ข้ามไปเนื้อหา

เลือดแฝงในอุจจาระ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เลือดแฝงในอุจจาระ
บัตรและขวดที่ใช้เพื่อตรวจเลือดแบบ Hemoccult test ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ stool guaiac test

เลือดแฝงในอุจจาระ[1] (อังกฤษ: Fecal occult blood, ตัวย่อ FOB) หมายถึงเลือดในอุจจาระที่ไม่ปรากฏให้เห็น (ไม่เหมือนกับเลือดในอุจจาระอื่น ๆ เช่นที่เห็นในอุจจาระดำ หรือเลือดสด ๆ ที่ถ่ายออก) การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ (fecal occult blood test, FOBT) จึงเป็นการตรวจเลือดที่ซ่อนอยู่ในอุจจาระ[2] โดยอาจตรวจหา globin[A], ดีเอ็นเอ, หรือแฟ็กเตอร์ในเลือดอื่น ๆ เช่น transferrin ส่วนการตรวจที่มีมานานคือ stool guaiac test จะตรวจหา heme[B]

ในการแพทย์

[แก้]

การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ (FOBT) มุ่งตรวจการเสียเลือดที่เห็นได้ยากจากทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่ปากไปจนถึงลำไส้ใหญ่ เลือดที่ตรวจพบอาจมาจากทางเดินอาหารส่วนบน (รวมหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น) หรือส่วนล่าง (รวมลำไส้เล็กโดยมาก และลำไส้ใหญ่) และเมื่อพบก็ควรตรวจเพิ่มว่ามีแผลเปื่อยเพปติก (peptic ulcer) หรือโรคร้ายอื่น ๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นต้น หรือไม่ แต่ให้สังเกตว่า การทดสอบนี้ไม่ได้ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่โดยตรง แต่มักจะใช้เพื่อตรวจคัดกรองโรคนี้ แม้ก็สามารถใช้หาการเสียเลือดในคนไข้โลหิตจางได้ด้วย[6] หรือว่าเมื่อมีปัญหาทางกระเพาะลำไส้อื่น ๆ[7]

การทดสอบชนิดหนึ่งคือ stool guaiac test (gFOB) สามารถทำได้ทั้งที่บ้านหรือสถานพยาบาล หรือสามารถส่งตัวอย่างอุจจาระไปให้ห้องแล็บตรวจ ชุดตรวจในบางประเทศมีขายในร้านเภสัชโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ หรือแพทย์พยาบาลอาจสั่งเพื่อให้คนไข้ใช้ตรวจได้ ถ้าตรวจพบเลือดที่บ้าน ก็แนะนำว่าให้ไปหาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่ม[8]

แหล่งเลือดออก

[แก้]

การตกเลือดในกระเพาะลำไส้มีแหล่งหลายแหล่ง ดังนั้น ถ้าตรวจพบเลือด ก็จึงต้องตรวจหาแหล่ง ปกติจะหาเลือดที่ออกในทางเดินอาหารส่วนล่างก่อนแล้วจึงหาในทางเดินอาหารส่วนบน ยกเว้นจะมีเหตุน่าสงสัยอย่างอื่น ๆ[9] การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เป็นวิธีที่แนะนำเหนือการสร้างภาพลำไส้ใหญ่ด้วยคอมพิวเตอร์เอกซ์เรย์ (CT colonography)[10]

ประชากรราว 1-5% จะพบเลือดถ้าตรวจคัดกรองในชนจำนวนมาก[ต้องการอ้างอิง] ในบรรดาคนเหล่านี้ 2-10% จะมีมะเร็ง และ 20-30% จะมีเนื้องอกต่อม

เลือดที่พบอาจจะมาจากทางเดินอาหารส่วนบนหรือส่วนล่าง เหตุสามัญรวมทั้ง

ถ้าตรวจเจอเลือด ก็ควรตรวจดูทางเดินอาหารเพิ่มโดยวิธีใดวิธีหนึ่งรวมทั้ง

  • การส่องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนคด (sigmoidoscopy) เป็นการตรวจไส้ตรงและลำไส้ใหญ่ส่วนล่างด้วยกล้องติดแสงสว่างเพื่อตรวจดูความผิดปกติ เช่น ติ่งเนื้อเมือก
  • การส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เป็นการตรวจไส้ตรงและลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
  • การส่องตรวจลำไส้ใหญ่เสมือน (virtual colonoscopy) เป็นการใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์บวกคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพลำไส้ใหญ่เป็นภาพ 2 มิติและ 3 มิติ เริ่มตั้งแต่ไส้ตรงไปจนถึงลำไส้เล็ก
  • การส่องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน (upper gastrointestinal endoscopy) ซึ่งบางครั้งทำพร้อมกับ chromoendoscopy (การส่องกล้องร่วมกับการใช้สี) ซึ่งช่วยให้เห็นดีกว่าโดยเพิ่มความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อมะเร็งจากเนื้อเยื่อปกติ โดยเพิ่มสี (toluidine blue) ที่เนื้อเยื่อที่มีดีเอ็นเอเพิ่มขึ้นเกินปกติ หรือไม่ก็ป้ายสี (Lugol) ที่เนื้อเยื่อของเนื้องอกเพราะมีไกลโคเจนที่ผิวน้อยกว่า[15][16]
  • Infrared fluorescent endoscopy[ต้องการอ้างอิง] และ ultrasonic endoscopy[ต้องการอ้างอิง] สามารถตรวจสภาพวิรูปของหลอดเลือด เช่น esophageal varices[E]
  • การสวนตรวจทวารด้วยแบเรียม (double contrast barium enema) เป็นการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์เป็นชุดเพื่อตรวจดูลำไส้ใหญ่และไส้ตรง

สีอุจจาระ

[แก้]

