ข้ามไปเนื้อหา

สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Sunderland F.C.)
ซันเดอร์แลนด์
Sunderland AFC
ชื่อเต็มSunderland Association Football Club
ฉายาThe Black Cats
แมวดำ
ก่อตั้งค.ศ. 1879 ในชื่อ Sunderland & District Teachers
สนามสเตเดียมออฟไลต์, ซันเดอร์แลนด์
ความจุ49,000 คน
เจ้าของคีริล หลุยส์-เดรย์ฟัส (64%)
ฆวน ซาร์โตรี (36%)[1]
ประธานคีริล หลุยส์-เดรย์ฟัส
ผู้จัดการเรฌิส เลอ บริส์[2]
ลีกอีเอฟแอลแชมเปียนชิป
2022–23อันดับที่ 6 ในแชมเปียนชิป
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม

สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ (อังกฤษ: Sunderland Association Football Club) ตั้งอยู่ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ปัจจุบันแข่งขันในแชมเปียนชิป

ประวัติ

[แก้]

สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1879 ภายใต้ชื่อเดิม Sunderland & District Teachers Association ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Sunderland Association Football Club และเข้าร่วมฟุตบอลลีกอาชีพในปี 1890 โดยในช่วงแรกระหว่างปี 1886-1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับ สโมสรนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่อมาในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์จึงได้ย้ายมาใช้สนามโรเกอร์พาร์ก เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่แทน ผลงานในอดีตที่ผ่านมาซันเดอร์แลนด์เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ 6 ครั้ง ในปี 1892, 1893, 1895, 1902, 1913 และ 1936 และเป็นแชมป์เอฟเอคัพ 2 ครั้ง ในปี 1937 และ 1973 ตามลำดับ

  • ปี 1987-1988

ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ย่ำแย่ทำให้ตกชั้นลงไปแข่งขันในระดับดิวิชัน 3 ของอังกฤษเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาภายใต้การทำทีมของ Dennis Smith ทำให้ซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยสามารถคว้าแชมป์ดิวิชัน 3 ได้สำเร็จในฤดูกาลดังกล่าว

  • ปี 1995-1997

ซันเดอร์แลนด์ภายใต้การนำของผู้จัดการทีมคนใหม่ "ปีเตอร์ รีด" เพียงแค่ฤดูกาลแรกก็สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมขึ้นสู่ระดับพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของอังกฤษ หลังจากต้องใช้ความพยายามมาอย่างยาวนาน แต่ในฤดูกาล 1996-1997 ซันเดอร์แลนด์กลับทำผลงานได้ไม่ดีนักทำให้จบฤดูกาลที่อันดับ 18 ต้องตกชั้นกลับไปเล่นในระดับดิวิชัน 1 ตามเดิม และในปีเดียวกันนั้น ซันเดอร์แลนด์ได้ย้ายสนามเหย้าจากสนาม Roker Park ที่เคยใช้งานมากว่า 99 ปี มายังสนามแห่งใหม่คือ สนาม Stadium of Light ที่มีความจุมากที่สุดแห่งหนึ่งในรอบ 70 ปีของสนามกีฬาในอังกฤษ ด้วยจำนวนที่นั่งผู้เข้าชม 42,000 คน (โดยต่อมาได้ขยายความจุเป็น 49,000 คน)

  • ปี 1997-2003

หลังจากใช้ความพยายามร่วม 2 ปี ซันเดอร์แลนด์ก็กลับมาแข่งขันในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 1998-1999 ซันเดอร์แลนด์สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 105 คะแนน ซึ่งกลายเป็นสถิติคะแนนสูงสุดในขณะนั้นอีกด้วย สำหรับผลงานในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1999-2000 และ 2000-2001 ซันเดอร์แลนด์สามารถทำผลงานได้ดีจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ทั้งสองฤดูกาล แต่ทว่ายังพลาดโอกาสที่จะไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป โดยในฤดูกาล 2001-2002 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ไม่ดีนักแต่ก็สามารถหนีรอดการตกชั้นมาได้อย่างเฉียดฉิวด้วยอันดับ 17 แต่ในฤดูกาล 2002-2003 ซันเดอร์แลนด์ก็ยังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ต่อเนื่อง เมื่อชนะเพียง 4 เกม ยิงได้ 21 ประตู เก็บได้เพียง 19 คะแนน จบด้วยอันดับสุดท้ายของตารางจึงต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมสโมสรมากกว่า 20 ล้านปอนด์ ทำให้จำเป็นต้องขายนักเตะที่ดีที่สุดไปเพื่อชำระหนี้และพยุงสถานการณ์ของสโมสรให้ดีขึ้น

  • ปี 2003-2006

ซันเดอร์แลนด์โดยการทำทีมของ "มิค แมคคาร์ธธี" ใช้ความพยายาม 2 ปีจนได้แชมป์ลีก Coca-Cola Championship และได้กับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้ง (ครั้งที่ 3 ในรอบ 10 ปี) อย่างไรก็ตาม หลังจากจบฤดูกาล 2005-2006 ซันเดอร์แลนด์สามารถชนะได้เพียง 3 เกม และเก็บได้เพียง 15 คะแนนเท่านั้น จบด้วยอันดับสุดท้ายของตารางตกชั้นไปตามคาด โดยในครั้งนั้นซันเดอร์แลนด์ได้คะแนนน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสร ส่งผลให้ มิค แมคคาร์ธธี ต้องออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงกลางฤดูกาลในที่สุด

  • ปี 2006-2007

ความหวังของซันเดอร์แลนด์กลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง เมื่อ "ไนออล ควินน์" อดีตนักเตะของซันเดอร์แลนด์ ร่วมกับกลุ่ม Irish Drumaville Consortium ได้เข้าซื้อกิจการของซันเดอร์แลนด์โดยทำการซื้อหุ้นจากประธานสโมสรคนก่อน Bob Murray พร้อมกับแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่คือ "รอย คีน" อดีตกัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเป็นอดีตนักเตะทีมชาติไอร์แลนด์ เช่นเดียวกันกับ ไนออล ควินน์ ซึ่งรับตำแหน่งประธานสโมสรในเวลาต่อมา ซึ่งหลังจากการเข้ามาของประธานสโมสรและผู้จัดการทีมคนใหม่ ซันเดอร์แลนด์สร้างสถิติไม่แพ้ใคร 17 นัดติดต่อกัน ในช่วงต้นปี 2007 เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ขยับจากตำแหน่งบ๊วยของตารางขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และทำให้ซันเดอร์แลนด์เลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงปีเดียวในฐานะทีมชนะเลิศ พร้อมกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (อันดับ 2) และดาร์บี เคาน์ตี้ (เพลย์ออฟ)

