แดน บราวน์
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
แดน บราวน์ | |
---|---|
เกิด | เอ็กซีเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา | 22 มิถุนายน ค.ศ. 1964
อาชีพ | นักเขียนนวนิยาย |
สัญชาติ | อเมริกัน |
แนว | ลึกลับ, ระทึกขวัญ, อิงประวัติศาสตร์ |
ผลงานที่สำคัญ | รหัสลับดาวินชี (พ.ศ. 2546) |
คู่สมรส | ไบลธ์ นิวลอน (พ.ศ. 2540–2562) |
ลายมือชื่อ | |
เว็บไซต์ | |
www |
แดน บราวน์ (อังกฤษ: Dan Brown) นักเขียนชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงกว้างขวางจากผลงานนิยายสืบสวนสอบสวนอิงประวัติศาสตร์อย่าง รหัสลับดาวินชี
ประวัติ
[แก้]แดน บราวน์เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โตในเมืองเอ็กซีเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรคนโตในพี่น้อง 3 คน คอนสแตนซ์ บราวน์ (นามสกุลเดิม เกอร์ฮาร์ด) มารดาเป็นนักดนตรีอาชีพ เล่นดนตรีในโบสถ์[1] ส่วนริชาร์ด จี. บราวน์ บิดาเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยม Phillips Exeter Academy[2]
เนื่องจาก Phillips Exeter Academy ต้องการให้อาจารย์ใหม่อาศัยในตัวโรงเรียนด้วย ครอบครัวของเขาจึงอาศัยที่โรงเรียนนั้น และเป็นสถานศึกษาระดับมัธยมของบราวน์
บราวน์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Amherst College ในปี พ.ศ. 2529[3] หลังจบการศึกษาเขาผันตัวมาเป็นนักดนตรีสมัครเล่น ทำอัลบั้มเพลงสำหรับเด็กขายได้ไม่กี่ร้อยแผ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 เขาก็ย้ายไปลอสแอนเจลิส เข้าทำงานกับวิทยาลัยประพันธ์เพลงแห่งชาติ และได้พบกับไบลธ์ นิวลอน (Blythe Newlon) รุ่นพี่หญิงที่มีอายุกว่าเขา 12 ปี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการแผนกพัฒนาศิลปินของวิทยาลัย แม้งานไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่นิวลอนก็ช่วยโปรโมตงานต่าง ๆ ของบราวน์ จนพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นความรักโดยคนรอบตัวไม่ทราบ บราวน์แต่งงานกับนิวลอนในปี พ.ศ. 2540 ก่อนจะหย่าร้างในปี พ.ศ. 2562[4]
พ.ศ. 2536 บราวน์ย้ายกลับมานิวแฮมป์เชียร์บ้านเกิดพร้อมนิวลอน ที่นั่นบราวน์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ณ โรงเรียนเก่าและสอนภาษาสเปนให้นักเรียนเกรด 6-8[5] จน พ.ศ. 2537 เขาหันมาเป็นนักเขียน เมื่อเขาไปพักผ่อนที่ตาฮิติ และได้อ่านนิยายเรื่อง แผนโลกาวินาศ (The Doomsday Conspiracy) ผลงานของซิดนีย์ เชลดอน (Sidney Sheldon)[6][7] นั่นเป็นจุดกำเนิดให้เขาลงมือเขียนนิยายเรื่องแรกของเขา ล่ารหัสมรณะ (Digital Fortress) และในปีเดียวกันบราวน์ได้ออกซีดีเพลงในชื่อ "Angels & Demons" ซึ่งภาพหน้าปกอัลบั้มเป็นภาพแอมบิแกรม ฝีมือศิลปินนามจอห์น แลงดอน (John Langdon) ที่ภายหลังชื่ออัลบั้มกลายเป็นชื่อนิยายเล่มที่สองของเขา เทวากับซาตาน (Angels & Demons) และได้นำเอาชื่อศิลปินที่วาดภาพปกอัลบั้มมาเป็นชื่อตัวละครเอกของเรื่อง