แม้อุจจาระสีแดงและดำอาจเป็นตัวบ่งว่ามีเลือดออก แต่อุจจาระสีเข้มหรือดำก็อาจมาจากการทานบลูเบอร์รี อาหารเสริมคือธาตุเหล็ก ตะกั่วหรือยา Bismuth subsalicylate ซึ่งใช้แก้ปัญหาท้องปั่นป่วน และสีแดงก็อาจมาจากสีอาหารทั้งแบบสังเคราะห์หรือแบบธรรมชาติ ที่พบในของหวานสีแดง เช่น เจลาติน ไอศกรีมเป็นต้น

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

[แก้]

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงก่อนจะเป็นมะเร็ง เช่น ติ่งเนื้อเมือกบางชนิด หรือลักษณะอื่น ๆ ก่อนหน้านั้น ซึ่งมีโอกาสรักษาหายได้ดีกว่า ระดับที่การตรวจคัดกรองจะลดความชุกของมะเร็งกระเพาะลำไส้ หรืออัตราตาย จะขึ้นอยูกับอัตราการมีภาวะก่อนมะเร็งและการมีมะเร็งในกลุ่มประชากรนั้น ๆ การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มพบว่า วิธีการตรวจคัดกรองคือ gFOBT และการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนคด แต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์[ต้องการอ้างอิง] มีหลักฐานพอสมควรว่า การตรวจคัดกรองด้วย iFOBT (immunochemical fecal occult blood test) หรือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ มีประโยชน์ และก็มีองค์กรแพทย์หลายกลุ่มที่ออกแนวทางการรักษาเกี่ยวกับการคัดกรองเช่นนี้ แต่หลักฐานก็ไม่ได้รวมการศึกษาแบบสุ่ม

ในปี 2009 วิทยาลัยวิทยาทางเดินอาหารอเมริกัน (ACG) เสนอว่า วิธีการที่สามารถป้องกันโรคโดยตรงคือตัดเนื้อเยื่อ/แผลที่เกิดก่อนมะเร็งได้ เป็นวิธีที่ควรใช้เป็นอันดับแรก (preferred) กล่าวคือแนะนำให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ทุก ๆ 10 ปีในบุคคลที่มีความเสี่ยงปกติเริ่มตั้งแต่อายุ 50 ปี[19] และแนะนำว่า วิธีตรวจจับมะเร็งอื่น ๆ รวมทั้งการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระทุกรูปแบบแม้เป็นทางเลือกแต่ก็ควรใช้รองลงมา (less preferred) หรือใช้ต่อเมื่อคนไข้ไม่ต้องการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยแนะนำให้ตรวจเลือดแฝงในอุจจาระแบบ FIT (fecal immunochemical test) หรือ iFOBT (immunochemical fecal occult blood test) ส่วนแนวทางการรักษาขององค์กร US Multisociety Task Force (MSTF) และ US Preventive Services Task Force (USPSTF) แม้จะอนุมัติให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นทางเลือกในการตรวจคัดกรอง แต่ก็ไม่ได้แนะนำเป็นอันดับแรก (preferred)[20][21] ACG และ MSTF ยังรวมการสร้างภาพลำไส้ใหญ่ด้วยคอมพิวเตอร์เอกซ์เรย์ (CT colonography) ทุก ๆ 5 ปี และการตรวจดีเอ็นเอให้ใช้เป็นทางเลือก

คณะทั้งสาม [F]ต่างก็แนะนำให้แทนการตรวจอุจจาระในเลือดแฝงที่มีความไวต่ำและใช้มานานกว่า คือ gFOBT ด้วยการตรวจที่ไวกว่าและใหม่กว่ารวมทั้ง hs gFOBT (high-sensitivity guaiac-based fecal occult blood testing) หรือ FIT (fecal immunochemical testing) โดย MSTF ได้ตรวจดูงานศึกษา 6 งานที่เทียบ hs gFOBT (คือ Hemoccult SENSA) กับ FIT แล้วสรุปว่า ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกันอย่างสำคัญ การตรวจคัดกรองด้วย gFOBT ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงปกติสามารถลดอัตราตายที่สัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 25%[23] แต่เพราะเป็นประสิทธิผลที่ต่ำกว่า การลงทุนตรวจคัดกรองกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ด้วย gFOBT จึงจัดว่าไม่มีประสิทธิภาพ[24][25][26][27]

ถ้าสงสัยอยู่แล้วว่ามีมะเร็งลำไส้ใหญ่ (เช่น คนที่มีโลหิตจางอย่างไม่มีสาเหตุ) การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระอาจไม่มีประโยชน์ คือไม่ว่าผลจะออกมาบวกหรือลบ ก็ยังควรต้องตรวจเพิ่มอยู่ดี

สมาคมมะเร็งแคนาดา (Canadian Cancer Society) แนะนำให้ผู้มีอายุ 50 ปีและยิ่งกว่านั้นตรวจคัดกรองด้วย FOBT อย่างน้อยทุก ๆ 2 ปี[28]

ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ การใช้ตัวอย่างอุจจาระตัวอย่างเดียวที่เก็บโดยแพทย์ผู้กำลังใช้นิ้วคลำตรวจไส้ตรงไม่แนะนำ[29]

ส่วนการตรวจแบบ M2-PK Test จะแนะนำเหนือ gFOBT สำหรับการตรวจคัดกรองที่ทำเป็นปกติ (routine screening) เพราะอาจตรวจพบเนื้องอกทั้งที่เลือดออกและไม่ออก[30] คือสามารถตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ 80% และเนื้องอกต่อมขนาดยิ่งกว่า 1 ซม. 44% เทียบกับ gFOBT ที่ตรวจเจอมะเร็งเพียง 13-50%[30]

ในประเทศต่าง ๆ

[แก้]