  • ปี 2007-2010

ฤดูกาล 2007-2008 และ 2009-2010 ซันเดอร์แลนด์ ทำผลงานได้ไม่ดีนักภายใต้การคุมทีมของ รอย คีน และ ริคกี้ สบราเกีย จนต้องหนีการตกชั้นเกือบทั้งฤดูกาล และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 15 และ 16 ตามลำดับ ทั้งที่มีนักเตะอย่าง ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตหัวหอกลิเวอร์พูล, เคนวิน โจนส์ หัวหอกดาวซัลโวสโมสรฤดูกาล 2007-2008 รวมถึง คีแรน ริชาร์ดสัน อดีตนักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วย หลังจาก ริคกี้ สบราเกีย ลาออกจากตำแหน่ง "สตีฟ บรูซ" อดีตผู้จัดการทีมวีแกนก็เข้ามารับตำแหน่งแทน และได้ดึงนักเตะอย่าง ดาร์เรน เบนท์ กองหน้าจากสเปอร์ส, เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ หัวหอกดาวรุ่งจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รวมถึง เปาโล ดาซิลวา ปราการหลังทีมชาติปารากวัย เข้ามาร่วมทีม การเสริมทัพครั้งนั้นนับว่าน่าสนใจและทำให้ซันเดอร์แลนด์ดูมีอนาคตที่ดีขึ้น โดยในช่วงต้นฤดูกาล 2009-2010 นี้เองในเกมส์ที่พบกับลิเวอร์พูลเกิดเหตุการ์ณที่สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการเมื่อดาร์เรน เบนท์ กองหน้าซันเดอร์แลนด์ยิงไปโดนลูกบอลชายหาดที่แฟนบอลลิเวอร์พูลขว้างลงมาในสนาม ทำให้บอลเปลี่ยนทางเข้าประตูไปส่งผลให้ซันเดอร์แลนด์ชนะไป 1-0 และยังสามารถเอาชนะอาร์เซนอลด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่ช่วงท้ายฤดูกาลซันเดอร์แลนด์จะฟอร์มตกจนหมดโอกาสที่จะลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปทั้งที่กองหน้าอย่างดาร์เรน เบนท์ โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมด้วยการยิงไปถึง 24 ประตู

  • ฤดูกาล 2010-2011

ซันเดอร์แลนด์มีการเปลี่ยนแปลงทีมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสโมสรได้ตัดสินใจขายลอริค ซานา และเคนวิน โจนส์ และได้ซื้อ อซาโมอาห์ ฌิยาน กองหน้าชาวกาน่าที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจากศึกฟุตบอลโลก 2010 เข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติใหม่ของสโมสรในราคาราว 13 ล้านปอนด์ ครึ่งแรกของฤดูกาลซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ดี โดยอยู่ตำแหน่งที่สามารถลุ้นไปแข่งขันรายการสโมสรยุโรปได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะช่วงเดือนมกราคม ดาร์เรน เบนท์ ได้ยื่นขอขึ้นบัญชีย้ายทีม และได้ย้ายไปร่วมทีมแอสตันวิลลา ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ โดยทางซันเดอร์แลนด์ได้ซื้อ สเตฟาน เซสเซยง เพลย์เมคเกอร์ ทีมชาติเบนินมาจาก ปารีส แซงแชร์กแมง มาทดแทน และ ยืมตัวซุลลี มุนตารี่ มาจากอินเตอร์มิลาน มาเสริมทีม โดยในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล แม้จะมีปัญหาการขาดหายไปของผู้เล่นชุดใหญ่หลายคนจากอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะกองหน้า แต่สโมสรก็ยังสามารถจบฤดูกาลในครึ่งบนของตารางพรีเมียร์ลีกได้โดยอยู่ในอันดับที่ 10 ตามเป้าที่วางไว้

  • ฤดูกาล 2011-2012

ฤดูกาล 2011-2012 ซันเดอร์แลนด์มีการปรับทัพนักเตะครั้งใหญ่ โดย สตีฟ บรูซ ได้เสริมทัพนักเตะเพิ่มอีก 10 คน โดยมี GK คีแรน เวสท์วูด, DF เวส บราวน์, จอห์น โอ’เชีย, MF เซบาสเตียน ลาร์สสัน, เจมส์ แมคคลีน, เดวิด วอห์น, เคร็ก การ์ดเนอร์, FW คอนเนอร์ วิคแฮม, จี ดง วอน, นิคลาส เบนท์เนอร์ (ยืมตัวมาจากอาร์เซนอล) แต่ก็ทำผลงานไม่ดีนัก ลงเตะ 13 นัด มีเพียง 11 คะแนน (จากการชนะ 2 นัด และเสมอ 5 นัด) พร้อมกับมีเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากแฟนบอล โดยหลังจากที่สตีฟ บรูซ ทำทีมแพ้ วีแกน (ทีมอันดับ 20 ขณะนั้น) ในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 1-2 ความอดทนก็สิ้นสุดลง สตีฟ บรูซจึงถูกปลดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2011 โดย เอลลิส ชอร์ท ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานสโมสรต่อจาก ไนออล ควินน์ และเจ้าของสโมสร

หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 3 ตุลาคม 2011 ซันเดอร์แลนด์ประกาศแต่งตั้ง "มาร์ติน โอนีล" เป็นผู้จัดการทีม และได้เข้าคุมทีมอย่างเป็นทางการนัดแรกในวันที่ 11 ธันวาคม 2554 โดยซันเดอร์แลนด์สามารถคว้าชัยชนะเหนือ แบล็คเบินร์โรเวอร์ ได้ด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากนั้นภายใต้การคุมทีมของ มาร์ติน โอนีล ก็ทำให้ซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับและสามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง จนได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม 2012 และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ หลังจากทำแต้มในลีกห่างจากโซนตกชั้นได้แล้ว ยังทำผลงานได้ดี ในรายการฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพ ซึ่งสามารถผ่านเข้ารอบได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะพ่ายให้กับสโมสรเอฟเวอร์ตัน และผลงานในลีกช่วงปลายฤดูกาลเริ่มแผ่วลง ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 13

  • ฤดูกาล 2015-2016

ฤดูกาล 2015-2016 ซันเดอร์แลนด์จบฤดูกาลด้วยการได้อันดับที่ 17 อันเป็นอันดับสุดท้ายที่จะอยู่ในระดับพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้า

  • ฤดูกาล 2016-2017

ฤดูกาล 2016-2017 ซันเดอร์แลนด์ภายใต้การควบคุมสโมสรโดย เดวิด มอยส์ กลายเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นในเล่นในระดับเดอะแชมเปียนชิป ด้วยการอยู่อันดับที่ 20 อันดับสุดท้ายในตารางคะแนน ทั้งที่ยังไม่สิ้นสุดฤดูกาล โดยในนัดที่ 34 แพ้ต่อเบิร์นลีย์ ที่สนามสเตเดียมออฟไลฟ์ของตนเองไป 0-1 มีเพียง 21 คะแนน เท่ากับว่าในนัดที่เหลือไม่สามารถทำคะแนนไล่ตามสโมสรอื่นได้ทันแล้ว [3]

