Nepenthes aristolochioides
Nepenthes aristolochioides | |
---|---|
หม้อบนของ N. aristolochioides | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Caryophyllales |
วงศ์: | Nepenthaceae |
สกุล: | Nepenthes |
สปีชีส์: | N. aristolochioides |
ชื่อทวินาม | |
Nepenthes aristolochioides Jebb & Cheek (1997) |
Nepenthes aristolochioides เป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงถิ่นเดียวของเกาะสุมาตรา พบที่ระดับความสูง 800-2500 ม.จากระดับน้ำทะเล มีลักษณะหม้อที่ผิดธรรมดา ปากหม้อเกือบจะตั้งตรง ชื่อ aristolochioides เป็นรูปแบบจากสกุลที่ชื่อ Aristolochia และเติมภาษาละตินในตอนท้าย -oides แปลว่า "เหมือน" ซึ่งหมายถึงความคล้ายคลึงของหม้อกับดอกของ Aristolochia[1]
ประวัติทางพฤกษศาสตร์
[แก้]Nepenthes aristolochioides ถูกเก็บได้ครั้งแรกโดย วิลเลียม เมเจอร์ (Willem Meijer) ในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1956 ตัวอย่างต้นแบบแรกที่ชื่อ Meijer 6542 เก็ยได้จากภูเขาตูจุห์ (Tujuh) ในจุมบี (Jambi) ที่ความสูง 2000 ม. มันถูกเก็บรักษาไว้ที่หอพรรณไม้แห่งชาติเนเธอร์แลนด์ในไลเดน แต่อยู่ในสภาพไม่ดีนัก[2] ตัวอย่างคู่ตัวอย่างต้นแบบเก็บรักษาไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ (Bogor) ในเกาะชวา[3]
แม้ว่ามันจะถูกแปะป้ายเป็น "ชนิดใหม่?"[2] แต่ก็ไม่มีใครสนใจเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ในปี ค.ศ. 1988 นักพฤกษศาสตร์ โจชิม เนอร์ซ (Joachim Nerz) ได้สังเกตเห็นเมื่อตอนไปเยี่ยมชมพอพรรณไม้ของมหาวิทยาลัยไลเดน[2] ชื่อ N. aristolochioides ถูกตั้งให้แก่หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้ในปี ค.ศ. 1994[4] ในปีเดียวกันนั้น นักอนุกรมวิธาน เจน สเชลาเลอร์ (Jan Schlauer) ได้เขียนว่าเขาได้ตรวจสอบตัวอย่าง Meijer 7426 และพบว่าแนวยืนตรงปากหม้อดูเหมือนว่าอาจเป็นผลของกระบวนการรักษาตัวอย่างโดยกับดักถูก "บีบอัดตามแนวยาว"[5]
ในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1996 เนอร์ซได้พบกับสเชลาเลอร์และเมเจอร์ในสวนปาล์ม (Palmengarten) ในแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งเมเจอร์ได้แสดงรูปถ่ายของหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้ให้ดู เนอร์ซและคาทริน ฮินเดอร์โฮเฟอร์ (Katrin Hinderhofer) ได้ไปสุมาตราในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1996 และเขาก็ประสบความสำเร็จในการค้นพบ N. aristolochioides ซ้ำอีกครั้งในป่า[2]
Nepenthes aristolochioides ถูกจำแนกครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1997 โดย แมตทิว จิบบ์ (Matthew Jebb) และ มาร์ติน ชีก (Martin Cheek) รายละเอียดอยู่ในบทความ "A skeletal revision of Nepenthes (Nepenthaceae)" ในวารสารทางพฤกษศาสตร์ที่ชื่อ Blumea[1] โจชิม เนอร์ซ เขียนการอนุรักษ์หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้และตีพิมพ์ใน Carnivorous Plant Newsletter ในปีถัดมา[2]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