ในปี 2006 รัฐบาลออสเตรเลียได้เริ่มโปรแกรมมะเร็งลำไส้แห่งชาติ (National Bowel Cancer Program) ซึ่งได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้วตั้งแต่นั้น ซึ่งมุ่งตรวจคัดกรองประชาชนออสเตรเลียระหว่างอายุ 50-74 ปีทั้งหมดภายในปี 2017-2018 โดยองค์กร Cancer Council Australia แนะนำว่า FOBT ควรใช้ตรวจทุก 2 ปี[31]

ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) มี "โครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง" ที่มุ่งตรวจประชากรโดยมาก[G] ทั่วประเทศใน "กลุ่มเสี่ยงปกติ"[H] คืออายุระหว่าง 50-70 ปีและไม่มีอาการผิดปกติทุก ๆ 2 ปีโดยขั้นต้นจะตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระด้วยวิธี FIT (fecal immunochemical test) และถ้าพบผลบวกก็จะส่งตัวให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เพื่อวินิจฉัยต่อไป[I] เป็นโปรแกรมที่อาจลดอัตราการตายเนื่องจากโรคสูงสุด 25-33% หรือประมาณ 750-1,000 คน เทียบกับผู้ป่วยใหม่ปีละ 10,624 คนที่ก็อาจลดลงด้วยเช่นกัน [J]

โรคกระเพาะลำไส้และยา

[แก้]

ภาวะเช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบแบบมีแผล (ulcerative colitis) หรือท้องร่วงแบบติดเชื้อที่เป็นอีก ๆ อาจจะรุนแรงไม่เท่ากันเมื่อเวลาผ่านไป FOBT อาจช่วยประเมินความรุนแรงของโรค อนึ่ง ยาที่สัมพันธ์กับเลือดออกในกระเพาะลำไส้ เช่น Bortezomib บางครั้งจะระวังสอดส่องด้วย FOBT

การตรวจเลือดแฝงในสิ่งคัดหลั่ง

[แก้]

การใช้อุปกรณ์ตรวจเลือดแฝงในอุจจาระสำหรับอาการในปาก โพรงจมูก หลอดอาหาร ปอด และกระเพาะอาหาร บ่อยครั้งจะไม่แนะนำ เนื่องจากปัญหาทางเทคนิกเช่นยังไม่ได้กำหนดประสิทธิภาพรวมทั้งความไว ความจำเพาะ และข้อสรุปที่จะอนุมานได้ อย่างไรก็ดี การได้ข้อมูลทางเคมีว่าสีที่เห็นมาจากเลือดและไม่ใช่จากกาแฟ พืช ยา หรือสารเติมแต่งอาหาร ก็อาจช่วยการรักษาได้อย่างสำคัญ

นักวิ่งมาราธอน

[แก้]

นักวิ่งมาราธอนบ่อยครั้งมีปัญหากระเพาะและลำไส้และเลือดออกจำนวนน้อย ๆ [39] การออกกำลังกายอย่างหนัก โดยเฉพาะพวกนักวิ่งเก่ง ๆ บวกกับนักกีฬาพวกอื่น ๆ (แม้จะน้อยครั้งกว่า) อาจเป็นเหตุให้เกิดอาการกระเพาะลำไส้ในขั้นบาดเจ็บรวมทั้งแสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง และเลือดออกในกระเพาะลำไส้[40] นักกีฬาแบบวิ่งทนประมาณ 1/3 จะประสบกับอาการที่ทำให้ต้องจำกัดการออกกำลังชั่วคราว และเลือดที่ออกในกระเพาะลำไส้ซ้ำ ๆ บางคราวก็จะทำให้ขาดธาตุเหล็กและโลหิตจาง[41] นักวิ่งบางครั้งยังอาจเกิดอาการสำคัญรวมทั้งอาเจียนเป็นเลือด[42]

การออกกำลังกายสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพอย่างกว้างขวางของทางเดินอาหาร รวมทั้งการผันเลือดจากทางเดินอาหารไปยังกล้ามเนื้อและปอด ลดการดูดซึมในทางเดินอาหารและการบีบตัวของลำไส้ เพิ่มเวลาที่อาหารต้องดำเนินผ่านลำไส้ใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและเพปไทด์ในระบบประสาท-ภูมิคุ้มกัน-ต่อมไร้ท่อ เช่น vasoactive intestinal peptide, secretin, และ peptide-histidine-methionine[43] การเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญก็เกิดกับฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดรวมทั้ง cortisol, กับความเข้มข้นและกิจทางเมแทบอลิซึมของเม็ดเลือดขาว, กับระดับของ สารภูมิต้านทาน, และระดับการแสดงออกของ major histocompatibility complex[44]

อาการอาจแย่ลงเมื่อขาดน้ำ หรือทานอาหารบางอย่าง หรือดื่มน้ำที่มีน้ำตาลและเกลือแร่เข้มข้นสูงก่อนออกกำลัง และอาจดีขึ้นเมื่อฝึกได้ลงตัวแล้ว (เพราะร่างกายจะผันเลือดจากทางเดินอาหารน้อยลง)[43] การทานยายับยั้งการหลั่งกรดคือไซเมทิดีน 800 มก. 2 ชม. ก่อนวิ่งมาราธอนไม่มีผลต่อความถี่ของอาการกระเพาะลำไส้หรือเลือดออกในกระเพาะลำไส้[45] อีกนัยหนึ่ง การทานไซเมทิดีน 800 มก. 1 ชม. ก่อนเริ่มวิ่งและอีกครั้งที่ 50 ไมล์เมื่อวิ่งมาราธอน 100 ไมล์ ช่วยลดอาการกระเพาะลำไส้และการตรวจพบเลือดในทางเดินอาหารด้วย stool guaiac test หลังการวิ่ง โดยไม่มีผลต่อการวิ่ง[46]

วิธี

[แก้]

มีวิธีการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ 4 อย่าง ซึ่งตรวจดูตัวบ่งชี้เลือดต่าง ๆ กัน เช่น สารภูมิต้านทาน, heme[B], globin[A], porphyrin[K] หรือดูดีเอ็นเอของวัสดุจากเซลล์ เช่นที่ได้จากรอยโรคและเยื่อเมือกลำไส้

  • Fecal immunochemical testing (FIT), และ immunochemical fecal occult blood test (iFOBT) - FIT ใช้สารภูมิต้านทานโดยเฉพาะ ๆ เพื่อตรวจจับ globin การตรวจคัดกรองด้วย FIT มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบผลทางสุขภาพและค่าใช้จ่ายกับการตรวจด้วย gFOBT (guaiac fecal occult blood test)[47] ตามแนวทางการรักษาของ ACG ปี 2008 "การตรวจอุจจาระประจำปีด้วยสารเคมีภูมิต้านทานเป็นการตรวจจับมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แนะนำ (preferred)"[48][49] FIT สามารถตรวจจับระดับ globin ในอุจจาระที่ 50 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตรหรือยิ่งกว่านั้น ซึ่งเป็นค่าสูงสุดเพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก
การตรวจด้วย FIT ได้แทนที่การตรวจด้วย gFOBT โดยมากเพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่[50][51] วิธีนี้สามารถปรับใช้ในการตรวจอัตโนมัติที่ตรวจและรายงานผลข้อมูลเป็นตัวเลข ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบกลยุทธ์คัดกรองโรคที่สามารถใช้ในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่[52]
จำนวนตัวอย่างอุจจาระที่ส่งเพื่อตรวจโดย FIT อาจมีผลต่อความไวและความจำเพาะของวิธีนี้ โดยสามารถใช้ hs gFOBT เช่น Hemoccult SENSA เป็นทางเลือก ซึ่งอาจมีบทบาทเพื่อเฝ้าสังเกตภาวะทางกระเพาะลำไส้ต่าง ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบแบบมีแผล[53] อย่างไรก็ดี FIT ก็ยังเป็นวิธีตรวจสอบที่แนะนำอันดับแรกในแนวทางการรักษาล่าสุดต่าง ๆ[48]
การตรวจพบเลือดโดยใช้ gFOBT
  • Stool guaiac test เพื่อตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ (gFOBT) - เป็นการตรวจซึ่งต้องป้ายอุจจาระที่กระดาษดูดซึมอันได้ผ่านปฏิบัติการทางเคมี แล้วก็หยดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ที่กระดาษ ถ้ามีร่องรอยของเลือด กระดาษจะเปลี่ยนสีภายใน 1-2 วินาที วิธีนี้ใช้ได้ก็เพราะองค์ประกอบคือ heme[B] ของเฮโมโกลบินมีปฏิกิริยาคล้ายกับ peroxidase คือสามารถสลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ได้อย่างรวดเร็ว ในบางกรณี เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ด้านบน วิธีนี้อาจไวกว่าวิธีที่ตรวจจับ globin เพราะ globin จะสลายตัวในลำไส้ส่วนบนในอัตราส่วนที่สูงกว่า heme[54] มีการตรวจแบบ gFOBT ที่วางขายซึ่งจัดว่ามีความไวต่ำหรือสูง แต่ที่จัดว่าไวสูงจึงจะเป็นทางเลือกที่ยอมรับได้แทนการตรวจแบบ FIT ซึ่งปัจจุบันเป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แนะนำ การได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ gFOBT จะขึ้นอยู่กับอาหารที่ทานเมื่อเตรียมตัวตรวจด้วย[55]
  • Stool DNA screening test เป็นวิธีตรวจที่หาความเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับมะเร็ง

นักวิชาการปัจจุบันยังสืบหาวิธีการอื่น ๆ เพื่อตรวจจับเลือดแฝง รวมทั้งการใช้ไม้จิ้มวัด transferrin[56] และการสืบหาความผิดปกติของอุจจาระในระดับเซลล์/โมเลกุล[57]

ประสิทธิภาพการทดสอบ

[แก้]

การเสียเลือดในกระเพาะลำไส้

[แก้]

คนปกติจะมีเลือดประมาณ 0.5-1.5 มล. ที่ออกจากเส้นเลือดเข้าไปในอุจจาระ[58][59][60] และบุคคลก็สามารถเสียเลือดอย่างสำคัญโดยไม่เห็นในอุจจาระ เช่น ถึง 200 มล. ภายในกระเพาะอาหาร[61] 100 มล. ภายในลำไส้เล็กส่วนต้น และจำนวนน้อยกว่านั้นในลำไส้ส่วนล่าง ดังนั้น การตรวจหาเลือดแฝงก็จะต้องไวพอตรวจหาเลือดน้อยกว่านั้นได้

ความไวและความจำเพาะ

[แก้]

FIT สามารถตรวจจับเลือดน้อยถึง 0.3 มล. ในอุจจาระ แต่ขีดเริ่มเปลี่ยนเท่านี้ก็ยังไม่เป็นเหตุให้ได้ผลบวกปลอมจากเลือดที่ปกติรั่วซึมออกจากลำไส้ส่วนบน เพราะมันไม่สามารถตรวจจับเลือดแฝงจากกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน ดังนั้น FIT จึงมีความจำเพาะต่อเลือดออกจากลำไส้ใหญ่หรือทางเดินอาหารส่วนล่างยิ่งกว่าวิธีการตรวจอื่น ๆ[62] อัตราการตรวจจับเลือดได้จะลดลงถ้าช่วงเวลาที่เก็บตัวอย่างกับการตรวจผลในแล็บห่างกัน ดังนั้น จึงแนะนำให้ตรวจผลภายใน 5 วัน[63]