สนามเหย้า

[แก้]

ในช่วงแรกของการก่อตั้งสโมสร (ระหว่างปี 1886-1898) ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับ Newcastle Unted ทีมคู่ปรับร่วมเมืองทำให้ทั้งสองสโมสรกลายเป็นทีมคู่แข่งกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากนั้นในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์จึงได้ย้ายมาใช้สนาม Roker Park เป็นสนามเหย้าแทน และได้ใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้ามาเป็นเวลาถึง 99 ปี ก่อนที่จะสร้างสนามแห่งใหม่คือสนาม Stadium of Light เพื่อใช้แข่งขันแทนสนามเดิมในปี 1997 และหลังจากนั้นซันเดอร์แลนด์ก็ใช้สนามดังกล่าวเป็นสนามเหย้ามาจนถึงปัจจุบัน

  • แผนการสร้างสนามใหม่

ปี 1996 สโมสรได้ว่าจ้างให้ บริษัท Ballast Wiltsher จำกัด (มหาชน) (บริษัทผู้สร้างสนาม Amsterdam Arena) เป็นผู้สร้างสนามแห่งใหม่ของสโมสรด้วยงบประมาณ 15 ล้านปอนด์ โดยสามารถรองรับผู้เข้าชมได้ถึง 42,000 คน และยังออกแบบให้สามารถเพิ่มขนาดของอัฒจันทร์ให้มีความจุได้สูงถึง 66,000 คนในอนาคต ในระหว่างการก่อสร้างสนามแห่งใหม่นี้สโมสรยังไม่ได้มีการกำหนดชื่อไว้ก่อน แต่ได้มีการเรียกกันในหมู่แฟนบอลว่า Wearmouth หรือ Monkwearmounth Stadium จนในที่สุดประธานสโมสรก็ได้ตัดสินใจเลือกใช้ชื่อ Stadium of Light อันเป็นชื่อที่เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากสนามของ Benfica ในเมือง Lisbon ที่ชื่อ Estadio da Lus (แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Stadium of Light) โดยชื่อนี้มีที่มาจากตะเกียงส่องไฟของคนทำเหมือง ซึ่งสอดคล้องกับที่ตั้งของสนามแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนเหมืองถ่านหินเก่า และแฟนบอลของซันเดอร์แลนด์หลายพันคนก็มีอาชีพทำเหมืองด้วยเช่นกัน จึงเป็นชื่อที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

สนาม Stadium of Light ด้านนอก
สนาม Stadium of Light ด้านใน
  • สนาม Stadium of Light

สนาม Stadium of Light ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1997 โดยมีเจ้าชาย Andrew, Duke of York เป็นประธานในพิธี ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการแข่งขันนัดพิเศษระหว่างซันเดอร์แลนด์กับ Ajax Amsterdam (ทีมจากลีกเนอเธอร์แลนด์) เป็นนัดเปิดสนามอีกด้วย หลังจากนั้นสโมสรก็ใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในฤดูกาลแรกที่เปิดใช้สนาม ขณะนั้นซันเดอร์แลนด์แข่งขันอยู่ในลีกระดับดิวิชัน 1 (ใหม่) มีผู้เข้าชมเกมการแข่งขันในสนามเฉลี่ยนัดละประมาณ 30,000 คน และในเกมสำคัญบางเกมสูงสุดถึง 40,000 คน แต่ในฤดูกาลถัดมา (1998-1999) ซันเดอร์แลนด์สามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถเลื่อนชั้นมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกได้ จึงทำให้มีผู้เข้าชมเกมการแข่งขันเฉลี่ยสูงถึง 40,000 คน โดยในฤดูกาล 1999-2000 สนามเหย้าของซันเดอร์แลนด์จัดเป็นสนามแข่งขันที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของสโมสรอังกฤษรองจาก Manchester United และ Newcastle Unted เท่านั้น ต่อมาในปี 2000 สโมสรได้ทุ่มงบประมาณอีก 7 ล้านปอนด์เพื่อขยายอัฒจันทร์ด้านทิศเหนือ ทำให้ปัจจุบันสนาม Stadium of Light สามารถจุผู้เข้าชมได้สูงถึง 49,000 คนเลยทีเดียว

ปัจจุบันสนาม Stadium of Light ยังเป็นสนามฟุตบอลอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยซันเดอร์แลนด์ (University of Sunderland) ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา นอกจากนี้ สนามแห่งนี้ยังเคยถูกใช้เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกเมื่อปี 1999 ซึ่งเป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติเบลเยียม และในการแข่งขันฟุตบอล Euro 2004 รอบคัดเลือกระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติตุรกี

สีประจำสโมสร

[แก้]

ในอดีตซันเดอร์แลนด์ใช้ชุดแข่งขันทีมเหย้าเป็นสีน้ำเงินล้วนโดยมีสีแดงเพียงเล็กน้อยบนบ่าเท่านั้น ต่อมาซันเดอร์แลนด์จึงได้เปลี่ยนชุดแข่งขันทีมเหย้ามาเป็นสีแดงสลับขาวตั้งแต่ปี 1887 เป็นต้นมา ทำให้สีแดงสลับขาวกลายเป็นสีประจำสโมสรตั้งแต่นั้นมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน (ฤดูกาล 2011-2012)

ชื่อเล่น

[แก้]

ในอดีตที่ผ่านมาซันเดอร์แลนด์เคยมีชื่อเล่นที่เรียกกันหลายชื่อ เช่น Rokerites และ Rokermen เป็นต้น แต่หลังจากที่ซันเดอร์แลนด์ย้ายสนามเหย้าจาก Roker Park มาเป็น Stadium of Light ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ชื่อเล่นดังกล่าวจึงไม่มีความสัมพันธ์กับสโมสรอีกต่อไป ดังนั้น ซันเดอร์แลนด์จึงเปิดโอกาสให้แฟนบอลของสโมสรมีส่วนร่วมในการตั้งชื่อเล่นใหม่ให้กับสโมสร โดยในครั้งนั้นมีแฟนบอลเข้ามาร่วมตั้งชื่อเล่นให้กับสโมสรอย่างมากมาย ซึ่งสโมสรได้คัดเลือกชื่อที่มีความเหมาะสมและเป็นที่นิยมออกมาจำนวน 5 ชื่อ อันได้แก่ the Black Cats, the Light Brigade, the Miners, the Sols and the Mackems เพื่อให้แฟนบอลได้โหวตลงคะแนนเพื่อเลือกชื่อเล่นให้กับซันเดอร์แลนด์ในรอบสุดท้ายผ่านทางเว็บไซด์ของสโมสร ผลปรากฏว่าชื่อ the Black Cats หรือ แมวดำ ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้นจากแฟนบอล (ราว 11,000 คะแนน) หรือคิดเป็นคะแนนโหวตถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดเลยทีเดียว ดังนั้น The Black Cats หรือ แมวดำ จึงกลายเป็นชื่อเล่นอย่างเป็นทางการของซันเดอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