[แก้]N. aristolochioides เป็นไม้เลื้อยไต่ ยาว 8 ม.มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 มม.[2] ปล้องเป็นทรงกระบอกหรือเหลี่ยมทื่อเมื่อตัดขวาง ยาว 15 ซม.[3]
ใบคล้ายแผ่นหนัง ไร้ก้าน แผ่นใบรูปช้อน-รูปใบหอก ยาว 15 ซม.กว้าง 3 ซม. ปลายแหลม สอบเรียวที่ละน้อยไปทางฐาน มีสองถึงห้า[2]เส้นใบตามยาวในแต่ละด้านของเส้นกลางใบ เส้นใบแบบขนนกไม่เด่นชัด สายดิ่งยาว 15 ซม.[3]
หม้อใบกระจุกและหม้อล่างจะถูกสร้างเมื่อเป็นต้นใบกระจุกเล็กๆก่อนที่จะกลายเป็นลำต้นเลื้อยไต่หรือบนตะเกียงที่แทงขึ้นมาจากลำต้น หม้อเป็นรูปกรวยในส่วนล่าง ส่วนบนเป็นทรงกลม สูง 7 ซม.กว้าง 3 ซม. ปากหม้อกลมเฉียงเกือบเป็นแนวตั้ง มีปีกตะเข็บหนึ่งคู่ (ยาว ≤4 มม.) อยู่ตลอดด้านหน้าของหม้อ เพอริสโตมกว้าง โค้งเข้าด้านใน กว้าง 5 มม. ขอบด้านในมีฟันขนาดเล็ก ปลายงอ มีต่อมปกคลุมทั่วผิวด้านในหม้อ ต่อมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.2-0.3 มม. มีความหนาแน่น 200-500 ต่อมต่อตารางเซนติเมตร[2] ฝารูปวงกลม-รูปหัวใจ กว้าง 1.5 ซม.[2] ไม่มีรยางค์ เกือบตั้งฉากกับปาก มีเดือยกิ่งหรือเดือยเดี่ยว (ยาว ≤7 มม.) ที่ฐานฝา[2][3]
หม้อบนส่วนล่างรูปกรวยส่วนบนคล้ายถุง มีขนาดใหญ่กว่าหม้อล่าง สูง 15 ซม.กว้าง 8 ซม. มีสันแทนที่ปีก ปากเกือบตั้งตรง เพอริสโตม (กว้าง ≤6 มม.)[2] แผ่ออกและโค้งเข้า มีฟันไม่แยก ฝารูปไข่ บ่อยครั้งวางตัวขนานไปตามแนวนอน ต่อมปกคลุมผิวภายในบริเวณด้านล่าง ต่ำกว่าสองในสามของหม้อ ต่อมย่อยอาหารโค้งเล็กน้อย มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.2-0.4 มม. มีความหนาแน่น 200-250 ต่อมต่อตารางเซนติเมตร[2] ส่วนที่เหลือคล้ายกับหม้อล่าง[3]
N. aristolochioides มีช่อดอกแบบกระจะ ก้านช่อดอกและแกนกลางยาว 15 ซม. แม้ว่าแกนกลางจะสันกว่าในเพศเมีย ก้านดอกย่อยมีใบประดับย่อย มีหนึ่งดอก ยาว 12 มม.[2] กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาว 4 มม.[3] ผลยาว 20 มม.กว้าง 4 มม.รูปใบหอก เมล็ดรูปเส้นด้าย[2]
ส่วนมากไม่มีสิ่งปกคลุม ง่าม เส้นกลางใบ และหม้ออาจมีขนสั้นสีขาวปกคลุมบางๆ[3]
ลำต้นและแผ่นใบสีเขียวอ่อน หม้อสีขาวถึงสีแดงเรื่อมีจุดสีน้ำตาลแดง เพอริสโตมสีแดงเข้ม ใต้ฝามีสีแดง บนฝามีสีเหมือนกับหม้อ[2]
มีความหลากหลายเพียงเล็กน้อยที่สังเกตเห็นได้จากประชากรของ N. aristolochioides ไม่มีรูปแบบและความหลากหลายที่ถูกจำแนกไว้[3]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Jebb, M.H.P. & M.R. Cheek 1997. A Skeletal Revision of Nepenthes (Nepenthaceae). Blumea 42(1): 1–106.
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 Nerz, J. 1998. Rediscovery of an outstanding Nepenthes: N. aristolochioides (Nepenthaceae). Carnivorous Plant Newsletter 27(3): 101–114.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 Clarke, C.M. 2001. Nepenthes of Sumatra and Peninsular Malaysia. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- ↑ Jebb, M. 1994. NEPENTHES revision for Flora Malesiana. Carnivorous Plant Mailing List, September 9, 1994.
- ↑ Schlauer, J. 1994. NEPENTHES comments for Flora Malesiana. Carnivorous Plant Mailing List, September 9, 1994.