ความไวของ gFOBT จะต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เลือดออก gFOBT ที่ไวกลาง ๆ จะสามารถตรวจจับเลือดประมาณ 10 มล. (ประมาณ 2 ช้อนชา) และที่ไวยิ่งกว่านั้น สามารถตรวจจับเลือดได้น้อยที่สุด 2 มล. เพื่อให้แสดงผลบวก ความไวของการตรวจด้วย gFOBT ครั้งเดียวอ้างว่าอยู่ที่ 10-30% แต่ถ้าทำ 3 ครั้งดังที่แนะนำ ความไวจะเพิ่มเป็น 92%[64] แต่เพราะคนไข้ไม่ค่อยยอมเก็บอุจจาระถึง 3 ครั้ง วิธีนี้จึงไม่ค่อยได้ประโยชน์

ส่วนการตรวจหา porphyrin[K] ด้วย HemoQuant อาจได้ผลบวกปลอมเพราะเลือดและ porphyrin แปลกปลอมภายนอก แต่ HemoQuant ก็เป็นวิธีการตรวจที่ไวสุดสำหรับเลือดที่ออกในทางเดินอาหารส่วนบน และดังนั้น จึงอาจเป็นการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระซึ่งเหมาะที่สุดเพื่อตรวจการขาดธาตุเหล็ก[65] โดยแนะนำให้คนไข้ไม่ทานเนื้อที่มีสีแดงเมื่อยังดิบ และไม่ทานแอสไพรินเป็นเวลา 3 วันก่อนจะเก็บตัวอย่าง[66] ผลบวกปลอมอาจเกิดกับไมโยโกลบิน, catalase, หรือ protoheme ก็ได้[67] และกับ porphyria บางอย่างได้[ต้องการอ้างอิง]

ส่วนการตรวจดีเอ็นเอในอุจจาระจนถึงปี 2008 ก็ยังไม่ได้ศึกษาพอสนับสนุนให้ใช้อย่างกว้างขวาง[68]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. 1.0 1.1 globin เป็นหมู่ใหญ่ (superfamily) ของโปรตีนรูปทรงกลม (globular protein) ที่มี heme เป็นองค์ประกอบและมีหน้าที่ในการจับกับหรือขนส่งออกซิเจน โปรตีนทั้งหมดเหล่านี้มีรอยพับที่เรียกว่า globin fold ซึ่งเป็น alpha helical segment ต่อ ๆ กันแปดส่วน สมาชิกในหมู่ที่สำคัญรวมทั้งไมโยโกลบินและเฮโมโกลบิน ซึ่งสามารถจับกับออกซิเจนอย่างผันกลับได้ผ่าน heme prosthetic group เป็นหมู่โปรตีนที่กระจายไปทั่วในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ[3]
  2. 2.0 2.1 2.2 heme หรือ haem (จากคำกรีกว่า αἷμα คือ haima แปลว่า เลือด) เป็นโคแฟ็กเตอร์ที่ประกอบด้วยไอออน Fe2+ (ferrous, เหล็ก) ตรงกลางของสารประกอบอินทรีย์แบบ heterocyclic macrocycle ที่เรียกว่า porphyrin ซึ่งก็ประกอบด้วยหมู่ pyrrolic 4 ชุดที่ต่อกันด้วยสะพานคือ methine ให้สังเกตว่า porphyrin ทั้งหมดไม่ได้มีเหล็ก แต่เมทัลโลโปรตีนจำนวนสำคัญที่ประกอบด้วย porphyrin จะมี heme เป็น prosthetic group จึงเป็นโปรตีนที่เรียกว่า hemoprotein heme มักจะรู้จักกันว่า เป็นองค์ประกอบของเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในเลือด แต่ก็พบด้วยใน hemoprotein ที่สำคัญทางชีวภาพต่าง ๆ เช่น ไมโยโกลบิน, cytochrome, catalase, heme peroxidase, และ endothelial nitric oxide synthase[4][5]
  3. Diverticulosis เป็นภาวะที่ลำไส้ใหญ่เกิดกระเป๋า/ช่อง/ซอก (คือ diverticula) หลายอันที่ไม่ได้อักเสบ เป็นส่วนยื่นออกจากเยื่อเมือกและชั้นใต้เยื่อเมือกของลำไส้ใหญ่เนื่องจากกล้ามเนื้อผนังลำไส้ไม่แข็งแรง[11] ซึ่งปกติจะไม่มีอาการอะไร ๆ[12] จะเป็น diverticular disease ก็ต่อเมื่อช่องเหล่านี้อักเสบ คือเป็น diverticulitis หรือเมื่อเลือดออก[13]
  4. ในวิทยาการทางเดินอาหาร angiodysplasia เป็นสภาวะวิรูปของหลอดเลือดแดงเล็กในท้อง เป็นเหตุสามัญของการเลือดออกในกระเพาะลำไส้และโลหิตจางที่ไม่มีสาเหตุอื่น ๆ รอยโรคมักจะเป็นหลายจุด และบ่อยครั้งจะเป็นที่กระพุ้งไส้ใหญ่ (cecum) หรือลำไส้ใหญ่ส่วนที่วิ่งขึ้น แต่ก็เกิดที่อื่น ๆ ได้เหมือนกัน
  5. esophageal varices หรือ oesophageal varices เป็นเส้นเลือดดำใต้เยื่อเมือกในหลอดอาหาร 1/3 ส่วนล่างซึ่งพองอย่างมาก[17] บ่อยครั้งเป็นผลของ portal hypertension (ความดันในระบบหลอดเลือดดำที่วิ่งไปจากทางเดินอาหารไปยังตับ) โดยปกติเนื่องจากตับแข็ง คนไข้ที่มีอาการนี้มีความโน้มเอียงในการเลือดออกสูง ปกติตรวจวินิจฉัยได้โดยส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน (EGD)[18]
  6. ACG แนะนำให้เลิกใช้การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย gFOBT โดยให้เลือกใช้ FIT แทน[22]
  7. ปี 2561-2565 มีเป้าหมายเช็คประชากรทั้งหมด 9,100,000 คน ใน 13 เขต[32] จากกลุ่มประชากร 14,410,730 คน[33] คิดเป็นอัตราร้อยละ 63
  8. ประชาชนใน "กลุ่มเสี่ยงสูง" คือ มีอาการผิดปกติและมีญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก) ผู้เป็นมะเร็ง ก็ให้ปรึกษาแพทย์โดยตรง[34]
  9. เมื่อส่องกล้องแล้ว[35]
    • ถ้าพบผลลบ ให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทุก ๆ 5-10 ปี และ/หรือแนะนำให้ตรวจด้วย FIT ทุก ๆ 2 ปีตามปกติ
    • ถ้าพบผลบวก
      • ถ้าเสี่ยงน้อย ให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทุก ๆ 5 ปี
      • ถ้าเสี่ยงมาก ให้ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทุก ๆ 3 ปี
  10. ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงประมาณ 3,000 ราย[36] โปรแกรมอาจลดอัตราการตายได้ถึง 25-33%[37] หรือลดผู้ป่วยใหม่แต่ละปี ซึ่งในปี 2555 พบ 10,624 รายและคาดว่าในปี 2578 จะมี 20,419 รายถ้าไม่มีการคัดกรองโรค[38]
  11. 11.0 11.1 porphyrin เป็นหมู่สารประกอบอินทรีย์แบบ heterocyclic macrocycle โดยประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ pyrrole แบบแปรที่เชื่อมกันที่อะตอมคาร์บอน α ผ่านสะพานคือ methine

