อเรียกร้องให้พระนโรดม สีหนุสละราชสมบัติ คณะรัฐมนตรีทั้งหมดถูกฝ่ายรัฐประหารควบคุมตัวไว้ ยกเว้นสมเด็จกรมพระสีสุวัตถิ์มุนีเรศ[4] แม้จะคาดว่าญี่ปุ่นอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ญี่ปุ่นเองก็ประกาศยอมแพ้สงครามในอีกไม่กี่วันต่อมา เซิง งอกทัญพยายามรักษาสถานภาพของรัฐบาลไว้ โดยจัดให้มีการหยั่งเสียงการสนับสนุนเอกราช ซึ่งมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น[4] อย่างไรก็ตาม รัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นในกัมพูชานี้คงอยู่จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2488 ก็สิ้นสุดอำนาจลงเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาในกัมพูชา
การยึดครองกัมพูชาของญี่ปุ่นสิ้นสุดลงเมื่อการประกาศยอมแพ้ของญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรเข้าสู่กัมพูชา ทหารญี่ปุ่นในกัมพูชาถูกปลดอาวุธ ฝรั่งเศสกลับมาสถาปนาการปกครองแบบอาณานิคมที่พนมเปญอีกในเดือนตุลาคม เซิง งอกทัญถูกส่งไปกักบริเวณในฝรั่งเศสเป็นเวลา 6 ปี กลุ่มผู้สนับสนุนเซิงงอกทัญยังคงต่อสู้แบบใต้ดินและฝังตัวในดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของไทย กลุ่มเขมรอิสระซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศสที่มีไทยหนุนหลังยังคงดำเนินการอยู่ แม้ว่าจะแตกแยกกันไปในที่สุดหลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2497.[6]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Milton Osborne, Sihanouk, Prince of Light, Prince of Darkness. Silkworm 1994
- ↑ "Jean-Philippe Liardet, L'Indochine française pendant la Seconde Guerre mondiale; Les accords de septembre 1940". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-05. สืบค้นเมื่อ 2011-10-02.
- ↑ "Jean-Philippe Liardet, L'Indochine française pendant la Seconde Guerre mondiale; La guerre contre le Siam, 1940-41". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-30. สืบค้นเมื่อ 2011-10-02.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 ธิบดี บัวคำศรี. ประวัติศาสตร์กัมพูชา.พิมพ์ครั้งที่ 2. กทม. เมืองโบราณ. 2555
- ↑ Cambodia, The Emergence of Nationalism
- ↑ Cambodia, Appendix B - Major Political and Military Organizations
- พระราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. 2488)
- การยึดครองดินแดนในสงครามโลกครั้งที่สอง
- การยึดครองทางทหารของญี่ปุ่น
- ประวัติศาสตร์การทหารของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศกัมพูชา
- ประวัติศาสตร์กัมพูชา
- สงครามเกี่ยวข้องกับทวีปเอเชีย
- สงครามแปซิฟิก
- อดีตอาณานิคมของญี่ปุ่น
- อดีตอาณานิคมในทวีปเอเชีย
- ฝ่ายอักษะ
- เขตสงครามเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสงครามโลกครั้งที่สอง