เอสเอส เกรตเวสเทิร์น
เอสเอส เกรตเวสเทิร์น ในปี ค.ศ. 1838
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ชื่อ | เกรตเวสเทิร์น (Great Western) |
ตั้งชื่อตาม | ทางรถไฟเกรตเวสเทิร์น |
ผู้ให้บริการ | บริษัทเรือกลไฟเกรตเวสเทิร์น |
เส้นทางเดินเรือ | บริสตอล – นิวยอร์ก |
อู่เรือ | วิลเลียม แพตเตอร์สัน, บริสตอล, ประเทศอังกฤษ |
ปล่อยเรือ | 26 มิถุนายน 1836 |
เดินเรือแรก | 19 กรกฎาคม 1837 |
สร้างเสร็จ | 31 มีนาคม 1838 |
Maiden voyage | 8 เมษายน 1838 |
หยุดให้บริการ | ธันวาคม 1846 ในลิเวอร์พูล |
หมายเหตุ |
|
ผู้ให้บริการ | รอยัลเมลสตีมแพ็กเกต |
ส่งมอบเสร็จ | 24 เมษายน 1847 |
ความเป็นไป | แยกชิ้นส่วนในปี 1856 |
หมายเหตุ | ให้บริการขนส่งไปรษณีย์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างเซาแทมป์ตัน – เวสต์อินดีส์[1] |
ผู้ให้บริการ | รัฐบาลอังกฤษ |
ส่งมอบเสร็จ | 1855 |
ความเป็นไป | ปลดระวางในเดือนตุลาคม 1856 |
หมายเหตุ | ปฏิบัติหน้าที่ขนส่งกำลังพลในสงครามไครเมีย |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือกลไฟล้อพายไม้โอก |
ขนาด (ตัน): | 1,700 ตันกรอส[2] |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 2,300 ตัน |
ความยาว: | 71.6 เมตร (234 ฟุต 11 นิ้ว), ต่อมา 76.8 เมตร (252 ฟุต 0 นิ้ว) |
ความกว้าง: | 17.59 เมตร (57 ฟุต 9 นิ้ว) รวมล้อพาย |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: | 2 × ล้อพาย |
ความเร็ว: | 8.5 นอต |
ความจุ: | ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง 128 คน + ผู้รับใช้ 20 คน |
ลูกเรือ: | 60 คน |
เอสเอส เกรตเวสเทิร์น ([SS Great Western] ข้อผิดพลาด: {{Langx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) เป็นเรือกลไฟลำแรกของโลกที่ออกแบบมาสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยเฉพาะ[3] มีลักษณะเด่นคือตัวเรือทำจากไม้ มีล้อพาย และมีเสากระโดง 4 ต้น เรือลำนี้เป็นเรือลำแรกของบริษัทเรือกลไฟเกรตเวสเทิร์น (Great Western Steamship Company)[4] สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1838 และเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1837 ถึง 1839 ซึ่งเป็นปีที่เรือเอสเอส บริติชควีน (SS British Queen) เริ่มให้บริการ
เรือลำนี้ออกแบบโดยวิศวกรโยธาชาวอังกฤษ อิซัมบาร์ด คิงดอม บรูเนล เรือเกรตเวสเทิร์นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าให้บริการได้อย่างน่าพอใจ และเป็นต้นแบบสำหรับเรือกลไฟล้อพายไม้ที่ประสบความสำเร็จในการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทุกลำ[5] เรือลำนี้สามารถทำลายสถิติการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเร็วที่สุด (Blue Riband) ได้จนถึงปี ค.ศ. 1843[5] เรือเกรตเวสเทิร์นให้บริการเดินเรือสู่นิวยอร์กเป็นระยะเวลา 8 ปีจนกระทั่งบริษัทเจ้าของประสบภาวะขาดทุนและต้องยุติกิจการ[6] ต่อมาเรือลำนี้ได้ถูกขายให้แก่บริษัทรอยัลเมลสตีมแพ็กเกต (Royal Mail Steam Packet Company) และถูกปลดระวางในปี ค.ศ. 1856 หลังจากทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลในช่วงสงครามไครเมีย[4]
การออกแบบ