อ้างอิง

[แก้]
  1. "occult blood", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕, (แพทยศาสตร์) เลือดแฝง
  2. Beg, M; และคณะ (2002). "Occult Gastrointestinal Bleeding: Detection, Interpretation, and Evaluation" (PDF). JIACM. 3 (2): 153–58. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-11-22.
  3. "A model of globin evolution". 2007. PMID 17540514. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  4. "Structure-function relationships in heme-proteins". 2002. PMID 12042067. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  5. สิ่งพิมพ์เผยแพร่เข้าถึงแบบเปิด อ่านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย "Nitric oxide synthases: structure, function and inhibition". 2001. PMID 11463332. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  6. Harewood, GC; Ahlquist, DA (2000). "Fecal occult blood testing for iron deficiency: a reappraisal". Dig Dis. 18 (2): 75–82. doi:10.1159/000016968. PMID 11060470.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  7. Bardhan, PK; Beltinger, J; Beltinger, RW; Hossain, A; Mahalanabis, D; Gyr, K (2000-01). "Screening of patients with acute infectious diarrhoea: evaluation of clinical features, faecal microscopy, and faecal occult blood testing". Scand. J. Gastroenterol. 35 (1): 54–60. doi:10.1080/003655200750024533. PMID 10672835. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  8. "Fecal Occult Blood Test (FOBT)". สืบค้นเมื่อ 2007-07-18.
  9. Rockey, DC (2005-12). "Occult gastrointestinal bleeding". Gastroenterol. Clin. North Am. 34 (4): 699–718. doi:10.1016/j.gtc.2005.08.010. PMID 16303578. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  10. Walleser, S; Griffiths, A; Lord, SJ; Howard, K; Solomon, MJ; Gebski, V (2007-12). "What is the value of computerized tomographic colonography in patients screening positive for fecal occult blood? A systematic review and economic evaluation". Clin. Gastroenterol. Hepatol. 5 (12): 1439–46, quiz 1368. doi:10.1016/j.cgh.2007.09.003. PMID 18054752. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  11. "Diverticulosis and Diverticulitis". 2016. PMID 27156370. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  12. "Diverticular Disease". niddk.nih.gov. 2013-09. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  13. "Review article: the pathophysiology and medical management of diverticulosis and diverticular disease of the colon". 2015-07. PMID 26202723. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  14. 14.0 14.1 14.2 Bevan, R; Lee, TJ; Nickerson, C; Rubin, G; Rees, CJ (2014-06). "Non-neoplastic findings at colonoscopy after positive faecal occult blood testing: data from the English Bowel Cancer Screening Programme". J. Med. Screen. 21 (2): 89–94. doi:10.1177/0969141314528889. PMID 24644029. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  15. Endo, M; Sakakibara, N; Suzuki, H (1972). "Observation of esophageal lesions with the use of endoscopic dyes". Progress of Digestive Endoscopy. 1: 34.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  16. Endo, M; Takeshita, K; Yoshida, M (1986-09). "How can we diagnose the early stage of esophageal cancer? Endoscopic diagnosis". Endoscopy. 18 Suppl 3: 11–8. doi:10.1055/s-2007-1018435. PMID 2428607. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  17. Rubin's Pathology: Clinicopathologic Foundations of Medicine. p. 612. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
  18. "The role of endoscopy in portal hypertension". 2005. PMID 15920321. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  19. Rex, DK; Johnson, DA; Anderson, JC; Schoenfeld, PS; Burke, CA; Inadomi, JM (2009-03). "American College of Gastroenterology guidelines for colorectal cancer screening 2009 [corrected]". Am. J. Gastroenterol. 104 (3): 739–50. doi:10.1038/ajg.2009.104. PMID 19240699. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  20. Levin, B.; Lieberman, D. A.; McFarland, B.; Smith, R. A.; Brooks, D.; Andrews, K. S.; Dash, C.; Giardiello, F. M.; Glick, S.; Levin, T. R.; Pickhardt, P.; Rex, D. K.; Thorson, A.; Winawer, S. J. (2008). "Screening and Surveillance for the Early Detection of Colorectal Cancer and Adenomatous Polyps, 2008: A Joint Guideline from the American Cancer Society, the US Multi-Society Task Force on Colorectal Cancer, and the American College of Radiology". CA: A Cancer Journal for Clinicians. 58 (3): 130–60. doi:10.3322/CA.2007.0018. PMID 18322143.
  21. * USPSTF Agency for Healthcare Research and Quality (2008). "Screening for colorectal cancer: U.S. Preventive Services Task Force recommendation statement". Ann Intern Med. 149: 627–37.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  22. Rex, DK; Johnson, DA; Anderson, JC; Schoenfeld, PS; Burke, CA; Inadomi, JM; American College of, Gastroenterology (2009-03). "American College of Gastroenterology guidelines for colorectal cancer screening 2009 [corrected]". The American Journal of Gastroenterology. 104 (3): 739–50. doi:10.1038/ajg.2009.104. PMID 19240699. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  23. Bretthauer, M (2010-08). "Evidence for colorectal cancer screening". Best Pract Res Clin Anaesthesiol. 24 (4): 417–25. doi:10.1016/j.bpg.2010.06.005. PMID 20833346. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  24. Mandel, JS; Bond, JH; Church, TR และคณะ (1993-05). "Reducing mortality from colorectal cancer by screening for fecal occult blood. Minnesota Colon Cancer Control Study". N. Engl. J. Med. 328 (19): 1365–71. doi:10.1056/NEJM199305133281901. PMID 8474513. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |authors= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  25. Hardcastle, JD; Chamberlain, JO; Robinson, MH และคณะ (1996-11). "Randomised controlled trial of faecal-occult-blood screening for colorectal cancer". Lancet. 348 (9040): 1472–7. doi:10.1016/S0140-6736(96)03386-7. PMID 8942775. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |authors= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  26. Kronborg, O; Fenger, C; Olsen, J; Jørgensen, OD; Søndergaard, O (1996-11). "Randomised study of screening for colorectal cancer with faecal-occult-blood test". Lancet. 348 (9040): 1467–71. doi:10.1016/S0140-6736(96)03430-7. PMID 8942774. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  27. Kewenter, J; Brevinge, H; Engarås, B; Haglind, E; Ahrén, C (1994-05). "Results of screening, rescreening, and follow-up in a prospective randomized study for detection of colorectal cancer by fecal occult blood testing. Results for 68,308 subjects". Scand. J. Gastroenterol. 29 (5): 468–73. doi:10.3109/00365529409096840. PMID 8036464. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  28. "Screening for colorectal cancer". Canadian Cancer Society. Canadian Cancer Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-09. สืบค้นเมื่อ July 14. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  29. Collins, JF; Lieberman, DA; Durbin, TE; Weiss, DG (2005-01). "Accuracy of screening for fecal occult blood on a single stool sample obtained by digital rectal examination: a comparison with recommended sampling practice". Ann. Intern. Med. 142 (2): 81–85. doi:10.7326/0003-4819-142-2-200501180-00006. PMID 15657155. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  30. 30.0 30.1 Tonus, C; Sellinger, M; Koss, K; Neupert, G (2012-08-14). "Faecal pyruvate kinase isoenzyme type M2 for colorectal cancer screening: a meta-analysis". World Journal of Gastroenterology. 18 (30): 4004–11. doi:10.3748/wjg.v18.i30.4004. PMC 3419997. PMID 22912551.
  31. "Bowel cancer screening". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-22. สืบค้นเมื่อ 2013-07-04.
  32. การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (2018), p. 47
  33. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), p. 31
  34. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), p. 12
  35. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), p. 27
  36. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), สถิติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง, p. 3
  37. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), p. 7
  38. การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (2017), p. 6
  39. Halvorsen, FA; Lyng, J; Ritland, S (1986-05). "Gastrointestinal bleeding in marathon runners". Scand. J. Gastroenterol. 21 (4): 493–97. doi:10.3109/00365528609015168. PMID 3487825. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  40. de Oliveira, EP; Burini, RC (2009-09). "The impact of physical exercise on the gastrointestinal tract". Curr Opin Clin Nutr Metab Care. 12 (5): 533–38. doi:10.1097/MCO.0b013e32832e6776. PMID 19535976. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  41. Peters, HP; De Vries, WR; Vanberge-Henegouwen, GP; Akkermans, LM (2001-03). "Potential benefits and hazards of physical activity and exercise on the gastrointestinal tract". Gut. 48 (3): 435–39. doi:10.1136/gut.48.3.435. PMC 1760153. PMID 11171839. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  42. Weaver, LT (1984). "Do some marathon runners bleed into the gut? (letter response to a previous article)" (PDF). BMJ. 288 (6410): 65. doi:10.1136/bmj.288.6410.65-b. PMC 1444190.
  43. 43.0 43.1 Brouns, F; Beckers, E (1993-04). "Is the gut an athletic organ? Digestion, absorption and exercise". Sports Med. 15 (4): 242–57. doi:10.2165/00007256-199315040-00003. PMID 8460288. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  44. Venkatraman, JT; Pendergast, DR (2002). "Effect of dietary intake on immune function in athletes". Sports Med. 32 (5): 323–37. doi:10.2165/00007256-200232050-00004. PMID 11929359.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  45. Moses, FM; Baska, RS; Peura, DA; Deuster, PA (1991-10). "Effect of cimetidine on marathon-associated gastrointestinal symptoms and bleeding". Dig. Dis. Sci. 36 (10): 1390–4. doi:10.1007/BF01296804. PMID 1914760. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  46. Baska, RS; Moses, FM; Deuster, PA (1990-08). "Cimetidine reduces running-associated gastrointestinal bleeding. A prospective observation". Dig. Dis. Sci. 35 (8): 956–60. doi:10.1007/BF01537243. PMID 2384041. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  47. Quintero, E. (2009). "¿Test químico o test inmunológico para la detección de sangre oculta en heces en el cribado del cáncer colorrectal?". Gastroenterología y Hepatología. 32 (8): 565–576. doi:10.1016/j.gastrohep.2009.01.179. PMID 19577340.