ผู้เล่น

[แก้]

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

[แก้]
ณ วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2023 [4]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
1 GK ประเทศอังกฤษ แอนโธนี แพทเทอร์สัน
2 DF ประเทศเวลส์ ไนออล ฮักกินส์
3 DF ประเทศอังกฤษ เดนนิส เซอร์คิน
4 MF ไอร์แลนด์เหนือ คอร์รี เอฟวันส์ (กัปตัน)
5 DF ไอร์แลนด์เหนือ แดเนียล บัลลาร์ด
6 DF ประเทศฝรั่งเศส ทิโมธี เพ็มเบเล
7 MF ประเทศอังกฤษ โจบ เบลลิงแฮม
9 FW ประเทศโปรตุเกส ลูอิส เซเมโด
10 MF ประเทศอังกฤษ แพทริก รอเบิตส์
11 FW ประเทศอังกฤษ เมสัน เบอร์สโตว์ (ยืมตัวจาก เชลซี)
12 FW ประเทศสเปน เอไลเซอร์ มาเยนดา
13 MF ประเทศอังกฤษ ลุค โอนายเอ็น
15 FW ประเทศยูเครน นาซารี รูซิน
17 MF ประเทศฝรั่งเศส อับดูลลาห์ บา
18 MF ประเทศอังกฤษ เอ็ลลิส เทย์เลอร์
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
19 FW ประเทศคอสตาริกา เจวิสัน เบนเน็ตต์
20 MF ประเทศอังกฤษ แจ็ค คลาร์ก
21 MF ประเทศอังกฤษ อเล็กซ์ พริทชาร์ด
22 MF ประเทศฝรั่งเศส อดิล อาอูชิช
23 DF ประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ็นสัน ซีลท์
24 MF ประเทศอังกฤษ แดน นีล
25 DF ประเทศออสเตรเลีย เน็คทาริออส ไทรแอนทิส
27 MF ประเทศอังกฤษ เจย์ มาเท็ตเต
30 GK ประเทศอังกฤษ นาธาน บิชอป
31 MF ประเทศอังกฤษ คริส ริกก์
32 DF ไอร์แลนด์เหนือ เทร ฮิวม์
39 MF ประเทศฝรั่งเศส ปิแอร์ เอควาห์
42 DF ประเทศอังกฤษ อาจิ อลีเซ
46 MF ประเทศอังกฤษ แบร็ดลีย์ แด็ค
MF ประเทศอังกฤษ แจ็ค ไดมอนด์

ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว

[แก้]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
8 MF ประเทศอังกฤษ เอ็ลเลียต เอ็มเบิลตัน (ยืมตัวไป ดาร์บีเคาน์ตี ถึง 31 พฤษภาคม 2024)
12 GK ประเทศอังกฤษ อเล็กซ์ แบสส์ (ยืมตัวไป เอเอฟซี วิมเบิลดัน ถึง 31 พฤษภาคม 2024)
45 DF ประเทศอังกฤษ โจ แอนเดอร์สัน (ยืมตัวไป ชรูส์บรีทาวน์ ถึง 31 พฤษภาคม 2024)

ผู้เล่นชุดต่ำกว่า 21 ปี

[แก้]
ณ วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2023 [5]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
44 GK ประเทศอังกฤษ แอดัม ริชาร์ดสัน
37 DF ประเทศอังกฤษ เบ็น ครอมพ์ตัน
41 DF ประเทศอังกฤษ แซ็ค จอห์นสัน
43 DF ประเทศอังกฤษ คอนเนอร์ พาย
48 DF ไอร์แลนด์เหนือ แคลลัม วิลสัน
52 DF ประเทศอังกฤษ โจเซฟ ไรเดอร์
DF ประเทศอังกฤษ เฮนรี ฟีลด์สัน
DF ประเทศอังกฤษ โอลิเวอร์ เบนบริดจ์
34 MF ประเทศอังกฤษ เคเดน เคลลี
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
36 MF ประเทศอังกฤษ ทอม ชิอาบี
37 MF ประเทศอังกฤษ เบ็น มิดเดิลมาส
MF ประเทศอังกฤษ มาร์แชลล์ เบิร์ค
33 FW ประเทศอังกฤษ ไมเคิล สเปลล์แมน
38 FW ประเทศอังกฤษ แฮร์รี การ์ดิเนอร์
47 FW ประเทศอังกฤษ แม็กซ์ ธอมป์สัน
FW ประเทศอังกฤษ อีธาน มัวร์
FW ประเทศยูเครน ทิมูร์ ทูเทรอฟ

ผู้เล่นชุดต่ำกว่า 18 ปี

[แก้]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
GK ประเทศอังกฤษ แดเนียล แคเมอรอน
GK ประเทศอังกฤษ แม็ทธิว ยัง
GK ประเทศอังกฤษ เบ็น เม็ทคาล์ฟ
GK ประเทศอังกฤษ โจ คอแวน
DF ประเทศอังกฤษ แจ็ค อาร์มสตรองก์
DF ประเทศอังกฤษ โจชัว แบ็กส์
DF ประเทศอังกฤษ ไคเล็ม บีทตี
DF ประเทศอังกฤษ ลุค เบลล์
DF ประเทศอังกฤษ เจนสัน โจนส์
DF ประเทศอังกฤษ ธอมัส เลฟเวอรี
DF ประเทศฟีจี เจย์เด็น เซเคเต
DF ประเทศอังกฤษ ฟินเลย์ ฮอลครอฟท์
MF ประเทศไซปรัส โจช รอเบิร์ตสัน
MF ประเทศอังกฤษ คิวบา มิทเชลล์
MF ประเทศอังกฤษ แดเนียล ออโบโล
MF ประเทศอังกฤษ เบ็น ครีมเมอร์
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
MF ประเทศอังกฤษ ไรอัน ไรท์
MF ประเทศอังกฤษ เจย์ดอน โจนส์
MF ประเทศเบลเยียม เทรย์ แซมูเอล-โอกุนซุยี
MF ประเทศอังกฤษ แจ็ค วิทเทเคอร์
MF ประเทศอังกฤษ อารอน ชุง
MF ประเทศอังกฤษ เบ็น คินดอน
MF ประเทศอังกฤษ แดเนียล พาร์คเกอร์
MF ประเทศอังกฤษ โจ นีลด์
MF ประเทศอังกฤษ ชาร์ลี ทินเดล
MF ประเทศอังกฤษ ฟิน กาแรกุซาน
MF ประเทศอังกฤษ เลียม ฮันท์
FW ประเทศอังกฤษ เมสัน คอทเชอร์
49 FW ประเทศอังกฤษ ทอม วัตสัน
FW ประเทศอังกฤษ เจค วอเตอรส์
FW ประเทศอังกฤษ แฮริสัน โจนส์

ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำสโมสร

[แก้]

ชุดผู้ฝึกสอน

[แก้]
ณ วันที่ 2 กันยายน 2022 [6]
ตำแหน่ง ชื่อ
ผู้อำนวยการกีฬา ประเทศสวีเดน คริสท์จาน สปีคแมน
หัวหน้าผู้ฝึกสอน ประเทศฝรั่งเศส เรฌิส เลอ บริส์[7]
ผู้ช่วยหัวหน้าผู้ฝึกสอน -
ผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ ประเทศอังกฤษ ไมค์ ดอดส์
ผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ ประเทศอังกฤษ ไมเคิล พร็อคเตอร์
หัวหน้าผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู ประเทศอิตาลี อเลสซานโดร บาร์คเครินี
ผู้จัดการสถานฝึกสอนเยาวชน ประเทศอังกฤษ รอบิน นิโคลส์
หัวหน้าผู้ฝึกสอนสถานฝึกสอนเยาวชน ประเทศอังกฤษ สจ๊วรต์ อิงลิช
ผู้นำฝึกสอนทีมชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ประเทศสกอตแลนด์ แกรม เมอร์ที
ผู้นำฝึกสอนทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี ประเทศอังกฤษ จอห์น เฮวิทสัน

คณะกรรมการสโมสร

[แก้]
ณ วันที่ 2 กันยายน 2021 [8]
ตำแหน่ง ชื่อ
เจ้าของ/ประธานสโมสร ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คีริล หลุยส์-เดรฟุส
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประเทศอังกฤษ สตีฟ เดวิสัน
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประเทศอุรุกวัย ฆวน ซาร์โตรี
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มัวรีซ หลุยส์-เดรฟุส
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประเทศอิตาลี ซิโมน วุมบาคา
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปาทริค โทรแยร์
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร สหรัฐอเมริกา อิกอร์ เลวิน
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประเทศอังกฤษ เดวิด โจนส์

ผลงานที่ผ่านมา

[แก้]
  • ตารางคะแนน (ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรีเมียร์ลีก)

      เลื่อนชั้น       คงที่       ตกชั้น

ฤดูกาล/ค.ศ. การแข่งขัน อันดับ แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย ผลต่างประตู คะแนน
1992-1993 ดิวิชัน 1 (เดิม) 21 46 13 11 22 50 64 -14 50
1993-1994 ดิวิชัน 1 (เดิม) 12 46 19 8 19 54 57 -3 65
1994-1995 ดิวิชัน 1 (เดิม) 20 46 12 18 16 41 45 -4 54
1995-1996 ดิวิชัน 1 (เดิม) 1 46 22 17 7 59 33 +20 83
1996-1997 พรีเมียร์ลีก 18 38 10 10 18 35 53 -18 40
1997-1998 ดิวิชัน 1 (เดิม) 3 46 26 12 8 86 50 +36 90
1998-1999 ดิวิชัน 1 (เดิม) 1 46 31 12 3 91 28 +63 105
1999-2000 พรีเมียร์ลีก 7 38 16 10 12 57 56 +1 58
2000-2001 พรีเมียร์ลีก 7 38 15 12 11 46 41 +5 57
2001-2002 พรีเมียร์ลีก 17 38 10 10 18 29 51 -22 40
2002-2003 พรีเมียร์ลีก 20 38 4 7 27 21 65 -44 19
2003-2004 ดิวิชัน 1 (เดิม) 3 46 22 13 11 62 45 -17 79
2004-2005 แชมเปี้ยนชิพลีก 1 46 29 7 10 76 41 +35 94
2005-2006 พรีเมียร์ลีก 20 38 3 6 29 26 69 -43 15
2006-2007 แชมเปี้ยนชิพลีก 1 46 27 7 12 76 47 +29 88
2007-2008 พรีเมียร์ลีก 15 38 11 6 21 36 59 -23 39
2008-2009 พรีเมียร์ลีก 16 38 9 9 20 34 54 -20 36
2009-2010 พรีเมียร์ลีก 13 38 11 11 16 48 56 -8 44
2010-2011 พรีเมียร์ลีก 10 38 12 11 15 45 56 -11 47
2011-2012 พรีเมียร์ลีก 13 38 11 12 15 45 46 -1 45
2012-2013 พรีเมียร์ลีก 17 38 9 12 17 41 54 -13 39
2013-2014 พรีเมียร์ลีก 14 38 10 8 20 41 60 -19 38
2014-2015 พรีเมียร์ลีก 16 38 7 17 14 31 53 -22 38
2015-2016 พรีเมียร์ลีก 17 38 9 12 17 48 62 -14 39
2016-2017 พรีเมียร์ลีก 20 38 6 6 26 29 69 -40 24
2017-2018 แชมเปี้ยนชิพลีก 24 46 7 16 23 52 80 -28 37
2018-2019 ลีกวัน 5 46 22 19 5 80 47 +33 85
2019-2020 ลีกวัน 8 36 16 11 9 48 32 +16 59
2020-2021 ลีกวัน 4 46 20 17 9 70 42 +28 77
2021-2022 ลีกวัน 5 46 24 12 10 79 53 +26 84

สถิติที่สำคัญ

[แก้]

สถิติการแข่งขัน

[แก้]

ระยะเวลา 117 ปี (76 ปีในลีกสูงสุด) ซันเดอร์แลนด์เล่นไปแล้วกว่า 4,700 นัด โดยเฉลี่ยชนะ 41% เสมอ 24% และแพ้ 35% ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วประตูได้เสีย รวมแล้วได้มากกว่าเสียประมาณ 600 ประตู