พ.ศ. 2539 บราวน์เลิกสอนและกลายมาเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว ปีต่อมาผลงานนิยายเล่มแรกของเขา ล่ารหัสมรณะ ก็เสร็จสมบูรณ์และได้จัดพิมพ์ จากนั้นเขาออก เทวากับซาตาน ในปี พ.ศ. 2543 และ แผนลวงสะท้านโลก (Deception Point) ในปี พ.ศ. 2544
ผลงาน 3 เรื่องแรก ล่ารหัสมรณะ, เทวากับซาตาน และ แผนลวงสะท้านโลก ขายได้น้อยกว่าหมื่นเล่มในการพิมพ์ครั้งแรก จนออก รหัสลับดาวินชี (The Da Vinci Code) ในปี พ.ศ. 2546 หนังสือนี้กลายเป็นหนังสือติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเป็นหนังสือขายดีตลอดกาลเล่มหนึ่ง ด้วยยอดขาย 81 ล้านเล่มทั่วโลกในปี พ.ศ. 2552[8] และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งส่งผลให้ผลงาน 3 เรื่องแรกของบราวน์กลับมามียอดจำหน่ายสูงอีกครั้ง และผลงานเรื่อง เทวากับซาตาน ก็ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ตามมา ออกฉายในปี พ.ศ. 2552 ต่อมาบราวน์ได้ออกผลงานเรื่องใหม่ชื่อ สาส์นลับที่สาบสูญ (The Lost Symbol) วางจำหน่ายในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน
ในปี พ.ศ. 2556 บราวน์ออกผลงานในชุด โรเบิร์ต แลงดอน เล่มที่ 4 ชื่อ สู่นรกภูมิ (Inferno) ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 บราวน์ออกผลงานชื่อ ออริจิน (Origin) ซึ่งเป็นนิยายเล่มที่ 5 ในชุด โรเบิร์ต แลงดอน
ผลงาน
[แก้]เล่มเดี่ยว
[แก้]- ล่ารหัสมรณะ (Digital Fortress, 1998)
- แผนลวงสะท้านโลก (Deception Point, 2001)
ชุดโรเบิร์ต แลงดอน
[แก้]- เทวากับซาตาน (Angels & Demons, 2001)
- รหัสลับดาวินชี (Da Vinci Code, 2003)
- สาส์นลับที่สาบสูญ (The Lost Symbol, 2009)
- สู่นรกภูมิ (Inferno, 2013)
- ออริจิน (Origin, 2017)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Rogak, Lisa (May 7, 2013). Dan Brown: The Unauthorized Biography, St. Martin's Press. pp. 6-8. Archived at Google Books; retrieved August 3, 2017.
- ↑ Kaplan, James (September 13, 2009). "Life after 'The Da Vinci Code'". Parade.
- ↑ "Bestselling authors Dan Brown '86, Charles Mann '76 to speak Thursday" เก็บถาวร 2015-04-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, amherst.edu, September 24, 2013.
- ↑ CASEY, MICHAEL (June 30, 2020). "Ex-wife of 'Da Vinci Code' author Dan Brown alleges he led a double life". AP. สืบค้นเมื่อ July 1, 2020.
- ↑ "Dan Brown's Education Background". www.eduinreview.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-19. สืบค้นเมื่อ 2021-04-21.
- ↑ Lattman, Peter (March 14, 2006). "'The Da Vinci Code' Trial: Dan Brown's Witness Statement Is a Great Read". Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-29. สืบค้นเมื่อ November 13, 2011.
- ↑ "Decoding the Da Vinci Code author". BBC. August 10, 2004. สืบค้นเมื่อ May 18, 2009.
- ↑ Henninger, Daniel (19 May 2006). "Holy Sepulchre! 60 Million Buy 'The Da Vinci Code'". WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 18 February 2019.