  48. 48.0 48.1 Rex, Douglas K.; Johnson, David A.; Anderson, Joseph C.; Schoenfeld, Phillip S.; Burke, Carol A.; Inadom, John M. (2009-02-24). "American College of Gastroenterology Guidelines for Colorectal Cancer Screening 2008" (PDF). Am J Gastroenterol (advance online publication). 104: 739–50. doi:10.1038/ajg.2009.104. PMID 19240699. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-01-04. สืบค้นเมื่อ 2018-09-14.
  49. "Colorectal Cancer". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-19. สืบค้นเมื่อ 2018-09-14.
  50. Young, GP; Cole, SR (2009-03). "Which fecal occult blood test is best to screen for colorectal cancer?". Nat Clin Pract Gastroenterol Hepatol. 6 (3): 140–41. doi:10.1038/ncpgasthep1358. PMID 19174764. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  51. Quintero, E (2009-10). "Chemical or immunological tests for the detection of fecal occult blood in colorectal cancer screening?". Gastroenterol Hepatol (ภาษาสเปน). 32 (8): 565–76. doi:10.1016/j.gastrohep.2009.01.179. PMID 19577340. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  52. Berchi, C; Bouvier, V; Réaud, JM; Launoy, G (2004-03). "Cost-effectiveness analysis of two strategies for mass screening for colorectal cancer in France". Health Econ. 13 (3): 227–38. doi:10.1002/hec.819. PMID 14981648. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  53. Kuriyama, M; Kato, J; Takemoto, K; Hiraoka, S; Okada, H; Yamamoto, K (2010-03). "Prediction of flare-ups of ulcerative colitis using quantitative immunochemical fecal occult blood test". World J. Gastroenterol. 16 (9): 1110–14. doi:10.3748/wjg.v16.i9.1110. PMC 2835788. PMID 20205282. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  54. Rockey, DC (1999-07). "Occult gastrointestinal bleeding". N. Engl. J. Med. 341 (1): 38–46. doi:10.1056/NEJM199907013410107. PMID 10387941. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  55. "Diagnostic Tests — Fecal Occult Blood Test". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-07. สืบค้นเมื่อ 2007-07-18.
  56. Sheng, JQ; Li SR; Wu ZT; และคณะ (2009-08). "Transferrin dipstick as a potential novel test for colon cancer screening: a comparative study with immuno fecal occult blood test". Cancer Epidemiol. Biomarkers Prev. 18 (8): 2182–85. doi:10.1158/1055-9965.EPI-09-0309. PMID 19661074. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  57. Sheng, JQ; Li SR; Su H; และคณะ (2010-06). "Fecal cytology in conjunction with immunofecal occult blood test for colorectal cancer screening". Anal. Quant. Cytol. Histol. 32 (3): 131–5. PMID 20701065. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  58. Ahlquist, DA; McGill, DB; Schwartz, S; Taylor, WF; Owen, RA (1985-05). "Fecal blood levels in health and disease. A study using HemoQuant". N. Engl. J. Med. 312 (22): 1422–8. doi:10.1056/NEJM198505303122204. PMID 3873009. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  59. Dybdahl, JH; Daae, LN; Larsen, S (1981). "Occult faecal blood loss determined by chemical tests and a 51 Cr method". Scand. J. Gastroenterol. 16 (2): 245–52. doi:10.3109/00365528109181963. PMID 7313535.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  60. DJ, St John; Young, GP (1978-04). "Evaluation of radiochromium blood loss studies in unexplained iron-deficiency anaemia". Aust N Z J Med. 8 (2): 121–6. doi:10.1111/j.1445-5994.1978.tb04496.x. PMID 307949. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  61. Schiff, L; Stevens, RJ; Shapiro, N และคณะ (1942). "Observations on the oral administration of citrate blood in man". Am J Med Sci. 203: 409. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |authors= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  62. "What Does a Positive Fecal Occult Blood Test Mean? - B01". สืบค้นเมื่อ 2007-07-18.
  63. van Rossum, LG; van Rijn AF; van Oijen MG; และคณะ (2009-08). "False negative fecal occult blood tests due to delayed sample return in colorectal cancer screening". Int. J. Cancer. 125 (4): 746–50. doi:10.1002/ijc.24458. PMID 19408302. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  64. "Screening average risk patients for colorectal cancer - B01". สืบค้นเมื่อ 2007-10-25.
  65. Harewood, GC; McConnell, JP; Harrington, JJ; Mahoney, DW; Ahlquist, DA (2002-01). "Detection of occult upper gastrointestinal tract bleeding: performance differences in fecal occult blood tests". Mayo Clin. Proc. 77 (1): 23–28. doi:10.4065/77.1.23. PMID 11794453. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  66. "Test ID: HQ: HemoQuant, Feces: Specifman". Mayo Clinic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-04. สืบค้นเมื่อ 2018-09-26.
  67. Schwartz, S; Dahl, J; Ellefson, M; Ahlquist, D (1983-12). "The "HemoQuant" test: a specific and quantitative determination of heme (hemoglobin) in feces and other materials". Clin. Chem. 29 (12): 2061–67. PMID 6640900. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  68. Whitlock, EP; Lin, J; Liles, E; Beil, T; Fu, R; O'Connor, E; Thompson, RN; Cardenas, T (2008). "Screening for Colorectal Cancer: An Updated Systematic Review". Agency for Healthcare Research and Quality (US). PMID 20722162. Report No.: 08-05-05124-EF-1.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)

อื่น ๆ

[แก้]


แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]