  • สถิติผู้ชม
    • ผู้ชมสูงสุด (รวมทุกรายการ): 75,118 (ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ - เอฟเอคัพ รอบที่ 6 นัดแข่งใหม่ - 8 มีนาคม 1933 - สนามโรเกอร์พาร์ก)
    • ผู้ชมสูงสุด (เกมลีก): 68,004 (นิวคาสเซิลยูไนเต็ด - 4 มีนาคม 1950) โดยมีการคาดการว่าอาจมีผู้ชมเข้าชมมากถึง 90,000 ในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี 1964 ที่สนามโรเกอร์พาร์ก
    • ผู้ชมสูงสุด (สนามสเตเดียมออฟไลต์): 48,355 (ลิเวอร์พูล - พรีเมียร์ลีก - 13 เมษายน 2002) นอกจากนี้สถิติที่เคยทำได้สูงสุดหลังจากไม่ได้เล่นในระดับลีกสูงสุดคือ 47,350 (สโตคซิตี้ - ลีกแชมเปียนชิพ - 8 พฤษภาคม 2005)
    • ผู้ชมน้อยที่สุด (รวมทุกรายการ): 1,000? (ประมาณการตัวเลข) (Firefield - เอฟเอคัพรอบแรก - 2 กุมภาพันธ์ 1895 - สนามนิวคาสเซิลโร้ด)
    • ผู้ชมน้อยที่สุด (เกมลีก): 2,000? (ประมาณการตัวเลข และทั้งสองเกมแข่งที่โรเกอร์พาร์ก) (เอฟเวอร์ตัน - 10 เมษายน 1910 หรือ เบิร์นลี่ย์ - 12 ธันวาคม 1914)
    • ผู้ชมน้อยที่สุด (สนามสเตเดียมออฟไลต์): 11,450 (เชสเตอร์ซิตี้ - ลีกคัพรอบแรก - 24 สิงหาคม 2004)
    • ผู้ชมน้อยที่สุด (สนามสเตเดียมออฟไลต์, เกมลีก): 22,167 (วีแกนแอทเลติค - 2 ธันวาคม 2003)
    • ผู้ชมสูงสุดโดยเฉลี่ย (รวมทุกรายการ): 47,976 (1949-1950 - โรเกอร์พาร์ก)
    • ผู้ชมสูงสุดโดยเฉลี่ย (สนามสเตเดียมออฟไลต์): 46,790 (2000-2001)
    • ผู้ชมสูงสุดเปรียบเทียบกับพื้นที่อัฒจันทร์: 97% (1999-2000)
  • ผลการแข่งขัน
    • ชนะมากที่สูงสุด (เกมลีก): 1-9 (นิวคาสเซิลยูไนเต็ด - 5 ธันวาคม 1908)
    • ชนะมากที่สูงสุด (ฟุตบอลถ้วย): 11-1 (Fairfield - 2 กุมภาพันธ์ 1895)
    • แพ้มากที่สุด: 8-0 (เชฟฟิลด์เวนสเดย์ - 26 ธันวาคม 1911, เวสต์แฮมยูไนเต็ด - 19 ตุลาคม 1968 และวัตฟอร์ด - 25 กันยายน 1982)
  • ผู้เล่น
    • ลงเล่นมากที่สุดตลอดกาล: 623 นัด - Jimmy Montgomery (เกมลีก 537, ฟุตบอลถ้วย 78 และอื่นๆ 8 นัด)
    • ทำประตูมากที่สุดตลอดกาล: 228 ประตู - Bobby Gurney
    • ทำประตูมากที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้: 113 ประตู - Kevin Phillips
    • ทำประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล: 43 ประตู - Dave Halliday ฤดูกาล 1928-29
  • ผลการแข่งขันต่อเนื่อง
    • ชนะติดต่อกันนานที่สุด: 13 เกม (14 พฤศจิกายน 1891 - 2 เมษายน 1982)
    • เสมอติดต่อกันนานที่สุด: 6 เกม (26 มีนาคม 1949 - 19 เมษายน 1949)
    • แพ้ติดต่อกันนานที่สุด: 17 เกม (18 มกราคม 2003 - 23 สิงหาคม 2003)
    • ไม่แพ้ติดต่อกันนานที่สุด: 19 เกม (3 พฤษภาคม 1998 - 11 พฤศจิกายน 1998)
    • ไม่ชนะติดต่อกันนานที่สุด: 22 เกม (21 ธันวาคม 2002 - 23 สิงหาคม 2003)
  • คะแนน
    • คะแนนสูงสุดในหนึ่งฤดูกาล: 105 คะแนน (ดิวิชัน 1 ฤดูกาล 1998-99) (เป็นบันทึกในฟุตบอลลีกของอังกฤษ)
    • คะแนนน้อยที่สุดในหนึ่งฤดูกาล: 15 คะแนน (พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005-06)

สถิติการนักเตะ

[แก้]
  • นักเตะที่ทำประตูสูงสุด (ลีก)
ฤดูกาล/ค.ศ. ชื่อ สัญชาติ ตำแหน่ง ประตู
1992-1993 Don Goodman ประเทศอังกฤษ FW 16
1993-1994 Phil Gray ไอร์แลนด์เหนือ FW 14
1994-1995 Phil Gray ไอร์แลนด์เหนือ FW 12
1995-1996 Craig Russell ประเทศอังกฤษ FW 13
1996-1997 Craig Russell ประเทศอังกฤษ FW 4
Paul Stewart ประเทศอังกฤษ FW 4
1997-1998 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 29
1998-1999 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 23
1999-2000 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 30
2000-2001 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 14
2001-2002 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 11
2002-2003 Kevin Phillips ประเทศอังกฤษ FW 6
2003-2004 Marcus Stewart ประเทศอังกฤษ FW 14
2004-2005 Marcus Stewart ประเทศอังกฤษ FW 16
2005-2006 Liam Lawrence ประเทศอังกฤษ MF 3
Anthony Le Tallec ประเทศฝรั่งเศส FW 3
Tommy Miller ประเทศอังกฤษ MF 3
Dean Whitehead ประเทศอังกฤษ DF 3
2006-2007 David Connolly ประเทศอังกฤษ FW 13
2007-2008 Kenwyne Jones ประเทศตรินิแดดและโตเบโก FW 7
2008-2009 Djibril Cissé ประเทศฝรั่งเศส FW 10
Kenwyne Jones ประเทศตรินิแดดและโตเบโก FW 10
2009-2010 Darren Bent ประเทศอังกฤษ FW 24
2010-2011 Asamoah Gyan ประเทศกานา FW 10
2011-2012 Stephane Sessegnon ประเทศกานา FW 7
Sebastian Larsson ประเทศสวีเดน MF 7
2012-2013 Steven Fletcher ประเทศสกอตแลนด์ FW 11
2013-2014 Adam Johnson ประเทศอังกฤษ MF 8