[แก้]ในปี ค.ศ. 1836 อิซัมบาร์ด คิงดอม บรูเนล พร้อมด้วยทอมัส กัปปี มิตรสหายของเขา และกลุ่มนักลงทุนชาวบริสตอลได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเรือกลไฟเกรตเวสเทิร์น (Great Western Steamship Company) เพื่อสร้างเส้นทางเดินเรือโดยใช้เรือกลไฟระหว่างเมืองบริสตอลและนิวยอร์ก[4] แนวคิดการให้บริการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างสม่ำเสมอตามตารางเวลานั้นได้รับการพิจารณาโดยกลุ่มบุคคลหลายกลุ่ม และในเวลาเดียวกัน บริษัทเรือกลไฟอังกฤษและอเมริกัน (British and American Steam Navigation Company) ซึ่งเป็นคู่แข่งก็ได้ก่อตั้งขึ้น[7] การออกแบบเรือเกรตเวสเทิร์นได้จุดประกายความขัดแย้งจากเหล่านักวิจารณ์ที่โต้แย้งว่าเรือลำนี้มีขนาดใหญ่เกินไป[4] หลักการที่บรูเนลเข้าใจคือ ความสามารถในการบรรทุกของเรือจะเพิ่มขึ้นตามปริมาตรลูกบาศก์ ในขณะที่แรงต้านทานน้ำจะเพิ่มขึ้นเพียงปริมาตรกำลังสองเท่านั้น นั่นหมายความว่าเรือขนาดใหญ่จะมีความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก[8]
เรือเกรตเวสเทิร์นเป็นเรือกลไฟไม้แบบล้อพายข้างทำจากเหล็ก และติดตั้งเสากระโดงสี่ต้นเพื่อใช้กางใบเรือเสริม ใบเรือไม่ได้ใช้เพียงเพื่อเป็นกำลังขับเคลื่อนเสริมเท่านั้น หากยังใช้ในการรักษาสมดุลของเรือในทะเลที่ปั่นป่วน อีกทั้งเพื่อให้แน่ใจว่าล้อพายทั้งสองจะยังคงจมอยู่ในน้ำอยู่เสมอ ทำให้เรือสามารถเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงได้ ตัวเรือสร้างขึ้นจากไม้โอก (แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่าเป็นไม้สนกดัญสก์ ซึ่งน่าจะหมายถึงไม้สนบอลติกที่ส่งออกจากเมืองกดัญสก์) โดยใช้วิธีการดั้งเดิม)[ต้องการอ้างอิง] เรือลำนี้เคยครองตำแหน่งเรือกลไฟขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลาหนึ่งปี จนกระทั่งเรือเอสเอส บริติชควีน (SS British Queen) ของบริษัทเรือกลไฟอังกฤษและอเมริกันได้เริ่มให้บริการ
เรือเกรตเวสเทิร์นถูกสร้างขึ้น ณ อู่ต่อเรือแพตเตอร์สันแอนด์เมอร์เซอร์ (Patterson & Mercer) ในเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ และได้ทำพิธีปล่อยเรือในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1837[4] ในระหว่างพิธีปล่อยเรือ มีช่างต่อเรือรายหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากถูกท่อนไม้ขนาดใหญ่หล่นใส่จนกะโหลกศีรษะแตก[9] หลังจากการปล่อยลงน้ำ เรือเกรตเวสเทิร์นได้แล่นไปยังกรุงลอนดอนและได้มีการติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำชนิดก้านข้างสองเครื่อง ซึ่งผลิตขึ้นโดยบริษัทมอดส์เลย์ซันส์แอนด์ฟีลด์ (Maudslay, Sons and Field) โดยเครื่องจักรทั้งสองเครื่องนี้สามารถสร้างกำลังขับเคลื่อนได้ 750 แรงม้า[4] ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1837 เรือเอกเจมส์ ฮอสเคน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกัปเรือลำใหม่ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1838 ก็ได้มีการประกาศโฆษณาการเดินเรือครั้งแรก[10]
ประวัติ
[แก้]การทดลองเดินเรือครั้งแรกของเรือเกรตเวสเทิร์นเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1838 โดยดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก และเมื่อเรือกลับมาถึงก็ได้มีเหล่าคณะบุคคลชั้นสูงขึ้นมาเยี่ยมชมเรือ[11] ในวันที่ 31 มีนาคม เรือเกรตเวสเทิร์นได้ออกเดินทางจากท่าเรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือเอเวินมัท ในเมืองบริสตอล เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งแรกไปยังนครนิวยอร์ก ก่อนจะถึงเอเวินนมัทก็ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นภายในห้องเครื่องยนต์ ในระหว่างความสับสนอลหม่าน บรูเนลได้พลัดตกจากที่สูงประมาณ 20 ฟุต (6 เมตร) และได้รับบาดเจ็บ เพลิงสามารถถูกควบคุมและสงบลง และความเสียหายต่อเรือมีเพียงเล็กน้อย แต่บรูเนลจำเป็นต้องถูกนำขึ้นฝั่งที่เกาะแคนวีย์[4] จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้โดยสารจำนวนกว่า 50 คนได้ยกเลิกการจองตั๋วสำหรับการเดินทางจากบริสตอลไปนิวยอร์ก ส่งผลให้เมื่อเรือเกรตเวสเทิร์นออกเดินทางจากเอเวินมัทในที่สุด พบว่ามีผู้โดยสารเหลืออยู่บนเรือเพียง 7 คนเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]
