ข้ามไปเนื้อหา

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
'ผู้หว่านพืช' (Cathedral of Hajdúdorog ประเทศฮังการี)
อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (ซ้าย) ในอาสนวิหารนักบุญมารีย์ เมืองคิลเคนี ประเทศไอร์แลนด์

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (อังกฤษ: Parable of the Sower) บางครั้งเรียกว่า อุปมาเรื่องดิน (อังกฤษ: Parable of the Soils) เป็นอุปมาของพระเยซูที่ปรากฏในมัทธิว 13:1 -23, มาระโก 4:1–20 , ลูกา 8:4 -15 และพระวรสารนักบุญโธมัสซึ่งอยู่นอกสารบบ[1]

พระเยซูทรงเล่าเรื่องชาวนาผู้หว่านเมล็ดพืชอย่างสุ่ม ๆ เมล็ดพืชบางส่วนตกตามหนทาง (ข้างทาง) ที่ไม่มีดิน บางส่วนตกบนพื้นหินที่มีดินน้อย บางส่วนตกบนดินที่เต็มไปด้วยต้นหนาม และบางส่วนตกอยู่บนดินดี ในกรณีแรก เมล็ดพืชถูกนกกินไป ในกรณีที่สองและสาม เมล็ดพืชไม่สามารถให้ผลผลิต แต่เมื่อเมล็ดพืชตกบนดินดี ก็เติบโตและเกิดผลผลิตสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง

ภายหลังพระเยซูทรงอธิบายให้สาวกว่าเมล็ดพืชนั้นเปรียบได้กับพระวจนะ ผู้หว่านพืชเปรียบได้กับบุคคลใด ๆ ผู้ประกาศพระวจนะ และดินต่าง ๆ เปรียบได้กับการตอบสนองของผู้คนต่อพระวจนะ

ความในคัมภีร์ไบเบิล

[แก้]

"จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ใครมีหู จงฟังเถิด"

มาระโก 4:3 -9 (THSV11)

พระเยซูทรงอธิบายอุปมาดังนี้

เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงอุปมานั้น พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ข้อความทุกอย่างจะแจ้งเป็นอุปมาแก่บุคคลภายนอก เพื่อว่า
แม้พวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่จะมองไม่เห็น
แม้ฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย"
พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านยังไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจะเข้าใจเรื่องอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร? ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้นได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”"

บริบท

[แก้]

ในพระวรสารนักบุญมาระโกและพระวรสารนักบุญมัทธิว อุปมานี้ คำอธิบายจุดประสงค์ของอุปมา และคำอธิบายของตัวอุปมาเองเป็นส่วนหนึ่งของคำเทศนาครั้งที่ 3 หรือ "คำเทศนาเชิงอุปมา" ของพระเยซู ซึ่งทรงเทศนาจากบนเรือในทะเลกาลิลี ในแต่ละเรื่องเล่า พระเยซูทรงใช้เรือสำหรับการเทศนาต่อผู้คนจำนวนมากที่รวมตัวอยู่ริมทะเลสาบ ในพระวรสารนักบุญลูกาไม่ได้ทรงใช้เรือสำหรับการเทศนา แต่พระเยซูยังทรงเทศนาอุปมาต่อผู้คนจำนวนมากที่รวมตัวกันจาก 'ทุกเมือง' หลังจากการเทศนาอุปมาแล้ว จึงทรงอธิบายจึงจุดประสงค์ของอุปมา และทรงอธิบายถึงตัวอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

อุปมานั้นพระเยซูทรงบอกให้มหาชนฟัง ส่วนคำอธิบายนั้นพระองค์ตรัสไว้เฉพาะกับเหล่าสาวกของพระองค์

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Kirby, Peter. "The Gospel of Thomas." Early Christian Writings. 2021".

บรรณานุกรม

[แก้]

อ่านเพิ่มเติม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]