อันดับมูลค่าการซื้อผู้เล่น

[แก้]
วันที่ ตำแหน่ง ชื่อ จาก ค่าตัว อ้างอิง
31 สิงหาคม 2016 MF ประเทศกาบอง ดิดิเยร์ เอ็นดอง ประเทศฝรั่งเศส ลอริยองต์ 13.8 ล้านปอนด์ [9]
31 สิงหาคม 2010 FW ประเทศกานา อะซาโมอาห์ จยาน ประเทศฝรั่งเศส แรนส์ 13 ล้านปอนด์ [10]
24 สิงหาคม 2012 FW ประเทศสกอตแลนด์ สตีเวน เฟล็ตเชอร์ ประเทศอังกฤษ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 12 ล้านปอนด์ [11]
29 มิถุนายน 2011 FW ประเทศอังกฤษ คอนเนอร์ วิกคัม ประเทศอังกฤษ อิปสวิชทาวน์ 12 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 8 ล้านปอนด์) [12]
5 สิงหาคม 2014 MF ประเทศอังกฤษ แจ็ก ร็อดเวลล์ ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ซิตี 10 ล้านปอนด์ [13]
23 สิงหาคม 2012 MF ประเทศอังกฤษ แอดัม จอห์นสัน ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ซิตี £10 ล้านปอนด์ [14]
5 สิงหาคม 2009 FW ประเทศอังกฤษ แดร์เรน เบนต์ ประเทศอังกฤษ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 10 ล้านปอนด์ [15]
31 สิงหาคม 2015 FW ประเทศอิตาลี ฟาบีโอ โบรีนี ประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล 10 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 8 ล้านปอนด์) [16]
1 สิงหาคม 2015 MF ประเทศอาร์เจนตินา ริการ์โด กาบริเอล อัลบาเรซ ประเทศอิตาลี อินเตอร์มิลาน 9 ล้านปอนด์ [17]
30 มกราคม 2016 MF ประเทศตูนิเซีย วาห์บี คาซรี ประเทศอังกฤษ บอร์โด 9 ล้านปอนด์ [18]
8 สิงหาคม 2007 GK ประเทศสกอตแลนด์ เคร็ก กอร์ดอน ประเทศสกอตแลนด์ ฮาร์ตออฟมิดโลเธียน 9 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 7 ล้านปอนด์) [19]
15 กรกฎาคม 2015 MF ประเทศเนเธอร์แลนด์ เจเรเมน เลนส์ ประเทศยูเครน ดือนามอกือยิว 8 ล้านปอนด์ [20]
27 สิงหาคม 2013 DF ประเทศอังกฤษ แอนทอน เฟอร์ดินานด์ ประเทศอังกฤษ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 8 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 6.75 ล้านปอนด์) [21]
5 สิงหาคม 2016 DF ประเทศเซเนกัล ปาปี ฌีโลโบฌี ประเทศอังกฤษ เชลซี 8 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 6.75 ล้านปอนด์) [22]
30 สิงหาคม 2002 FW ประเทศนอร์เวย์ ทูเรอ อันเดร ฟลู ประเทศสกอตแลนด์ กลาสโกว์เรนเจอส์ 6.75 ล้านปอนด์ [23]
16 กรกฎาคม 2013 MF ประเทศอิตาลี เอมานูเอเล จักเกรีนี ประเทศอิตาลี ยูเวนตุส 6.5 ล้านปอนด์ [24]
30 มิถุนายน 2013 FW สหรัฐอเมริกา โจซี อัลทิดอร์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ อาเซ็ด อัลก์มาร์ 6 ล้านปอนด์ [25]
30 มิถุนายน 2011 MF ประเทศอังกฤษ เคร็ก การ์ดเนอร์ ประเทศอังกฤษ เบอร์มิงแฮมซิตี 6 ล้านปอนด์ [26]
29 สิงหาคม 2007 FW ประเทศตรินิแดดและโตเบโก เคนวินน์ โจนส์ ประเทศอังกฤษ เซาแทมป์ตัน 6 ล้านปอนด์ [27]
12 สิงหาคม 2009 MF ประเทศอังกฤษ ลี แคตเทอร์โมล ประเทศอังกฤษ วีแกนแอทเลติก 6 ล้านปอนด์ [28]
29 มกราคม 2011 FW ประเทศเบนิน สเตฟาน เซสเซยง ประเทศฝรั่งเศส ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 6 ล้านปอนด์ [29]
1 กันยายน 2008 DF ไอร์แลนด์เหนือ จอร์จ แม็คคาร์ทนีย์ ประเทศอังกฤษ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 5.5 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 4.5 ล้านปอนด์) [30]
16 กรกฎาคม 2007 MF ประเทศอังกฤษ เคียแร็น ริชาร์ดสัน ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 5.5 ล้านปอนด์ [31]
31 มกราคม 2013 FW ประเทศอังกฤษ แดนนี เกรแฮม ประเทศเวลส์ สวอนซีซิตี 5 ล้านปอนด์ [32]
30 กรกฎาคม 2008 MF ประเทศฝรั่งเศส สตีด มอลบรองค์ ประเทศอังกฤษ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 5 ล้านปอนด์ [33]
26 กรกฎาคม 2009 MF ประเทศแอลเบเนีย ลอริค ซานา ประเทศฝรั่งเศส ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ 5 ล้านปอนด์ [34]
13 กรกฎาคม 2007 FW ประเทศอังกฤษ ไมเคิล โชปรา ประเทศเวลส์ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 5 ล้านปอนด์ [35]
7 กรกฎาคม 2011 DF ประเทศไอร์แลนด์ จอห์น โอเช ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 5 ล้านปอนด์ [36]

อันดับมูลค่าการขายผู้เล่น

[แก้]
วันที่ ตำแหน่ง ชื่อ ไปยัง ค่าตัว อ้างอิง
15 มิถุนายน 2017 GK ประเทศอังกฤษ จอร์แดน พิกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เอฟเวอร์ตัน 30 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 25 ล้านปอนด์) [37]
18 มกราคม 2011 FW ประเทศอังกฤษ แดร์เรน เบนต์ ประเทศอังกฤษ แอสตันวิลลา 24 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 18 ล้านปอนด์) [38]
9 มิถุนายน 2011 MF ประเทศอังกฤษ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล 20 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 16.25 ล้านปอนด์) [39]
30 มกราคม 2017 DF ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปาตริก ฟัน อานโฮลต์ ประเทศอังกฤษ คริสตัลพาเลซ 14 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 9 ล้านปอนด์) [40]
25 มิถุนายน 2013 GK ประเทศเบลเยียม ซีมง มีญอแล ประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล 11.25 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 9 ล้านปอนด์) [41]
3 สิงหาคม 2015 FW ประเทศอังกฤษ คอนเนอร์ วิกคัม ประเทศอังกฤษ คริสตัลพาเลซ 9 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 7 ล้านปอนด์) [42]
17 กรกฎาคม 2018 MF ประเทศตูนิเซีย วาห์บี คาซรี ประเทศฝรั่งเศส แซ็งเตเตียน 9 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 6 ล้านปอนด์) [43]
12 สิงหาคม 2010 FW ประเทศตรินิแดดและโตเบโก เคนวินน์ โจนส์ ประเทศอังกฤษ สโตกซิตี 8 ล้านปอนด์ [44]
31 สิงหาคม 2013 FW ประเทศเบนิน สเตฟาน เซสเซยง ประเทศอังกฤษ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 6.5 ล้านปอนด์ [45]
9 กรกฎาคม 2012 FW ประเทศกานา อะซาโมอาห์ จยาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อัล-อาอิน 6 ล้านปอนด์ (เพิ่มเติมจากค่ายืมตัวที่ได้รับก่อนหน้า 6 ล้านปอนด์) [46]
1 มิถุนายน 2018 MF ประเทศเนเธอร์แลนด์ เจเรเมน เลนส์ ประเทศตุรกี เบชิกทัช 6 ล้านปอนด์ (รวมกับค่ายืมตัว 1.5 ล้านปอนด์) [47]
30 มิถุนายน 2017 FW ประเทศอิตาลี ฟาบีโอ โบรีนี ประเทศอิตาลี เอซี มิลาน 5.3 ล้านปอนด์ (ล่วงหน้า 1 ล้านปอนด์) [48]
30 สิงหาคม 2001 MF ประเทศสกอตแลนด์ ดอน ฮัทชิสัน ประเทศอังกฤษ เวสต์แฮมยูไนเต็ด £5.25 ล้านปอนด์ [49]
8 กรกฎาคม 2010 MF ประเทศแอลเบเนีย ลอริค ซานา ประเทศตุรกี กาลาทาซาไร 5.1 ล้านปอนด์ [50]
24 กรกฎาคม 2009 MF ประเทศอังกฤษ ดีน ไวท์เฮด ประเทศอังกฤษ สโตกซิตี 5 ล้านปอนด์ [51]
23 กรกฎาคม 1999 FW ประเทศอังกฤษ ไมเคิล บริดเจส ประเทศอังกฤษ ลีดส์ยูไนเต็ด 5 ล้านปอนด์ [52]
26 มิถุนายน 2018 MF ไอร์แลนด์เหนือ แพดดี มักแนร์ ประเทศอังกฤษ มิดเดิลส์เบรอ 5 ล้านปอนด์ [53]