การก่อสร้างเรือลำแรกของคู่แข่งบริษัทเดินเรือกลไฟอังกฤษและอเมริกันนั้นล่าช้าลง ทำให้บริษัทดังกล่าวต้องเช่าเรือเอสเอส ซีเรียส (SS Sirius) เพื่อแล่นไปยังนิวยอร์กก่อนเรือเกรตเวสเทิร์น เรือซีเรียสเป็นเรือกลไฟขนาด 700 ตันกรอสที่ให้บริการในทะเลไอริชบนเส้นทางลอนดอน – คอร์ก และได้มีการปรับปรุงโดยการลดพื้นที่ส่วนหนึ่งของที่พักผู้โดยสารเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับเก็บถ่านหิน[8] เรือลำดังกล่าวได้ออกเดินทางจากกรุงลอนดอนก่อนเรือเกรตเวสเทิร์นสามวัน เติมเชื้อเพลิงที่เมืองคอร์ก และมุ่งหน้าสู่นครนิวยอร์กในวันที่ 4 เมษายน[ต้องการอ้างอิง] เรือเกรตเวสเทิร์นนั้นต้องล่าช้าในการออกเดินทางจากท่าเรือบริสตอลเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ และได้ออกเดินทางจริงในวันที่ 8 เมษายน[8]
แม้จะออกเดินทางก่อนถึงสี่วัน ซิเรียสก็สามารถเอาชนะเกรตเวสเทิร์นได้อย่างหวุดหวิด โดยมาถึงในวันที่ 22 เมษายน[7] เมื่อถ่านหินใกล้หมด ลูกเรือจึงเผาเรซินไปจำนวนห้าถัง ส่วนเรือเกรตเวสเทิร์นเดินทางมาถึงในวันรุ่งขึ้นโดยยังคงเหลือถ่านหินอยู่ 200 ตันบนเรือ[4] แม้ว่าคำว่า "บลูริบบันด์" จะยังไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นมาในเวลานั้น แต่เรือซีเรียสก็มักได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชนะรายแรกด้วยความเร็ว 8.03 นอต (14.87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทว่าเรือซีเรียสครองสถิติได้เพียงวันเดียวเท่านั้น เนื่องจากเรือเกรตเวสเทิร์นสามารถเดินทางได้ด้วยความเร็ว 8.66 นอต (16.04 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
เรือเกรตเวสเทิร์นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความน่าพอใจอย่างยิ่งในการให้บริการ และมีอิทธิพลต่อการออกแบบเรือกลไฟล้อพายข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลำอื่น ๆ แม้กระทั่งเรือบริแทนเนีย (Britannia) ของบริษัทคูนาร์ดก็ยังเป็นเพียงเรือขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับเรือเกรตเวสเทิร์น[5] ในช่วงปี ค.ศ. 1838 ถึง 1840 เรือเกรตเวสเทิร์นใช้เวลาเดินทางเฉลี่ย 16 วัน 0 ชั่วโมง (ด้วยความเร็ว 7.95 นอต) ในการมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก และใช้เวลา 13 วัน 9 ชั่วโมง (ด้วยความเร็ว 9.55 นอต) ในการเดินทางกลับ ในปี ค.ศ. 1838 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลร้อยละ 9 ซึ่งนับเป็นการจ่ายเงินปันผลเพียงครั้งเดียวของบริษัท เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมากในการสร้างเรือลำต่อไปของบริษัท[5] ภายหลังจากที่บริษัทเดินเรือกลไฟฯ ล้มละลาย เรือเกรตเวสเทิร์นได้สลับการเดินทางระหว่างเอเวินมัทและลิเวอร์พูล ก่อนจะเลิกใช้ท่าเรือเอเวินมัทอย่างสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 1843[5] แม้จะขาดเรือคู่วิ่งอันเนื่องมาจากการก่อสร้างเรือเกรตบริเตน (Great Britain) ล่าช้าอย่างมาก แต่เรือลำนี้ก็ยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1843 รายรับของเรือเกรตเวสเทิร์นมีจำนวนทั้งสิ้น 33,400 ปอนด์สเตอร์ลิง เมื่อเทียบกับรายจ่ายที่อยู่ที่ 25,600 ปอนด์สเตอร์ลิง[4]