เกียรติประวัติ

[แก้]
  • ฟุตบอลลีกอังกฤษ
การแข่งขัน ประเภทรางวัล จำนวนครั้ง ฤดูกาล/ค.ศ.
ลีกสูงสุด
แชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม)
6
1891-1892, 1892-1893, 1894-1895, 1901-1902, 1912-1913, 1935-1936
รองแชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม)
5
1893-1894, 1897-1898, 1900-1901, 1922-1923, 1934-1935
ลีกอันดับ 2
แชมป์ดิวิชัน 2 (เดิม)
1
1975-1976
รองแชมป์ดิวิชัน 2 (เดิม)
1
1963-1964
แชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม)
2
1995-1996, 1998-1999
แชมป์แชมเปี้ยนชิพ
2
2004-2005, 2006-2007
ลีกอันดับ 3
แชมป์ดิวิชัน 3 (เดิม)
1
1987-1988
ลีกวันเพลย์ออฟ
1
2021-2022
  • ฟุตบอลถ้วยอังกฤษ
การแข่งขัน ประเภทรางวัล จำนวนครั้ง ฤดูกาล/ค.ศ.
เอฟเอคีพ แชมป์เอฟเอคัพ
2
1937, 1973
รองแชมป์เอฟเอคัพ
2
1913, 1992
ลีกคัพ รองแชมป์ลีกคัพ
2
1985, 2014
Charity Shield แชมป์ Charity Shield
1
1936
รองแชมป์ Charity Shield
1
1937
EFL Trophy แชมป์ EFL Trophy
1
2021
รองแชมป์ EFL Trophy
1
2019
  • อื่น ๆ
การแข่งขัน จำนวนครั้ง ฤดูกาล/ค.ศ.
รางวัล BBC Sports Personality Team of the Year
1
1973
Football World Championship
1
1895
รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเอเชียโทรฟี
1
2013

อ้างอิง

[แก้]
  1. https://www.safc.com/news/club-news/2023/may/club-statement-shareholder-update
  2. https://safc.com/news/team-news/2024/june/regis-le-bris
  3. "จบเห่ "แมวดำ" แพ้ 0-1 ตกชั้นสู่แชมเปียนชิป". ผู้จัดการออนไลน์. 2017-24-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-03. สืบค้นเมื่อ 2017-04-30. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  4. "First Team". Sunderland A.F.C. สืบค้นเมื่อ 2 September 2023.
  5. "SAFC U21". Sunderland A.F.C. สืบค้นเมื่อ 2 September 2023.
  6. "Backroom Staff". Sunderland A.F.C. สืบค้นเมื่อ 2 September 2022.
  7. https://safc.com/news/team-news/2024/june/regis-le-bris
  8. "Board & management". Sunderland A.F.C. สืบค้นเมื่อ 2 September 2021.
  9. https://www.safc.com/news/team-news/2016/august/ndong-signs
  10. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/8958346.stm
  11. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/19256084
  12. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/13873800
  13. https://www.bbc.com/sport/football/28649646
  14. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/19376690
  15. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/8178460.stm
  16. https://www.bbc.com/sport/football/33795406
  17. https://www.chroniclelive.co.uk/sport/football/transfer-news/ricardo-alvarezs-9m-non-transfer-13200403
  18. https://www.sunderlandecho.com/news/confirmed-sunderland-complete-aps9million-signing-wahbi-khazri-373095
  19. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/6932931.stm
  20. https://www.bbc.com/sport/football/33535393
  21. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/7580244.stm
  22. https://safc.com/news/team-news/2016/august/djilobodji-announcement
  23. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/2225278.stm
  24. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/23331584
  25. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/23210189
  26. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/13941223
  27. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/6969418.stm
  28. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/8198227.stm
  29. http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/teams/s/sunderland/9381124.stm
  30. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/w/west_ham_utd/7592110.stm
  31. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/6901589.stm
  32. https://www.chroniclelive.co.uk/sport/football/football-news/danny-graham-sunderland-signing-verdict-18741712
  33. http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/teams/s/sunderland/7530274.stm
  34. http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/teams/s/sunderland/8168337.stm
  35. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/6291244.stm
  36. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/14059071
  37. https://www.bbc.co.uk/sport/football/40258852
  38. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/9364092.stm
  39. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/13685517
  40. https://www.bbc.com/sport/football/38794522
  41. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/23011973
  42. https://www.bbc.com/sport/football/33756128
  43. https://www.sunderlandecho.com/news/sunderland-confirm-wahbi-khazri-joins-saint-etienne-initial-aps6million-deal-276332
  44. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/stoke_city/8905368.stm
  45. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/23935605
  46. https://www.bbc.co.uk/sport/0/football/18737632
  47. https://www.skysports.com/football/news/11695/11271078/besiktas-sign-jeremain-lens-on-permanent-deal-from-sunderland
  48. https://www.theguardian.com/football/2017/jun/28/fabio-borini-sunderland-milan-transfer
  49. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/w/west_ham_utd/1514594.stm
  50. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/sunderland/8802185.stm
  51. http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/s/stoke_city/8167640.stm
  52. http://news.bbc.co.uk/2/hi/sport/football/fa_carling_premiership/401923.stm
  53. https://www.bbc.com/sport/football/44521849

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]