บริษัทประสบความสำเร็จมากขึ้นในปี ค.ศ. 1845 เมื่อเรือเกรตบริเตนเริ่มให้บริการ[5] อย่างไรก็ดี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1946 เรือเกรตบริเตนประสบเหตุเกยตื้นเนื่องจากความผิดพลาดในการนำทาง และคาดการณ์ว่าจะไม่สามารถผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ คณะกรรมการได้สั่งระงับการเดินเรือของเรือเกรตเวสเทิร์นทั้งหมดและได้ยุติกิจการลง[4] เรือเกรตเวสเทิร์นได้ทำการข้ามมหาสมุทรสำเร็จ 45 เที่ยวสำหรับเจ้าของเรือภายในระยะเวลา 8 ปี[6] ในปี ค.ศ. 1847 เรือลำนี้ได้ถูกจำหน่ายให้แก่บริษัทรอยัลเมลสตีมแพ็กเกต (Royal Mail Steam Packet Company) และนำไปใช้ในการเดินเรือบนเส้นทางเวสต์อินดีส[5] เซาแทมป์ตันได้กลายเป็นท่าเรือประจำใหม่ของเรือลำนี้ โดยมีการเดินทางไปยังหมู่เกาะเวสต์อินดีส 14 เที่ยวระหว่างปี ค.ศ. 1847 ถึง 1853 ก่อนจะถูกเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือไปยังอเมริกาใต้ และได้ทำการเดินทางไปยังรีโอเดจาเนโรอีก 9 เที่ยวระหว่างปี ค.ศ. 1853 ถึง 1855[12] ในเส้นทางเดินเรือสู่ทวีปอเมริกาใต้ เรือได้แวะจอดที่ลิสบอน มาเดรา เทเนริฟ เซนต์วินเซนต์ เปอร์นัมบูโก และบาเฮีย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังริโอเดจาเนโร และในเส้นทางกลับ เรือได้แวะจอดตามท่าเรือเหล่านั้นในลำดับย้อนกลับ
เรือเกรตเวสเทิร์นได้ถูกนำไปจอดพักไว้ในเซาแทมป์ตันก่อนจะถูกบรรจุเข้าประจำการในหน่วยงานของรัฐบาลภายใต้ชื่อ "เรือขนส่งหมายเลข 6" เรือลำนี้ทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลในสงครามไครเมียในปี ค.ศ. 1856 โดยทำการขนส่งทหารระหว่างสหราชอาณาจักร ยิบรอลตาร์ มอลตา และคาบสมุทรไครเมีย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1856 เรือลำนี้ได้ถูกขายเพื่อนำไปแยกชิ้นส่วน และได้ถูกทำลายที่โรงงานของคาสเซิลส์ยาร์ด ในกรุงลอนดอน บริเวณริมแม่น้ำเทมส์[5]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ About Great Western from Merseyside Maritime Museum, Liverpool
- ↑ Freeman Hunt (1844). Merchants' Magazine and Commercial Review, Volume 10. New York City. p. 383.
- ↑ Doe, Helen (2017). The First Atlantic Liner. ISBN 978-1-4456-6720-1
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 Corlett, Ewan (1975). The Iron Ship: the Story of Brunel's SS Great Britain. Conway.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 Gibbs, Charles Robert Vernon (1957). Passenger Liners of the Western Ocean: A Record of Atlantic Steam and Motor Passenger Vessels from 1838 to the Present Day. John De Graff. pp. 41–45.
- ↑ 6.0 6.1 Kludas, Arnold (1999). Das blaue Band des Nordatlantiks (ภาษาเยอรมัน). Hamburg: Koehler. p. 36. ISBN 3-7822-0742-4.
- ↑ 7.0 7.1 American Heritage (1991). The Annihilation of Time and Space.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Rolt, L. T. C. (1970). Victorian Engineering. Allen Lane. The Penguin Press, ISBN 0-7139-0104-7
- ↑ "Accidental death". Bristol Mercury. No. 2478. Bristol. 19 August 1837.
- ↑ Grahame Farr, The S.S. Great Western: The First Atlantic Liner (Bristol Historical Association pamphlets, no. 8, 1963), p.4.
- ↑ Grahame Farr, The S.S. Great Western: The First Atlantic Liner (Bristol Historical Association pamphlets, no. 8, 1963), p.5.
- ↑ Griffiths, Denis (1985). Brunel's Great Western. ISBN 0-85059-743-9